" การเป็นผู้ให้ ย่อมสุขใจ กว่าการเป็นผู้รับ "
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
18 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 

พระองค์เจ้าพีระ....เจ้าดาราทอง

เจ้าดาราทอง

เทพส่งพระองค์ท่านลงมาจุติอย่างงามสง่า พระนามขจรขจายก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไปทั่วโลก และเทพได้นำพระองค์ท่าน “เจ้าดาราทอง” เสด็จกลับขึ้นไปอย่างเดียวดาย เหมือนสวรรค์แกล้งให้โลกลืม

ผู้เขียน: เทาชมพู
ที่มา: วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com)


ปลายทศวรรษที่ ๑๘๓๐ สมัยที่สยามยังไม่เป็นที่รู้จัก
ของประชาชนทั่วไปในยุโรป เจ้าชายสยามองค์หนึ่ง
ทรงทำให้ชื่อของประเทศสยามระบือลื่อเลื่องลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
ในอังกฤษ ชื่อเสียงขจรขจายทั่วประเทศอื่นๆในยุโรปที่สนใจกีฬา
เพราะทรงชนะเลิศอันดับหนึ่งของการแข่งรถระหว่างชาติ
ทั่วทวีปยุโรป ๓ ปีซ้อน คือปี ๑๙๓๖ ปี ๑๙๓๗
และ ปี ๑๙๓๘ จนคว้าตำแหน่ง " ดาราทอง "
ของสมาคมนักแข่งรถอังกฤษมาครองได้


เกียรติประวัติที่ควรจารึกไว้ คือ

ทรงชนะที่หนึ่ง ๔ ครั้ง จากการชิงถ้วยเจ้าชายเรนีย์แห่งโมนาโก
ชิงรางวัลระหว่างชาติที่บรูคแลนด์ส ชิงรางวัลใหญ่ของปีการ์ดี
และชิงรางวัลของอาลบี

ชนะที่สอง ๒ ครั้ง จากการแข่งที่เกาะแห่งเมน
และการแข่งขันที่กรุงดับลิน

ชนะที่สาม ๒ ครั้งจากการแข่งที่ภูเขาไอเฟิล
และการชิงแชมเปี้ยนภูเขาที่บรูคแลนด์ส




เจ้าชายสยามองค์นั้นคือพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช
หรือคนไทยเรียกกันสั้นๆว่า “พระองค์พีระ”

เมื่อเสด็จกลับสยาม สื่อมวลชนไทยในสมัยนั้นถวายสมญาว่า
" เจ้าดาราทอง " ราษฎรไปรับเสด็จกันคับคั่ง ทรงกลายเป็นวีรบุรุษ
ในวงการกีฬาและขวัญใจประชาชน สีฟ้าสดของรถแข่งที่ทรงขับ
เรียกกันว่าสีฟ้าพีระ หรือ Bira blue กลายเป็นสีฮิตกันพักใหญ่ของสาวๆ
ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นต้อนรับพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช
แขกสาวๆในงานแต่งกายด้วยสีฟ้าสด สวยละลานตากันทั้งงาน

พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช
ประสูติเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๕๗
ทรงถือกำเนิดเป็นหม่อมเจ้า พระโอรสในเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์
สมเด็จกรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
ผู้เป็นพระราชอนุชาพระองค์เล็กร่วมพระชนกชนนี
กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หม่อมมารดาของพระองค์พีระ คือหม่อมเล็ก
สกุลเดิมยงใจยุทธ เป็นป้าของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ


ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เลื่อนหม่อมเจ้าพีรพงศ์ภาณุเดชขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช
ภาษาชาวบ้านเรียกว่า " พระองค์เจ้าตั้ง "
คือพระองค์เจ้าที่เลื่อนขึ้นจากหม่อมเจ้า
โอรสธิดาของท่านดำรงฐานันดรเป็นหม่อมราชวงศ์
ตามลำดับฐานันดรเดิมของท่านพ่อ


อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช
ในเบื้องต้น ดำเนินไปเหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย
นอกจากชาติกำเนิดสูงแล้ว เจ้าชายสยามก็ยังมีการศึกษาดีเยี่ยม
สำหรับเจ้าชายไทยในสมัยนั้น

ในปีพ.ศ.๒๔๖๓ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์
เมื่อพระชนม์ ๑๓ ชันษา ก็เสด็จไปศึกษาต่อที่โรงเรียน อีตัน
ณ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมขึ้นชื่อที่สุดของอังกฤษ
มีแต่เจ้านายและลูกผู้ดีมีตระกูลเรียนกันทั้งนั้น


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เคยทรงศึกษาที่นี่เช่นกัน
พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เป็นเด็กชายลักษณะดี
เป็นที่เมตตาของผู้ใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเมตตาประหนึ่งเป็นพระราชบุตร ทรงรับไว้ในปกครอง

เมื่อเสด็จไปอังกฤษ พระองค์พีระทรงพบกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์( พระโอรสในเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ) ซึ่งทรงศึกษาอยู่ที่
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ถ้าลำดับญาติกันแล้วพระองค์พีระ
อยู่ในฐานะอา และพระองค์จุลเป็นหลาน

แต่ว่าพระองค์จุลทรงมีพระชันษาแก่กว่า ๗ ปี
เกิดถูกชะตาเหมือนเป็นพี่ชายน้องชายแท้ๆ





พระองค์จุลจึงทรงทูลขอพระบรมราชานุญาต
จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขอเป็นผู้ปกครองพระองค์พีระแทน ทรงสนับสนุนให้เข้าแข่งกีฬา
จนได้ชัยชนะ โดยที่ทรงดูแลออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้
และทรงอุปการะพระองค์พีระอย่างดีจนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์

นอกจากความสามารถในการแข่งรถ พระองค์พีระยังเป็นนักกีฬา
ที่โปรดการเล่นเรืออีกด้วย ที่น่าทึ่งมากคือทรงมี "หัว" ทางศิลปะ
ควบคู่ไปกับการกีฬาจนตัดสินพระทัยไม่เข้าศึกษาต่อ
ที่เคมบริดจ์ แต่เบนเข็มไปศึกษาด้านประติมากรรมแทน

ทรงไปศึกษาเรื่องการวาดลายเส้นที่ Byam Shaw Art School
ที่นี่เองทรงพบหญิงสาวสวยชาวอังกฤษชื่อ ซีริล เฮย์ค็อก ซีริลนั้น
เป็นลูกผู้ดี พ่อมีเชื้อสายขุนนางเก่าแก่ ส่วนทางตระกูลแม่
ก็เป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยจนได้บรรดาศักดิ์เป็นเซอร์
ญาติคนหนึ่งเคยเป็นนายกเทศมนตรีของลอนดอนผู้เคยรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแล้ว




พระองค์พีระและซีริลหลงรักกันตั้งแต่แรกพบ
จนกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุด เธอก็เลยกลายมาเป็นหม่อมซีริล
ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา เดินทางมาประเทศไทยพร้อมกับพระสวามี
เธอชอบประเทศไทยมาก

หลังจากอยู่สยามได้ระยะหนึ่ง พระองค์พีระก็พาหม่อม
กลับอังกฤษเพื่อเตรียมตัวแข่งขันรถ Grand Prix
ต่อไปหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี สงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น
จากเยอรมันบุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ
พระองค์พีระยังทรงอยู่ที่อังกฤษ ไม่ได้กลับสยาม


เหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศตอนนั้นวุ่นวายมาก
ในตอนแรกสยามก็ดูจะเข้าข้างพันธมิตร
แต่ต่อมา ญี่ปุ่นบุกไทยเป็นทางผ่านไปสู่พม่า
รัฐบาลตัดสินใจยอมประนีประนอมเพื่อไม่ให้เสียเลือดเนื้อคนไทย
แล้วก็ตกบันไดพลอยโจนคบญี่ปุ่นเป็นมหามิตร
จนถึงขั้นประกาศเป็นฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่น
แล้วเลยกลายเป็นศัตรูกับฝ่ายพันธมิตรไปด้วย


ทูตไทยถูกเรียกตัวกลับ สถานทูตปิด
พระองค์พีระไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไทย
ก็ตัดสินพระทัยสมัครเข้าร่วมรบเป็นฝ่ายเดียวกับพันธมิตร
เสด็จไปเข้าศูนย์ฝึกอบรมการบิน เข้าประจำศูนย์ในฐานะครูฝึกเครื่องร่อน
ซึ่งทรงชำนาญอยู่แล้ว ได้ตำแหน่งเป็นเรืออากาศโท
มีลูกศิษย์ลูกหาชาวอังกฤษมากมาย
เจ้านายสยามหลายพระองค์ที่อยู่อังกฤษ
เข้าร่วมรบกับพันธมิตรต่อต้านเยอรมัน
พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาพพระอนุชาพระองค์พีระ
ที่เป็นพระโอรสบุญธรรมในสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมัครเข้าเป็นนักบินอาสาสมัคร นำเครื่องบินไปส่งลงเรือรบ
นักเรียนไทยรวมกันจัดตั้งขบวนการเสรีไทย
มีหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์เป็นหัวหน้า


น่าเสียดายว่าพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาพประสบอุบัติเหตุ
เครื่องบินชนภูเขาสิ้นพระชนม์ ส่วนพระองค์พีระทรงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ตลอดสงคราม จนกระทั่งเยอรมันและญี่ปุ่นแพ้ฝ่ายพันธมิตร
สงครามโลกก็สงบลงใน พ.ศ. ๒๔๘๘ สันติภาพคืนมาสู่ยุโรป

เมื่อสันติภาพคืนมาสู่สังคมยุโรปอีกครั้ง
กิจกรรมสังคมอย่างการกีฬาก็เฟื่องฟูขึ้นมาอีก
ชีวิตของเจ้าชายหนุ่มสยาม และชายาสาวชาวอังกฤษดำเนินไป
เหมือนความฝันเท่าที่มนุษย์จะพึงมีได้ พรั่งพร้อมทั้งสุข ความรัก
ชื่อเสียง ความสำเร็จ มีโอกาสท่องเที่ยวอย่างเศรษฐีไปในสถานที่สวยงามหลายแห่งของโลกด้วยกันทั้งยุโรปและอเมริกา






ไม่ว่าไปไหน ทรงเป็นแขกเกียรติยศของสมาคมและบุคคลสำคัญ
ในฐานะบุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ครั้งหนึ่งได้รับเชิญ
ให้เข้าเฝ้าพระเจ้าจอร์จที่ ๖ แห่งอังกฤษ
(พระราชบิดาของพระราชินีนาถเอลิซาเบธในปัจจุบัน)
เพราะโปรดเรื่องรถแข่งมาก ทรงต้อนรับเจ้าชายสยาม
ด้วยพระอัธยาศัยดีเหมือนเป็นพระญาติสนิทด้วยกัน

หม่อมมณี ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา(คุณหญิงมณี สิริวรสาร)
อดีตชายาของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต
บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับท่านในหนังสือ " ชีวิตเหมือนฝัน " ว่า


" นิสัยใจคอของสองพระองค์นั้นต่างกันมาก
พระองค์จิรศักดิ์ฯ นั้นโปรดการสนทนาปราศรัยกับคนอื่น
และมีจิตใจนึกถึงแต่ส่วนรวมเสมอ ส่วนพระองค์พีระฯ
ทรงสนุกสนานร่าเริงกับสิ่งที่พอพระทัย ไม่สนพระทัย
กับเรื่องราวของคนอื่นๆ เลย

วันหนึ่งดิฉันล้อเลียนท่านว่า พระองค์เป็นเศรษฐีขี้คร้าน
The Idle rich ไม่เห็นทรงทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์
คิดแต่ความสนุกสนานของท่านฝ่ายเดียว
พระองค์พีระก็ทรงพระสรวลอย่างอารมณ์ดีและตรัสว่า


" ที่จริงพวกเธอน่ะสิที่ชอบวุ่นวาย อยากให้ความช่วยเหลือคนอื่นๆ
ทั้งๆที่พวกเขาไม่เห็นต้องการ เช่นพวกมิชชั่นนารีเป็นต้น
พวกนั้นพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างไปอยู่ต่างแดน
ทำงานไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก แต่พวกเขาก็ไม่เห็นได้ทำอะไร
ให้เป็นผลสำเร็จมากนัก

ปรัชญาชีวิตของฉันก็คือว่า ไม่ขอไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่น
และฉันทำสิ่งที่ฉันพอใจถ้าหากสามารถทำได้
ถึงแม้ว่าฉันจะมิได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใด
แต่ก็ไม่เคยทำอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน
การที่อยู่เฉยๆโดยไม่เบียดเบียนใครก็เป็นผลดีอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ "

ความสุขเหมือนฝันของพระองค์พีระและหม่อมซีริลยืนยาวได้แค่ ๑๑ ปี
ขึ้นปีที่ ๑๒ ปรัชญาชีวิตของพระองค์พีระก็ก่อผลกระทบต่อหม่อม
ในข้อที่ว่า “ขอทำสิ่งที่พอใจ ถ้าหากสามารถทำได้”






ความที่ทรงเป็นคนดัง บุคลิกดี ตรัสได้คล่องทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส
และยังใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงดึงดูดหญิงสาวอื่นๆ
ให้เข้ามาหลงใหลท่าน พระองค์พีระมิได้เลิกรักหม่อมซีริล
เพียงแต่ว่าทรงพอพระทัยที่จะทำตามพระทัยมากกว่า
จะฝืนพระประสงค์ขององค์เอง
ถ้าหากว่าหม่อมซีริลโอนอ่อนผ่อนตามได้
ไม่เดือดร้อน ด้วยการทำใจเสียว่าหญิงอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ไม่มีความหมายกับท่านเท่าภรรยาตามกฎหมาย
ก็คงจะครองชีวิตคู่กันต่อไปได้


แต่ว่าหม่อมซีริลทำใจไม่ได้ที่พระองค์พีระมีหญิงอื่น
แม้จะไม่ทรงจริงจังด้วยนัก เธอถือว่าเป็นความเดือดร้อน
สาหัสของภรรยา เธอจึงตัดสินใจขอแยกกันอยู่พักหนึ่งเพื่อระงับจิตใจ

ระหว่างที่แยกกันอยู่โดยยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน
สถานการณ์ก็ยิ่งทำให้ทั้งสอง่ต่างรับไม่ได้ห่างเหินกันมากขึ้นอีก
พระองค์พีระเสด็จไปแข่งรถที่อาร์เจนตินา ก็ได้พบชาลิต้า
หญิงสาวเลือดละติน ผู้สวยสดงดงามราวกับดาราหนัง
เมื่อทรงบาดเจ็บจากการแข่งรถ ก็มีหล่อนคอยปรนนิบัติดูแล



ในที่สุดก็ทรงพาชาลิต้ากลับมาอังกฤษด้วยกัน ประทับอยู่กับหล่อน
ไม่ได้กลับบ้านไปหาหม่อมซีริล หม่อมซีริลจึงตัดสินใจขอหย่าขาดจากพระองค์พีระตามกฎหมาย เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓
ทั้งที่ยังรัก พระองค์พีระเองก็ทั้งรักและอาลัยหม่อม
ทรงอ้อนวอนให้หม่อมเปลี่ยนใจไม่หย่า
แต่ก็ไม่ทรงคิดที่จะสละชาลิต้าไปได้อยู่ดี
ทั้งคู่จากกันด้วยน้ำตา เพราะรู้ตัวว่าสามารถครองคู่กันได้เพียงแค่นี้
เหลือแต่ความเป็นเพื่อนกันเท่านั้น



หม่อมซีริลไม่ได้แต่งงานใหม่ เธอมีเพื่อนใจเป็นหนุ่มโสดอายุ ๔๐ กว่า
คบหากันมาจนเขาตายจากไปโดยไม่ได้สมรสกัน
ส่วนทางฝ่ายพระองค์พีระ ทรงลังเลอยู่ถึง ๓ ปี
ถึงตัดสินพระทัยเสกสมรสใหม่กับหม่อมชาลิต้า
แต่ก็ยังระลึกถึงหม่อมซีริลเสมอ ทรงเป็นมิตรกับเพื่อนชาย
ของหม่อมซีริล แล้วพาชาลิต้าไปด้วยเพื่อให้รู้จักกับหม่อม
ไปไหนมาไหนกัน ๔ คนแต่หม่อมซีริลก็ไม่ได้กลับมาหาท่านอีก
คงพบปะกันอย่างเพื่อนสนิทเท่านั้น



ชีวิตในช่วงที่สอง เป็นช่วงโชคดีของพระองค์พีระอีกครั้ง
เพราะนอกจากจะมีหม่อมสาวสวยคนใหม่ที่รักกันดูดดื่มแล้ว
ก็ยังได้รับมรดกก้อนใหญ่จากการขายมรดกวังบูรพา
แบ่งกันในระหว่างเจ้าพี่เจ้าน้อง ทรงโอนเงินไปไว้ที่ปารีสทั้งหมด
เงินจำนวนนี้มากพอจะทำให้พระองค์พีระทรงซื้อรถยนต์บูอิค
เปิดประทุนสีฟ้าพีระ มีเรือยอชต์ใหม่
และปรับปรุงวิลลาที่เมืองคานส์
ประเทศฝรั่งเศสที่ทรงซื้อไว้แล้ว เพื่อดำเนินชีวิตอย่างเศรษฐี



การใช้ชีวิตในช่วงนี้หรูหรามาก เวลาขับบูอิคคันงามไปไหนมาไหน
ชาวปารีสมองกันจนเหลียวหลังสมกับเป็นคนดังระดับนานาชาติ
แต่ข้อเสียคือการใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี มีแต่รายจ่าย
เมื่ออยู่วิลล่าที่เมืองคานส์ ก็ต้องเปลืองเงินทั้งค่าภาษี
และค่าซ่อมแซมดูแลคฤหาสน์ด้วยราคาแพงลิบ
เมื่อโปรดขับรถเร็ว วันหนึ่งก็ทรงขับบูอิคไปชนกับรถอีกคัน
รถใหม่เอี่ยมพังยับเยิน ไม่มีประกันเสียด้วย
ต้องทรงจ่ายเงินอีกก้อนใหญ่ซ่อมรถกับจ่ายให้คู่กรณี






ในที่สุด ถึงปลายปีพ.ศ. ๒๔๙๗ ก็ทรงเห็นว่าพ้นยุคที่จะทรงแข่งรถ
อีกต่อไปแล้ว รถแข่งรุ่นใหม่ๆสมรรถภาพดีเกิดขึ้น
แซงหน้ารถที่ทรงขับไปได้ง่ายๆ ถ้าจะลงทุนซื้อรถใหม่
พร้อมการดูแลในการแข่งรถอีกก็เป็นเรื่องสิ้นเปลืองมหาศาล
ประกอบกับหม่อมชาลิต้ามีโอรส คือหม่อมราชวงศ์ พีรเดช
จึงตัดสินพระทัยแขวนนวมอำลาชีวิตนักแข่ง
พาครอบครัวกลับมาตั้งรกรากในเมืองไทยใน พ.ศ. ๒๔๙๙
ทรงจบบทบาทของเจ้าดาราทองที่โด่งดังไปทั่วยุโรปและอเมริกา
เมื่อพระชนม์ได้ ๔๒ พรรษา



ถ้าหากว่าชีวิตของพระองค์พีระเป็นนิยาย ฉากสุดท้าย
ก็คงเป็นตอนที่ทรงอำลาชีวิตนักแข่งรถ
แล้วเสด็จกลับบ้านเกิดเมืองนอนพร้อมครอบครัวที่สมบูรณ์แบบครบถ้วนพ่อ แม่และลูกชายวัยน่ารัก จบลงอย่างมีความสุขทั้งคนดูและผู้ประพันธ์เรื่อง

ในเมื่อเป็นชีวิตจริง เรื่องยังไม่จบแค่นั้น
ยังมีความยุ่งยากตามมาอีกมากมาย เริ่มต้นด้วย
หม่อมชาลิต้าไม่มีความสุขที่อยู่ในประเทศไทย
เธอทนอยู่ได้แค่ ๑๑ วันก็บินกลับไปฝรั่งเศส อีก ๗ เดือนต่อมา
พระองค์พีระก็ทรงบินไปหย่าขาดจากหม่อมคนที่สอง
โดยตกลงกันว่าคุณชายพีรเดชจะอยู่ในความปกครองของมารดาจนอายุ ๒๑ ปี



ก่อนหน้านี้พระองค์พีระเคยพบปะแอร์โฮสเตสสาวสวยคนไทยคนหนึ่งแล้ว ทรงพอพระทัยมากถึงกับเคยเชิญเธอไปเป็นแขก
ณ วิลล่าที่เมืองคานส์ ทำให้หม่อมชาลิต้าหึงหวงอยู่พักใหญ่
แต่ก็จบลงด้วยการที่ทรงคืนดีกับหม่อมแล้วใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันต่อมา หญิงสาวสวยชาวไทยคนนี้ ก็คือคุณสาลิกา กะลันตานนท์








คุณสาลิกาคือหม่อมคนที่สามของพระองค์พีระ
ทรงสมรสด้วยเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๐ ส่วนเรื่องงาน
ก็ทรงเริ่มชีวิตนักธุรกิจ ตั้งบริษัท Bira Sport
เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ nectar จากเยอรมัน

วงล้อแห่งโชคชะตาได้หมุนพาพระองค์พีระขึ้นสู่จุดสูงสุด
ตั้งแต่พระชนม์ยี่สิบเศษๆ มาแล้ว แล้วหยุดนิ่งอยู่ตรงจุดสูงสุด
จนถึงพระชนม์สี่สิบเศษ หลังจากนั้นวงล้อก็เริ่มหมุนลง



เริ่มต้นด้วยธุรกิจรถยนต์สั่งจากเยอรมัน ต้องล้มเลิกไป
พระองค์พีระเป็นนักกีฬาระดับอัจฉริยะก็จริง
แต่ไม่ทรงมีหัวทางธุรกิจ เพียงสามปีก็ทรงจำต้องเลิกกิจการ
แล้วตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Bira Commmerce Co. แทน
ต่อมาทรงดำริจะตั้งบริษัทเกี่ยวกับการบินชื่อ Bira Air Transport
เพื่อขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างไทยกับลอนดอน
แต่ธุรกิจนี้ก็ไปไม่รอดอีก

หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงในพ.ศ. ๒๔๘๘
ประเทศไทยได้มหามิตรรายใหม่คือสหรัฐอเมริกา
วัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบอเมริกันหลั่งไหลเข้ามาแทนที่วัฒนธรรมยุโรป
ที่เคยรับมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ รถยนต์อังกฤษ ฝรั่งเศส
และเยอรมันที่คนไทยเคยชอบก็ถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ
ของอเมริกาแทนรถอเมริกันอย่างไครสเลอร์ คาดิลแลค
โอลสโมบิล พลีมัธ วิ่งกันหนาตาในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๑๐
กิจการบริษัทของพระองค์พีระก็ต้องปิดลงอีกครั้ง



เรื่องที่สองคือผู้เป็นที่รักยิ่งของท่าน จากไปทั้งสองคนในปีเดียวกัน
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็ง
เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๖ ส่วนหม่อมสาลิกาผู้ครองรักกันอย่างเป็นสุขมา ๖ ปี
ก็จำใจทูลลาหย่าขาดจากท่าน จากกันด้วยน้ำตาเช่นเดียวกับหม่อมซีริล






ความสูญเสียของพระองค์พีระไม่ได้จบลงแค่นี้ ๘ ปีต่อมา
หม่อมราชวงศ์ พีรเดช ผู้กำลังเป็นหนุ่มวัยรุ่น
น่าจะมีอนาคตอีกไกล กลับเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับ
อย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเด็กหนุ่มวัยนี้

หลังพ.ศ.๒๕๐๖ เมื่อหม่อมสาลิกาแยกทางไปแล้ว
ชีวิตหลังจากนั้นค่อนข้างคลุมเครือสำหรับผู้สนใจศึกษาชีวประวัติ
ทราบแต่ว่า พระองค์เจ้าพีระทรงมีหม่อมอีก ๒ คน
ที่ไม่ปรากฏชื่อในสังคม และหนึ่งในจำนวนนี้มีโอรส(หรือธิดา)ด้วยกัน
แต่ไม่มีรายละเอียดให้ทราบมากกว่านั้น

ที่รู้คือในพ.ศ. ๒๕๑๔ เสด็จไปยุโรปอีกครั้ง
เพื่อเตรียมแข่งขันเรือใบสำหรับกีฬาโอลิมปิคที่เยอรมนี
แล้วแวะเยี่ยมหม่อมซีริลที่อิตาลี ต่อจากนั้น
ข่าวคราวของพระองค์พีระหายเงียบไปจากสังคม
อาจจะมีแต่พระญาติสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าทรงอยู่ที่ไหนอย่างไร

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังสงครามโลก เป็นหนุ่มสาวในทศวรรษ ๑๙๖๐ เกือบทั้งหมดไม่รู้จักพระนามเจ้าดาราทองอีกแล้ว
สังคมไทยเปลี่ยนโฉมหน้าไปมากมาย ความสนใจของหนุ่มสาว
มุ่งไปที่เสียงเพลงมากกว่ากีฬา หรือถ้ามีการแข่งขันกีฬาใหญ่โต
อย่างเอเชียนเกมส์ ความสนใจก็พุ่งไปที่กีฬาฟุตบอล วิ่ง ว่ายน้ำ
เสียมากกว่า



เวลาผ่านไปจนถึงทศวรรษ ๑๙๗๐ ความโอ่อ่ารุ่งเรืองในอดีตกลายเป็นเรื่องที่ถูกเก็บลง...ดาวรับไม่ได้...บ หมดสิ้นไปกับกาลเวลา พระองค์พีระมีพระชนม์หกสิบเศษ อาจจะเสด็จปะปนไปกับฝูงชนริมถนนในกรุงเทพมหานครโดยไม่มีใครรู้จักว่าชายชราผู้นี้คือใคร ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ เท่าที่ทราบคือทรงดำเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ฐานะความเป็นอยู่ก็ไม่อำนวยให้ทรงอยู่ได้อย่างชั้นหนึ่งเหมือนเมื่อก่อนอีก

เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๖ เสด็จกลับไปอังกฤษอีกครั้ง เก็บพระองค์อย่างชายชราที่ไม่มีใครรู้จัก ทรงแวะเยี่ยมหม่อมซีริลเป็นครั้งสุดท้าย

สองวันก่อนคริสต์มาส ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้คนในลอนดอนกำลังชุลมุนวุ่นวายจับจ่ายซื้อข้าวของต้อนรับเทศกาลสำคัญที่สุดของชาวคริสต์ ชายชราคนหนึ่งล้มลงที่สถานีรถไฟบารอนส์คอร์ต สิ้นลมหายใจก่อนแก้ไขทัน

ไม่มีใครทราบว่าชายชาวเอเชียคนนี้เป็นใคร ไม่มีหลักฐานชื่อที่อยู่ในตัวเขา นอกจากจดหมายเขียนเป็นภาษาที่ตำรวจอ่านไม่ออก สก๊อตแลนด์ยาร์ดส่งจดหมายไปสอบถามผู้เชียวชาญทางภาษาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน กินเวลาถึง ๗ วันก่อนจะรู้และแจ้งสถานเอกอัครราชทูตไทย ในลอนดอนว่า พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เจ้าดาราทองผู้โด่งดังที่สุดเมื่อ ๕๐ ปีก่อนสิ้นพระชนม์เสียแล้ว พระชนม์ ๗๑ พรรษา

BBC ออกข่าวโทรทัศน์ทั่วประเทศทั้งเช้า กลางวัน เย็น ถือเป็นข่าวใหญ่ ITV ออกข่าวไปทั่วโลก

ข่าวสิ้นพระชนม์ลงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับ รวมทั้งนสพ.อังกฤษและประเทศอื่นๆที่เคยทรงทำชื่อเสียงไว้

สถานทูตจัดพิธีสวดพระอภิธรรมถวายอย่างสมพระเกียรติ บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในอังกฤษได้รับแจ้งข่าวนี้ทั้งหมด เมื่อพระศพถูกเคลื่อนย้ายไปที่สุสานเพื่อถวายพระเพลิง นักแข่งรถดังๆสมัยเดียวกันรวมตัวกันทั่วยุโรป บินมาร่วมแสดงความคารวะ หม่อมราชวงศ์ นริศรา จักรพงษ์ ธิดาในพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เป็นผู้อัญเชิญธูปเทียนพระราชทานมาร่วมงาน ข้าราชการไทยในสถานทูตไปร่วมงานกันทั้งหมด

หม่อมราชวงศ์ มาลินี จักรพันธุ์ ผู้รวบรวมประวัติของท่าน ส่งท้ายไว้อย่างงดงามว่า

“ ดวงพระวิญญาณลอยละล่องขึ้นสู่สรวงสวรรค์ พระองค์สิ้นพระชนม์อย่างโดดเดี่ยว เพียงแค่จดหมายภาษาไทยหนึ่งฉบับที่ทรงทิ้งไว้เพื่อส่งท้ายให้ได้ทราบว่าพระองค์คือใคร

เทพส่งพระองค์ท่านลงมาจุติอย่างงามสง่า พระนามขจรขจายก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไปทั่วโลก และเทพได้นำพระองค์ท่าน “ เจ้าดาราทอง” เสด็จกลับขึ้นไปอย่างเดียวดาย เหมือนสวรรค์แกล้งให้โลกลืม”


ที่มาจาก //www.rubsub.com/forums/index.php?topic=4167.0




 

Create Date : 18 ธันวาคม 2553
4 comments
Last Update : 19 ธันวาคม 2553 17:05:22 น.
Counter : 16123 Pageviews.

 

 

โดย: หน่อยอิง 18 ธันวาคม 2553 16:34:20 น.  

 

ชีวิตของคน มีขึ้นๆลงๆอยู่เรื่อย

 

โดย: K_chang 18 ธันวาคม 2553 22:41:36 น.  

 

คุณ หน่อยอิง : สวัสดีค่ะ


คุณ K_chang : ใช่ค่ะ ชีวิตคือความไม่แน่นอน : )

 

โดย: อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์ 22 ธันวาคม 2553 20:10:37 น.  

 

ชีวิตคนเรามันน่าอนิจจัง

 

โดย: K.มาริสา :ยินดีที่ได้รู้จัก IP: 203.154.19.114 27 กรกฎาคม 2554 15:37:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




การเป็นผู้ให้ ย่อมสุขใจกว่าการเป็นผู้รับ : )
Friends' blogs
[Add อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.