The Spirit Of Aladonn
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
3 เมษายน 2554

ทริปมันส์ๆ กะวันหฤโหด ภาค 2

ความเดิมตอนที่แล้ว

วันก่อนผมได้เล่าให้ฟังถึงภารกิจที่ต้องไปมาเลเซีย หารถเช่าบนเกาะปีนัง มุ่งหน้าลงใต้สู่ยะโฮร์แต่ต้องแวะมะละกากลางดึก รุ่งเช้าระหว่างทางมะละกากับยะโฮร์บารูรอดจากการถูกดักจับความเร็วเนื่องจากข้างหน้ามีเหตุการณ์ชุลมุน คืนแรกในยะโฮร์บารูผมนอนในห้องพักอีหม่ามที่สุเหร่าแห่งหนึ่ง เช้าวันต่อมาหลังได้รับทราบข้อมูลจากชายคนหนึ่งที่ด่านศุลกากรท่าเรือยะโฮร์ ผมจึงขึ้นเหนือเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมือง Batu Pahat และระหว่างทางถูกตำรวจจับเนื่องจากลืมคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้อรอดมาได้หวุดหวิดตามลิงก์นี้

เมื่อผมถึงเมือง Batu Pahat เป็นเมืองใหญ่พอสมควรผมถึงที่นี่เวลาบ่ายโมงผมตะเวนหาป้ายด่านศุลกากรซึ่งคิดว่ามันต้องเป็นท่าเรือ และก็เจอใช่ครับมันเป็นท่าเรือผมจอดรถที่พาหนีออกมาจากเกาะปีนังจอดไว้ห่างจากท่าเรือราว 800 เมตรแล้วเดินเข้าไปอีกแล้วครับที่นั่นผมไม่เจอสิ่งของที่ต้องการหาเจอผู้ชายคนนึงยืนอยู่จึงเข้าไปถามเขา คำตอบเดียวของเขาตอนนั้นบอกว่าผมกำลังจะทำผิดกฎหมายมาเลเซีย แล้วเรียกผมเข้าไปคุยในห้องครับเขาเป็นนายด่านศุลกากร เขาไม่ได้ต้องการให้ผมหยุดความคิดดังกล่าว แต่เขากำลังแนะนำให้ผมไปติดต่อกลับเพื่อนของเขาซึ่งพร้อมจะจ่ายใต้โต๊ะให้เขา ผมจึงเดินหน้าไปหาเอเย่นต์ที่เขาบอก แต่ไม่เจอ แต่สิ่งที่ผมเจอคือท่าเรืออีก 2 แห่งที่ติดกันตรงนั้นผมสามารถปฏิบัติภารกิจแรกของผมสำเร็จ

ผมรีบโทรหาเจ้านายผม ครับกันเหนียวผมต้องปฏิบัติภารกิจแรกซ้ำอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นโดยที่คืนนั้นผมได้เข้าพักในโรงแรมแห่งในเมือง Batu Pahat ตื่นเช้าผมมาที่รถมีกระดาษใบหนึ่งเสียบอยู่ที่หน้ากระจก ผมอ่านแล้วไม่เข้าใจว่า "ให้ไปจ่ายเงินค่าที่จอดรถชั่วโมงละ 6 บาท" ครับเมื่อผมไม่เข้าใจผมจึงพามันกลับมาที่บ้านด้วยทุกวันนี้ยังอยู่ที่บ้านผม ผมกลับไปที่ Benut อีกครั้งเพื่อไปพบกับ partner ที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้และได้ละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดแห่งหนึ่งใน Benut ก่อนที่ผมจะแวะที่ Rengit เพื่อเจรจากับ partner อีกเจ้า แล้วผมตัดสินใจกลับไปที่เมือง Batu Pahat เพื่อพักที่นั่นอีกคืน ดูเหมือนคืนนี้จะไม่มีกระดาษมาเสียบที่กระจก

วันรุ่งขึ้นผมไปยังชานเมือง Batu Pahat เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ 2 และกว่าผมจะสำเร็จก้อร่วมครึ่งวันจากนั้นผมขึ้นเหนือเพื่อไปยังมหานคร Kuala Lampur เมืองหลวงของมาเลเซียเพื่อไปพบญาติด้วยความคิดถึง ราว 6 โมงครึ่งผมโทรศัพท์หาญาติให้มารับที่ปั๊ม Petronas ข้างๆ ห้างแห่งหนึ่งเนื่องจากผมหลงทาง อิอิ

ที่จริงแล้วทางในมาเลเซียบอกได้เลยว่าขับรถง่ายมาก หลงทางยากมากๆ เพราะคนที่นั่นขับรถเลนเดียวเลนใครเลนมัน เช่นถ้าจะไปย่านไหน ป้ายจะบอกให้เข้าเลนไหนก็ขับเลนนั้นไปตลอดสายสมมุติว่าผมมาจากสวนรังสิตจะไปสามย่าน ต้องดูว่าอนุสาวรีย์เข้าเลนไหนก็ขับเลนนั้นห้ามเปลี่ยนเลนเพราะเค้าเผื่อไว้ให้ชาวบ้านได้ใช้บ้างทั้งทางร่วมทางแยก เมื่อถึงอนุสาวรีย์ก็จะเจอป่ายสามย่านจึงเปลี่ยนเลน แล้ววิ่งไปเส้นสามย่าน น้อยครั้งที่จะได้ยินเสียงแตรแม้ในเวลากลางวันยิ่งกลางคืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ผมก็สามารถทำให้คนที่นั้นบีบแตรได้ตลอด :p และสาเหตุที่ผมหลงทางก้อไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ก้ออาหมวยที่เดินไปเดินมาแถวๆ นั้นแหละทำให้ผมลืมดูป้าย หรือไม่ก้อดูป้ายไม่ทัน

เมื่อญาติมารับผม โอ้โห!!! มากันทั้งบ้านหรือนี่แต่งตัวสวยๆ ด้วย ถามได้ความว่ากำลังจะไปงานแต่ง บ๊ะมางวดนี้ได้ไปดูงานแต่งด้วย เมื่อไปถึงงานแต่งปรากฎว่าเจ้าบ่าว เจ้าสาว ยืนรอถ่ายรูปกะแขก(และจีน) อยู่หน้างาน อืมม์ ไม่ต่างกันเนอะเมื่อถ่ายรูปเสร็จก้อเข้าไปในงาน รอจนกระทั่งแขกคนสุดท้ายเข้ามาในงาน(ไม่รู้ว่าถ้าแขกมาไม่ครบจะเริ่มงานได้ป่าว) แล้วพิธีกรก็บอกให้ทุกคนนั่งประจำที่ ก่อนจะให้ลุกขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่คู่บ่าวสาว แล้วคู่บ่าวสาวก็เข้ามาโดยมีเด็กสองคนเดิมตามหลังถือปลายกระโปรง แต่ทว่าระหว่างทางเจ้าสาวเดินเข้ามาในงานกลับเหวี่ยงข้อมือแล้วโห่ร้อง "วู้" ประมาณว่า "กูไม่ขึ้นคานแล้วโว้ย" แล้วก็ขึ้นเวที แล้วก็เป็นพิธีบนเวทีอันประกอบด้วยเปิดแชมเปญ ตัดเค้กจากนั้นกล่าวอะไรนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ถึงพิธีสำคัญของงานเลี้ยงคือ "การกิน" และดูเหมือนคู่บ่าวสาวเองก็ให้ความสำคัญกับพิธีการสำคัญนี้มากกว่าใครอื่น เพราะที่โต๊ะของเจ้าบ่าว-เจ้าสาวมีอาหารเต็มโต๊ะและครบทุกอย่าง ในขณะที่แขก(และจีน)ผู้มีเกียรติอาหารจะมาทีละอย่าง ใช่ครับทุกคนเริ่มกินพร้อมกัน เมื่อคู่บ่าวสาวอิ่มแล้วจึงเริ่มเดินถ่ายรูปตามโต๊ะอาหารที่ดูแล้วมีอยู่ไม่น่าจะเกิน 20 โต๊ะ มาพิจารณาด้านโต๊ะของแขก(และจีน)ผู้มีเกียรติ เมื่ออาหารอย่างแรกหมดหรือไม่กินแล้วบริกรจะมาเก็บออกไป หลังจากพิจารณาเป็นอย่างดีทำให้ผมสรุปได้ว่า ช่างกลปทุมวันก็สามารถทำงานนี้ได้ หากอ่านแล้วไม่เข้าใจขอขยายความว่าเด็กการโรงแรมของมาเลย์กับเด็กช่างกลบ้านเราสามารถให้บริการแขกได้ดีพอๆ กัน ผมยังกลัวจานแตกอยู่เลย นอกจากนี้ยังมีการเทอาหารที่เหลือไปรวมกันบนโต๊ะอาหาร ซึ่งต่างกันมากกับบ้านเราที่การกระทำอย่างนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าเกลียดบริกรจะยกเข้าไปในครัวก่อนเพื่อไม่ให้แขกได้เห็นเศษอาหารที่ปนๆ กัน ก่อนที่จะมีอาหารชุดใหม่มาวาง การชนแขกของบริกรเป็นเรื่องปกติ และเรื่องทั้งหมดที่ผมว่าไม่สมควรนั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีใครว่าอะไรสักคนรวมทั้งกัปตัน

นาฬิกาบอกเวลา 5 ทุ่มครึ่งตามเวลาท้องถิ่นเราทั้งหมดตัดสินใจกลับบ้านซึ่งต้องแวะไปถึงปั๊ม Petronas เพื่อไปเอารถที่ผมจอดไว้ก่อนจึงเข้าบ้านในเวลาเที่ยงคืนครึ่งผมรีบอาบน้ำและเข้านอนเพราะต้องรีบตื่นในตอนเช้า

ตี 5 ผมตื่นมาอาบน้ำก่อนปฏิบัติศาสนกิจก่อนปลุกญาติเพื่อลาก่อน ญาติถามว่าทำไมรีบนักคำตอบของผมคือกลัวกลับหาดใหญ่ไม่ทัน เพราะต้องถึงปีนังก่อนเที่ยง ผมขับรถออกมาโดยไม่กลัวหลง อย่างที่บอกว่าในมาเลย์ขับง่าย(ถ้าไม่ชำเลืองอาหมวยข้างทาง) ผมขับรถออกจากนครหลวงแห่งนี้ในเวลา 6 โมงครึ่งในเวลาท้องถิ่นผ่านเมือง Ipoh ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงร่วม 250-300 กม. จนกระทั่งน้องรถวัย teenage ขนาดกระบอกสูบ 696 cc เริ่มงอแง คือเร่งเครื่องไม่ขึ้นเลย ผมจึงจำเป็นต้องพักเครื่องที่เมือง Perak ประมาณ 1 ชั่วโมง (Cool down 20-30 นาที ดับเครื่อง 30-40 นาที) คราวนี้วิ่งตรงไปเมือง Komtar ที่ปีนังรวดเดียวแวะเติมน้ำมันเพียง 2 ครั้งเท่านั้นเพราะเติมครั้งเดียวไม่ได้ถังน้ำมันเล็ก 11 นาฬิกา ผมข้าม Penang bridge เป็นที่เรียบร้อยคราวนี้หาเมือง Komtar แต่ทว่าจุดที่ผมต้องขึ้นรถมันไม่ใช่ Komtar อ่ะดิ๊ คราวนี้ผมจึงต้องเอานามบัตรเถ้าแก่ร้านหนึ่งให้ดูว่าไอ้ร้านนี้มันอยู่ไหน อืมม์ 12:30 น. ผมมาถึงร้านขายตั๋วแต่ทว่าสายไปเสียแล้ว รถออก 12:00 น. จะออกอีกที 16:00 น. ผมเรียกเจ้าของรถมารับรถคืนพร้อมกับจ่ายค่าเช่าเพิ่มอีก 2 วัน ผมนั่งเครียดอยู่ในร้านเนื่องจากต้องเช็คอินขึ้นเครื่องในเวลา 1 ทุ่ม ผมเริ่มคุยกับเจ้านายว่าอาจจะต้องนอนที่หาดใหญ่ แต่ผมก้อไม่ลืมที่จะบอกว่าระยะเวลาจากหาดใหญ่ถึงปีนังใช้เวลา 2 ชั่วโมง ไม่รุ้ว่ารับคนใช้เวลาเท่าไหร่ และที่ด่านใช้เวลาเท่าไหร่ เพราะปกติแล้วมักจะเสียเวลาที่ด่านร่วม 1 ชั่วโมง และจากตัวเมืองหาดใหญ่ไปสนามบินเร็วที่สุดคือ 20 นาที เครื่องขึ้น 2 ทุ่ม 40 อาจจะทันหรือไม่ทันก็ได้ อืมม์ เจ้านายผมบอกว่า "เห้ย!! ทันอยู่แล้ว"

น่าจะเป็นโชคดีของผมน่ะที่ไม่ต้องรับคนทั่วปีนัง แค่ 2 ที่ก็ทำให้ผมลุ้นจนไส้กิ่ว โชคดีครั้งที่ 2 ที่คนขับรถขับที่ความเร็ว 130 km/h ทั้งๆ ที่จำกัดความเร็วบนทางด่วนแค่ 110 km/h แต่กลับไม่โดนซิว โชคดีครั้งที่ 3 คือที่ด่านมีคนน้อยมากเวลาที่มักใช้ไปร่วม 1 ชั่วโมงกลับใช้ไปแค่ 20 นาที เมื่อรถกำลังจะเข้าเมืองหาดใหญ่ผมบอกคนขับรถว่า "ขนส่งด้วยครับ" หมายถึงสถานีขนส่งหน่ะครับ ประมาณ 8-10 นาทีต่อมาผมลงจากรถที่สถานีขนส่งถามหารถที่จะไปสนามบินจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างเนื่องจากรถสนามบินต้องรออีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า "มอ'ไซค์ พี่ 300 เอง" ครับ ผมจำเป็นต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อให้ทันเช็คอินก่อนที่นั่งจะเต็มเนื่องจากมีการเลื่อนตั๋วตอนที่อยู่มาเลเซีย แต่ไม่อยากบอกหมายเลข CVV ไปจึงทำให้ผมต้องรีบเป็นพิเศษและผมก็ไม่พลาด TG238 ที่ต้องขึ้นเครื่องบินเวลา 1 ทุ่ม 55 และผมก็มาถึงทันเวลาพอดี ทำให้ผมกลับมาถึงที่พักย่านพระราม 1 เวลา 4 ทุ่มเศษ เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจของผมก่อนที่จะเข้างานในวันรุ่งขึ้น


Create Date : 03 เมษายน 2554
Last Update : 3 เมษายน 2554 18:21:48 น. 1 comments
Counter : 625 Pageviews.  

 
การเดินทางคนเดียว หากไม่มีอุปสรรค มันก้อสนุกไปอีกแบบ แต่ถ้ามี...มองหาใครไม่เจอนี่...แทบอยากจะร้องไห้ 555


โดย: ผู้หญิงราศีพิจิก วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:19:23:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aladonn
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Aladonn's blog to your web]