|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
บทที่ 14 ข่ายการสื่อสารในองค์การ
การสื่อสาร: เป็นเครื่องมือของการบริหารงานในองค์การ ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำหน้าที่ที่สำคัญ ดังนี้ 1.ใช้ในการออกคำสั่งในฐานะผู้บังคับบัญชา เพื่อให้งานเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด 2. ใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพื่อการประสานงานต่างๆระหว่างบุคคลและระหว่างงานที่ทำ 3. ใช้ในการแก้ปัญหาและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมขององค์การ
***การใช้การสื่อสารในการออกคำสั่ง
หน้าที่การออกคำสั่ง เพื่อกำหนดรูปแบบของการทำงาน การประสานงานและการร่วมมือเพื่อความสำเร็จขององค์การ โดยมีรูปแบบดังนี้
*การสั่งการ หมายถึง การชักนำ และการใช้อิทธิพลให้ผู้ปฏิบัติงานกระทำตามที่องค์การต้องการ *การติดตามงาน เพื่อให้รู้ว่าผลงานที่ขึ้นจริงตรงกับแผนงานหรือตามที่สั่งการหรือไม่ เพียงใด
1. การออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หนังสือเวียน ประกาศ เอกสารเฉพาะเรื่อง - ไม่เฉพาะเจาะจง หรือไม่ระบุผู้รับคำสั่ง ทุกคนต้องปฏิบัติตาม เช่น นโยบาย กฏหมายที่เกี่ยวข้อง - คำสั่งที่เป็นทางการ เป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจง - คำสั่งถาวรทุกคนต้องปฏิบัติ เช่น หนังสือคู่มือ ระเบียบปฏิบัติ กระบวนการทำงาน 2. การออกคำสั่งด้วยวาจา - เป็นการสั่งงานต่อหน้าผู้รับคำสั่ง - เป็นคำสั่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามสถานการณ์ - เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง - ใช้กับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย
**การใช้การสื่อสารในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
*โดยยึดความสัมพันธ์ของงานเป็นหลัก เช่น - แก้ไขปัญหา การตัดสินใจ การตกลงร่วมกัน - การแลกเปลี่ยนข้อมูล - ขจัดความขัดแย้ง - เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคน - รักษาความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน
*การใช้การสื่อสารในการแก้ปัญหาและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น
การตัดสินใจในการแก้ปัญหา มีปัจจัย ดังนี้ การตัดสินใจโดยยึดถือตนเอง การตัดสินใจโดยยึดถือประโยชน์ขององค์การ
***การสื่อสารในแนวดิ่ง(Downward communication) หมายถึง ข้อมูลที่ส่งจากบุคคลที่มีตำแหน่งสูงกว่า ไปยังบุคคลที่มีตำแหน่งต่ำกว่า
ประเภทของข้อมูล
1. วิธีการทำงาน :ผู้ปฏิบัติงานเข้าใจว่าจะต้องทำงานอะไร ทำอย่างไร 2. เหตุผลในการทำงาน :ตระหนักถึงความสำคัญของงาน โดยเกี่ยวข้องกับงานอื่น ตำแหน่งอื่นอย่างไร ทำไมต้องทำ 3. นโยบายและแนวปฏิบัติ :กฏเกณฑ์ ระเบียบวินัยในการทำงาน ข้อกฎหมาย แนวปฏิบัติ เช่นเวลาการทำงาน อัตราจ้าง เงินเดือน การลา 4. การประเมินพนักงาน :ผลการปฏิบัติงาน การปรับปรุง และการพัฒนาบุคลากร 5. การก่อให้เกิดจิตสำนึกในองค์การ :การสร้างความจงรักภักดี ชี้แจงภารกิจ วัตถุประสงค์ขององค์การ
สถานการณ์ ข้อมูล ประสิทธิภาพสูงสุด-ด้วยวาจา แล้วตามด้วยหนังสือ
- ต้องการให้พนักงานปฏิบัติตามคำสั่งทันที - เป็นคำสั่งขององค์การ - การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญ - ความก้าวหน้าของงาน - การรณรงค์ให้รักษาความปลอดภัย - ข้อเสนอแนะให้พนักงานทำงานให้ดีขึ้น
ประสิทธิภาพสูงสุด-หนังสือ - ให้พนักงานปฏิบัติตามคำสั่งในอนาคต - คำสั่ง หรือประกาศเรื่องทั่วไป
ประสิทธิภาพสูงสุด-วาจา - การตำหนิพนักงานที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ - การบอกต่อให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงาน
**การสื่อสารในแนวดิ่ง(Downward communication)
มาตรการในการเลือกวิธีการส่งข้อมูล จากผู้บริหารไปยังผู้ปฏิบัติ 1.วิธีที่มีใช้อยู่แล้ว : เลือกวิธีที่มีใช้อยู่แล้วก่อน 2. ค่าใช้จ่าย : เลือกวิธีที่ประหยัดที่สุด 3. ผลที่เกิดขึ้น : ให้ผู้รับสารเกิดความประทับใจ 4. ความสัมพันธ์กับเนื้อหา : ตรงประเด็น 5. การตอบสนอง : ถ้าต้องการให้ซักถามควรใช้วิธีด้วยวาจา /ถ้าให้ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น ควรใช้วิธีลายลักษณ์อักษร 6. ความชำนาญ : เข้าใจในเรื่องที่สื่อสาร การใช้คำศัพท์ที่เหมาะสม
ปัญหา และอุปสรรค 1. ถ้าใช้การสื่อสารด้วยหนังสือมากเกินไป จะเกิดความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน ขาดความเป็นกันเอง 2. พนักงานได้รับข้อมูลมากเกินไป เกิดปัญหาในการจดจำ เกิดความเบื่อหน่าย ทำให้ไม่เห็นความสำคัญ 3. ระยะเวลาในการส่งข้อมูลไม่เหมาะสม เช่น ออกคำสั่งตอนบ่ายวันศุกร์ สำหรับงานที่จะทำในวันจันทร์ 4. ข้อมูลผิดพลาด เกิดจากการที่ต้องผ่านความเห็นหลายระดับ การแก้ไขสอดแทรกทำให้ข้อมูลผิดไปจากเดิม เกิดความสับสน
**การสื่อสารในแนวตั้ง(Upward communication) หมายถึง ข้อมูลที่ส่งจากบุคคลที่มีตำแหน่งต่ำกว่าไปยังบุคคลที่มีตำแหน่งสูงกว่า
ข้อมูลของการสื่อสารในแนวตั้ง 1. การแจ้งสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินการ เช่น ความสำเร็จ ความก้าวของงาน หรือแผนการปฎิบัติงานในอนาคต 2. คำอธิบายถึงปัญหาในการทำงาน ที่ไม่อาจแก้ไขได้ 3. การเสนอแนะความเห็นและข้อคิดเพื่อปรับปรุงหน่วยงานให้ดีขึ้น 4. การเปิดเผยความคิดและความรู้สึกในเรื่องงาน เพื่อนร่วมงาน และองค์การ
หลักการสื่อสารในแนวตั้ง 1. กำหนดแผนงานของการสื่อสารไว้ล่วงหน้า 2. ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง 3. กำหนดช่องทางการสื่อสารไว้ให้แน่นอน 4. ยอมรับความคิดเห็น 5. รับฟังข้อมูลอย่างมีเป้าหมาย 6. ดำเนินการทันทีที่ได้รับข้อมูล 7. ปรับปรุงส่งเสริมให้มีการส่งข้อมูลตลอดเวลา
ผลดีของการสื่อสารในแนวตั้ง 1. ช่วยให้ผู้บริหารนำไปใช้ในการตัดสินใจ 2. รู้ถึงทัศนคติ แนวคิด หรือพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชา 3. สนับสนุนให้ผู้บริหารรู้ปัญหาที่แท้จริงจากผู้ปฏิบัติ 4. ปลูกฝังให้เกิดความจงรักภักดี 5. ทำให้ทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจความหมายในคำสั่ง หรือนโยบายหรือไม่ เพียงใด 6. ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานเผชิญกับปัญหา และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมั่นใจ
ผลเสียของการสื่อสารในแนวตั้ง 1. พนักงานมีแนวโน้มที่จะปิดบังซ่อนเร้น ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าพูดความจริงอาจถูกเพ่งเล็งจากผู้บริหาร หรือเพื่อนร่วมงาน 2. พนักงานรู้สึกว่าผู้บริหารไม่เข้าใจปัญหา และไม่ใส่ใจ ถ้าปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนอง 3. การขาดสิ่งกระตุ้นจูงใจ จึงไม่รู้สึกกระตือรือร้นที่จะส่งข้อมูลให้ผู้บริหาร 4. พนักงานมีความรู้สึกว่า เข้ากับผู้บริหารไม่ได้ เนื่องด้วยระดับฐานะ ตำแหน่ง หน้าที่ที่แตกต่างกัน
ข้อมูลที่ได้จากการสื่อสารในแนวตั้ง คุณค่าของการสื่อสารในแนวตั้งที่สำคัญก็คือ ควรนำเอาข้อมูลไปใช้ตัดสินใจให้เกิดประโยชน์ในการบริหารขององค์การ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวคิด ทัษนคติ และความรู้สึกของผู้ปฏิบัติงาน
**ความรู้สึกของพนักงานที่มีต่องาน 1. ความพอใจ ที่มีต่อค่าจ้าง โดยเปรียบเทียบกับงานอื่นๆในองค์การ กับงานลักษณะอย่างเดียวกันในองค์การอื่น 2. ความรู้สึก ความเหมาะสมของเวลาทำงานในแต่ละกะ 3. ปริมาณงาน ที่ได้รับมอบหมาย เปรียบเทียบกับคนอื่น และงานอื่นๆในองค์การ 4. ความเหมาะสม ของสภาพและจำนวนเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน 5. มาตรฐาน ในการปฏิบัติงาน เป็นที่ยอมรับมากน้อยเพียงใด 6. หัวหน้า เอาใจใส่ดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้หรือไม่ 7. ความรู้สึกต่อนโยบายการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เป็นธรรมหรือไม่ 8. ความรู้สึกต่อการไล่/ให้พนักงานออก มีเหตุผลยุติธรรมเพียงใด 9. นโยบาย แผนงานและการปฏิบัติงานมีผลกระทบต่องานที่ทำอย่างไร 10. ผู้บังคับบัญชาเอาใจใส่ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาส่วนตัวของพนักงานมากน้อยเพียงใด
**ความรู้สึกของพนักงานที่มีต่อเพื่อนร่วมงาน 1. ประสิทธิภาพในการทำงานของคนรอบๆตัว 2. ความรู้สึกของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อพนักงานเป็นการส่วนตัว 3. ความรู้สึกของพนักงานที่มีต่อหัวหน้า 4. ความรู้สึกเกี่ยวกับการได้รับการอบรมพัฒนา 5. ผู้บริหารมีความรู้สึกถูกต่อต้านหรือไม่ 6. การร้องทุกข์ของพนักงาน ได้รับการแก้ไขทันทีหรือไม่ 7. พนักงานมีความรู้สึกว่าผู้บริหารเข้าใจปัญหาและความต้องการของบรรดาพนักงานมากน้อยเพียงใด 8. พนักงานสามารถเข้ากันได้กับเพื่อนร่วมงานเพียงใด
**ความรู้สึกของพนักงานที่มีต่อองค์การ 1. การกระทำขององค์การสอดคล้อง และเป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้? 2. สถานะทางการเงินมีความมั่นคง? 3. ผู้บริหารสามารถแข่งขันกับองค์การอื่น? 4. ชื่อเสียง ภาพลักษณ์? 5. ครอบครัวของพนักงานมีความคิดเห็นเกี่ยวกับงานและโอกาสก้าวหน้า? 6. ความรู้สึกของพนักงานที่เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆมีต่อผลกระทบต่อองค์การ 7. การจ่ายค่าตอบแทนคุ้มกับที่พนักงานอุทิศตนเองให้กับงาน? 8. พนักงานรู้และยอมรับแนวปฏิบัติของฝ่ายบุคคลเกี่ยวกับการลา และเรื่องอื่นๆมากน้อยเพียงไร 9. พนักงานมีความเห็นเกี่ยวกับโครงการด้านสุขภาพ ความปลอดภัย การประกัน และบำเหน็จบำนาญ เพียงพอและยุติธรรม? 10. อุปกรณ์ที่ใช้ทางด้านการศึกษาอบรมมีเพียงพอ? 11. พนักงานเข้าใจรายงานประจำปีขององค์การ? 12. ความรู้สึกเกี่ยวกับราคาและคุณภาพของอาหารที่ขายให้กับพนักงานมีความยุติธรรมและเหมาะสม?
**การสื่อสารในแนวนอน(Horizontal communication) หมายถึง การสื่อสารที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลที่มีตำแหน่งในระดับเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาคนเดียวกัน หน่วยงานเดียวกัน มีหน้าที่การงานลักษณะเดียวกัน
วัตถุประสงค์ของการสื่อสารในแนวนอน - เพื่อประสานงาน - เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล - เพื่อแก้ปัญหา - เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน - เพื่อขจัดข้อขัดแย้ง - เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
วิธีการสื่อสารในแนวนอน - การประชุมกรรมการ - แลกเปลี่ยนความเห็นกันระหว่างหยุดพักงาน - การคุยกันทางโทรศัพท์ - บันทึกข้อความ - กิจกรรมทางสังคม - วงจรการควบคุมคุณภาพงาน QC (Quality contral circle) กิจกรรมการปรับปรุงประสิทธิภาพของงาน ด้วยเทคนิค PDCA
ปัญหาและอุปสรรคของการสื่อสารในแนวนอน - การขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน : เนื่องจากเป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ เป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าขาดความไว้วางใจก็จะทำให้การสื่อสารไม่บรรลุวัตถุประสงค์ - ผลกระทบต่อการสื่อสารแนวตั้ง : การติดต่อระดับเดียวกันทำให้ละเลยการนำเสนอรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา - ก่อให้เกิดการแข่งขัน : ทำให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
**การสื่อสารในแนวไขว้(Cross-Channel communication) หมายถึง การสื่อสารที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามหน่วยงาน ข้ามหน้าที่กัน
เงื่อนไขการสื่อสารในแนวไขว้ - พนักงานจะต้องได้รับอนุมัติล่วงหน้าจากผู้บังคับบัญชาโดยตรง โดยควรระบุว่าเรื่องใดบ้างที่ทำได้ เรื่องใดที่เหมาะสม - พนักงานที่ติดต่อสื่อสารกันจะต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาโดยตรงทราบถึงผลที่เกิดขึ้นของการติดต่อสื่อสารดังกล่าว
หลักการสำหรับการติดต่อในแนวไขว้ - เนื่องจากเป็นงานที่ให้คำแนะนำ หรืองานช่วยเสริมประสิทธิภาพของผู้ปฏิบัติงาน ผู้ที่ติดต่อจะต้องมีความรู้ความชำนาญในการสื่อสาร มีศิลปะ และเลือกใช้ให้เหมาะสม - ผู้ที่ใช้การสื่อสารจะต้องให้ความสำคัญของการสื่อสารในแนวไขว้ ซึ่งได้แก่งานฝึกอบรม งานวิจัยและพัฒนา งานประชาสัมพันธ์ งานบุคคลและงานด้านกฏหมาย - ผู้บริหารระดับสูงจะต้องเห็นความสำคัญในบทบาทของพนักงานที่ทำงานให้ความช่วยเหลือ และยอมให้มีการสื่อสารได้
ปัญหาและอุปสรรคของการสื่อสารในแนวไขว้ - หน่วยงานต่างๆในองค์การมักจะไม่ให้ความร่วมมือ โดยคิดว่าเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ - มักเกิดการเข้าใจผิด เพราะคิดว่าหัวหน้างานหรือผู้บริหารระดับสูงเท่านั้นที่จะสั่งการข้ามหน่วยงานได้ - ปัญหาที่เกิดจากบุคลิกภาพส่วนตัวของผู้ติดต่อ ถ้าไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ก็อาจไม่ได้รับความร่วมมือ
**การสื่อสารส่วนตัว(Personal communication) การสื่อสารส่วนตัว /ข่าวลือ /เถาองุ่น หมายถึง การสื่อสารของบุคคลในองค์การติดต่อกันเองเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เป็นเรื่องงาน ไม่เป็นทางการ อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แก้ไขยาก มีทั้งการติดต่อในแนวดิ่ง แนวตั้ง แนวนอนและแนวไขว้ ซึ่งทำให้ข่าวสารกระจายไปทั่วทั้งองค์การ
ลักษณะการสื่อสารส่วนตัว 1. คำพูดปากต่อปาก 2. เกิดขึ้นโดยอิสระ ยากแก่การควบคุม 3. กระจายอย่างรวดเร็ว 4. มีลักษณะเป็นกลุ่มก้อน 5. ผู้มีส่วนร่วมในการส่งข่าวจะมีบทบาท ดังนี้ - ทำหน้าที่ส่งข่าวต่อไปให้ผู้อื่น - เมื่อได้รับข่าวจะเก็บเงียบไว้คนเดียว - ระงับข่าวนั้นเสีย 6. มักจะเกิดจากสถานการณ์ มากกว่าเกิดจากตัวบุคคล คือพอเกิดสถานการณ์อย่างหนึ่งขึ้นมา ข่าวลือก็เกิดขึ้น 7. ยิ่งคนรู้ข่าวเร็วเท่าไหร่ บุคคลนั้นก็จะยิ่งบอกข่าวให้คนอื่นรู้เร็วขึ้นเท่านั้น 8. ถ้าข่าวเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่สนใจ หรือผู้รับข่าวสนใจ บุคคลนั้นก็จะรีบบอกข่าวไปยังบุคคลอื่นเร็วขึ้น 9. การหมุนเวียนของข่าวมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลในกลุ่มมากกว่า 10. ส่วนใหญ่ของข่าวที่เกิดขึ้นมักจะเป็นความจริง ผิดพลาดน้อย แม้ในรายละเอียดจะผิดไปบ้าง 11. ข่าวที่เกิดมักจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อให้เกิดผิดพลาดในการแปลความหมาย 12. มีอิทธิพลกระทบต่อองค์การ ทั้งด้านดี และด้านร้าย องค์การต้องเห็นความสำคัญและควรใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การ
การควบคุมข่าวสารส่วนตัว 1. เมื่อเกิดข่าวสารใดๆจะต้องแจ้งข่าวนั้นให้บุคคลในองค์การรับรู้โดยใช้กระบวนการส่งข่าวสารที่มีอยู่ 2. การเสนอข่าวสารที่เป็นจริง ตรงไปตรงมาด้วยความจริงใจ จะขจัดข่าวลือได้ดีกว่า 3. สร้างความรู้สึกไม่ให้บุคคลเกิดการเบื่อหน่าย จำเจ ซ้ำซากจะป้องกันไม่ให้เกิดข่าวลือขึ้น 4. ผู้บริหารควรสร้างความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจให้กับพนักงาน โดยการเสนอข้อมูลข่าวสารให้ถูกต้องตลอดเวลา 5. อบรมพนักงานระดับผู้บังคับบัญชาให้รู้จักเทคนิคการสื่อสาร จิตวิทยาทางด้านการสร้างข่าวลือ 6. ตรวจสอบช่องทางการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์ เพราะอาจนำไปสู่พฤติกรรม หรือสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดข่าวลือ
Create Date : 20 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 15:53:51 น. |
|
1 comments
|
Counter : 22902 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Elbereth วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:18:46:26 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 93 คน [?]
|
วิทยากร, ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRM & HRD), การบริหารความเสี่ยงองค์กร, การจัดการมาตรฐานแรงงาน, กฎหมายแรงงาน,เขียนหนังสือและบทความ
|
|
|
|
|
|
|
|
ミ♡ ทักทายด้วยด้วยกลอนไพเราะ มีคติดีค่ะ ♡ミ