:: จากย่างกุ้ง สู่เมืองหงสาวดี ::

จากตอนที่แล้วเดินเจดีย์ชเวดากองเสร็จก็หิวแล้วค่ะ เราลงลิฟท์มาข้างล่าง 
ก็เรียก Taxi ไปที่ เรือการะเวก เป็นห้องอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ที่ทัวร์ชอบไปกัน
เราเลือกที่นี่เพราะ อยากไปถ่ายรูป แล้วก็รู้สึกว่าจะปลอดภัยสุด สำหรับอาหารในพม่านี้

เรียก Taxi ไปค่ะ แน่นอนว่า 2000 จั๊ด ราคาปกติ แต่คันนี้ คลาสสิคมากกกกกก (เก่ามาก)
พวงมาลัยซ้ายซะด้วย แต่ก็เหมาะกับถนนที่นี่ ที่วิ่งขวานะคะ
บ้านเมืองเค้า พวงมาลัยขวา วิ่งขวาอ่ะ จะเทพไปไหนเนี่ย ดูรถยากมาก




Taxi จอดหน้าประตูทางเข้าได้เท่านั้น เพราะถ้าเข้าไปจะต้องเสียค่าใช้จ่ายค่ะ
เราเดินเข้าไปเค้าขอเก็บเงิน ค่าผ่านประตู พอเราบอกว่าไปทานอาหารที่การะเวก
เค้าก็ให้ สติ๊กเกอร์อีกอัน พร้อมกับไม่เก็บเงินเราค่ะ
พอเดินมาเรื่อยๆ ก็เห็นว่ามันเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่โตมาก ที่แลดูเหมือนเป็น สวนสาธารณะ
มีมุมนึง ริมแม่น้ำ จะเห็นทั้งเรือ แล้วก็ เห็นเจดีย์ชเวดากองด้วยค่ะ สวยจัง 








โชคดีมากที่ ทั้งห้อง ที่นั่งเต็มหมด (เอ๊ะ โชคดียังไงหนอ?)
เค้าเลยพาเราไปนั่งที่ด้านหน้าโน่นเลย เหมือนเป็นโต๊ะเสริม ยังไงยังงั้น
เพราะว่าที่นี่ ส่วนใหญ่แล้ว จะมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ค่ะ คนไทยเต็มไปหมด
เรียกว่าเป็นจุดศูนย์รวม ทัวร์คนไทยเลยล่ะ เยอะมากกกกก
แล้วมีแค่เรา 2 คนด้วยค่ะ ที่นั่งโต๊ะเล็กๆ เหอๆ








อาหารส่วนใหญ่ ผิดหวังหน่อยๆ แต่ก็ถือว่าดีกว่าไปทานอะไรข้างนอก
มีเป็นข้าว แล้วก้กับข้าวหลายอย่าง ที่รสชาต พอกินได้ให้หายหิว
แต่ก็กินอะไรไม่ได้เยอะ เพราะ หิวจัด ก็เลยกินไม่ลง (เหรอ)
มีส้มตำด้วยนะคะ ก็ไม่ได้อร่อยมากมาย ออกแนวส้มตำในโรงแรม
แต่ที่อร่อยมากๆก็คือแตงโมค่ะ แตงโมชิ้นใหญ่ หวานเจี๊ยบบบบ
เค้าตัดเป็นที่ถือ ข้างนึง น่ารักเชียวว



แล้วสิ่งที่วาชอบที่สุดก็คือ ........ ขนมอันนี้ค่ะ มันชื่ออะไรเนี่ย
วาไปต่อคิวมาได้ 2 จานเองอ่ะ เค้านั่งทำสดๆเลย หวานหน่อยๆ
แป้งข้างนอกกรอบ อร่อยจังงงงงง 



บนเวที มีการแสดง สวยงามค่ะ มีเรื่อยๆ ไม่ว่าจะมีคนดูหรือไม่ก็ตาม 
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้องรำ ทำเพลงไป แต่มีชุดนี้ ที่ดูสวยงาม เพราะหลายคน
แล้วก็ เสื้อผ้า สีขาวออร่ามากๆ วาว่า ท่ารำเค้าออกแนว วันเดอร์เกิลมากๆอ่ะ
คือมีหลายท่านะคะที่เหมือน เอิ๊กกกก น่ารักดีค่ะ nobody nobody but you!!



แล้วก็ชุดนี้ คนอื่นกลับไปกันเกือบหมดละค่ะ เหมือนเป็นไฮไลท์เลย 
เพราะเป็นช้างตัวใหญ่มากๆๆ แล้วก็มีคนอยู่ในนั้น 2 คน แล้วก็เต้นกันค่ะ
น่ารักดี ตรงตัวช้างตกแต่งสวยงาม คนถ่ายรูปกันใหญ่เลย







อิ่มมากๆ เดินแทบไม่ไหวแหน่ะ เหอๆ 
เราก็เรียก Taxi กลับบ้านค่ะ บอกเค้าว่าไป Motherland inn
เค้าก็พาไปแต่ก็ งงๆหน่อยๆ พอไปถึงเค้าก็บอกว่า ที่นี่รึเปล่าเราก็ งงๆ แต่สุดท้ายก็มาถึงที่พักจนได้ ^^"
อ้อ Taxi คันนี้ 2000 จั๊ดเท่ากันนะคะ นาทีนี้กี่พันก็ต้องจ่าย เดินไม่ไหวจริงๆ
Taxi คันนี้ มีลูกเมีย นั่งอยู่ในรถด้วยค่ะ ออกแนว ออกจากบ้าน มาช่วยกันทำงาน
แปลกๆดีเหมือนกัน แหะๆ



กลับถึงบ้าน เค้าก็มาคุย มาถามว่าเป็นยังไงไปเที่ยวมา บลา บลา
คนที่นี่เป็นกันเองดีนะคะ รู้สึกเหมือนได้กลับมาบ้านจริงๆ มีฝรั่งอยู่เต็มเลย
นั่งเล่นกันเหมือนบ้านตัวเอง วันนี้เค้าเห็นวาเอาน้องพอใจออกมา วางไว้
(ถือไปเที่ยวด้วยทั้งวัน) เค้าก็ขอเอาไปเล่น ชมใหญ่เลยว่า Your sister so cute เอิ๊กๆ

พอเวลาเจอหน้าวาก็จะถามหาตลอด ถ้าวาไม่ได้เอาน้องพอใจออกมาด้วย เหอๆ
วาก็โชว์เลยค่ะ มันเปลี่ยนตาได้แบบนี้ ดึง แกร๊ก แกร๊ก เค้าก็ดึงกันสนุกสนาน
ดึงกันจน พลูริง น้องพอใจ หักกระเด็น เว๊นนน เวนนนน เค้าหน้าเจื่อนเลย
วาก็บอกไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เค้าก็มาจับๆ ขอไปเล่นต่อ โดยเฉพาะผู้ชายที่ห้องอาหาร
เค้าจะ เล่นอย่างทะนุถนอมเลยทีเดียว ประหนึ่งแม่เล่นกับลูก ฮ่าฮ่าฮ่า
พอ โซว โซว ถามราคา ก็บอกว่า ตัวนี้ เกือบๆ 200 ดอลล่าห์ ตัวอื่น แพงกว่า 200 ดอลล่าห์ก็มี
โซว โซว หันไปพูดภาษาพม่ากะน้องๆที่เคาท์เตอร์ เค้ารีบเอามาวางคืนเลย เอิกกกก 




หลังจากที่ โทนี่ ทิ้งเรา ไม่ยอมมาตามที่ตกลงไว้แล้วนั้น ก็เกิดอาการเซ็งเล็กน้อย
ยิ่งพอถาม โซว โซว ว่า มันมี Motherland inn อีกที่รึเปล่า เพราะเห็นที่นี่เขียนว่า Motherland inn 2
โทนี่อาจจะไปสาขา 1 ก็ได้ เราก็ได้คำตอบว่า เมื่อก่อนอ่ะ มี Motherland inn ไม่ได้อยู่ที่นี่
แล้วทีนี้เค้าสร้างใหม่ เลยใส่เลข 2 ลงไป แล้ว ที่แรกก็ปิดเลย

เหมือนแบบ ที่นี่ คือที่ๆ 2 ที่สร้างนะ ไม่ใช่สาขา 2 ดังนั้น ตาโทนี่ไม่ได้ไปผิด แต่ไม่มาเลยต่างหาก
เราเลยต้องวางแผนเดินทางใหม่ค่ะ โดยโซวโซว บอกจะหารถให้
ตามกำหนดคือ

รับเราไปเที่ยว เมืองหงสา แล้วก็ไปส่งทางขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน
วันต่อมา รับเรากลับย่างกุ้ง และพาเที่ยวนิดหน่อย ถ้ามีเวลา
เค้าเสนอมาที่ 140 เหรียญ ไม่ลดแล้ว เราไม่มีทางเลือก และคิดว่า
คงปลอดภัยดี ถ้าไปกับรถที่โรงแรม หาให้

พอเซ็นสัญญา และจ่ายตังค์ อุปสรรค อันใหญ่หลวง ก็เกิดขึ้นทันทีค่ะ !!!
เมื่อแบงค์ 100 ดอลล่าห์ ของเรา เกิดมีรอยหมึก (ในวงสีแดง) 
ซึ่ง แบงค์ 100 ใบนี้ เค้าไม่ยอมรับค่ะ งานเข้าแล้วไง !!!!

เค้าอธิบายว่า แบงค์ในย่างกุ้ง ไม่รับ แบงค์ดอลล่าห์ที่ ยับ มีรอยเปื้อน หรือหมึก ใดๆเลย
เค้าเลยต้องไม่รับ เราก็บอกว่า เราไม่มีแล้วจริงๆ เค้าก็ไม่สนใจเราเลย
ฝรั่งคนอื่นบอกว่า บ้านเค้านะ อันนี้ใช้ได้ ขาด 2 ท่อน ยังได้เลย (จริงของเค้า บ้านเราก็ได้)

ไปๆมาๆ เราก็รู้สึกว่า คงยากแน่ๆเลยอ่ะ เลย ควักแบงค์ 100 อีกใบ ขึ้นมาดู
ปรากฏว่า มีรอยปั๊ม เหมือนกัน (ในวงสีเขียว) แต่ไม่มี รอยเลอะๆแบบในวงสีแดงๆ

สรุป ใบนี้ใช้ได้ค่ะ เฮ้ออออออออออ โล่ง แต่กว่าจะได้นะ เค้าก็เอาไปตรวจตั้งนานแหน่ะ
แต่อีกใบนึง ทำไงเนี่ย ที่นี่ไม่รับ แล้วที่อื่นมันจะรับหรอนั่นนนน ซวยแล้ว ซวยแล้ว เง้อๆๆ




สรุปแล้วเราก็ จ่ายค่าทัวร์เรียบร้อย พร้อมกับเข้านอน อย่างกังวลใจหน่อยๆ
แต่ก็ต้องข่มตาหลับ เพราะ เช้าวันพรุ่งนี้เราจะต้องออกเดินทางไกลกันค่ะ
นอนเอาแรกซักหน่อยดีกว่า ....


------------------------------------------------


เช้าแล้ว ตื่นมาก็มารับประทานอาหารเช้ากันแต่เช้าตรู่ค่ะ
เค้ารู้ว่าเราจะออกเดินทาง ก็มีอาหารให้ทานแต่เช้าเลย อาหารก็เหมือนๆทุกวัน
กินกันหิวไปก่อน



ก่อนออกเดินทาง เราก็ให้น้องพนักงานเค้าสอนทาแป้ง ทานาคาค่ะ 
เราซื้อแบบ
กระปุกที่มีวางขายทั่วไปมา เค้าบอกว่า มันไม่ใช้ 100%
แต่ก็พอใช้ได้
เราเลยให้เค้าสอนวิธีใช้ค่ะ


เริ่มจาก เอาแป้งออกจากกระปุก แล้วบี้ๆ
ลงบนฐานกระเบื้อง(หรือหิน) ของเค้า
อันนี้มีอันเล็กๆขายนะคะ แต่ก็ไม่ไหวจะแบก
หนักอ่า มันคล้ายๆหินลับมีดกลมๆ
แล้วเอาน้ำฉีดๆ ให้เปียกๆหน่อย 


(ถ้าเป็นไม้ก็เอาเปลือกไม้มาฝนๆกระเบื้อง
แล้วก็ฉีดน้ำเช่นกันค่ะ)
แล้วก็เอามา ทาแก้ม โดยการปาดออกด้านข้าง ทีเดียวเลย
ปื๊ดดดด!
อ่ะ เกร๋กู๊ดดดดดด เป็นสาว Burmese กันแล้วจ้า เอิ๊กกก 


แล้วเราก็ออกเดินทางไปเมือง Bago หรือ หงสาวดี กันแล้วค่ะ
รถที่เราใช้เดินทางวันนี้
เป็นรถแวน 5 ประตู ไม่มีแอร์ คนขับชื่อ Zaw Zaw
(เหมือนกับคนที่แนะนำมาเลย)
เค้าบอกว่าชื่อเค้าเรียกยาก เลยใช้ชื่อ โซว โซว
เหมือนกัน เค้าเป็นเพื่อนกัน
เราก็โอเคเข้าใจค่ะ เค้าบอกขอเวลาแปป ไปเติมน้ำมัน
เราก็เลยได้เห็นปั๊มน้ำมัน

แล้วก็วิธีการเติมน้ำมันแบบนี้ บ้านๆดีเนอะ ^^"


รถที่นี่ส่วนใหญ่ พวงมาลัยขวา เหมือนบ้านเราค่ะ แต่ที่แปลกคือ
เค้าวิ่งเลนขวากัน
แล้วเราก็ ออกต่างจังหวัดกัน ทางก็เป็นแบบ 4 เลนบ้าง
สวนเลนบ้าง
เวลา จะแซงที ก็ต้องโผล่ออกไปดูรถ แล้วถ้ามันมีรถ
เราก็ใจหายแว๊บบบ
อย่ากระนั้นเลย กลัวตายจัด หลับดีกว่า
คร่อกกก!
ไม่นานนักเค้าก็ปลุกเรา ให้ลงไปไหว้พระวัดนี้ค่ะ
วัดอะไรหว่าฟังไม่ออกกก 


ด้านในมีพระพุทธรูปที่สวยงามมากค่ะ แต่ไม่รู้จริงๆว่าวัดอะไร
คนเพิ่งตื่น
ก็เลยเบลอๆ แต่พอเห็นพระพุทธรูปองค์นี้แล้ว ตื่นเลยค่ะ
องค์ใหญ่มาก และ สวยมากกก


ผนังของวัดนี้ สวยมากค่ะ ชอบจังเลย เป็นเหมือนปูน
ที่ทาสีเขียวๆ
ลวดลายก็สวยงามมากมายค่ะ ชอบๆๆ 


ไหว้พระแปปนึงแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ไม่นานนัก ก็ไปถึงวัดชื่อดังที่เมือง
หงสาวดีค่ะ
ที่แรกเลยคือ เจดีย์ไจ๊ปุ้น หรือ วัดสี่ทิศ ค่ะ มาถึงก็เจอเลย
ปรับปรุงอีกแล้ว แง๊ววว
ไปไหนเค้าก็บูรณะใหม่หมดเลยแหะ ดวงดีจริงๆ


Zaw Zaw บอกกับเราว่า ให้ดูแค่ข้างนอกพอ เพราะมันจะต้องเสียคนละ 10
ดอลล่าห์
เราก็เลย เดินดูรอบๆ แล้วก็จ่ายค่ากล้องไปคนละ 200 จั๊ดค่ะ
รู้สึกไม่ได้อรรถรส เท่าไหร่แหะ
10 ดอลล่าห์นี่ จะคุ้มป่าวหน๊อ
เหมือนวัดก็ไม่ได้มีอะไรเลย 


พอดีว่า มีน้องคนนึงพาเดินวนรอบ เค้าจะขายโปสการ์ดเรา
แถมพูดภาษาไทยได้ด้วย
พูดเก่งมาก ถามอะไรตอบได้หมด น่ารักดีค่ะ วาก็เลยอุดหนุนไป
1 แพค
20 รูป 2000 จั๊ด วาว่าไม่แพงนะ รูปก็เป็นที่เที่ยวทั้งหมดของพม่าเลย
ทุกเมือง

ทีนี้พอเราเดินมาวนครบรอบ ก็มายืนแอบถ่ายรูปริมประตู เลยมี จนท.
มาบอกว่า
" นี่จ่าย 10 ดอลล่าห์สิ แล้วเข้ามาดูข้างใน "
เราก็บอกว่ามันแพงไปนิดนึง
เค้าเลยบอกว่า 10 ดอลล่าห์นี้
เราซื้อตั๋วครั้งเดียวนะ พอเราไปเที่ยวที่อื่น
ในเมือง Bago หรือเมืองหงสาวดี
เนี่ย เราก็ไม่ต้องเสียเงินอีกแล้ว
เหมือนจ่ายแพคเกจ 10 ดอลล่าห์
เที่ยวได้ทั้งเมือง

เอ้อออออ ดีจัง แบบนั้น เราก็ต้องเสียอยู่แล้วนี่เนอะ
เลยจ่ายกันตรงนี้ค่ะ
เค้าเอา Passport เราไปเขียนชื่อลงบันทึก
แล้วก็ให้ตั๋วผ่านตลอดมา


รูปตั๋วแอบเบลอ เหอๆ

แล้วทีนี้เราก็ได้เห็น เจดีย์ไจ๊ปุ่น กันเต็มๆแล้วจ้า
ผ่าง พางงงงง!!
แหม๋ ดีนะเนี่ย ไม่งั้นก็อดดู ถ้าคนนั้นไม่มาบอกเรา คงได้
มองนอกรั้วแน่ๆเลย 


อันนี้เป็นเจดีย์อีกด้านค่ะ พระแอบผอมกว่าองค์อื่นๆ


ระหว่างเดินเล่นรอบเจดีย์ ก็มีสาวพม่าน้อย เดินมาพรีเซนส์ตัวเอง
ให้เราถ่ายรูปด้วยค่ะ ^^


ต่อไปเราก็ไปต่อกันที่ พระนอนกลางแจ้ง ที่วาจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร 
แต่มีชื่อภาษาอังกฤษมาฝากตามนี้ค่ะ ถ่ายได้ ลิบๆ
ที่หน้าประตู

อ่านยากไปไหน!


แดดแอบย้อน ส่องมาทางด้านหลัง ทำให้ได้รูปย้อนแสง มืดประหลาดๆ
วาว่า
พระนอนองค์นี้ เหมือนจะเป็นชาวจีนหน่อยๆนะคะ ^^

ส่วนปากจะเป็น สีชมพูนู๊ดๆ
(สีน้ำหมากแห้ง) สวยจังเลยค่ะ 


กว่าจะเดินรอบ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะนี่ ตรงปลายเท้า จะเป็นแบบ
ทับกันเหมือนเท้าจริงๆเลยค่ะ
มีลวดลายที่ดูไม่รู้เรื่องอยู่ด้วย สวยงามอร่ามตา
ยิ่งใหญ่ดีจริงๆค่ะ


อันนี้ด้านหลัง แดดส่อง แล้วสวยกว่าเนอะ 


ต่อมาไม่ไกลกันนัก โซว โซว พาเราไปกราบ พระพุทธไสยาสน์ “ ชเวตาเลียว ”
ค่ะ
เป็นพระนอนเช่นกัน แต่ว่าอยู่ในตัวอาคารค่ะ


ที่นี่มีเด็กพูดไทย มาขายโปสการ์ดอีกแล้ว แอบตื๊อมากๆ
เช่นเดียวกับที่อื่น
แต่ว่าอันนี้แอบเถื่อน มียื่นมือมาในรถด้วย (-
-)

เดินเข้าไปก็จะเจอเป็นที่ขายของที่ระลึกก่อนค่ะ
เพียบเลย
หลายๆคนพูดไทยได้ ทัวร์ไทยคงลงเยอะมากๆจริงๆ ตอนเราไปก็เจอหลายกรุ๊ปค่ะ 


เดินเข้าไปข้างในสุดก็จะเจอ พระนอนที่สวยงามมากๆค่ะ
เสียดายที่ต้องมีเสาค้ำไว้
เลยบดบังความงามไปหน่อยนึง ปากสีชมพูน้ำหมากแห้ง 
ตาสวยคม เหมือนกรีดอายลายเนอร์เลยทีเดียว :)


ฝ่าพระบาทค่ะ 


ระหว่างนั้น พี่นิไปเข้าห้องน้ำ เลยได้เงินทอนเป็นเงินจั๊ด (เปี่อยๆ)
มาหลายใบ
วาก็ถ่ายรูปเล่นอยู่ ว่าแบบ เอ่อ จะเน่าไปไหน
เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายเราไหมคะ ฮ่าฮ่าฮ่า

ก็มีพระสงฆ์เดินมาค่ะ ปากเคี้ยวหมาก
มือนึงถือขัน ใส่เงินจั๊ดอยู่หลายใบ
อีกมือ เท้าสะเอว เดินตรงมา ประมาณขอเงิน
(ขอเรียกว่าเหมือนขอทานมาก ได้มั๊ย)
คือ จะว่า วาไม่เคารพก็ว่าแบบนั้นได้นะคะ
เพราะ เกินรับไหวจริงๆ สำหรับกริยาพระสงฆ์นี่นะ

เรื่องพระนั่งติดกับผู้หญิง
จับๆอะไรกันได้ ก็พยายามไม่คิดมาก เพราะบ้านเค้าไม่เคร่ง
แต่เราจะตกใจมาก
ถ้าพระมายืนใกล้ๆ หรืออะไรแบบนี้ ไม่ชินค่ะ แต่นี่มาขอเงิน
ท่าทางเหมือนมาเฟีย

เข่าพระ แทบจะติดเข่าวาเลยนะนี่ มาขอให้บริจาคเงิน
หรือมาเก็บส่วยฟระ
รับไม่ได้ วาก็เลย นั่งนับเงิน
เสร็จเรียบร้อยก็เก็บใส่กระเป๋า แล้วหันไปจ้องหน้าพระซะงั้น
ประมาณว่า "
ก็ไม่ให้แล้วจะทำไม? "  เค้าก็จ้องกลับ
แล้วก็เดินจากไปในที่สุดค่ะ

เจอพระเด็กที่พระนอนกลางแจ้ง
มาเดินตามแล้วพูดว่า money money ตลอด
ก็ด่าใส่ไปเลยเหมือนกัน เกลียดคนนี้
ไปไกลๆได้มั๊ย รำคาณ 
คนขายโปสการ์ดที่พูดไทยได้ก็ช่วยไล่ไปให้
วานี่บาปหนาไปมั๊ยคะเนี่ย (- -)


ขากลับจากห้องน้ำเจอนี่ด้วยอ่ะ แมลงสาบพม่า ฮ่าฮ่าฮ่า


แล้ว Zaw Zaw ก็พาไปที่วัดเก่าๆ วัดนึงค่ะ ไม่เคยรู้ว่า วัดอะไร
และมีอะไรหนอ
เค้าจะมีหน้าที่เพียงขับรถ บอกชื่อสถานที่ (ที่ฟังยากมากๆ
ถ้าไม่มีข้อมูลมาก่อน)
แล้วก็ จอดรอเราเท้านั้น นอกนั้น
ก็ไปหากันเอาเองข้างหน้านะคะ
ก็อย่างว่า
เราจ้างเค้ามาขับรถไม่ได้จ่ายค่าไกด์ด้วยง่า

ทำให้เรามาเที่ยวที่นี่แบบ งงๆ


ภายในก็มีพระพุทธรูปอยู่ แล้วก็มีคนนั่งสมาธิกันด้วยค่ะ
คนพม่านิยมนั่งสมาธิตามที่ต่างๆมาก
วัดที่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่
แต่ทำให้เรารู้สึกว่า คนพม่าศรัทธาพระพุทธศาสนาขนาดนี้
ก็ชื่นใจค่ะ
(ถึงแม้ตัวเองจะไม่เคยทำ ก็อนุโมทนาบุญกับเค้าแทนนะคะ แหะๆ) 




โซว โซว ถามว่าเราจะทานกลางวันเลยไหม เอาอาหารไทย หรือ
พม่าดี
เราก็ตกลงปลงใจกันว่า เอาพม่าก็ได้ ถ้าคนพื้นที่พาไป
อาจจะได้เจออะไรที่สภาพดีๆหน่อย
ซึ่งเค้าก็พามาที่นี่ค่ะ เป็นร้านห้องแถว 1
คูหาใหญ่ๆเหมือนกัน





ในร้านจะเหมือนร้านอาหารบ้านเรา มีเมนูมาให้สั่ง
แต่จะมีเมนูทำไมก็ไม่รู้
เพราะมันเป็นอาหารที่ทำเอาไว้แล้ว
เหมือนร้านข้าวแกงบ้านเรา
นึกหน้าไม่ออก ก็เดินไปดูในครัวได้เลย สภาพก็แบบว่า
กินเข้าไปจะเป็นไรไหมหน๊อ

เค้าทำใส่ถาดเอาไว้ค่ะ มีอะไรที่เป็นแกงๆ
ก็ไม่รู้แต่เปลี่ยนชนิดของเนื้อนั้นๆเอา
เราก็เลยสั่งอันที่เป็นกุ้งมา
เพราะมันเห็นว่าเป็นกุ้งจริงๆ
กับต้มๆอะไรซักอย่าง
ที่ไม่สามารถอธิบายถึงรสชาตได้ แต่จะบอกว่า
อาหารเค้ารสชาตทานได้นะคะ
แต่เราหลอนๆ นิดนึง เพราะคนเคยมาเค้าย้ำนักหนาว่า
ต้องกินของร้อน
แล้วก็ห้ามทานน้ำพริก เค้าไปลองมาแล้ว เข้าโรงพยาบาลเลย
แป่ววว

แล้วของฟรีที่วางบนโต๊ะ ดันเป็นน้ำพริก กับอะไรเหลืองบดๆ
หน้าตาคล้ายๆข้าวโพดค่ะ
ส่วนน้ำซุปร้อน กลิ่นคาวๆปลาหน่อย แต่ก็โอเค 
(โอเคนี่หมายถึง นี่คงเป็นอาหารพม่ามื้อเดียวของเรา
ตลอดทริปแน่นอน)

(-.-) 





พอกินเสร็จ โซว โซว ก็หายไป เอาแล้ว
จะมาปล่อยเราทิ้งไว้หงสาแบบนี้ไม่ได้นะ
ก็ยืนรอดูชาวบ้าน และให้ชาวบ้านดู
อยู่หน้าร้านนั่นล่ะค่ะ (- -)

ที่ร้านอาหารเค้าก็เลยบอกว่า มานั่งรอก่อน
เค้าคงไป Tea shop เดี๋ยวมา
ไม่นานนักเค้าก็กลับมา แล้วก็พาเราไปเที่ยวต่อค่ะ
รอดแล้ววว นึกว่าจะได้เป็นสาวหม่องจริงๆซะและ





แล้วเราก็ไปต่อกันที่ วังบุเรงนอง ค่ะ ใช้ตั๋ว 10
ดอลล่าห์ผ่านตลอดยื่นไป
เราก็เข้าได้เลย เค้าว่ากันว่า มีการขุดพบฐานของวัง
ซากเมือง อยู่ตรงนี้
เค้าก็เลยสร้างทับของเดิมนะคะ (ถ้าเป็นจริงๆ
แถวนั้นก็คงเฮี้ยนไม่เบา ว่ามั๊ย?)

มาดูความยิ่งใหญ่ ของวังบุเรงนองกันค่ะ 





ข้างในก็จะ เป็นเหมือน จำลองของใช้แล้วก็ บัลลังค์ (เขียนผิดขออภัยค่ะ)
ของเจ้าต่างๆเอาไว้ค่ะ
เริ่มแรกเราเลือกเดินเข้าไป ทางด้านซ้าย
(ในรูปข้างบน)
ก็จะเจอห้องโถง เปล่าๆ ไม่มีอะไรเลย เง้อออ สร้างทำไมใหญ่โตคะนี่ สงสัยงบเหลือ





จริงๆ เข้าไปถึงโถงกลาง เค้าลอคค่ะ เพราะ เหมือนจะมีการ ปรับปรุงอยู่ 
เห็นมีแบก
สายไฟอะไรกัน (ปรับปรุงทุกที่จริงๆ!!!) แต่ลุงคนเฝ้าก็เปิดให้เราดูแบบรีบๆ
มาๆ
ไปๆดูๆ รีบๆออกๆ อะไรทำนองนั้น ก็ต้องขอบคุณ คุณลุงเอาไว้โอกาสนี้ด้วยค่ะ
_/_
เข้ามาก็ตกตะลึง ทองอร่ามตาไปหมด 





มีข้าวของเครื่องใช้ในสมัยนั้นให้ชมด้วยค่ะ
น่าจะทำขึ้นใหม่ล่ะมั๊งคะ
ไม่มีป้ายบอก ถ้าเป็นของแท้ สมัยนั้น คงมีอะไรมาครอบๆๆ
ไว้เต็มไปหมดแล้วแน่ๆ หุหุ





อันนี้รองเท้าคู่ใหญ่มากค่ะ สมัยก่อน เค้าเท้าใหญ่ขนาดนี้จริงหรอ
ประมาณเท้า
Avatar เลยนะ (- -) 





อันนี้เป็นตรงบัลลังค์ตรงกลางค่ะ ลองคิดเล่นๆว่า ถ้านี่เป็นทองจริงๆ
(ซึ่งสมัยก่อนอาจจะเป็นไปได้)
จะมีมูลค่าเท่าไหร่เนี่ย





อันนี้ลุงเค้าบอกว่า เป็นที่นั่งของแต่ละพระองค์ค่ะ
มีเน้นย้ำที่พระสุพรรณกัลยาด้วย
หน้าตาเราบ่งบอกสัญชาติมากๆจริงๆนะคะนี่ :) 





วาชอบผนังข้างๆจังเลย รู้สึกว่าเค้าขยันสร้างดี
ลวดลายสวยงาม
ออกอินเดียๆนิดๆด้วยรึเปล่า ?





ไม่นานนัก เค้าก็ให้เราออกแล้วค่ะ
คงจะไปขวางการทำงานเค้าหน่อยๆ
ออกมานอกตัวอาคาร ก็จะมองเห็นเป็น ไม้ที่เค้าว่า
เป็นไม้สมัยนั้นเลย
มีแต่ท่อนใหญ่ๆทั้งนั้น ว่าแล้ว เดินไปดูกันหน่อย ไม้เก่า 





มาถึงก็เจอ คำอธิบายพวก วงปี
แล้วก็จำนวนต่างๆค่ะ
เหมือนเค้าจะขึ้นทะเบียนเอาไว้เลยนะ
มีรหัสอะไรแบบนี้
แต่เห็นคนเข้า ขัดๆ ทุบๆอะไรอยู่ ไม้บางท่อน จะปริ
ออกจากกันแล้ว
ก็มีเอา สลิงมาบีบกันไว้ค่ะ





เอาล่ะค่ะเราจะไปกันต่อที่ ตำหนักของ พระสุพรรณกัลยา ค่ะ อยู่ไม่ไกล จากวังบุเรงนอง
นัก 




ถึงแล้วจ้า สวยงามพอๆกัน แต่เล็กกว่าพอสมควรค่ะ ข้างหน้ามีป้ายไว้ว่า " ห้ามถ่ายรูป
"
เอ๊ะ ทำไมหว่า ... ?





ด้านในก็จะคล้ายๆ วังบุเรงนองค่ะ มีบัลลังค์ มีห้องโถง
มีห้องบรรทม
แต่ตรงบัลลังค์เนี่ย ตรงนี้จะมี ตู้กระจกด้วยค่ะ มีประตูเปิดปิดได้
แล้วก็ใส่กุญแจลอค
ที่วังบุเรงนอง ยังไม่มีเลย ซึ่งตรงนี้ คนเฝ้าเค้าบอกว่า
ถ่ายรูปได้ เอ๊ะยังไงกัน

ก็แอบคิดนิดนึงว่า อะไรที่ลอคไว้แบบนี้
คงมีอะไรซักอย่างเป็นของแท้แน่ๆ
มันก็น่าคิดนะคะเนี่ยยย 





แอบส่องผ่านกระจก อะไรน๊า ที่เป็นของแท้อยากรู้จัง หุหุ ยังไม่วายๆ




ฝั่งตรงข้ามวัง เป็นพิพิธภัณฑ์ค่ะ น่าจะเป็นของที่ขุดเจอ
ตรงที่แถวๆนี้
น่าจะเป็นพวกไม้ หรืออะไรอื่นๆด้วย แต่แดดร้อนมาก เลยไปดีกว่า 





โซว โซว บอกกับเราว่า จะพาไปดู Big snake ค่ะ
ตอนแรกที่บอกก็ไม่รู้หรอกว่าอะไร
นึกว่าเป็นวัดที่มีพญานาค หรืออะไร ทำนองนั้น
ก็เออ ออ ไปไหนก็ไปเถอะ
เค้าก็ขับพาไปเรื่อยๆค่ะ
แล้วก็ไปจอดที่นี่ คล้ายๆวัด แต่ไม่มีเจดีย์แหะ





พอไปถึง เค้าก็พาเราเดินไปที่ เค้าเรียกอะไรหว่า เหมือนศาลาเล็กๆอ่ะค่ะ
ชั้นเดียว
เหมือนบ้านแล้วกัน เล็กๆไม่กว้าง เข้าไปก็เจอรูปปั้นผู้หญิงคนนึง
มีบ่อน้ำ แล้วเค้าก็
พาเราไปหยุด อยู่ที่พื้นนยกสูง หมอน มีผ้าห่ม
แต่ภาพตรงหน้าก็คือ

Big snake!!!!!! เง้อออ งูยักษ์ จริงๆด้วย 


ซึ่งกลับมาก็มาเสริชใน Google ค่ะ พบว่าเค้าเรียกว่า Snake Monastery 
งูตัวนี้เป็นเพศหญิงค่ะ เท่าที่ได้ฟังคร่าวๆ ก็คือ งูตัวนี้
มีคนพม่าไปเจอมาจากประเทศไทยค่ะ
แล้วเอากลับมาด้วย ตามรูปที่มีอยู่แถวๆนั้น
เห็นเมื่อก่อน งูจะอยู่กับพระ อะไรซักอย่าง
แล้วตอนนี้พระองค์นั้น มรณะภาพไปแล้ว
ก็มาอยู่ตรงนี้ กับผู้ชายคนนึง
ที่เป็นคนดูแลค่ะ เค้ามีออดอ้อนกันให้ดูด้วย
เง้อออ น่ากลัวว

แต่คือ งูเค้าก็นิ่งๆนะคะ วาก็อยากจับ ก็เลยขอจับอ่ะ (กลัวงูนะ แต่ตัวใหญ่มากอยากขอจับ)
คนนั้นเค้าก็คุยกับงู แล้วก็ให้วาจับได้ งูก็ไม่ทำอะไรวานะคะ แต่งูเค้าก็จ้องๆหน้า
เราเขม็งเลย
(ทำนองว่า หล่อนเป็นใคร มาแตะต้องตัวชั้น!)





เค้าเล่าว่า ปกติงูก็จะเลี้อยเล่นไปเรื่อยเปื่อยค่ะ
บางทีก็เอาออกไปเดินเล่นในป่าด้วย !!!
บางครั้งก็ลงเล่นน้ำค่ะ ในนั้นจะมี pool
เล็กๆอยู่ด้วยค่ะ เห็นมีปูนแปะๆ
เป็นทางเลี้อยลงด้วยนะคะ
ไม่อยากคิดสภาพเวลาเค้าออกไปเดินเล่น
แล้วเราไปเจอเลยอ่ะ ง่า...

เทียบขนาดกับคน 





งูนี่เค้าว่ากินไก่เป็นอาหารค่ะ ตอนถามก็กลัวจะได้รับคำตอบว่า กินหมู หรือ
หมา
แถวนั้นมากๆ เพราะ กินไก่กี่ตัวจะอิ่มเนี่ย
เอิ๊กกกกก

ลากันด้วยรุปนี้ค่ะ ตอนจับดูก็นิ่มๆดีนะคะ แต่ไม่กล้าแตะแรง
กลัวเค้าโมโห
แล้ววาจะยุ่งค่ะ เอิ๊กก (เห็นรูปอีกทีก็แอบคิดนะว่า
ตูกล้าขอจับไปได้ยังไงเนี่ยย ตัวใหญ่มาก)





ออกจากวัดงู ตรงนี้ โซว โซว ก็พาเราไปที่อื่นต่อค่ะ
ระหว่างทางผ่านวัดนี้
แต่ไม่ยักกะพาแวะแหะ สงสัย วัดงูน่าสนใจกว่า
แต่ก็แอบมองอยู่ห่างๆ เหอๆ 





โซว โซว พาเราไปวัดที่มีเจดีย์สูงเด่น
เห็นแต่ไกลมาตลอดทาง
ตอนแรกไม่เข้าใจว่า ผ่านไปทางไหนก็เจอ ทำไม
ไม่พาเราไปที่นี่ซักที
มาเข้าใจทีหลังว่าเค้าจะให้เรามาเที่ยวเป็นที่สุดท้ายค่ะ
จะได้มีเวลาเดินมากหน่อย

ยื่นบัตรผ่านตลอด 10 ดอลล่าห์ของเราไปค่ะ
เราก็ไม่ต้องเสียเงินอีก
แต่ถ้าจำไม่ผิดเค้ามาเก็บค่ากล้อง อีกประมาณ 200-300
จั๊ดค่ะ
เราได้ ดอกไม้มาไหว้พระด้วย คือ ดอกมหาหงส์ ค่ะ พวงนี้ 500 จั๊ด สวยเชียว




ตอนนี้กล้องวาเริ่มจะออกอาการแบตหมดค่ะ
แล้วที่แย่กว่านั้นคือ
ไม่ได้เอาที่ชาร์ตแบตมาง่ะ เป็นอะไรที่พลาดมาก
ชาร์ตก่อนมาแล้วลืม
เก็บสายชาร์ต เข้ากระเป๋า เลยไม่ค่อยมีรูปเท่าไหร่
สำหรับที่นี่ค่ะ

พระเจดีย์ชเวมอดอว์  นี้มีชื่อเรียกแบบมอญว่า พระธาตุมุเตา
ค่ะ 
แปลว่า จมูกร้อน เพราะเจดีย์นี้สูงมากๆ กว่า เจดีย์ชเวดอกอง
ซะอีก
เวลาแหงนหน้ามอง ยอดพระเจดีย์ จะต้องเงยหน้ามองมากๆ จนจมูกร้อนนั่นเอง :) 


เจดีย์ที่นี่มีจุดเด่นอีกอย่างนึงก็คือนี่ค่ะ ว่ากันว่า เป็น
ส่วนหนึ่งของพระเจดีย์องค์เก่า
ที่หล่นตุ๊บ ลงมาอยู่ข้างล่าง
เค้าก็เลยเอาไว้แบบนี้ ให้เราสัการะกันซะเลย
เก๋ดีนะคะ ไม่ต้องยกไปไหน
แถมเรายังได้เห็นเจดีย์สมัยก่อนของจริงอีกด้วย
ซึ่งตรงนี้จะมีคนจุดธูปไหว้
แล้วเอาธูปไปค้ำยัน แล้วก็นั่งสมาธิกันมากมายค่ะ


แล้วแบตก็หมดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แป่ว! 


ต่อไปก็จะใช้กล้อง คอมแพคตัวน้อย ที่พกไปถ่ายวิดิโอด้วยแทนนะคะ
รูปอาจจะไม่งาม
แถมมีฝุ่นในรูปด้วย แต่ก็ถือว่าแก้ขัดได้ ในนาทีวิกฤตเช่นนี้ค่ะ
ลงมาด้านล่าง 
ก็ลงไปถ่ายรูปเจดีย์ระยะไกล กลางถนนค่ะ


ตอนลงมาก่อนขึ้นรถ วาแอบซื้อน้ำอัดลมกิน 1 กระป๋อง ไม่ได้กินวันนึงแทบลงแดง ฮ่าฮ่าฮ่า
เห็นเป็นของไทย กระป๋องนี้ราคา
1000 จั๊ดค่ะ ของอิมพอต แพงมากกกกก! 


ระหว่างทาง ก็หลับๆตื่นๆ ถ้าตื่นมาก็แงะขนมขึ้นมากินไปด้วย
อาทิเช่น วอยซ์ กับ
ไวไวกรอบ เอิ๊กกก ตื่นมาวืดนึง
ผ่านสะพานเหล็กอะไรซักอย่าง
ที่เคยอ่านรีวิวชาวบ้านว่า
มันคือสะพานข้ามแม่น้ำสะโตง ซึ่งมันไกลเหมือนกันนะ
นึกถึงหนัง
ปืนยิงข้ามน้ำเลยเหรอ ไกลมากกกก


พักใหญ่ๆเราก็มาถึง Kin Pun Base Camp ค่ะ โซว โซว
เพิ่งรู้ว่าเราจะขึ้นไปข้างบนคืนนี้เลย ทำหน้าตกใจมาก
เค้าเลยรีบพาเรามาส่งที่ท่ารถบรรทุกเป็นการใหญ่
ซึ่งตรงนี้ทุกๆคนจะต้องนั่งรถบรรทุกขึ้นไปค่ะ
รถใกล้จะออกแล้ว โซว โซว ก็ไม่ได้เล่าอธิบาย อะไรให้เราฟังเลย
เพราะเค้าก็ไม่รู้ว่าเราจองที่พักข้างบนไว้แล้ว หน้าเค้าดูห่วงๆเรานะเพราะจะมืดแล้ว
ได้แต่ จับยัดเราขึ้นรถบรรทุกจนได้ และนัดเวลามารอรับในวันพรุ่งนี้
เอาล่ะค่ะ สองสาวชาวไทยต้องเดินทางลำพังแล้ว จะเป็นยังไงนั้น ตามต่อตอนหน้าจ้า





Create Date : 14 กรกฎาคม 2554
Last Update : 14 กรกฎาคม 2554 14:32:49 น. 1 comments
Counter : 2491 Pageviews.

 
เสียดาย ไม่ได้แวะเข้าไปนั่งกินอะไรที่นี่ เพราะคุณเธอตรงหน้าประตูทางเข้า ชีจะเก็บตังค์ค่าผ่านลูกเดียว ทั้ง ๆ ที่บอกตรูจะมากินข้าวนะเฟ้ย ทำให้พลาดบรรยากาศการแสดงโชว์ที่สวยงาม


โดย: sirimas_m วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:17:11:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นังนู๋วา
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 150 คน [?]








Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add นังนู๋วา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.