|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ญี่ปุ่นเขาพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อต้อนรับชาวต่างชาติแบบนี้จ้ะ
ในอดีตที่ผ่านมา บ้านนี้เมืองนี้ไม่เคยคิดจะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเน้นการรองรับชาวต่างชาติ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่ผ่านมา มุ่งเน้นแต่คนญี่ปุ่นด้วยกันเอง เพราะอะไร?
ย้อนอดีตไปสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คงไม่ต้องบอกว่าญี่ปุ่นย่อยยับแค่ไหน บ้านเมืองพังทลาย ประชาชนล้มตายมากมายจากสงคราม ความยากจนหิวโหยอดอยาก จำนวนประชากรลดลงอย่างมาก ทั้งจากการล้มตาย อีกทั้งยังมีผู้ที่ติดค้างต่างประเทศไม่สามารถกลับมาบ้านเกิดได้ รัฐบาลจึงสนับสนุนนโยบายให้มีบุตรเพื่อเป็นพลังที่สำคัญของชาติต่อไป ประชาชนญี่ปุ่นจึงเพิ่มขึ้นตามลำดับ
เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เด็กในยุค Baby Boom เติบโตขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมือง พวกเขาได้รับการศึกษาภาคบังคับอย่างทั่วถึง จากการที่พ่อแม่เขาผ่านประสบการณ์ความโหดร้ายหลังสงครามมาแล้ว ก็อบรมบ่มเพาะลูกหลานให้มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก...
ดังนั้น ในเมื่อสังคมญี่ปุ่นเติมเต็มไปด้วยประชากรญี่ปุ่นที่มีความรู้ ทำงานกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็มีกำลังทางเศรษฐกิจ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากำลังเศรษฐกิจจากต่างประเทศ เพียงแต่จัดเรื่องการท่องเที่ยวให้คนชาติเดียวกันเขาก็ได้กำไร พึ่งพาตนเองได้ จึงไม่ได้คิดเผื่อถึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
ทว่า ปัจจุบันญี่ปุ่นประสบปัญหาการไม่มีบุตร (少子化問題) และปัญหาสังคมผู้สูงอายุ (高齢化社会) แม้ว่าประชากรเกิดใหม่จะลดน้อยลง แต่จำนวนประชากรก็ไม่ได้ลดลงอย่างฮวบฮาบลงทันที เพราะประชากรสูงวัยยังมีอยู่มากมาย
แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้ไม่นานนัก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอื่นๆ ของญี่ปุ่นก็ออกสินค้าหรือโปรแกรมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดเงินในกระเป๋าของผู้สูงวัยรับบำนาญเหล่านี้อยู่ แต่คงจะเกิดการอิ่มตัว จึงเล็งมาที่สังคมภายนอก
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นสมัยของอดีตนายกฯโคะอิซึมิ ที่ปัจจุบันประกาศอำลาวงการเมือง จะไม่ลงสมัครสส.อีกต่อไป แต่ได้วางตัวแทนไว้คือลูกชายคนที่สอง ซึ่งมีดีกรีปริญญาจากสหรัฐอเมริกาลงสมัครในเขตฐานคะแนนเดิมของตนเอง โคะอิซึมิเป็นผู้ที่ริเริ่มโครงการ Yokoso Japan (ยินดีต้อนรับสู่ประเทศญี่ปุ่น) ชักชวนชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในญี่ปุ่นมากขึ้น สังเกตุได้ว่าระยะหลังมานี้คนไทยขอวีซ่ามาญี่ปุ่นง่ายขึ้น นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อ ๔-๕ ปีก่อน
ณ ช่วงเวลานั้นไม่ได้ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะผู้ประกอบการคงยังไม่ได้คาดหวังกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ผ่านมาแม้จะไม่ได้เน้นนักต่างชาติแต่ก็มีคนเข้ามาเที่ยวเป็นระยะ แล้วนักท่องเที่ยวเหล่านั้นก็ประกอบกิจกรรมที่ขัดกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่น ทำให้เขาไม่ค่อยอยากต้อนรับชาวต่างชาติ อย่างไรน่ะเหรอ เช่น เข้าอนเซ็นพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ พอเห็นบ่อน้ำใหญ่ๆ ก็ว่ายน้ำเล่นกัน ซึ่งขัดกับธรรมเนียมการเข้าไปแช่อนเซ็นของญี่ปุ่น ปกติเขาจะเข้ากันแบบเรียบร้อยไม่กรี๊ดกร๊าด วี๊ดว๊าดกระตู้วู้ แต่อันนี้ไม่ได้ว่านะ เพราะเราก็เข้าใจ ตอนเราเข้าครั้งแรกก็แบบนี้ สนุกสนานกับเพื่อนๆ ดี แต่คนญี่ปุ่นเขารับไม่ได้ เป็นต้น
ทว่า ปัจจุบัน เมื่อแคมเปญ Yokoso Japan (ยินดีต้อนรับสู่ประเทศญี่ปุ่น) เริ่มไปได้ระยะนึง ชาวบ้านก็เริ่มเห็นประโยชน์และพยายามปรับตัวต้อนรับต่างชาติมากขึ้น ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เห็นรายการทีวีของญี่ปุ่น ทั้ง NHK และอีกช่องที่นำเรื่องการพัฒนาการท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาให้ดู
รายการนึง เป็นรายการที่ให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในญี่ปุ่น ๓ ประเทศ ๓ คน ไปศึกษาคิดโปรแกรมทัวร์บริเวณวัดอะสะกุสะ (วัดเจ้าแม่กวนอิม) จากผลการสำรวจของรายการทำให้ทราบว่าแม้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่แม้เราคนไทยจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกนั้น อะสะกุสะเป็นเพียงแหล่งที่พักราคาถูกที่เขานิยมมาพักกัน แต่ไม่นิยมใช้เวลาไปไหว้พระหรือซื้อของฝากที่นี่กันนัก สิ่งที่ค้นพบอีกอย่างคือ ความน่าสนใจของอะสะกุสะมีอยู่มาก แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้จักแต่ถนนที่ทอดยาวจากประตูทางเข้าคะมินะริมน ไปยังวัดเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าบริเวณนั้นมีบ่อแช่น้ำร้อนแบบดั้งเดิมที่ปัจจุบันเขาก็ยังเปิดให้บริการอยู่ และยังมีร้านกิโมโนราคาถูก การเล่นทอยพัด โรงละคร และอื่นๆ ซึ่งบริษัททัวร์สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดจัดโปรแกรมทัวร์ให้นักท่องเที่ยวได้ในอนาคต ซึ่งก็มีตัวแทนจากบริษัททัวร์มาร่วมรายการด้วย
อีกรายการหนึ่ง ไปสอบถามความคิดเห็นของคนต่างชาติที่เข้ามายังสนามบิน เข้ามาในประเทศญี่ปุ่นจริงๆ ว่า อะไรที่คิดว่าญี่ปุ่นยังขาดอยู่ จากการสำรวจความคิดเห็นนี้ ทำให้ญี่ปุ่นจัดทำออปเจ็คแสดงวัฒนธรรมญี่ปุ่น บริเวณ สนามบินนาริตะมากขึ้น เพราะมีความคิดเห็นว่ามาถึงญี่ปุ่นแต่ไม่เห็นมีสิ่งใดที่แสดงความเป็นญี่ปุ่นอยู่เลย อันนี้ ก็ย้อนมองไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ต้องยอมรับว่าทำได้ดีมีตัวที่แสดงความเป็นไทยอยู่เด็มเม็ด
ปัญหาที่ญี่ปุ่นเองก็ยอมรับคือเรื่อง ภาษา ซึ่งก็พยายามแก้ปัญหา เช่น ร่วมมือกับจีนโดยการนำนักเรียนการท่องเที่ยวจากประเทศจีน มาเรียนรู้งานในRyokan (โรงแรมแบบญี่ปุ่น)ที่มีทัวร์จากเมืองจีนมาลงบ่อยๆ หรือวางเอกสารภาษาอังกฤษมากขึ้น ทว่า เขาก็ยอมรับว่ายังไม่เพียงพอ และให้คำมั่นว่าจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น
แต่ก็คงไม่ต้องกังวล อีกไม่กี่ปีรับรองว่าคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่พูดภาษาอังกฤษกันคล่องปรื๊อระดับเนทีฟแน่ เพราะการศึกษาญี่ปุ่นปัจจุนันเน้นการเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้นมาก แถมเขายังมีเงินจ้างเจ้าของภาษาเองมาสอนในรร.เกือบทุกโรงเรียน คิดว่าคงมีมากขึ้นจนครบทุกโรงเรียนในเวลาไม่ช้าแน่
ด้านการคมนาคมของญี่ปุ่นก็คงไม่ต้องกล่าวถึงมากนัก เพราะแสนสะดวกสบาย นักท่องเที่ยวหรือประชาชนญี่ปุ่นเองก็ตาม สามารถเข้าตัวเมืองโตเกียวได้ทั้งทางรถไฟฟ้าและshuttle bus โดยไม่ต้องเสียเวลาต่อรองราคาค่าแท๊กซี่ เพราะรถแท๊กซี่ทุกคันติดมิเตอร์ และคนขับรถแท๊กซี่ก็พอจะมีคุณธรรมประจำใจมากกว่าบางประเทศ....
นี่แหละคือสิ่งที่อยากบอกว่าเขาจริงจังและนี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เขาสอบถามความคิดเห็นและนำความคิดเห็นนั้นมาปรับปรุงอย่างจริงจัง แบบไม่รีบร้อน ไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไป ทำนอง Slow but Sure (ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม) และเมื่อนำมาแก้ไขจริงประโยชน์จะเกิดกับใคร ถ้าไม่ใช่กับประชาชนชาวญี่ปุ่นโดยแท้จริง นักท่องเที่ยวมีสุข ได้ความประทับใจติดกระเป๋ากลับไปเป็นของฝากที่มีค่า ปากต่อปากว่าประเทศนี้ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ขณะที่ประชาชนญี่ปุ่นเองก็มีสุข สบายกระเป๋าอิ่มท้องกันไปทั่วหน้า
เมืองไทยเหรอ วัตถุดิบดีๆ มีอยู่เยอะแยะ แต่การต้อนรับของหน้าด่านแรก แท๊กซี่สนามบิน สร้างความประทับใจที่ทำให้เขาไม่อาจจะลืมเลือนและไม่อยากมาเยือนไทยอีกเลย เพราะหลอกเอาเงินเขาสารพัด แม้เขาจะมีเงินจ่ายแต่เขาคงไม่แฮปปี้หรอกที่เขาต้องจ่ายมากกว่าความเป็นจริง การกระทำแบบนี้ คนที่ได้ประโยชน์มีแต่แท๊กซี่สนามบิน ซึ่งเป็นคนเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้น รับรองถ้าไม่หันหน้าเข้าปัญหา ไม่รับรู้ปัญหาที่แท้จริง และไม่คิดแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เขาคงไม่อยากมาเยือนประเทศไทยอีกแน่ สิ่งที่เขาจะไปเล่าให้เพื่อนเขาฟังคงไม่ใช่แค่ความสวยงามของธรรมชาติไทย และวัฒนธรรมอันดีงามของไทย แต่เขาคงเล่าเรื่องมาเฟียแท๊กซี่สนามบิน ฯลฯ เป็นของฝากให้เพื่อนเขาแน่
ผู้นำประเทศจริงจังกับการแก้ปัญหา จริงใจกับประชาชนแค่ไหน เราฝากอนาคตประเทศไทยกับท่านได้แน่หรือ
Create Date : 04 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 21 ตุลาคม 2551 23:50:03 น. |
|
2 comments
|
Counter : 759 Pageviews. |
|
|
|
โดย: YukiThai วันที่: 21 ตุลาคม 2551 เวลา:8:28:57 น. |
|
|
|
โดย: นก (Kukas ) วันที่: 4 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:04:06 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ขอบคุณนะค่ะ ที่มาแปลให้ฟัง แล้วเอาข่าวมาเล่าให้ฟังเรื่อย ๆ นะค่ะ อิฉันจะได้ไม่ตกเทรน
ู