มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป คุณลักษณะ 7 ประการ ที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ
- นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป
- เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคนได้โดยง่าย
- จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิก ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป
- จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้
- ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดี
- ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิต พัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์
-มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง
การปฏิบัติตามแนวชีวจิต
จะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน
โดยการใช้ อาหารสุขภาพ
การใช้เครื่องอุปโภคที่มาจากธรรมชาติ
หรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ในขณะเดียวกัน ชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ
คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย
และโดยเหตุที่สังคมได้เปลี่ยนไป ยึดเรื่องวัตถุนิยมมากเหลือเกิน จึงควรพยายามละเรื่องวัตถุนิยมให้มากที่สุดที่จะมากได้ สิ่งไหนที่จะเปรียบความหลงผิดของสังคมได้ก็ให้เปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็อย่าไปยึดติดกับสังคมนั้น
ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติ
จะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุข สดชื่นตลอดเวลา
ชีวิตในสังคมปัจจุบันไม่เป็นแบบนั้น
บางคนอาจจะอายุยืน
แต่สุขภาพของเขาอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอด
ร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทรมาน
สมองและสติปัญญาไม่สมประกอบ ความจำเลอะเลือน
นี่ไม่ใช่อายุยืนตามทัศนะของชีวจิต
เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้ว ก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย
ในด้านจิตใจ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือความสงบ ความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัย
จะทำให้เกิดความสงบทางใจ
เกิดปัญญามองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต
จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือความหลุดพ้น
ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง ชีวจิตสัญญาไม่ได้ว่าเราจะพาคุณไปถึงจุดนี้
แต่เราสัญญาได้ว่าถ้าคุณปฏิบัติตามแนวของชีวจิต ชีวจิตจะเป็นผู้เปิดประตูซึ่งนำไปสู่ความหลุดพ้นอันนี้
ประตูชีวจิตจะเป็นผู้นำคุณได้ง่ายกว่าที่อื่น
แต่เมื่อคุณเข้าประตูไปแล้ว
ก็อยู่ที่ตัวคุณเองว่า
คุณจะเดินไปถึงความหลุดพ้นนั้นได้เร็วช้าประการใด
การไม่แย่งแข่งขัน
ยอมเป็นผู้ต่ำต้อยจึงรักษาตนไว้ได้
ยอมงอจึงกลับตรงได้
ยอมว่างเปล่าจึงเต็มได้
ยอมเก่าจึงกลับใหม่
ผู้มีน้อยก็จะได้รับ
ผู้มีมากจะถูกลดทอน
ดังนั้นปราชญ์ย่อมรักษาความเป็นหนึ่งเดียวไว้
ท่านจึงกลายเป็นแบบอย่างของโลก
ท่านมิได้แสดงตนให้ปรากฏ
ความรุ่งโรจน์ของท่านกลับปรากฏขึ้น
ท่านมิได้ผยองลำพอง
ชื่อเสียงของท่านกลับลือเลื่อง
ท่านมิได้โอ้อวดตน
ประชาชนกลับไว้วางใจ
ท่านมิได้ภาคภูมิใจ
แต่กลับได้เป็นผู้นำของประชาชน
กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ
ผู้ที่ไม่เชื่อใครเลยคือ คนโง่ !
ผู้ที่เชื่ออะไรง่ายๆ คือ คนงมงาย !
ผู้ที่รู้จักรับฟังผู้อื่นและวิเคราะห์เหตุผลด้วยปํญญา ชื่อว่า ปราชญ์ !
ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเชื่ออย่างฉลาดอ่านคำสอนของ พระพุทธเจ้าในกาลามสูตรนี้
กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ
ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ
มี ๑๐ ประการคือ
๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
ฉะนั้นเรามาสร้างสมดุลให้ร่างกายด้วยการกินอย่างสมดุล ตามแนวคิดของหยิน หยางกันค่ะ
ถ้าคุณมีอาการร้อนในแล้วพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการร้อนในยิ่งขึ้น อย่างลำไย ทุเรียน หรือถ้าคุณมีอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล แล้วพยายามกินพืชผักผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ววิธีคิดและวิธีกินแบบนี้นี่แหละ ที่เข้าข่ายกินตามแบบหยินหยางที่เรากำลังจะพูดกัน
ตามหลักคิดแบบหยินหยางนั้น ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้จะประกอบไปด้วยสองด้าน ซึ่งด้านทั้งสองจะอยู่ตรงข้ามและขัดแย้งกัน แต่ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ภาวะตรงข้ามอย่างนี้เรียกว่า ภาวะหยิน (ลักษณะหดตัวไหลลงสู่เบื้องล่าง) และ หยาง (ลักษณะแผ่ออกไหลขึ้นสู่เบื้องบน) ค่ะ
เมื่อนำหลักคิดแบบหยินหยางมาใช้กับเรื่องการกิน เราก็จะพิจารณาได้จากการที่อาหารทุกประเภท
ล้วนมีภาวะหยินและหยางอยู่ด้วยกันทั้งหมด แล้วแยกแยะว่าอาหารชนิดนั้นๆ มีความเป็นหยินหรือหยางมากกว่ากัน
โดยดูที่คุณสมบัติหลักของอาหารชนิดนั้นเป็นเกณฑ์ตัดสิน อย่างพริกไทยมีรสชาติเผ็ดร้อน ก็ถือเป็นอาหารแบบหยาง หรือมะระมีรสชาติขม ถือเป็นอาหารแบบหยินค่ะ
ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างอาหารกันค่ะว่า อาหารแบบไหนที่มีภาวะหยินและอาหารแบบไหนที่มีภาวะหยางมากกว่า
อาหารหยิน : อาหารที่ให้ความเย็น มีรสชาติเค็ม ขม เปรี้ยว เช่น กล้วย ส้ม สาลี่ อ้อย แตงโม สับปะรด องุ่น มะพร้าว มะละกอ ถั่วเขียว ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง เต้าหู้ ชา แตงกวา มะเขือเทศ บวบ ขึ้นฉ่าย ข้าวโพด ปู เป็ด ห่าน หอยนางรม รวมทั้งอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธีต้ม นึ่ง ตุ๋น
อาหารหยาง : อาหารที่ให้ความร้อน มีรสชาติเผ็ด หวาน เช่น ขิง กระเทียม พริก ผักชี มะเขือยาว พริกไทย หอม เนื้อวัว ไก่ มะกอก งาดำ หัวหอม รวมทั้งอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธีทอด ย่าง รมควัน
ที่มา //hakkapeople.com/node/770
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ