|
|
|
|
|
|
..วิถีแห่งช่างภาพในงานชุมนุมประท้วง..
เกือบสามสัปดาห์ที่ผ่านมา มาหยามีโอกาสได้ไปถ่ายภาพกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมที่สวนจตุจักร ด้วยความรู้สึกอยากเห็นการชุมนุมประท้วงด้วยตัวเองไม่ผ่านสื่อประการหนึ่ง และอีกประการได้สืบสวนมาแล้วว่า ม็อบที่สถานที่แห่งนี้ในวันแรกๆ ของการชุมนุมยังไม่น่ากลัว และสวนจตุจักรนั้นมาหยาก็รู้ทางหนีทีไล่ดีแล้ว
อันที่จริงมันเป็นเรื่องของความคิดของคนที่ออกมาปะทะกันด้วยจำนวนคนที่สนับสนุนความคิดของแต่ละฝ่าย ซึ่งเอาเข้าจริงไม่ว่าจะคิดอะไร ก็สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติพอๆ กัน เพียงแต่เรากำลังมองว่า สร้างปัญหาตอนนี้แล้วประเทศชาติดีขึ้น เรายอมรับได้ หรือนับการสร้างปัญหาแล้ว ถ้าฉันสร้างปัญหาน้อยกว่าเธอ ฉันจะดีกว่าเธอ หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งทำให้ในความคิดมาหยา มันก็แย่ทั้งสองอย่าง แต่ในเมื่อในรัฐธรรมนูญยินยอมให้มีการชุมนุมอย่างสงบได้ ก็ต้องเคารพการกระทำของทุกๆ ฝ่ายเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย หรือฝ่ายที่เรียกร้องให้ไปเลือกตั้ง (ทั้งๆ ที่จุดประสงค์ที่แท้จริง ก็น่าจะเป็นการรักษาระบอบประชาธิปไตยเหมือนๆ กัน)
และเมื่อมีผู้ชุมนุม ก็ต้องมีผู้บันทึกภาพการชุมนุม มาหยาจึงแยกตัวเองออกจากความคิดทั้งหมด และบอกตัวเองว่า ที่ไปคราวนี้ มีจุดประสงค์เพื่อไปบันทึกภาพอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกสนับสนุน ต่อต้าน หรืออื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ดี คิดถึงคำสอนของผู้ที่มาหยาเคารพท่านหนึ่งที่เคยคุยกัน ท่านว่า คนเรามีหน้าที่อย่างไรก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดในสิ่งที่ตนรับผิดชอบอยู่ ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ก้าวก่ายหน้าที่ที่ผู้อื่นรับผิดชอบด้วย เว้นเสียแต่ว่าเป็นการทำงานเป็นกลุ่มที่ต้องมีการติดตามงานซึ่งกันและกัน ซึ่งการติดตามงานนั้น ก็ต้องเป็นไปเพื่อให้งานออกมาประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพื่อแสดงว่าฉันทำได้ดีกว่าเธอ หรือฉันทำเสร็จก่อนเธอ
แล้วหากงานนั้นเป็นงานของประเทศชาติล่ะ งานนี้แม้ว่าจะมีหน้าที่อยู่สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือการแก้ปัญหาและสร้างความมั่นคงให้ชาติให้ลุล่วงไปด้วยดี อีกฝ่ายทำหน้าที่ตรวจสอบว่ากระบวนการต่างๆ ที่ฝ่ายแรกทำนั้นดำเนินไปตามครรลองที่ถูกต้องและเพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงหรือไม่ หากต่างฝ่ายต่างเข้าใจในอำนาจหน้าที่ของตัวเองก็ทำงานกันไปในระบบ ฝ่ายหนึ่งแก้ไขข้อผิดพลาด อีกฝ่ายตรวจสอบเพื่อให้การทำงานลุล่วงไปด้วยดี นั่นต่างหากคือระบบที่น่าสนใจ
แต่ในความเป็นจริงๆ ปัจจุบัน ทุกๆ ฝ่าย ต่างไม่ยี่หระในหน้าที่ที่แท้จริงของตนเลย นอกจากความประสงค์จะกุมอำนาจที่มากกว่าอีกฝ่าย จึงเกิดการ discredit หรือใส่ร้ายป้ายสีกันให้ยุ่งยากวุ่นวายไปหมด ในสิ่งที่บางครั้งตนเองก็กระทำเช่นเดียวกับเขา เข้าทำนอง ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ใส่ไฟกันไปมา บ้านเมืองก็วุ่นวาย
ความบริสุทธิ์เป็นอีกสิ่งที่หลายๆ คนตามหา หลายคนตะโกนด่าอีกฝ่ายว่าไม่สุจริต ไม่โปร่งใส ในขณะเดียวกันก็ถูกตอกกลับเช่นกันว่า ที่ออกมาเย้วๆ ก็ไม่บริสุทธิ์ใจเช่นกัน จากประวัติส่วนตัวที่ยาวเหยียดทั้งสองฝ่ายก็สาวไส้กันไปมา ที่สุดแล้วเลยมองไม่เห็นความดีของทั้งสองฝ่าย ทั้งๆ ที่อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครหรอกที่มีแต่ความชั่วช้าสามานย์เพียงอย่างเดียว แต่ในบางโอกาส บางสถานการณ์ทั้งสองฝ่ายก็ทำให้เราเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีแม้แต่ความดีหรือความเป็นคนอยู่ด้วยซ้ำ หากเราไม่ตรองให้ดี ก็เชื่อเขาไป ก็ด่าอีกฝ่ายไป สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่คนสองกลุ่มทะเลาะกันเท่านั้นหรอก แต่มันน่ากลัวกว่านั้น เพราะกลายเป็นว่า บ้านเมืองแบ่งออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย เริ่มจากความขัดแย้งของคนไม่กี่คน คราวนี้ขัดแย้งแล้ว เรื่องต่างๆ แทนที่จะพูดกันแต่ความเป็นจริง ก็ใส่ไฟกัน และเริ่มฮึกเหิมพูดมั่วเรื่องโน้นเรื่องนี้เอาประโยชน์ใส่ตนกันยกใหญ่ สร้างความฮึกเหิมให้กับฝ่ายสนับสนุนตัวเองอย่างเต็มที่ และกดอีกฝ่ายให้ตกต่ำจมดินไม่ได้เงยหัวขึ้นเช่นกัน
ปรากฏการณ์ที่น่ากลัวอีกอย่างที่มองเห็นชัดเจนจากความขัดแย้งในครั้งนี้คือ การแสดงออกของกลุ่มชน บางครั้งบางคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเขาขัดแย้งกันอย่างไร และจำเป็นหรือไม่ที่ต้องเลือกข้าง เพียงแต่ผู้ที่เขาประกาศตัวเลือกข้างก่อนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ที่รัก เป็นผู้ใหญ่ที่นับถือ เมื่อเขาประกาศตัวแล้ว ก็โดนฝ่ายตรงข้ามแสดงความคิดเห็น บางคนก็ร้อนรนไปร่วมด่าทอกับเขาทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง แต่อ้างความชอบธรรมว่าเพราะเขาด่าครูบาอาจารย์ เขาเอ่ยพาดพิงถึงชื่อสถาบัน โดยลืมตัวไปเสียสิ้นว่า กิริยาที่ตัวเองไปด่าทอตอบเขานั้น มันก็สะท้อนตัวตนที่ไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่ตัวเองด่าทอเขาเลยเช่นกัน
ภาพสะท้อนที่ดีที่สุดของปรากฏการณ์นี้ก็คือ ตัวตนของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นกิริยา วาจา ความคิด ล้วนสะท้อนออกมาจากคำพูดและการกระทำทั้งสิ้น ไม่ใช่เพียงสะท้อนว่าคนคิดอย่างไรเท่านั้น แต่สะท้อนให้เห็นเลยว่า แต่ละคนมีตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร ซึ่งมันลึกกว่าสิ่งที่ผู้นั้นบอกออกมา ว่าเชื่ออย่างนั้น คิดอย่างนั้น อีกด้วย
สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องมีสติระลึกรู้ว่าตนเองเป็นใคร และพูด ทำ คิดสิ่งต่างๆ เพื่อจุดมุ่งหมายอะไร อย่าลืมจุดมุ่งหมายใหญ่ แล้วมายึดติดกับการปกป้องผู้ใดผู้หนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนที่เรารู้จัก หรือเขาเป็นครูบาอาจารย์ของเราเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง ทุกๆ คนมีการตัดสินใจที่จะกระทำสิ่งต่างๆ เป็นของตัวเองอยู่แล้ว และมีสิทธิ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ครูบาอาจารย์หรือเพื่อนสนิทหรือใครๆ ก็ตามที่รู้จักคิดเห็น โดยไม่ถือเป็นความผิดแต่อย่างใด
และหากเพื่อนฝูงหรือมิตรสนิทจะถือเอาความคิดเห็นที่ต่างกันนี้เป็นสาเหตุให้เลือกคบหาสมาคมกันก็คงต้องปล่อยให้เขายึดติดเพียงเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง มิตรภาพที่แท้จริง จะไม่สูญสลายไปเพียงเพราะคิดเห็นไม่ตรงกันในเรื่องที่อยู่ห่างไกลตัว หรือไม่เกี่ยวข้องกับเหตุที่ได้มาซึ่งมิตรภาพนั้นๆ เลย
ต่างคนต่างทำหน้าที่ รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด เหมือนตากล้องที่บันทึกภาพการชุมนุมประท้วง ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร เขาก็คงต้องถ่ายรูปต่อไป
หากจะมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็น่าจะอยู่ที่หากตากล้องเห็นด้วยกับการชุมนุมนั้น ก็พยายามจะเลือกมุมที่ทำให้สถานการณ์ที่ตนบันทึกดูดีดูงดงาม แต่หากต่อต้านสิ่งที่ตนเห็น ก็จะพยายามเลือกมุมที่ทำให้ฝ่ายที่ตนบันทึกนั้นดูต้อยต่ำ และมีแต่ข้อบกพร่องนั่นเอง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอคติเดียวที่คนถ่ายภาพต้องตรองให้ดี ว่าต้องการนำเสนอความจริงแท้ หรือความจริงลวงเพื่อผลประโยชน์สิ่งใด.. กระมัง
แต่ก็นั่นแหละ ยากมาก ที่ใครๆ สักคนจะลบอคติของตัวเองที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าอคตินั้นจะเกิดจากความรัก ความหลง หรือ ความโกรธ ความเกลียดก็ตาม
แม้แต่มาหยาเอง ก็มีอคติจึงถ่ายภาพออกมาเช่นนี้ แม้ว่าจะพยายามเป็นกลางที่สุดแล้ว
เฮ่อออออออออ นี่แหละหนอ เขาจึงเรียกว่า มนุษย์... กระมัง หากละได้หมดสิ้นจริงๆ คงพ้นภพภูมินี้ไปแล้วสินะ อืมมม เวียนวนหลงอยู่ในสังสารต่อไปนะ มาหยาเอ๊ย
หมายเหตุ
ภาพถ่ายท้องฟ้าจะเป็นสีน้ำเงินแบบนี้เฉพาะช่วงเวลาที่ต่อเนื่องระหว่างวันกับคืน ซึ่งทำให้คนถ่ายภาพต้องจับจังหวะดีๆ
ช่วงต่อระหว่างวันและคืนที่สะดวกสำหรับการถ่ายท้องฟ้าให้เป็นสีน้ำเงิน คือ หลังพระอาทิตย์ตกไม่เกินครึ่งชั่วโมง ให้หา subject เตรียมรอไว้เลย แล้วเน้นถ่ายท้องฟ้าประกอบกับแบบที่เลือกไว้ จะได้ท้องฟ้าสีน้ำเงินอย่างภาพแรกๆ ในบล็อกนี้
อีกช่วงเวลาที่จะได้ฟ้าสีน้ำเงินเช่นเดียวกันนี้ คือ ช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า หากตื่นมาถ่ายทัน ซึ่งกรณีนี้มาหยาเพิ่งถ่ายได้เพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น และยังไม่มีภาพดีพอที่จะนำมาอวดได้ จึงขอติดไว้ในโอกาสต่อไป
การถ่ายภาพฟ้าสีน้ำเงินแบบนี้ให้ได้ ต้องเกิดจากการรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่การเร่งรัดเวลาเพื่อดึงสีฟ้าให้ฟ้าเข้มขึ้นด้วยมายาการลักษณะต่างๆ ในการบังคับฟ้าให้มีสีน้ำเงินแบบนี้ก่อนเวลาอันควร
ขอได้รับความขอบคุณจากแมวๆ พิคเจอร์เช่นเคยค่ะ
Create Date : 25 มีนาคม 2549 |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2550 2:05:13 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1687 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กระจ้อน วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:9:21:17 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:9:50:16 น. |
|
|
|
โดย: zMee วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:12:23:51 น. |
|
|
|
โดย: JewNid วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:12:30:14 น. |
|
|
|
โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:13:29:26 น. |
|
|
|
โดย: zaesun วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:21:46:14 น. |
|
|
|
โดย: Anan (anan ) วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:22:45:51 น. |
|
|
|
โดย: ดาว (Sirinut ) วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:22:52:25 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 26 มีนาคม 2549 เวลา:0:19:39 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
เข้าใจหา "มุมมอง" ที่จะเอาภาพมาคุยนะ..ช่างคิดดี