75.ห้องโฮมเธียเตอร์


      Blog นี้จะเล่าเรื่องห้องโฮมเธียเตอร์ ตั้งแต่เริ่มวางแผนสร้างเลยครับ ต้องบอกเลยว่าห้องโฮมเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักๆเลยที่คิดจะสร้างบ้านเอง หรือถ้าพูดแบบไม่เกรงใจภรรยาคือ สร้างบ้านเพื่อห้องโฮมเลยก็ว่าได้ ผมเป็น Home theater Lism ครับ คือพวกบ้าเครื่องเสียงนั่นเอง เล่นเครื่องเสียงมา 5 - 6 ปีแล้วครับ ตั้งแต่อยู่ในหอพักแพทย์เล็กๆ อพาร์ตเมนต์ คอนโด ในห้องที่คอนโดผมนี่มีโปรเจคเตอร์ มีชุดเครื่องเสียง ลำโพงตัวใหญ่ 5 ตัวติดเซอราวด์รอบห้องเลยนะครับ แต่ดูหนังที ต้องเปิดเบาๆ เดี๋ยวโดนด่า 555+


รูปจากคอนโดผมเองครับ ห้อง 56 ตร.ม. ยัดชุดใหญ่เลย



รูปตอนติดตั้งจอ PJT ขวางประตูห้องนอน ขัดใจภรรยา



พอปิดไฟฉายแล้วเป็นแบบนี้ครับ พอไปวัดไปวาได้ แต่ไม่สามารถเปิดเสียงดังๆได้เลย


      ทีนี้พอคิดจะมีบ้านเป็นของตัวเอง อย่างแรกที่มีในหัวเลยคือห้องโฮมจะอยู่ตรงไหน คนส่วนใหญ่จะดูว่ากี่ห้องนอน กี่ห้องน้ำ พื้นที่เท่าไหร่ แต่ผมไม่ครับ ผมมองห้องที่จะทำโฮมเธียเตอร์ก่อนเลย ช่วงก่อนสร้างบ้านที่ไปไล่ดูบ้านจัดสรร ก็เล็งๆไว้ว่าจะเอาห้องนอนเล็กมาทำ แต่ก็ไม่ค่อยเหมาะ ด้วยสัดส่วนห้อง และการกันเสียง แต่พอตอนหลังที่คิดจะสร้างเองเลยง่ายหน่อยครับ คือกำหนดสัดส่วนห้องไว้เลย แล้วเอาไปวางในผังบ้าน ตามสบายเลยครับทีนี้

      โดย Blog นี้จะเขียนเกี่ยวกับการวางแผน และการก่อสร้างห้องโฮม เฉพาะในส่วนของงานโครงสร้าง งานสถาปัตย์ เท่านั้นนะครับ ไม่เขียนถึงการปรับจูนห้อง การแก้อคูสติก การปรับภาพ เสียงนะครับ เพราะผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เอาแค่โครงสร้างพอครับ ส่วนงานปรับ อคูสติกห้อง ผมคงต้องจ้างมืออาชีพมาทำทีหลังอีกที และอีกอย่างคือผมจะเขียนส่วนที่เกี่ยวกับบ้านของผมเท่านั้นนะครับ ไม่ได้ลงลึกไปในส่วนของความรู้ในการทำผนัง หรือความรู้เรื่องค่าดูดซับ ค่าสะท้อน การทำฝ้า ทำผนังเบาเฉพาะทาง หรือวัสดุบุต่างๆ เพราะถ้าลงลึกเรื่องพวกนั้น ก็คงต้องเขียนอีกหลาย 10 blog แน่นอน

     ใน Blog นี้จะแบ่งเป็น 2 part นะครับ คือในส่วนของทฤษฎี และส่วนของบ้านผมเอง เนื้อหาใน Part แรก จะออกแนวหนักๆ เนื้อเยอะ น้ำน้อย มีวิชาการหน่อยๆนะครับ ใครที่ไม่สนใจเรื่องห้องโฮมก็อ่านผ่านๆ หรือไม่ต้องอ่านก็ได้ครับ ไม่ว่ากัน ^^ ใน part ที่สองก็เป็นรูปทั้งหมดของบ้านผมเองครับ ตั้งแต่ฐานราก ยันเสร็จ ไปดูกันเลย


Part 1 หลักเบื้อต้นในการทำห้องโฮมเธียเตอร์


การจะสร้างห้องโฮมสักห้องนึง สิ่งสำคัญที่ต้องนึกถึง และวางแผนไว้ก่อนเลยมีห้าข้อครับ

1.ขนาดของห้อง
2.การกันเสียงรบกวนออกนอกห้อง
3.ระบบไฟฟ้า
4.การวางสายสัญญาณ
5.การปรับอคูสติก

     ทั้งห้าข้อสำคัญหมดเลยนะครับ ถ้ารักจะทำห้องจริงๆ ก็ต้องเตรียมวางแผน 5 ข้อนี้แต่เนิ่นๆ โดยผมจะพูดถึงรายละเอียดของห้องผมแต่ละข้อเลยครับ แต่จะไม่พูดข้อ 5 นะครับ เพราะตรงนั้นผมไม่เชี่ยวชาญนัก เป็นเรื่องของมืออาชีพดีกว่า 

1.ขนาดของห้อง

     คนเล่นเครื่องเสียงมือเก๋าๆ จะรู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของห้องโฮม ก็คือขนาดของห้อง สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นเครื่องเสียงคงสงสัยว่าขนาดเกี่ยวอะไรด้วย ขนาดของห้องจะสัมพันธ์กับความยาวคลื่นเสียงครับ ถ้าขนาดของห้องไม่ดี คลื่นเสียงจะสะท้อนกลับไปกลับมา(เรียกว่า Resonance หรือ การกำธร) เหมือนเราโยนหินลงน้ำสองก้อน ช่วงยอดคลื่นมาชนกันก็จะทำให้กลายเป็นคลื่นก้อนใหญ่ขึ้น ทีนี้ถ้าเกิดการกำธรไปเรื่อยๆ เสียงก็จะตีกันมั่วไปหมด ดังนั้นจึงมีผู้รู้ทำการคำนวนและกำหนดขนาดของห้องคร่าวๆที่ช่วยลดการกำธรแบบนั้นลงครับ  เราเรียกว่า    สัดส่วนทองคำ



สัดส่วนทองคำ โดย L.W. sepmeyer เวบ Cinemascope.com

จากรูปนี้ก็จะเห็นว่าสัดส่วนของเรามีให้เลือกสามขนาดเลยนะครับ A B C ก็สามารถไปปรับใช้กับบ้านเราได้ ถ้าเราจะสร้างห้องใหม่เลยก็ไม่ยากครับ เอาความสูงของห้องเป็นหลัก (ก็คือค่า c ในสูตร) จากนั้นเราก็จะได้ความกว้าง และยาวมา

เช่นต้องการห้องสูง 2.7 เมตร จะต้องทำผนังกว้าง-ยาว เท่าไหร่ ก็เอาเข้าสูตร 
ห้องขนาด A กว้าง 2.7x1.14 = 3.078 เมตร และความยาว 2.7x1.39 = 3.753 เมตร
ห้องขนาด B กว้าง 2.7x1.28 = 3.456 เมตร และความยาว 2.7x1.54 = 4.158 เมตร
ห้องขนาด C กว้าง 2.7x1.6 = 4.32 เมตร และความยาว 2.7x2.33 = 6.291 เมตร

เราก็เอาเทียบกับบ้านของเราว่าควรจะทำห้องเท่าไหร่ดี ตามงบ และตามพื้นที่ที่เราต้องการ ดังนั้นห้องของผมก็ออกมาที่สูตร C คือ 2.7 x 4.32 x 6.291 เมตรครับ


ขนาดห้องโฮมตามแบบก่อสร้างจริงจะกว้าง 4.7 ยาว 6.2 จะเห็นว่าขนาดตามแบบจะเหลื่อมอยู่นิดๆ เนื่องจากงานโครงสร้างต้องสัมพันธ์กับส่วนอื่นของบ้าน แต่เราแก้ด้วยการก่อ การฉาบได้ครับ


      อ้าว แล้วถ้าผมมีบ้านอยู่แล้ว หรือไม่ได้คิดจะสร้างบ้าน แต่ซื้อบ้านจัดสรรจะทำยังไง ก็ไม่ยากครับ เราก็เลือกห้องที่เหมาะๆ เบิ้ลผนังเบา และตีโครงฝ้าใหม่ ให้ได้ตามขนาดครับ ไม่ยากเลย(ถ้ามีเงิน 55+) แต่ถ้ามันขยับขยายไม่ได้แล้วจริงๆ ก็ไม่ต้องซีเรียสครับ ถ้าเราไม่ใช่พวกหูทิพย์ หูทอง เราแค่ดูหนังเอาสนุก ก็ใช้ห้องเดิมๆได้ครับ แต่ข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือ ห้องไม่ควรเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่าครับ นอกนั้นจะกว้าง จะยาวได้หมด หรือสุดท้ายมันแก้ไม่ได้จริงๆ ห้องที่ภรรยาอนุญาตให้เป็นห้องดูหนัง ดันเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่า ก็มีวิธีแก้ด้วยอคูสติกครับ ไม่ต้องห่วง ถึงไม่ 100% ก็ยังดีครับ


2.การกันเสียงรบกวน เข้า/ออกนอกห้อง

     แน่นอนครับ ห้องโฮมเธียเตอร์ ก็ต้องการความสงบเงียบในการดูหนัง ฟังเพลง และด้านนอกห้องก็ต้องการไม่ให้เสียงรบกวนออกไปเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างหลัง ตรงนี้เป็นจุดอ่อนที่สุดของห้องที่เอาไว้ดูหนังครับ เพราะคนส่วนใหญ่ ซื้อแต่เครื่องเสียงเข้ามาในห้อง แต่ไม่ได้คำนึงถึงเสียงของเรา ที่จะไปดังรบกวนคนอื่นเขา คนอื่นๆที่หมายถึงนี่ก็รวมถึงเมียของเราด้วยครับ ถ้ายิ่งไปรบกวนโสตประสาทคุณเธอเข้า เราอาจอดเล่นเครื่องเสียงไปอีกนาน 555+ 

ผมจะแบ่งหัวข้อย่อยๆดังนี้นะครับ
1.ผนังห้อง
2.ประตูและหน้าต่าง
3.ฝ้าเพดาน

1.ผนังห้อง

    ก่อนจะไปถึงว่าจะกันเสียงยังไง เรามาดูพื้นฐานความรู้นิดนึงครับ ความดังของเสียงมีหน่วยเป็น เดซิเบล(db) เราคงรู้กันอยู่แล้ว ทีนี้เสียงกี่ db จะดังเท่าไหร่ ก็มีตารางเปรียบเทียบง่ายๆครับ


ตารางเทียบความดังของเสียง

    ห้องโฮมของเรานั้น ความดังอยู่ที่ราวๆ 80-100 db ครับ (ถ้าตามหลัก THX การ Set Default ความดังของลำโพงจะอยู่ที่ 80db ) ดังนั้นเสียงที่ดัง 80db คงไม่โสภาแน่ๆถ้าคนนอกห้องได้ยิน เราจึงต้องมีวิธีการกำจัด หรือลดทอนความดังลง เพื่อให้คนนอกห้องไม่รำคาญ ซึ่งก็ควรจะเหลือสัก 30-40 db ก็กำลังดีครับ และยิ่งถ้าดูหนังช่วงกลางคืน ก็ควรจะลดเหลือแค่ 20-30 db ก็พอ ค่าของการกันเสียงเราจะเรียกว่า ค่า STC (Sound Transission Class) ยิ่งมีแค่า STC มาก ก็แปลว่ายิ่งกันเสียงได้ดี เช่นผนังนี้ ค่า STC = 42 ก็แปลว่า ผนังสามารถกันเสียงได้ 42db จากความดังในห้อง 90db ก็จะเหลือ 48db ครับง่ายๆ

   ดังนั้นเราต้องทำยังไงก็ได้ที่ทำให้ห้องโฮมเรากันเสียงได้ 50db ขึ้นไป และยิ่งมากยิ่งดี ก็มีหลายวิธีด้วยกันครับ (โดยบทความดังต่อไปผมดัดแปลงจากเวบ Thaidvd.net โดยคุณ Spybug นะครับ เวบนี้เป็นเวบที่ทำให้ผมเริ่มเปิดเข้าสู่โลกแห่งเครื่องเสียงเลยครับ) 

ก.ผนังก่ออิฐฉาบปูนธรรมดา



ผนังก่ออิฐฉาบปูนธรรมดา ที่พบได้ในบ้านทั่วๆไป

  ผนังก่ออิฐมอญฉาบปูนโดยทั่วๆไป ค่า STC จะอยู่ที่ 42 ซึ่งไม่พอกับการกันเสียงโฮมของเราแน่นอนครับ

ข.ผนังก่ออิฐฉาบปูน 2 ชั้นเบิ้ล



ผนังก่ออิฐเบิ้ลแบบชิดกัน แบบนี้คงไม่มีคนทำเท่าไหร่ครับ

ผนังแบบนี้ค่า STC อยู่ที่ 52 ก็โอเคนะครับ แต่ต้องเบิ้ลอิฐสองชั้น ห้องหนาขึ้น คานรับน้ำหนักมากขึ้น

ค.ผนังอิฐมอญก่อสองชั้น เว้นช่องว่างตรงกลาง 10 เซน และใส่ฉนวนกันเสียง



ผนังก่ออิฐมอญสองชั้น เว้นช่องว่างตรงกลาง ใส่วัสดุกันเสียง บ้านผมเป็นแบบนี้ครับ

     ผนังแบบนี้ แน่นอนกันเสียงได้ดีที่สุด อยู่ที่ 72db โอ้ ดีมากๆเลย จะคล้ายๆกับแบบที่สอง แต่เพิ่มระยะห่าง และใส่แผ่นกันเสียงเข้าไป จะเห็นว่าค่ากันเสียงดีสุด แต่ข้อเสียคือต้องมีการออกแบบคานรับน้ำหนักผนังไว้แต่แรก ความหนาของกำแพงจะมากขึ้น ทำให้ระยะภายในห้องแคบลง  ห้องผมเลือกวิธีนี้ครับ เพราะห้องโฮมแยกมาจากตัวบ้าน อยู่โดดๆด้านหลัง กลัวเพื่อนบ้านจะได้ยิน แล้วหมู่บ้านผมกลางคืนเงียบมาก ก็เลยใช้การกันเสียงวิธีนี้ไปเลยครับ ก็ให้สถาปนิกออกแบบไว้เลยตั้งแต่แรก 

ง.ผนังโครงคร่าวเหล็กกัลวาไนซ์ บุด้วยวัสดุกันเสียง ปิดทับด้วยยิปซั่มบอร์ด



ผนังก่ออิฐฉาบปูนเดิมๆ เบิ้ลด้วยโครงคร่าว + วัสดุกันเสียง + ยิปซั่มบอร์ด

    ผนังนี้ค่า STC อยู่ที่ 62 โอ้วว เยอะมาก เบาด้วย และสามารถบิ้วทับผนังเดิมๆได้เลยไม่ต้องทุบแก้ วัสดุกันเสียง กับวัสดุซับเสียง เป็นคนละแบบกันนะครับ ส่วนใหญ่ชอบสับสน วัสดุกันเสียง ก็คือตัวที่เอาไว้กันเสียงออก/เข้า จะบอกค่ากันเสียง STC แต่วัสดุซับเสียง จะลดการสะท้อนของเสียงในห้อง ซึ่งจะเอามาใช้กันเสียงไม่ได้นะครับ ระวังให้ดีเวลาเลือกซื้อ โดยวัสดุกันเสียงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกใยแก้วนะครับ ซึ่งก็มีขายหลายตัว แต่ตัวที่ผมแนะนำและนิยมใช้คือ SCG Cylence รุ่น Zound Block ครับ



วัสดุกันเสียง SCG Cylence รุ่น Zound Block


      เป็นใยแก้ว แล้วหุ้มพลาสติกกันใยแก้วฟุ้งอีกที ใยแก้วพวกนี้เราบุด้านในผนังอีกที จริงๆก็ไม่ต้องกลัวเราหายใจเข้าไปนะครับ แต่ถ้ากลัว หากเรามีการตัด หรือฉีกถุง ก็ให้แปะด้วยเทปเหนียวตรงรอยแกะอีกชั้นก็ได้ครับ ใยแก้วมีค่า STC 20 ครับ ใช้ได้ทีเดียว



รูปการติดตั้งจะเป็นลักษณะนี้ครับ (ขอบคุณภาพจาก Zen Acoustic)



นี้เป็นรูปจริงที่หามาจาก Google

   ซึ่งการกันเสียงแบบที่ 3 นี้ เป็นวิธีที่ดี และก็นิยมใช้ทั่วไปครับ ตามห้องซ้อม หรือห้องโฮมที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ใช้แบบนี้ครับ รับรองจบ ถ้าท่านอยากให้กันเสียงได้เพิ่มก็ติดแผ่นยิปซั่มเพิ่มไปเป็นสามชั้นสี่ชั้นก็ได้ แต่หนาไปก็เพิ่มน้ำหนักและห้องแคบลงนะครับ ก็คำนวนดีๆ   สำหรับบ้านทั่วไป ที่มีผนังเดิมอยู่แล้วแนะนำให้เลือกการทำผนังกันเสียงแบบนี้ครับ เพราะทำง่าย ติดตั้งทับผนังเดิมได้เลย และสามารถขยับระยะผนังให้เข้ากับสัดส่วนทองคำได้โดยไม่ต้องไปทุบผนังปูนให้เสียของ


2.ประตูและหน้าต่างกันเสียง

      นอกจากผนังที่กันเสียงแล้ว สิ่งที่สำคัญ และเป็นเส้นผมบังภูเขา ที่ทำให้เสียงในห้องโฮมยังออกไปนอกห้องได้อยู่ ก็คือประตูและหน้าต่างนั่นเองครับ และก็มักจะเป็นปัญหาที่แก้กันยากมาก จริงๆวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปจ้างช่างทำประตูเก็บเสียงมาติดเลยครับ(เหมือนประตูโรงหนัง หรือห้องซ้อมดนตรี) แต่ราคาแพงมากๆ แถมช่างที่ทำเป็นก็น้อย วงกบก็ต้องใช้ต่างหาก หรือไม่งั้นก็ใช้ประตูเหล็กกันไฟไปเลยครับ หาซื้อง่าย แต่ไม่สวย แถมถ้าใครมองมาเห็นประตูหนีไฟในบ้านคงแปลกๆ 



รูปประตูกันเสียงแบบเดียวกับห้องซ้อมดนตรี หรือโรงหนัง ราคาบานละไม่ต่ำกว่า 3 หมื่น



ประตูเหล็กหนีไฟ จริงๆก็เท่ดีนะครับ 55+

        ถ้าเราไม่อยากไปซื้อ หรือหาช่างมาทำประตูโรงหนังแพงๆ ก็มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นครับ คือดัดแปลงประตูที่เรามีได้ โดยดัดแปลงได้สองทางคือ ทำประตูบานเดียวของเดิมๆให้หนักขึ้น หรือทำประตูสองบาน                        

 การทำประตูบานเดียวให้หนักขึ้น ก็ทำได้โดยเอาแผ่นยิปซั่มหนา 12 มิล มาตีประกบกับบานประตูไปเลยครับสอง หรือสามแผ่น แล้วตกแต่งให้สวย ใช้สักกะหลาด หรือยางหุ้มก็แล้วแต่เลยครับเพื่อให้ประตูหนักขึ้น หนาขึ้น ค่ากันเสียงก็มากขึ้น แต่ก็ต้องติดบานพับเยอะหน่อยนะครับ ประตูแบบนี้จะกันเสียงได้ 44 db  



เอายิปซั่มตีตอกทับบานเดิมเลยครับ

การทำประตูสองชั้น(สองบาน) โดยประตูสองชั้นก็ทำได้ทั้งแบบผนังปกติวงกบเดียว  และผนังสองชั้นสองวงกบ บ้านทั่วๆไปส่วนใหญ่ก็จะมีวงกบเดียว แต่ต้องให้ช่างไม้ทำบังใบสองด้าน(สั่งพิเศษหน่อย) แล้วติดประตูสลับด้านกัน ดัดแปลงมือจับออกด้านนึงเพื่อไม่ให้ชนกัน แต่ถ้าผนังสองชั้น ก็สามารถติดวงกบได้สองบาน ประตูสองบานได้สบายๆครับ ระหว่างบานประตู ก็สามารถติดแผ่นกันเสียง หรือแผ่นซับเสียงเข้าไปเพิ่มก็ได้ เพื่อเพิ่มค่า STC ขึ้นไปอีก และตรงขอบประตูก็ไปหาซื้อพวกยางซีลขอบจากห้างค้าปลีกทั่วไป( Homepro Global บุญถาวร หรือไดโซะ ยังมีขายเลยครับ) เอามาแปะตรงขอบประตู เพื่อให้ปิดแล้วแน่นหนึบสนิทดี เสียงไม่ออกแน่นอน



การติดตั้งประตูสองบาน รูปจากเวบ //www.acoustics101.com


    สิ่งสำคัญอีกอย่างของประตูคือตำแหน่งการวางประตูครับ กูรูแนะนำว่าจะวางตรงไหนก็ได้ ยกเว้นอยู่สองตำแหน่งคือ ตรงมุมห้อง เพราะจะเป็นศูนย์รวมเบส เอาประตูวางตรงนั้นรับรองกระพือแน่นอน และอีกตำแหน่งคือตรงกลางห้องเป๊ะครับ ผิดหลักอคูสติก แต่ผมเสริมให้อีกอย่างคือ อย่าวางตรงตำแหน่งที่จะวางลำโพงเซอราวด์ข้างและเซอราวด์หลัง ขืนไม่คิดเรื่องตำแหน่งก่อน ไปวางประตูตรงจุดวางลำโพงพอดี มีตกแตกแน่ๆ ยกเว้นห้องกว้างมากๆๆ เปิดประตูยังไงก็ไม่โดนลำโพง ก็ตามสบายเลยครับ

    สุดท้ายหน้าต่างห้องโฮม จะมีหรือไม่มีก็ได้ ตอนแรกผมก็ไม่มีนะครับหน้าต่าง แต่ก็คิดว่าหากไม่มีห้องอาจจะอับ และร้อนแน่ๆ เพราะอยู่ใต้หลังคาแสลป   และผมคิดเองว่าหากมีหน้าต่างอาจทำให้การกันเสียงเข้า/ออกไม่ดี แต่ผมไปดูห้องโฮมของเพื่อนท่านนึง   ที่เป็นห้องระดับ Reference เลยนะครับ เขาก็มีหน้าต่าง ผมก็เลยได้ไอเดียมาทำบ้าง โดยทำเป็นหน้าต่างสองชั้น สองวงกบ ปรากฏว่ากันเสียงได้ดีทีเดียวครับ แต่บางท่านที่ไม่ทำหน้าต่าง ก็ใช้เครื่องฟอกอากาศแทน ก็แล้วแต่นะครับ ไม่มีกำหนดตายตัว แต่มีหน้าต่างก็ต้องติดม่าน Black out ด้วย เพื่อกันแสงลอดเข้ามาในห้อง


3.ฝ้าห้องโฮม

       ฝ้าห้องโฮม ก็จะคล้ายๆกับผนังห้องโฮมครับ วิธีการทำก็คล้ายๆกันเลย คือตีโครงคร่าว บุวัสดุกันเสียง และปิดด้วยแผ่นฝ้า แต่ก็มีนิดนึงตรงโครงฝ้า แนะนำให้ใช้เหล็กกล่อง หรือไม้ ตีเป็นโครงฝ้า เป็นตารางถี่ๆ 40x40 เลยนะครับ และใช้เหล็กฉากเหล็กฉาก ขันน๊อต หรือเชื่อมยึดกับโครงหลังคา หรือท้องพื้นชั้นสองเลยครับ อย่าใช้สลิง หรือขอเกี่ยวแบบฝ้าทั่วไป เพราะพอเสียงระเบิดลง ฝ้าสั่นตามแน่นอน การยึดกันระหว่างโครงฝ้าก็ใช้วิธีขันน๊อต อย่าใช้ตัวกิ๊บหนีบ หรือตีตะปู พอตีโครงเสร็จ ให้ทดสอบโดยเอาไม้ยาวๆไปเคาะ ถ้ามีเสียงสั่นแกร่กๆๆๆตรงไหน ก็ให้ขันน๊อตให้สนิท ของบ้านผมเพดานเป็นพื้นปูนแสลปอยู่แล้ว จริงๆไม่ต้องตีฝ้าก็ได้ แต่ผมตีเพื่อความสวยงามและบังตาจากพวกท่อร้อยสายต่างๆครับ



ตีโครงฝ้าด้วยไม้ ยึดด้วยน๊อตเกลียวทุกจุด รูปจากห้องหมอเอก เวบ htg2 นะครับ


        แผ่นฝ้าจะใช้แผ่นฝ้าเฉพาะทางอคูสติกที่เป็นรูๆก็ได้ หรือจะใช้แผ่นฝ้ายิปซั่มก็ได้ครับ แต่แนะนำให้ใช้หนาๆหน่อย หาให้หนาที่สุดเท่าที่จะหาได้ก็ดีครับ 12 หรือ 13 มิลก็ดี ยึดกับโครงฝ้าด้วยน๊อตเช่นกัน ขันให้แน่น


ฝ้าซับเสียงแบบต่างๆ


แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ ระบบกันเสียงออกจากห้องเรา จะได้ฟังเพลง ดูหนังอย่างสบายใจ ไร้เสียงบ่นจากภรรยาและบ้านข้างเคียงอิอิ

3.ระบบไฟฟ้า

        ระบบไฟฟ้าก็เป็นเส้นผมบังภูเขาอีกอันนึงของการทำห้องโฮม บางคนทำห้องอย่างดี กันเสียงออกได้เงียบกริ๊บ แต่มาตกม้าตายเอาเรื่องระบบไฟฟ้า เคยเจอไหมครับเปิดไฟแล้วทีวีกระพริบ แอร์ตัดแล้วเครื่องเสียงมีเสียงดัง หรือเปิดปั๊มน้ำแล้วภาพทีวีเบลอ ปัญหามาจากระบบไฟมันกวนกันครับ ดังนั้น ถ้าคิดจะทำห้องโฮม ก็ต้องแยกระบบไฟออกมาเลยจากตัวบ้านดีที่สุดครับ เหมือนน้ำประปา หากน้ำไม่สะอาด มีตะกอน พวกสายฝักบัว เครื่องทำน้ำอุ่นก็อาจอุดตัน หรือเสียเร็วขึ้น ดังนั้นไฟที่สะอาด ไร้สัญญาณกวน ก็จะทำให้การรับชมภาพและเสียงดีขึ้นมากครับ 

โดยผมมีแผนงานหลักๆดังนี้
1.เดินสายเมนไฟห้องโฮมแยกออกมาจากเมนไฟของบ้าน
2.ติดตั้งตู้เมนไฟของห้องโฮมโดยเฉพาะ
3.เดินสายไฟภายในห้องโฮมจุดต่อจุด
4.ติดตั้งสายดินแยกจากตัวบ้าน
5.แยกไฟแส่งสว่างและแอร์ห้องโฮม

เรามาดูทีละข้อ

1.เดินสายเมนไฟแยกจากตัวบ้าน

      คำว่าเดินเมนแยกจากตัวบ้านนี่คือเดินแยกก่อนเข้าตู้เมนหลักของบ้านเลยนะครับ เรียกว่าจากมิเตอร์มาก็แยกเส้นนึงเข้าบ้าน เส้นนึงมาที่ห้องโฮมเลย อย่าใช้วิธีเข้าตู้เมน แล้วแตกลูกย่อยมานะครับ โดยการเดินแยกนั้นจะใช้การจั๊มที่ขั้วตู้เมนโดยตรง(ก่อนเข้าเมนเบรคเกอร์ของบ้าน) หรือจะใช้ Spliter แยกก็ได้ครับ โดยสายไฟเมนที่แยกมาแนะนำให้ใช้ขนาด 10mm ขึ้นไปครับ เบอร์ 16 ได้ยิ่งดี เพื่อกระแสที่ไหลลื่น ของผมใช้สาย THW เบอร์ 16 ครับ



ไดอะแกรมการเดินไฟแยกสาย




เบรคเกอร์ 2 Pole ใช้เพื่อแยกสายไฟจากมิเตอร์เมนเข้าบ้านทางนึง ไปห้องโฮมอีกทางนึง ซื้อได้ตามร้านไฟฟ้า รูปจากคุณ 108 เวบ //www.teerawatj.com/webboard/index.php?topic=63.0


     การจั๊มต่อแบบนี้ต้องระวังให้ดีนะครับ เพราะการไฟฟ้าไม่รับรอง การไฟฟ้าเราให้ใช้แค่ 1 สายเมน ต่อ 1 เบรคเกอร์เท่านั้น เพราะกลัวว่าเราจะใช้ไฟเกินแล้วมิเตอร์อาจไหม้ หรือมีปัญหาได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นเราขอไฟ 15/45 เฟสเดียว ก็จะรองรับได้สูงสุด 45แอมป์ ถ้าเราใช้ไฟเกิน 45 แอมป์ ตัวเมนเบรคเกอร์ก็จะตัดไฟ แต่ถ้าเราจั๊มแยกสายไปห้องโฮมก่อนเข้าเมนบ้าน สมมติเราใช้ไฟในบ้าน 40 แอมป์ เมนเบรคเกอร์ก็จะไม่ตัด และบังเอิญเราใช้ไฟห้องโฮมอีก 20 แอมป์(สมมตินะครับ จริงๆไม่ถึงหรอก) ก็จะรวมเป็น 60 แอมป์ กระแสก็จะไปโหลดที่มิเตอร์ ก็ทำให้มิเตอร์ไหม้ เสียหายได้ครับ

ดังนั้นหากท่านจั๊มแบบนี้แล้วไปยื่นขอไฟ พอการไฟฟ้าเขามาตรวจเขาจะไม่ให้ผ่านนะครับ ต้องไปขอก่อน ได้มิเตอร์มาแล้วก็ค่อยจั๊มทีหลัง

[[[ คำเตือน สำคัญมากๆๆๆ!!! ก่อนที่ท่านจะจั๊มไฟแบบนี้ ท่านต้องรู้ก่อนว่าบ้านท่านมิเตอร์ขนาดเท่าไหร่ และใช้ไฟอยู่เท่าไหร่ อาจให้วิศวะไฟฟ้า หรือผู้รู้มาตรวจสอบก่อน หากใช้ไฟปริ่มๆจะเกินมิเตอร์ ก็อย่าจั๊มแบบนี้เด็ดขาด ให้ท่านไปดำเนินการขอไฟเพิ่ม หรือเปลี่ยเป็นสามเฟส ก็จะปลอดภัยขึ้นครับ ]]]

2.ติดตั้งตู้เมนไฟของห้องโฮมโดยเฉพาะ 

เมื่อเดินสายเมนมาแล้ว ก็เอามาเข้าตู้เมนเบรคเกอร์ของห้องโฮมแยกต่างหากเลย ก็ง่ายๆครับ เหมือนติดตั้งตู้เมนบ้านน่ะแหล่ะ ไปซื้อตู้คอนซูมเมอร์มา แล้วก็ไปซื้อเมนเบรคเกอร์ ลูกย่อยต่างๆ ขนาดที่ใช้เมนเบรคเกอร์ก็ไม่เกินเมนของบ้าน ลูกย่อยใช้ขนาด 20 - 25 แอมป์แล้วแต่อุปกรณ์ของเรา

      ส่วนจะใช้ของยี่ห้ออะไร ตรงนี้ก็มีถกเถียงกันเหมือนกันครับ แต่แนะนำว่าถ้าจะไปให้สุด ก็อย่าใช้ของ Square D ไม่ใช่มันไม่ดีนะครับ แต่ว่าตู้ของ SqD มันเป็นแบบ Plug-in คือซื้อมาเสียบกรึ๊บเลย ง่ายดี แต่ว่าพวกเบรคเกอร์สำหรับ Audiophile Hi-End มักจะเป็นแบบให้เข้าสายหัวท้าย มันจะใส่เข้ารางของ Suare D ไม่ได้ครับ ซึ่งแนะนำให้ใช้ของที่มาจากยุโรป เช่น ABB, Seimens เผื่ออนาคตท่านอยากอัพเกรด จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนยกตู้


ตู้คอนซูมเมอร์ และเบรคเกอร์ย่อยของ ABB และ Seimens ของ Seimens หายากมากแล้วครับ อาจต้องสั่งจากเวบนอก เมืองไทยไม่ค่อยมีขายแล้ว ตอนผมหาก็ไม่เจอ

     นอกจากเบรคเกอร์และลูกย่อยแล้ว อุปกรณ์ที่สำคัญอีกอย่างที่ควรติดตั้งในตู้เมนก็คือตัวกันฟ้าผ่าครับ (หรือเรียกว่า Surge Protector) เป็นตัวที่เอาไว้กันไฟกระชากจากฟ้าผ่า หลายท่านอาจคงเคยได้ยิน หรือเจอกับตัวเอง เวลาฟ้าแรงๆลงใกล้ๆ ทีวีพัง มานักต่อนัก เครื่องเสียงเราอ่อนไหวต่อกระแสไฟมากครับ ดังนั้นกันได้ดีกว่าแก้แน่นอน แต่อุปกรณ์กันฟ้าผ่า หาซื้อค่อนข้างยากนิดนึงครับ ตามร้านโฮมต่างๆ ไม่ค่อยมี ผมต้องสั่งจากบริษัท ABB Thailand โดยตรงเลยถึงจะมี ราคาประมาณสองพันกว่าบาท คุ้มแน่นอนครับ อย่าเสียดายตัง



ผมใช้ตัวนี้ของยี่ห้อ ABB ครับ หน้าตาคล้ายๆลูกย่อยแหล่ะครับ ก็ยัดใส่ลงไปในตู้ได้เลย


3.เดินสายไฟภายในห้องโฮม

      สายไฟที่ออกจากตู้เมนห้องโฮม ก็ให้เดินสายร้อยท่อ ไปที่ปลั๊กไฟ(เต้ารับ) แต่ละตัวแบบ 1:1 เลยนะครับ ก็คือออกจากลูกย่อย ก็ร้อยท่อไปที่เต้ารับเลย ของใครของมัน ไม่ต้องมีรอยต่อรอยจั๊มใดๆเพื่อความสะอาดหมดจดของกระแสไฟ   

     ขนาดของสายไฟที่เดินไปเต้ารับก็มีแนะนำหลากหลาย แต่ก็แนะนำว่าควรจะมีขนาดตั้งแต่ 4mm ขึ้นไปครับ จะ 4 6 10 ก็ได้ แต่ข้อเสียของสายใหญ่ๆคือจะเข้าหัวปลั๊กได้ยากมาก บางทีเข้าได้ก็ยัดเขาบล๊อคผนังไม่ได้อีก ช่างไฟก็ไม่ชอบเพราะเจ็บมือ ก็ต้องคุยดีๆ อีกอย่างถ้าสายใหญ่ ขันไม่แน่นมันจะหลวม พอยัดเข้าไปในบล๊อคผนังอาจหลุดออกมาช๊อตกันได้เหมือนกันครับ ก็จะมีบางกูรูแนะนำให้ใช้สาย 2.5 เนี่ยแหล่ะ เดินคู่สองเส้นตีเกลียวไปเลย เพื่อลดการเหนียวนำแม่เหล็กได้อีกด้วย ก็ว่ากันไปครับ ส่วนของผมใช้สาย Yazaki เบอร์ 6 กำลังดีครับ ส่วนยี่ห้อของปลั๊กผนัง ผมคงไม่ลงไปลึก เพราะเดี๋ยวจะยาว 555+



ในรูปนี้เป็นสายเบอร์ 6 จะเห็นว่าเส้นโตมาก ถ้าเข้าไม่ดีก็มีหลวมได้ แถมพอจะยัดใส่ Block ก็ยัดยาก เพราะสายใหญ่ (ปกติสายมาปลั๊กไฟจะใช้แค่ 2.5mm.) รูปจากคุณ 108 เวบ //www.teerawatj.com/webboard/index.php?topic=63.0



สายไฟ 2.5 ตีเกลียว(มัดรวมเป็น 1 เส้น) ใช้แทนเบอร์ 6 ก็ได้นะครับ บางสำนักก็แนะนำแบบนี้


4.ติดตั้งสายดินแยกจากตัวบ้าน 

        เมื่อแยกระบบไฟแล้ว ก็ต้องแยกระบบสายดินด้วยนะครับ โดยสายดินที่ต่อจากตู้เมนในห้องโฮม ก็ใช้สายเดียวกับสายเมนเนี่ยหล่ะครับ เดินไปยังหลักดิน เลือกตำแหน่งที่ไม่ไกลห้องโฮมนัก เพราะว่าไฟจะได้ไปได้สะดวก แต่ให้ปักไกลๆจากหลักดินของตัวบ้าน ยิ่งไกลยิ่งดี เพื่อป้องกัน Loop (ไฟรั่วลงสายดินจากตัวบ้าน ผ่านดินชื้นๆ ไหลเข้าหลักดินของห้องโฮม แล้วย้อนขึ้นมาที่ระบบไฟห้องโฮม) ตัวหลักดินก็แนะนำให้ใช้ทองแดงตันยาวไม่ต่ำกว่าสามเมตร ส่วนจะปักเป็นสามเหลี่ยม หรือจะปักอันเดียวก็แล้วแต่ความเชื่อครับ จะบอกว่ามีบางคน ปักหลักดินยาว 15 เมตรก็มีนะครับ ทำเป็นเล่นไป



เจ้าของบ้านท่านนี้ ตอกหลักดินเป็นสามเหลี่ยมเบ้อเริ่มเลยครับ รูปจากคุณ Nuumie เวบ //thaiaudioclub.net/board/index.php?topic=17827.0


5.แยกไฟแสงสว่างและแอร์ห้องโฮม

       ระบบไฟส่องสว่าง และแอร์ในห้องโฮม ให้เดินมาจากตู้เมนไฟบ้านครับ อย่าใช้ตู้เมนเดียวกับตู้ห้องโฮม โดยให้วางแผนกำหนดจุดมาเลยว่าจะติดตั้งตรงไหน เวลาเจาะร้อยท่อ จะได้ไม่ชนกันกับสายไฟห้องโฮม ร้อยแยกท่อใครท่อมันกับไฟห้องโฮมนะครับ อย่ามัดรวมกันแล้วเดินไปคู่กัน แยกให้หมด  ส่วนตัวผมแนะนำให้มีปลั๊กไฟ เดินสายมาจากตู้เมนบ้านด้วยก็ดีครับ สักสองสามจุด เผื่อจะเอาไว้เสียบอุปกรณ์อื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับห้องโฮม เช่นคอมพ์ พัดลม โคมไฟต่างๆ

      โคมไฟแบบไหนดี มีกูรูแนะนำว่าเป็นไฟโคมชนิดรางดีสุด เนื่องจากยึดแน่นกับผนัง เวลาเบสลงหนักๆ มันไม่สั่น ถ้าใช้ดาวน์ไลท์ บางครังเบสลงหนักๆ ก็กระพือ แต่จริงๆก็ใช้ตามที่สะดวก หรือที่เราชอบก็ได้ครับ เพียงแต่ตอนยึดติด เอาให้แน่นหนา ถ้าแน่นไม่พอก็ยิงซิลิโคน หรือกาวร้อนยึดอีกทีก้ได้ครับ 



ไฟรางแบบนี้ แต่ก่อนเป็นฮาโลเจน ร้อนและกินไฟ แต่ตอนนี้มีแบบ LED ขายเพียบ แต่ราคายังสูงอยู่เหมือนกันครับ

      มีคนพูดถึงเรื่องแอร์เหมือนกัน ว่าติดกี่ BTU ดี ติดตัวเดียว หรือสองตัวดี เพื่อให้ลดเสียงรบกวน อันนี้ก็สุดแท้แต่ครับ คนรู้จักผมทำห้องโฮม เดินแอร์แบบห้างเลย คือแอร์ใหญ่ เดินท่อยาวๆเข้ามาเป่าลมในห้อง เงียบแน่นอน แต่ก็เวอร์เกิ๊น เสียงแอร์ดังตั้งแต่ 20 - 30 db เองครับ ผมว่าเปิดหนังฟังก็กลบหมดแล้ว ผมไม่ซีเรียสเท่าไหร่ ซีเรียสมากก็ปิดแอร์ดูหนังเลยครับ 555+ รับรองไม่จบเรื่อง

       รูปด้านล่างนี้เป็นแผนผังการเดินสายไฟจากมิเตอร์มาห้องโฮม ที่ผมวาดให้ ผรม.ดูครับ  สามารถก๊อปปี้ไปใช้ได้เลยครับ ไม่หวง ตอนทำก็ต้องคุมช่างให้ดีนะครับ ไม่งั้นช่างลักไก่พ่วงเอาง่ายๆแน่นอน  รูปนี้ผมดัดแปลงมาจากเวบที่ให้ความรู้เรื่องเดินไฟห้องโฮมกับผมครับ กด Link เข้าไปดูได้เลยครับ ความรู้เน้นๆ >> การเดินระบบไฟสำหรับห้องโฮมเธียเตอร์ 



รูปผังการเดินไฟ ดัดแปลงจาก คุณ 108 


เท่านี้ท่านก็จะได้ระบบไฟที่สะอาดหมดจดไม่มากก็น้อยแล้วล่ะครับ


4.การวางสายสัญญาณ

       สายสัญญาณที่ว่านี้ก็คือพวกสายลำโพง สาย HDMI หรือสาย Component ต่างๆ ถ้าต้องการความสวยงาม ก็ต้องใส่ท่อร้อยสายฝังผนัง แต่ข้อเสียก็คือหากจะเปลี่ยนสายก็ยากหน่อย ต้องลากสายผ่านท่อ ลากไม่ผ่านก็ต้องรื้อ ดังนั้นสายที่จะใช้ ต้องแน่ใจว่าเราพอใจแล้ว เป็นสายที่ดี พูดง่ายๆคือไม่เปลี่ยนสายฝังผนังนี้ไปอีกหลายๆปี แต่บางคนอาจชอบที่จะเปลี่ยนสายไปเรื่อยๆ ไม่นิ่ง ก็ไม่ต้องเดินฝังผนังก็ได้ครับ ลากไปกับพื้นเนี่ยแหล่ะง่ายดี ผมไปดูห้องโฮมของพี่น้องหลายๆท่านก็ลากกับพื้นกันซะส่วนใหญ่ แต่ของผมเลือกที่จะฝังผนังครับ เพื่อความสวยงาม

        ถ้าใครเลือกจะฝังผนัง ก็ต้องรู้ระยะที่แน่นอนของลำโพงที่จะแขวนด้วยนะครับ เพราะตำแหน่งที่สายลำโพงออก ก็จะต้องตรง หรือใกล้เคียงกับตำแหน่งแขวนลำโพง  ส่วนจะวางหรือแขวนตำแหน่งไหนนั้น ผมว่าท่านที่จะทำห้องโฮมน่าจะรู้กันบ้างแล้วนะครับ ผมคงไม่แนะนำวิธีการหาตำแหน่งลำโพงเซอราวด์ เปิดอากู๋ดูก็ได้ครับ มีบอกอยู่เยอะแยะ การเดินสายก็ร้อยท่อ ฝังผนังเหมือนสายไฟเนี่ยแหล่ะครับ และก็เดินสายใครสายมัน แยกกท่อไปเลย อย่ามัดรวมๆกันนะครับ



รูปการวางลำโพง 7.1


        สาย HDMI ที่จะต่อไปยังจอโปรเจคเตอร์ ก็ร้อยใส่ท่อ 2 นิ้ว เดินขึ้นฝ้า ไปยังตำแหน่งที่จะติดเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ซึ่งก็ต้องทราบตำแหน่งการติดตั้งโปรเจคเตอร์แล้วเช่นกัน หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง ส่วนจะติดโปรเจคเตอร์ตรงไหน ก็ต้องรู้อีกว่าเราจะใช้เครื่องรุ่นไหน ยี่ห้อไหน ระยะฉายเท่าไหร่ มีซูมหรือไม่ เลนส์ชิฟท์มีหรือเปล่า และขนาดจอเราจะฉายเท่าไหร่ ซึ่งจะสัมพันธ์กับการวางตำแหน่งโปรเจคเตอร์หมดครับ 

        วิธีคำนวนก็ง่ายๆเลยครับ เข้าเวบ Projector central ใส่รุ่นโปรเจคเตอร์ ขนาดจอ ก็จะทราบตำแหน่งที่จะวางแล้วครับ แนะนำว่าหาตำแหน่งไว้สัก  2 - 3 รุ่นก็ดีนะครับเผื่ออนาคตไปเลย เพราะตอนนี้เราใช้ตัวนี้ เกิดอนาคตเราเปลี่ยนรุ่น ตำแหน่งเดิมใช้ไม่ได้ ก็ต้องรื้อฝ้ากันใหม่เลย



รูปแสดงการคำนวนของเวบ Projector Central  1.คือชื่อและรุ่นของ PJT ที่เราจะใช้ 2.คือขนาดจอ ในภาพคือ 120 นิ้วขนาด 16:9  3.คือ ระยะฉายที่เราต้องการ  4.คือระยะที่เหมาะสมในการชม เราก็สามารถเลื่อนเข้าเลื่อนออกได้เลยว่าจะฉายเท่าไหร่ ใช้จอกี่นิ้ว ถ้าระบะไม่เหมาะสม ตรงเลข 4. จะแจ้งว่าไกลไป ใกล้ไป 


    หลังจากผมสรุปตำแหน่งการเดินสายทุกอย่างหมดแล้ว ก็วาดเป็นไดอะแกรมให้โฟร์แมนและช่างดูครับ เพื่อเอาไปประกอบกับการกรีดผนังวางท่อของบ้าน ประมาณนี้ครับ แนะนำว่าให้วาดไว้เลย เพราะช่างไม่มีวันเข้าใจความต้องการของเรา เขาจะทำไปตามรูทีนที่เคยทำ ซึ่งถ้าไม่บอกแบบนี้ รับรอง เละครับ


ภาพด้านหน้าห้อง ระบุตำแหน่งกรีดสาย วางท่อทุกสิ่งอย่างไว้ให้เรีบร้อย



ด้านข้างประตูห้อง



ด้านหลังห้อง


5.การปรับอคูสติก

         อย่างที่ผมเกริ่นตอนต้น Blog ผมคงไม่เขียนเรื่องนี้ เพราะผมไม่เชี่ยวชาญครับ เพราะถ้าจะปรับให้ดีจริงๆต้องใช้เครื่องมือ ตัววัด อุปกรณ์ซับเสียง กระจายเสียง ให้ตรงกับตำแหน่งที่จะแก้ไข หรือปรับปรุงอคูสติกของห้อง ซึ่ง ณ ตอนนี้ผมคงยังไม่จ้างมืออาชีพครับ ผมเพียงแค่ซื้อตัวซับเสียงของ SCG (Zandera) มาติดตำแหน่งสำคัญๆ เช่น จุดตกกระทบของเสียงด้านข้างกำแพง บนฝ้าเพดาน และหาพรมมาวางที่พื้นด้านหน้าเครื่อง เอาแค่นี้ก่อน และจะ Set up ด้วยตัวเองไปก่อนระดับหนึ่งครับ รวมถึงเปิดเครื่องเสียงเบิร์นห้องไปก่อนด้วย ให้กำแพง พื้นไม้ โครงฝ้าต่างๆ ได้รับแรงกระแทกจากคลื่นเสียงความถี่ต่างๆ จนอยู่ตัว แล้วค่อยว่ากันครับ หลักร้อยชั่วโมงโน่นเลย

       ข้อควรระวังอีกอย่างคือ วัสดุซับเสียง ไม่ใช่ วัสดุกันเสียงนะครับ บางคนอาจจะยังสับสน ไปซื้อฟองน้ำ โฟม รังไข่ มาติดห้อง เพื่อกะให้เสียงไม่ดังออกนอกห้อง แบบนั้นทำไม่ได้นะครับ วัสดุซับเสียง ทำหน้าที่ลดการก้องของเสียงในห้อง แต่ถ้าจะกันเสียง ต้องไปดูด้านบน เรื่องการกันเสียงครับ ระวังเข้าใจผิด



แผ่นซับเสียงแบบต่างๆ


     ก็จบไปแล้วทั้ง 5 ข้อควรรู้ก่อนทำห้องโฮม ต่อไปก็เป็นภาคปฏิบัติครับ ของห้องผมเอง ไปดูกันเลยครับ part 2

Part 2 : การทำห้องโฮมภาคปฏิบัติ


    Part นี้มีแต่รูปล้วนๆ และคำบรรยายใต้รูปครับ เชิญชมได้ตามอัธยาศัย



เริ่มจากทำคานคอดิน และวางค้ำยันเหล็ก เพื่อวางแผ่นพื้นสำเร็จ



เทพื้น เข้าแบบ หล่อเสา ผมชอบมุมนี้ของห้อง จะเห็นไปยันห้องเสร็จเลย



เทพื้นหลังคาแสลป



เริ่มก่อผนังแล้ว ในภาพก่อชั้นแรก



ก่อสองชั้นแล้วครับ เว้นช่องตรงกลางประมาณ 10 เซน  ใส่วัสดุกันเสียงลงไปครับ



ใช้ตัวนี้ครับ Cylence Zound Block ของ SCG



ทยอยใส่ให้ครบทุกด้าน



ไล่ทยอยก่อไปเรื่อยๆ สามด้าน เหลือด้านที่เป็นคานบันได



ติดตั้งวงกบประตูสองชั้น



ช่องหน้าต่างอย่างหนา เตรียมรับวงกบหน้าต่างสองชั้น



ติดตั้งแล้วเป็นแบบนี้ กระจกหนา 6 มิล กันเสียงได้ดีมากๆเลยครับ



ภาพนี้ก่อเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่ตรงที่จะทำบันไดทางขึ้น



ก่อด้านที่เหลือ เทคาน เตรียมทำบันได



ตีกล่องบันไดเรียบร้อย



พอด้านครบ ก็เตรียมวางตง ปูไม้ ห้องนี้ใช้มะค่า หน้าสี่ ยาว 180 เซน ต้องวางตง



กรีดท่อร้อยสายไฟ จะเห็นว่าร้อยท่อใครท่อมันเลยครับ ไม่ปนกัน



ไม่มาดูหลายวัน ฉาบผนัง สกิมไปแล้ว  จะเห็นท่อสีขาวที่โผล่อออกมา (วงสีแดง) เป็นท่อร้อยสายลำโพง เดินแยกท่อเหมือนเดิม ส่วนสีม่วงเป็นท่อ 2 นิ้วร้อยสาย HDMI



ปูพื้นไม้



ติดแอร์ ใช้เหล็กกล่องตีโครงฝ้า ติดขาแขวนโปรเจคเตอร์ตามระยะที่คำนวนได้



เนื่องจากบ้านผมหลังคาเป็นท้องพื้นแสลปอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใช้สลิงยึดโครงฝ้า เลยใช้ซีไลน์เป็นตัวกัลวาไนซ์ได้เลย ถ้าจะให้แข็งแรงจริงๆต้องใช้เหล็กกล่อง แต่ ผรม.ดันสั่งตัวนี้มาแล้ว แอบเซ็งนิดๆ



ยึดกับโครงด้วยกรู ไม่ใช้ตะปู หรือติดกิ๊บ ผมก็เดินเชคโดยใช้ไม้เคาะๆ ตรงไหนแกว่ง ก็ให้ขันน๊อตย้ำ หรือเพิ่มจำนวนน๊อตเข้าไป



เริ่มร้อยสายไฟเข้าท่อ



ดูกันชัดๆ ใช้สายไฟ Yazaki เบอร์ 6 ,สายดินเบอร์ 4 สีเขียว



ตามด้วยร้อยสายลำโพง สาย HDMI 



ร้อยเสร็จแล้ว มาม้วนกองด้านหน้าห้องครับ HDMI ผมยาว 15 เมตร พอดีๆเลยครับ ก่อนซื้อสายก็วัดระยะก่อนนะ



สายลำโพงโผล่ปลายสายออกมาตรงตำแหน่งแขวนลำโพงเซอราวด์หลัง  สาย HDMI ห้อยมาจากเพดาน ตรงตำแหน่งติดโปรเจคเตอร์



เมื่อเดินสายเสร็จเรียบร้อย ก็มารวมไว้ตรงที่จะเข้าตู้เมนไฟ ตรงนี้จะมีสายแสงสว่าง และสายแอร์จากตัวบ้านมารอจั๊มด้วย



ปิดฝ้าละ ใช้ยิปซั่มหนา 12 มิลเลยครับ



ทาสีแล้ว ผมใช้สีดำสนิทตรงด้านหน้าห้อง(ที่จะติดจอภาพ) และใช้สีน้ำตาลอมเขียว เพื่อคุมโทนห้องให้มืดๆ เวลาดูหนังจะได้ไม่สะท้อนครับ รูปนี้จะเห็นตรงมุมห้องที่ผมใช้แผ่นยิปซั่มตีปิดมุมไว้ด้วย ข้อดีมีสองอย่างคือ ใช้เก็บพวกท่อร้อยสายให้เรียบร้อย และใช้กันเสียงเบสด้วยครับ เพราะเบสชอบตกที่มุมห้อง แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ไว้แต่แรก ก็ต้องใช้พวก Bass Trap มาติดทีหลังก็ได้ครับ



ติดปลั๊ก(เต้ารับ)



ผมใช้เต้ารับยี่ห้อ Furutect GTX Gold ราคาตัวนี้สี่พันกว่าบาท!! (ห้ามบอกเมียผมเด็ดขาดนะครับ)



ติดรางไฟ LED  ตอนแรกว่าจะใช้ของ Lamptitude สวยดีครับ แต่ราคาหลอดละพันกว่า เฮือก ตังหมดแว้ว เลยช้ของโฮมโปรไปก่อน ก็โอเคนะครับ



สายดินของห้อง เจาะทะลุผนังออกมาตรงบริเวณคอยร้อนแอร์พอดี ก็ได้ข้อดีอย่างนึงคือน้ำแอร์หยด มันจะชื้นพอดี นำกระแสไฟง่าย เดินร้อยท่อสีเหลือลงมา



จัดการสายไฟเข้าตู้เมนให้เรียบร้อย ผมมีเต้ารับ 6 ตัว ใช้ลูกย่อย 1 ตัว ต่อ 1 ปลั๊กเลยครับที่วงสีฟ้า ส่วนทางซ้ายสุดวงสีแดงเป็น Surge Protector กันฟ้าผ่า ตรงกลางวงสีเขียวเป็นเมนเบรคเกอร์ ผมชอบช่างไฟคนนี้จริงๆ เข้าสายสวยงาน เป็นระเบียบมาก



ปิดฝากล่องแล้วเป็นแบบนี้  พร้อมใช้งาน เหลือแค่ไปจั๊มตรงสายเมนเข้าบ้าน



ว่าแล้วก็เอาสายเมน THW บอร์ 16 2 เส้น เส้น Line มาจั๊มเข้าที่ขั้วเฟสสีน้ำเงิน (ไฟสามเฟส ที่ตู้จะแบ่งเฟสมาให้เป็นดำ แดง น้ำเงิน แยกเฟสชัดเจน) ดังนั้นเฟสสีน้ำเงินนี้ผมต้องเชคจนมั่นใจว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ผมต่อไว้ที่เฟสนี้ เวลาเปิดใช้งาน + เปิดห้องโฮมด้วย จะไม่ทำให้ไฟเกิน 45 แอมป์ครับ ส่วนอีกเส้นเป็น N ก็เดินคู่กันไปเข้าตู้เมน ABB ในห้องโฮมตามรูปด้านบนโน้น



เมื่อเดินไฟเรียบร้อย ก็เทสแสงสว่าง ติดตั้งโปรเจคเตอร์ สังเกคุ ผมมีปลั๊กบนฝ้าไว้เสียบโปรเจคเตอร์ด้วยนะครับ ใครที่จะติดตั้งโปรเจคเตอร์อย่าลืมปลั๊กนี้ด้วยนะครับ



ทดสอบภาพเปิดจากคอมพ์ ใช้ได้ นี่คือฉายเข้าผนังสีดำนะครับ ยังขนาดนี้ ถ้าฉายเข้าจอสีขาวจะแหล่มกว่านี้เยอะครับ ตอนนี้งบหมดจริงๆครับ จอ Fix ขนาด 120 นิ้ว 16:9 ราคาของ DIY ก็เกือบสี่หมื่น ถ้าของแบรนด์ ก็เกือบๆแสน - แสนกว่าๆ เอาไว้ซื้อทีหลังเลย



ภาพนี้ต่อจากเครื่องเล่นไฟล์ ภาพดู Smooth กว่าคอมพ์เยอะ



ทยอยเอาของเข้าห้องละครับ



จัดเข้าที่เข้าทาง แต่ยังต้อง Set up ครับ นี่แค่เริ่มต้น ยังต้องเบิร์นห้อง Set up อีกเยอะครับกว่าจะลงตัว




หลังจากเอาเครื่องเสียงเข้าห้อง ก็พบว่าเสียงยังดังลอดประตูอยู่ เลยจัดการซีลขอบโฟมที่วงกบประตูครับ หาซื้อได้ตามโฮมโปร



นี่ก็ตัวเด็ด ที่กันแมลง กันเสียง ซื้อได้ที่โฮมโปรเช่นกัน  หลังจากซีลขอบยางหมดแล้ว พบว่าเสียงลอดผ่านประตูออกมาได้น้อยมากๆครับ เรียกว่าเสียงดังลดลงอย่างเห็นได้ชัดเลย น่าจะหลักหลายสิบ db เลยครับ



สั่งเก้าอี้ปรับนอนสำหรับดูหนัง ตัวเบ้อเร่อเลย สามที่นั่งก็จะเต็มห้องแล้ว  ดูมากกว่าสามคนก็ปูเสื่อละกันนะ



ผบ.สูงสุดมาลองนั่งอย่างสบายอารมณ์ สามีก็สบายใจ 555+


   สำหรับการทำห้องโฮมเธียเตอร์ผม ณ ตอนนี้ก็เรียกว่า 99% แล้วล่ะครับ อีก 1% คือการปรับจูนเสียงต่างๆ  หวังว่าจะมีประโยชน์กับคนที่จะทำห้องนะครับ ไม่ต้องไปหาที่ไหนอีก ผมรวมมาเกือบครบเลยที่เดียว ใครมีข้อสงสัยอะไรก็สอบถามได้ครับ...เหมือนเดิม ปิดท้ายไปด้วยภาพห้องโฮมภายนอก ณ เวลานี้ครับ Blog หน้า น่าจะเป็นเรื่องของ ผรม.ละ คอยติดตามละกันครับ สวัสดี



ภาพด้านนอก มองเห็นโค้งน้ำ สวยดีครับมุมนี้ถ่ายจากห้องกระจก



ภาพด้านข้างห้องโฮม มุมเดียวกับภาพแรกสุดตอนงานฐานรากเลย อย่างที่บอกว่ามุมนี้ผมชอบ อนาคตว่าจะหาโต๊ะไม้มานั่งชิวๆ แต่แฟนบอกจะเอาไว้ตากผ้า -__-"



มาดูมุมหน้าห้องตอนกลางคืนมั่งครับ สวยไปอีกแบบ ผนังโล่งๆ เดี๋ยวว่าจะหาพวกอุปกรณ์โรงหนัง หรือภาพโปสเตอร์หนังมาติดครับ เคยเห็นบางบ้านติดแล้วสวยดี





Create Date : 15 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 22 เมษายน 2560 15:51:51 น.
Counter : 34172 Pageviews.

6 comments
  
เยี่ยมครับ เซ็ทนี้เน้นดูหนังใช่ไหมครับ หรือว่าฟังเพลงบ้าง
แล้วคุณภรรยาไม่รู้หรือคับ ว่าเขียนบล็อค + รีวิวในพันทิป เห็นเขาแชร์กันกระจาย น่าจะรู้แล้วนะ..
โดย: comfortably numb IP: 49.231.225.4 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2559 เวลา:11:55:31 น.
  
@Comfortbably numb : เรียกว่าดูหนัง 99% เลยครับ ผมเป็น Cinemania ไม่ใช่ Audiophile เลยไม่ได้จัดไว้เพื่อฟังเพลงเท่าไหร่ ส่วนแฟนผม บอกจริงๆเลยว่าไม่รู้ราคาเลยครับ แฟนผมไม่เล่น pantip ไม่อ่าน blog เลย แต่รู้ว่ามีแชร์ มีเขียน แต่ไม่สนใจ ตามแ่ IG ดารา 555+
โดย: Agent Molder วันที่: 30 พฤศจิกายน 2559 เวลา:12:03:44 น.
  
เข้ามาทักทายคุณหมอครับ
ของผมเริ่มงานแล้วครับ ไม่รู้ว่าจะยาว เป็นซีรีย์มหากาพย์ แบบคุณหมอหรือป่าว '-'"
เห็นห้องโฮมคุณหมอเต็มๆแล้วสวยมากเลยครับบรรยากาศรอบๆก็น่าตั้งวงมากๆ ^o^

โดย: jeaw IP: 49.49.234.222 วันที่: 6 ธันวาคม 2559 เวลา:23:53:03 น.
  
@Jeaw : ขอให้โชคดีกับการสร้างบ้านครับ ทำบุญเยอะๆ 555+
โดย: Agent Molder วันที่: 7 ธันวาคม 2559 เวลา:11:58:33 น.
  
ถามเรื่อง surge protector ครับ แถวบ้านผมมีไฟดับบ่อย น่าจะต้นไม้ล้มทับสายไฟ (อยู่ในป่าครับ) ตัวนี้ป้องกันไฟตกด้วยมั้ยครับ
แล้วมันทำงานยังไงครับ ตอนที่ฟ้าผ่าจริงๆ มันจะตัดไฟไปเลยมั้ยครับ แล้วพังง่ายมั้ยครับ
โดย: kimby IP: 125.26.103.124 วันที่: 18 ตุลาคม 2560 เวลา:23:54:15 น.
  
@kimby : ตัว Surge นี้ป้องกันแค่ไฟกระชากครับ ตามชื่อมันเลย ไฟตก ไฟดับจากอุบัติเหตุ เสาไฟล้ม สายไฟขาดไม่ช่วยครับ การทำงานคือมันจะมีตัวรับ Volt สูงๆแทนในระบบ ไม่ไปทำอันตรายให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านครับ ตัวนึงน่าจะรับฟ้าผ่าได้ 10-20 ครั้ง แล้วแต่ spec ครับ ถ้า spec ดีๆ ก็รับได้หลายอยู่ โดยที่ตัวมันจะมีสีบอกครับจากสีเขียว ไปสีแดง ถ้าขึ้นสีแดงทั้งหมด ก็ต้องเปลี่ยน ตั้งแต่ผมติดมาปีนึง ไม่มีผ่าเลยครับ ใช้กันยาวๆ
โดย: Agent Molder วันที่: 24 ตุลาคม 2560 เวลา:17:00:30 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Agent Molder
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 381 คน [?]



พฤศจิกายน 2559

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
15 พฤศจิกายน 2559
All Blog