>>>        ชาวพุทธแท้ หรือชาวพุทธในทะเบียนบ้านต่างกันอย่างไร ?       อลัชชีคืออะไร ?        เงินกับพระอย่างไรเหมาะควร ??        กรรมของชาวไทย ปัจจุบันและวิธีแก้ไข            หนทางสู่การปฏิบัติ            อานาปานสติอย่างที่ท่านเข้าใจจริงหรือ ?และFAQ อานาปานสติ
บทที่ 6.อานาปานสติในทัศนะของข้าพเจ้า

รู้สัมผัสนั้นด้วยใจปกติไม่เข่น  ไม่บังคับ   เมื่อรู้สัมผัสลมอยู่ต่อเนื่องจนชำนาญในเบื้องต้น

ลมจะละเอียดขึ้น   และเหตุเพราะรู้กาลเวลายาวอยู่


สมองจะหมดกำลังคิดเพราะการคิดต้องอาศัยสถานะของเวลาประกอบเสมอ คือไม่เรื่องในอดีต ก็เรื่องในอนาคต จึงไม่พบลมปัจจุบัน 

เมื่ออานาปานสติมี กิจกรรม 3 ข้อดังกล่าวคือ
จุดเดียวปากทางออก-เข้าจมูก      รู้ออก/เข้า 

รู้ยาว-สั้น(กาลเวลา)


จิตจะหยุดคิดเพราะองค์ประกอบสำคัญของการคิด(สมองส่วนคุมเรื่องเวลา) มีงานทำอยู่ คือไปรู้ความยาวนานของการกระทบอยู่ (โผฏฐัพพารมณ์) 


นั้นแหละคือปัจจุบันธรรม  เมื่อเหลือแต่รู้ลมปัจจุบันอยู่นั้นต่อเนื่อง เรื่อยๆ เข้า  ลมจะเบา(มวล)ลง+ละเอียด(สัมผัส)ลง + เย็น(อุณหภูมิ)ลง 


ความเบานี้จะเบามากจนกระทั้งเหมือนไม่หายใจ แต่ยังหายใจ


มีสภาพคล้ายจิตวิญญาณแห่งลมหายใจ(ปราณในปราณ) ที่ท่านอัครมหาสาวกสารีบุตรอุปมาไว้ว่า "ดั่งเสียงแห่งกังสดาล"


จนกระทั้งลมถูกลดขนาดลงเหลือความยาว(ตามกาล)เหลือสั้นมาก(ไม่เกิดเป็นโดยลำดับ


คือไม่ใช่ค่อยๆ สั้น แต่ก็ไม่ กระโชก) จนกระทั่งเป็นแค่จุดของเวลา 


ขณะนั้นศีรษะโล่งโปร่งดุจลมเต็มศีรษะ  เหมือนไม่หายใจแต่ปกติสบาย  สมดั่งที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ประทานพระโอวาท


"ลมหายใจสั้นจะเป็นไปเอง"ที่ต้องอ้างพระองค์เพราะเหลือองค์เดียวที่สอนแบบนี้


ระหว่างละเอียดและสั้นอยู่นั้น สภาพรู้จะหดตัว  คือรู้น้อยลง และหดตัวเข้าสู่ภายในอย่างเดียว เหลือกายกับจิตชัต 


ตอนนั้นทดลองคิดอะไรก็คิดไม่ออก  นิ่งสงบ 

อันนี้ตามแบบคือที่สุดฐานความยาวสั้น >สู่ลมดับ(กังสดาลยังใช้อยู่)>สู่สัพพกายปฏิสังเวที >.....ตามลำดับ.....สู่ปฏินิสสัคคานุปัสสี




            อานาปานสติ โดยส่วนตัวข้าพเจ้าสรุปก็คือ รู้ 3 สิ่ง ตามพุทธพจน์ คือ
1.อุ ชุง กายัง ปะณิธายะ ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปต๎วา, ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นบริเวณ ปากทางเข้าออกแล้ว,
2.โส สะโต วะ อัสสะสะติ, สะโต ปัสสะสะติ, เป็นผู้ มีสติอยู่นั่นเทียว หายใจเข้า มีสติอยู่ หายใจออก,
3.ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะปัสสะสามีติ ปะชานาติ, เมื่อหายใจเข้ายาว, ออกยาว เธอก็ รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว ออกยาว,
            แต่ในส่วนของลมหายใจยาว คน ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเน้นที่ความยาว ที่วัดได้ หรืออาจเข้าใจว่าลมหายใจ ยาวคือตอนที่ทำให้ยาว แต่หากเรา ท่านได้พิจารณากับ พุทธพจน์ที่ พระองค์ตรัสเปรียบเทียบ อานาปาน สติกับการชักเชือกของนายช่างกลึง จะรู้ได้ว่าพระองค์ทรงหมายถึง ความ ยาวตามกาลเวลา และลมหายใจยาวก็ คือลมหายใจปกตินี่แหละ โดยเนื้อ ความท่อนนี้มีคัมภีร์อรรถกถา(วิสุทธิ มรรค)อธิบายไว้ แต่เข้าใจยากมาก ด้วยสำนวนต่างเวลากันเป็น 1000 ปี รวมทั้งข้อคำแปลจากพระบาลีอันเป็น พุทธพจน์ บางตอนที่สำคัญๆ ผู้แปลก็ ไม่ได้แปลแบบกล้าฟันธง(อันนี้น่า เห็นใจ) และหากข้าพเจ้าเป็นข้า ศึกพุทธศาสนาจะต้องการทำลาย ข้าพเจ้าก็จะไม่ทำแบบเผาฉีกทำลาย อย่างเดียว แต่จะหาว่าอะไรเป็นกุญแจ และทำการเบี่ยงเบน ให้ผิดเพี้ยนใน ความรู้นั้นด้วย

            จะเห็นได้ว่า ความเห็นมากมาย โดย ขาดหลัก ทำให้คลาดเคลื่อน กันไปหมด ยกตัวอย่างเช่น พุทธพจน์ตรัส "อุชุง กายัง ปะณิธายะ ปะริมุขัง สะติง อุปัฏ ฐะเปต๎วา" ไม่ทราบตั้งแต่สมัย ไหนท่านแปลว่า "ตั้งกายตรง ดำรง สติมั่น" หรือ "ตั้งกายตรงดำรงสติ เฉพาะหน้า" ซึ่งคำนี้กำกวมมากๆ เพราะไม่รู้ว่าหมายถึงตรงไหน จะเป็น ใบหน้าหรือแม้กระทั้งอาจเข้าใจได้ว่า ไม่ต้องกำหนดจุดสัมผัส แต่รู้เฉพาะ หน้าคืออาการปัจจุบัน ซึ่งราวกับ สำนวนที่ใช้กันว่าเหตุการณ์เฉพาะ หน้า/จำเพาะหน้า ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด ตามนัยยะ ที่พระองค์ทรงตรัสไว้หาก เปรียบเทียบกับ นายช่างกลึง เพราะ นายช่างกลึงจะไม่ ละสายตา ความรู้สึก จากการสัมผัสของ ไม้กับหัวกลึง ดัง พุทธพจน์ต่อไปนี้

เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทุกโข ภะมะกาโร วา ภะมะการันเตวาสี วา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด นายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ฉลาด,
ทีฆัง วา อัญฉันโต ทีฆัง อัญฉามีติ ปะชานาติ. เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่าเราชักเชือกกลึงยาว, รัสสัง วา อัญฉันโต รัสสัง อัญฉามีติ ปะชานาติ.
หรือเมื่อชักเชือก กลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น
,
เรื่องอุบายสอน ธรรมนี้ หากท่านใดเข้า ถึงสภาพนิมิตสอนธรรม ก็จะรู้ได้ ว่า มีความแยบคายแค่ไหน และยิ่ง ด้วยนี้เป็น เครื่องอุปกรณ์การสอน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยแล้ว พิจารณาให้ดีๆ ครับ

ยก ตัวอย่างข้อนี้เสริมอีกข้อจะกล่าวถึง อุบายที่ไม่แยบคายพอ คัมภีร์ชั้นรองลง มา(โดยอาจารย์/อรรถกถาจารย์) กล่าวถึงจุดนี้ว่า

การ ภาวนาอานาฯ ให้เปรียบ เหมือน ยาจก ง่อยเข็ญใจ กำลัง ไกว ชิงช้า(เหมือนเสาชิงช้าพราหมณ์ ที่ หน้า กทม.) ให้ ภรรยาสาว และ ลูกนั่ง ยาจกง่อย ยืนอยู่ตรงกลางของ เสาชิงช้า คอยไกว ไม่ได้กวาดสายตา ไปที่สุดปลายของชิงช้า เพียงดูอยู่ที่จุด กึ่งกลางเสาก็รู้ชัดว่า ยาวขนาด ไหน

ซึ่งหากท่านได้เคย มีความเกี่ยวข้อง หรือเคยปฏิบัติแบบทิ้งชีวิตในป่า จะรู้ ได้ว่า การนึกถึงคำสอนดังกล่าวข้าง ต้นจะเกิดอะไรขึ้น

บางท่านคงสงสัยครับ ว่าจะเกิดอะไร

เฉลยครับ จิตที่ถูกกดทับเป็นเวลานาน หากสติสัมปชัญญะตามไม่ทันแล้ว อีก ทั้งเป็น บุคคลราคะจริต การอิจฉา(อภิชฺฌาวิสมโลโภ) ชายง่อยจะตามมา ครับ และติดมาด้วย มานะ คือเปรียบ เทียบกับตัวเอง ว่าเราก็ไม่ได้ง่อยยาจก สักหน่อย ทำไมมาไกวเปล กับสาวใน จิตเรา เอาล่ะครับ ทีนี่เป็นเรื่องราวล่ะ ครับ ที่แน่ๆ สมาธิเสื่อม ตั้งแต่วูบแรก แล้วครับ

            อันนี้เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็น ข้อ ความในคัมภีร์ซึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ไม่ได้เกิดจากผู้รู้แน่ๆ หรืออาจเกิดขึ้นกับ สำนักของภิกษุณี เพราะอุปมานี้จะให้ผลดี กับบุคคลในเพศหญิงที่ฝึกอานาฯ เพราะมองเห็นโทษของการมีธรรมคู่ ซึ่งแตกต่างจากมุมของบุคคลชายมองเข้าไปตามข้อวิเคราะห์

            ข้าพเจ้าเคยได้ฟัง สมเด็จสังฆราชองค์ ปัจจุบันเทศน์เรื่องนี้กับหมู่พระสงฆ์ พระองค์ตรัสหลีกเลี่ยง ธรรมแห่งคนคู่ จะ ทรงใช้ความรวบรัดแสดงให้เห็น ความหมาย ของความยาวตามกาลเท่า นั้น แสดงให้เห็น พระปัญญาญาณ ของพระองค์และพระเมตตาให้ผู้ฟังได้ ธรรมที่ไม่มีพิษภัยจริงๆ

            ที่แสดง มานี้เพื่อที่จะได้เห็นคุณค่าของ อุปกรณ์การสอนของพระพุทธองค์ ใน ที่นี้ เรื่อง อัทธานะ(เน้นส่วนกาล) คือ นายช่างกลึง แม้ไม่มองเชือก กลึง เพราะตาต้องจ้องผลงาน และความ รู้สึกต้องอยู่ที่ การสัมผัสของ สิ่วกับชิ้น งาน แต่ก็รู้ชัดว่า ชักเชือกกลึง สั้น หรือยาว

Vdo แสดงพุทธอุปมาเรื่องอานาปานสติ

            กลับมาเรื่องการแปล ซึ่งในข้อการ แปลนี้ ท่านผู้แต่งวิสุทธิมรรค อธิบายว่า ปะริมุขัง สติง หมายถึง ปริ(รอบ) +มุข(ทางออก) +สติ + อุปัฏฐะเปต๎วา(ดำรงตั้งมั่นแล้ว) อันแปลได้ว่า มีสติอยู่ปริเวณปากทาง เข้าออก(ของลมคือ ปราณ)

            ส่วนใน เรื่องคำว่า มุข ท่านผู้แตกฉาน บาลี ท่านก็ว่าแปลว่า หน้า ก็ได้ ไม่ผิด ส่วนตัวความหมายตามนัยยะที่แท้จริง แห่งพุทธองค์นั้น อาจจะเกินความ สามารถของคนในยุคปัจจุบันที่จะรู้ได้ ว่า สำนวนครั้งกระนั้น พระองค์ทรง หมายถึงจุดไหน โดยส่วนตัวข้าพเจ้าเชื่อประเด็นนี้ มุข แปลว่า ทาง ตามนัยยวิสุทธิมรรค

            ส่วนความยาวท่านพุทธโฆษาจารย์ ผู้ แต่งวิสุทธิมรรค อธิบายเชิงภาษาของ คำว่ายาว หมายถึง อัทธานะ ในสมัย นั้นบาลีหมายถึง ได้ทั้ง ยาวแบบระยะ ทาง กับยาวแบบเวลา หรือทั้ง กาละ และ เทศะ (ภาษาอังกฤษ time / space)

            แทรกตัวอย่างภาษอังกฤษ เช่น หากมีต่างชาติถามว่า How long have you known him ? อันนี้ ฝรั่งก็ไม่ได้หมายถึง ระยะความยาว แต่หมายถึงระยะเวลา เช่นกันกับพระบาลี ตอนนี้ ในตรงนี้ท่านที่ตามอ่านวิสุทธิมรรค ต้องอ่านให้ดี หลายๆ รอบ และหลายๆ สำนวนแปล ถ้าเป็นไปได้ ต้องเทียบ บาลีด้วย เฉพาะหน้านี้หน้าเดียว ข้าพเจ้า พิจารณา อยู่มากกว่า 3 วัน ท่านกล่าวถึง อัทธานะในแง่ ระยะ อยู่ มากแห่ง แต่เวลาท่านพูดถึง ที่หมาย ถึงกาล คือเฉพาะ วิธีอานาปานสติ นี้มี อยู่คำเดียวแห่งเดียว ถ้าหากอ่านผ่านๆ ไป จะไม่สามารถจับประเด็นตามที่ ข้าพเจ้า กล่าวนี้ได้เลย

            ทีนี่ปัญหา อยู่ที่ว่า ถ้าหากเราท่านไม่ได้รู้ ข้อความตอนนี้ หรือความหมายตอน นี้ของพุทธพจน์ข้อนี้ ก็จะนึกว่า ยาว โดยระยะ ซึ่งปฏิบัติไปอย่างไรก็ฟุ้ง จนต้องใช้ทีสิ่งที่เรียกว่า บริกรรมเข้า มาใช้ให้จิตหยุด แต่หากเรารู้ความ หมายแท้ๆ ของคำว่าบริกรรมในอานาปนสติ ซึ่งหมายถึงจิตที่ตรึกใน อัทธา นะ(ความยาวตามกาล)จนนิ่งใน เบื้องต้น จะไม่มีการท่องบ่น สมดังที่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน อัทธาน สูตรว่า เจริญอานาปานสติสมาธิเพื่อรู้ อัทธานะ ... ย่อมเป็นไปเพื่อ กำหนดรู้อัทธานะ(ความยาวตามกาล)

            มาถึง ตรงนี้คงมีความเห็นแย้ง ข้าพเจ้ามากมาย แต่ฟังต่อสักนิด คำ ถามตามมามากมาย..... เอ.... พูดมาถึงตรงนี้ก็ วงแตกครับ เพราะ แทบทั้งประเทศ ทำอานาปานสติ แบบ มีคำท่องบ่น และก็คงจะกล่าวได้อีกว่า การท่องบ่นนั้นเป็นแค่เบื้องต้น เป็น กุศโลบายให้ถึง สมาธิขั้นกลางต่อไป จะท่องบ่น อะไรก็ได้ตามแต่สำนัก อันนี้ไม่ขอกล่าว เทคนิคอื่นที่ใช้ทำน่ะ เพราะก็ตามรูปแบบครูอาจารย์เพราะ หากจะกล่าววิจารณ์เรื่องนี้คงต้องเล่า กันยาว ว่าอันไหนสำนักไหนเป็นไป ตามพุทธพจน์(มีโอกาสต้องเขียน เรื่องนี้ครับ มีเหตุปัจจัยให้เกิดใน สำนักต่างๆ แต่โดยส่วนใหญ่เกิดจาก ไม่เข้าใจ อัทธานะ(กาล) ในสภาวะ อานาปานสติภาคปฏิบัติ) ในที่นี้ กล่าวหมายเอาเฉพาะแต่การที่เรียกว่า ท่องบ่น หรือที่เรียกว่า บริกรรม ซึ่ง ไม่มีพุทธพจน์ข้ออานาปานสติ
หลายท่านที่ได้อ่านก็คงต้อง สวน ข้าพเจ้าว่า ถ้าเป็นตามนี้ครูบาอาจารย์ ผู้สำเร็จธรรมต้องบอกมานานแล้ว ทำไมไม่มีมหาเถระ พระผู้ใหญ่หรือ แม้กระทั้งพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมา พูดเรื่องนี้

            ข้าพเจ้าขอตอบข้อแย้งนี้ เป็น 2 กลุ่มคำตอบ คือ 1.กลุ่มคัมภีร์ 2. กลุ่มปูชนียบุคคล ดังนี้

            1.หากเราใช้เครื่องมือ ค้นหาคำใน พระไตรปิฎกว่า อานาปานสติจะพบได้ ว่าเป็นสูตรสั้นๆ บางสูตรย่อเหลือ 2-3 บรรทัด ทุกตอนที่พระองค์ตรัสถึงอานาปนสติ จะทรงหมายถึงหรือจะทรง กล่าวถึงอานาปานสติ 16 ทุกครั้ง ทุกที่ ทุกตอน ทรงย้ำแล้วย้ำอีก


            หนึ่งในจากพระสูตรอริฏฐสูตรมีพุทธพจน์ ตรัสสอนพระภิกษุนามว่า ท่านอริฏฐะ พระพุทธเจ้าได้สอนอานาฯ โดยสอบ ถามว่า อริฏฐะ ท่านทำอานาปานสติ

            ท่านอริฏฐะตอบว่าข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ กามฉันท์ใน กามที่ล่วงไป ข้าพระองค์ละได้แล้วกามฉันท์ ในกามที่ยังไม่มาถึงของข้า พระองค์ไปปราศแล้ว ปฏิฆสัญญาใน ธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นภายในและภายนอก ข้าพระองค์กำจัด เสียแล้ว ข้าพระองค์มีสติหายใจออก มี สติหายใจเข้าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เจริญอานาปานสติอย่างนี้แล

            พระพุทธองค์ทรงตอบว่า อานาปานสตินั้นมีอยู่ เราไม่ได้กล่าวว่าไม่มี ก็แต่ว่าอานาปานสติย่อมบริบูรณ์โดยกว้าง ขวางด้วยวิธีใด เธอจงฟังวิธีนั้น(และทรงกล่าว อานาปานสติ 16 )ในที่นี้จะไม่ขอกล่าว อานาปานสติ16 แต่ ต้องการชี้ให้เห็นว่า อานาปนสติ 16 นั้นข้อแรกมีวัตถุ 2 ก็หามีสำนักที่ปฏิบัติตามพระองค์น้อย มากจริงๆ ในปัจจุบันทั้งขั้น ศีลและ ภาคปฏิบัติสมาธิ

            จากพระสูตรข้างต้นพุทธพจน์ที่ต้อง พิจารณา คือ "อานาปานสตินั้นมี อยู่ เราไม่ได้กล่าวว่าไม่มี ก็แต่ว่าอานาปานสติย่อมบริบูรณ์โดยกว้าง ขวางด้วยวิธีใด เธอจงฟังวิธีนั้น"

            ดูคำวิจารณ์ของ อรรถกถาท่านว่า ท่านอริฏฐะเป็นพระอนาคามีแล้วขณะนั้น และก็ตรวจสอบ กามและปฏิฆะของท่าน ทั้งสามกาลแล้วว่าไม่มี

            เราจะเห็นได้ว่าถึงกระนั้นพระ พุทธองค์ยังทรงตรัส "จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว...อานา.16" และสังเกตุให้ดีว่าพระพุทธองค์ไม่มี การกล่าวในเชิงรุนแรงอย่างเช่น พวก นอกลู่นอกทาง ซึ่งเหล่านั้น พระองค์จะ ใช้คำที่หนักโดยธรรม เช่น โมฆบุรุษ,ภิกษุใบลานเปล่า เป็นต้น หรือ แม้พวกเหล่าภิกษุที่เป็นอลัชชีเต็มรูป ทรงเรียกไปต่างๆ เช่น ภิกษุสันดานกา ภิกษุกินอุจจาระ ภิกษุเถระวิปริตร ภิกษุลามก ดังนี้เป็นอาทิ

            อาจมีผู้เห็นแย้งว่าจะเชื่อ อรรถกถาได้ อย่างไรว่า ท่านอริฏฐะ เป็นอนาคามี บุคคล ไม่ใช่หลงอารมณ์ ตอบ การที่พระองค์ไม่ทรงคัดค้าน หรือ ทรงตำหนิ การแสดงธรรมอันยิ่งคือ กล่าวว่า ไม่มีราคะ/ปฏิฆะ (สภาวะ แห่งอนาคามิผล)นั้นเพราะเป็นอาบัติ หนักหากครบองค์ แสดงให้เห็นว่า ท่านเป็นอริยบุคคลแน่นอน

            ซึ่งหากเราพิจารณาจาก พุทธสมัยกาล แล้ว การที่เถระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทั้งหลาย โดยมีศีลพรหมจรรย์(150 ข้อ)เป็นพื้น ผู้ปฏิบัติตรง(อุชุปฏิปัน โน) ใครล่ะจะไปกล่าวกับท่านว่า แนวทางนั้นไม่ควรให้เลิกซะ เพราะ ขนาดพระพุทธองค์ยังทรงตรัสเพียง "อานาปานสตินั้นมีอยู่ เราไม่ ได้กล่าวว่าไม่มี ก็แต่ว่าอานาปานสติ ย่อมบริบูรณ์โดยกว้างขวางด้วยวิธีใด เธอจงฟังวิธีนั้น..ฯ " คือทรงกล่าวด้วยความเมตตา แต่เรา ท่านทั้งหลายก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวคำสอนที่ดั่งเดิม อันเป็นพุทธ พจน์/พุทธบัญญัตินั้นยังอยู่และ เป็น ศาสดาในยุคปัจจุบันด้วย ตามที่พระ พุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ธรรมวินัย จะ เป็นศาสดา หลังพระองค์ ปรินิพพาน อันนี้ก็อีกเช่นกัน ในที่นี้จะไม่ขอกล่าว ลงหลายละเอียดว่าสำนักไหนล่ะไม่ ควรกล่าวว่า และสำนักไหนล่ะควร ประณาม
ในสำนักที่ ศีลก็ไม่งาม ไม่ตรง ไม่ควร แถมแนวปฏิบัติยังพาผูกโลก นอกลู่ นอกทางทั้งขั้นศีลและธรรมภาคปฏิบัติ พวกนี้ต้อง ประณาม คือ ปะ+นาม ให้ สาธารณชนรู้ว่าคือใคร จะได้ไม่ไป สนับสนุน เกี่ยวข้องด้วย อันก่อเกิด เป็นกรรม กร่อนพุทธพจน์ อย่างยิ่ง

            ฉะนั้น ผู้ที่ศึกษา ก็ต้องข่วนขวายหา กัลยาณมิตร ที่ชัดเจน และร่วม ศึกษา จนแยก ถูก/ผิด, ควร/ไม่ควร ให้ ได้ด้วยตัวเอง(โยนิโส.) ไม่งั้นแล้ว ไปสำนักนั้นก็พูดอย่างนั้น ไปสำนักนี้ ก็พูดอย่างนี้ จนบางครั้งไม่รู้ ข้อสรุป ตามควร(สัมมา) อยู่ตรงไหน สม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า กัลยา นมิตร+โยนิโส.เป็นเบื้องต้น และที่ สุดแห่งพรหมจรรย์ คือเป็นทั้งหมด แห่งพรหมจรรย์(นิพพาน)

            ในส่วนที่ 2 บุคคล ในส่วนนี้จะ กล่าวถึง สำนักที่ปฏิบัติตามแนว อานา ปานสติ 16 เท่าที่ทราบ จริงๆ เพราะน้อยมาก หากเอา อาทิพรหม จริยกาสิกขา(150ข้อ พูดง่ายๆ เบื้องต้นคือ ปฏิเสธการรับเงิน)เข้าไป จับด้วยยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ เอาเป็นว่า เท่าที่รู้ ตรงสุดที่เป็นสำนักคือการทรง สอนโดย สมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระ สังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ บางลำพู กทม
การสอนของ พระองค์ ไม่ทรงกล่าว ตำหนิการบริกรรมท่องบ่น แต่ในขณะ เดียวกัน ก็ทรงให้ทำตาม พุทธดำรัส หรือหากผู้ปฏิบัติทำไม่ได้ท่านจะแนะ แนวทางของท่านพุทธโฆษาจารย์ คือ การนับลมหายใจเข้าออก ซึ่งมีวิธีตาม คัมภีร์วิสุทธิมรรค

            อีกท่านหนึ่งซึ่งต้องเล่าประวัติท่านสัก เล็กน้อย เพราะองค์ท่านมีชีวิตอยู่ใน เป็นช่วงเวลาที่เกิน เลยอายุของบุคคลกลางคนในยุคนี้อยู่มาก และเป็น ช่วงเวลาเดียวกับ กองทัพธรรมภาคอิสานกำลังมั่นคงคือระหว่างปี 2415 -2493 ท่านคือ

            -สมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ ญาณวรเถร )อดีตเป็นประธาน กรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการ คณะสงฆ์ 5 ปี 2488-2493,อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพ ศิรินทร์,อุปัฌชาย์ พระเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระ ยานรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทร์ มีงานพิมพ์คำเทศน์เรื่องมหาสติปัฎ ฐานสูตร ของสมเด็จสมเด็จพุทธโฆษา จารย์ วัดเทพศิรินทร์ เป็นที่ระลึกใน การบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย 8 มิถุนายน 2531 ใจความตอนหนึ่งว่า การใช้ พุทโธ และนับลมหายใจ กับอานาปานสตินั้นไม่ถูกต้อง เจริญอานาฯก็อานาฯ เจริญพุทธคุณก็ พุทธคุณ... หนังสือที่แจกในงานนี้ข้าพเจ้าไม่มีต้นฉบับ คงมีแต่บทคัดย่อ ของพระเสถียร ถิรธมโม สัทธิวิหาริกในสมเด็จสังฆราช พิมพ์ที่โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณฯ4709-099/500(4) หน้า98

            เล่ามาซะยึดยาว ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า เราท่านทั้งหลาย ชาวพุทธส่วนมาก ได้ลืมเลือน คำสอน อันเป็นเบื้องต้นแห่งพุทธธรรม โดย เฉพาะ หลักอานาปานสติภาวนาเบื้อง ต้น ข้อแรกใน 16 ที่เหล่าบรรพ ชนหวงแหนรักษาไว้ให้เราทั้งหลาย ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ในรูปพระไตร ปิฏก และรักษาไว้โดยเหล่าภิกษุผู้ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติ สมควรแก่ธรรม ในสังฆมลฑลแดน สยามแห่งนี้ อันได้แก่ สภาพ อัทธา นะ(เน้นที่กาล) อธิบายขยายความ กาลเวลาในลมหายใจสักเล็กน้อย สภาวะกาลเวลาไม่ใช่กำหนดอย่าง นาฬิกาคือเป็นหน่วย วินาที หรือนาที แต่หากเป็นสภาพกาลเวลาจริงๆ ที่มัน เป็น ลองเทียบจาก นายช่างกลึง ตาม VDO (ที่มาภาพจาก web แห่ง หนึ่งบรรยายลักษณะเครื่องกลึงที่ใช้อยู่ ใน อินเดีย เมื่อ1000 ปี ก่อน ชื่อ ภาพ Indian lathe animation power by Aero.1)เหตุที่ใช้คำว่า เน้นที่กาลเพราะ การรู้ ความยาวของกาลเวลา(Time/กาละ)นั้นจะรู้ความยาวตาม ระยะ(space/เทศะ)ได้โดย อัตโนมัติ

            พุทธพจน์เพิ่มเติม"อัทธานสูตร: เจริญอานาปานสติสมาธิเพื่อรู้อัทธานะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิอันสัมปยุต ด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ กำหนดรู้อัทธานะ..."

            และการรู้อัทธานะนี้ นำไปสู่การ ปฏิบัติขั้นกลางคือ วสี ผู้ปฏิบัติจะ สามารถรู้และตั้งเวลาของสมาธิได้ ซึ่ง เป็นสิ่งที่ต้องทำ ต้องฝึกเพื่อรักษา สภาพฌานหรือสภาพเฉียดฌาน และในขั้นปลาย อัทธานะตามกาล นี่ แหละชี้นิพพาน ท่านจึงกล่าวว่า นิพพานเพื่อกำหนดรู้สังสารวัฏอันยืด ยาว. อธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่ พระนิพพานนั้น.

            ท่านจง มาลองดูเองเถิด หากท่านทั้งหลายจะลองพิสูจน์ในอานาปานสติข้อแรกตามพุทธพจน์โดย พิสูจน์ที่ตัวท่านเองได้ทันที โดยการ ถามตัวท่านเองว่า เวลาภาวนาที่ท่าน เรียกว่า อานาปานสติ นั้น ท่านเคย รู้ สภาวะแห่งกาลของลมหายใจปกติ คือ ยาว(ทีฆัง)อยู่เป็นปกติหรือไม่ ถ้า ไม่นั้นหมายถึง พระพุทธองค์จะตรัส สอนว่า

            "อานาปานสตินั้นมีอยู่ เราไม่ ได้กล่าวว่าไม่มี ก็แต่ว่าอานาปานสติ ย่อมบริบูรณ์โดยกว้างขวางด้วยวิธีใด เธอจงฟังวิธีนั้น..ฯ "


            มหาวรรค อานาปาณกถา
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๔๐๗๐ - ๕๑๙๙. หน้าที่ ๑๖๗ - ๒๑๒.

//www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=4070&Z=5199&pagebreak=0
----------------------------------
            ถึงแม้ไม่ท่องบ่น การอานาปานสติ ก็มีบริกรรมภาวนาได้ครับ คือกล่าวโดยสรุป เราแปลความหมายคำว่า บริกรรมผิด/คลาดเคลื่อนจากความหมายเดิมบริกรรมภาวนา ไม่ได้หมายความว่า ท่องบ่นอย่างเดียวบริกรรม *(พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

            1. (ในคำว่า “ถ้าผ้ากฐินนั้น มีบริกรรมสำเร็จด้วยดี”) การตระเตรียม, การทำความเรียบร้อยเบื้องต้น เช่น ซัก ย้อม กะ ตัด เย็บ เสร็จแล้ว
            2. สถานที่เขาลาดปูน ปูไม้ ขัดเงา หรือชักเงา โบกปูน ทาสี เขียนสี แต่งอย่างอื่น เรียกว่าที่ทำบริกรรม ห้ามภิกษุถ่มนำลาย หรือนั่งพิง

            3. การนวดฟั้น ประคบ หรือถูตัว

            4. การกระทำขั้นต้นในการเจริญสมถกรรมฐาน คือ กำหนดใจโดยเพ่งวัตถุ หรือนึกถึงอารมณ์ที่กำหนดนั้น ว่าซ้ำๆ อยู่ในใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อทำใจให้สงบ

            5. เลือนมาเป็นความหมายในภาษาไทย หมายถึงท่องบ่น, เสกเป่า บริกรรมภาวนา ภาวนาขั้นต้นหรือขั้นตระเตรียม คือ กำหนดใจ โดยเพ่งดูวัตถุ หรือนึกว่าพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นต้น ซ้ำๆ อยู่ในใจ

*******
            คำว่าพระสูตรหมายถึง ส่วนหนึ่งของพระบริสุทธิธรรมโดยตรงจากพระโอษฐ์ไม่มีคำสอนอื่นใดแทรก แยกออกเป็นเรื่องๆ ที่ตรัสสอนในที่ต่างๆ หรือบางครั้งผู้อ้างถึง อาจใชคำว่า พระบาลี อันหมายถึง พุทธพจน์ นั้นเอง

            ขยายความ โดยพระไตรปิฎกนั้น ยังมีธรรมอื่นแทรกอยู่ คือคำสอน หรือคำอธิบายคำสอนเดิม(พระบาลี/พระสูตร) โดยท่านได้แบ่ง ไว้เป็น ชั้นตามลำดับความสำคัญ หรือจะเรียกง่ายๆ ว่าตามความน่าเชื่อถือ โดยมีจัดแบ่งชั้นตามความน่าเชื่อถือ ตามนี้

            1.พระบาลี พระพุทธพจน์ล้วนๆ พระสูตร เป็นหนึ่งส่วนในนี้

            2.คัมภีร์ต่างๆ โดยอัครสาวก เช่นพระสารีบุตร เป็นต้น /หรืออาจเรียก อรรถกถา

            3.ฎีกา ซึ่งเกิดจาก ความนานของระยะเวลาทำให้ ไม่เข้าใจความหมายด้านภาษา อาจารย์ รุ่นหลัง จึงอธิบาย สำทับอีกครั้ง

            4.อนุฎีกา เมื่อเวลาผ่านไป สำนวนที่เคยใช้แปลไว้ กร่อน ลงอีก อาจารย์ หรืออรรถกถาจารย์ ก็แต่งอธิบายเพิ่ม

            ฉะนั้นเวลาศึกษาก็ต้องประกอบทั้งทุกชั้นเข้ามาและ กำหนดรู้ว่าชั้นไหนหมายถึง วาทะ ของใคร บริสุทธิ์ ระดับใด

---------------------------------
            คำแปลโดยพจนานุกรม สูตร* พระธรรมเทศนาหรือธรรมกถาเรื่องหนึ่งๆ ในพระสุตตันตปิฎก แสดงเจือด้วยบุคคลาธิษฐาน, ถ้า พูดว่า พระสูตร มักหมายถึงพระสุตตันตปิฎกทั้งหมด

            พระสุตตันตปิฎก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรมเทศนา คำบรรยายธรรมต่างๆ ที่ตรัสยักเยื้อง ให้เหมาะกับบุคคลและโอกาสตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่า และเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา *พจนานุกรม พุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

            ส่วนต่อไปนี้จะขออัญเชิญคำวิเคราะห์ความหมายคำแปล อัสสาสปัสสาสะ โดยเนื้อหาจาก หนังสืออานาปานทีปนี หน้า 43-55 พระญาณธชเถระ (แลดี สยาดอ)เขียน พศ. 2446 พระคันธสาราภิวงศ์(วัดท่ามะโอ) พศ.2549 แปล

//watnai.blogspot.com/search/label/อานาปานทีปนี
            หนังสือ อานาปานทีปนีท่านผู้เขียนเขียนระบุตามนัยวิสุทธมรรคคือ อัสออก ปัสเข้าและ ได้แยกคำศัพย์ไว้โดยสรุปคือ ศัพท์ทั้งสองนี้ ถ้าเป็นอาขยาต ก็จะเป็น อสฺสสติ (ย่อมหายใจออก) หรือ ปสฺสสติ (ย่อมหายใจเข้า) เป็นการแปลคล้อยตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค (วิสุทฺธิ. ๑.๒๙๖)อสฺสาส (สันสกฤติใช้เป็น อาศฺวส) มาจาก อา ศัพท์ + สาส ศัพท์ วิเคราะห์ว่า อาทิมฺหื สาโส อสฺสาโส (อัสสาสะ คือลมหายใจในเบื้องแรก) ส่วน ปสฺสาส (สันสกฤติใช้เป็น ปฺรศฺวส) มาจาก ป ศัพท์ + สาส ศัพท์ วิเคราะห์ว่า ปจฺฉา สาโส อสฺสาโส (อัสสาสะ คือลมหายใจในเบื้องหลัง)

            อนึ่งคำว่า อสฺสาสปสฺสาส มีคำไวพจน์ว่า อานาปาน มาจาก อาน ศัพท์ + อปาน ศัพท์ มีความหมายว่า ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก โดย อปาน วิเคราะห์ว่า อานโต อปคต อปานํ (อปานะ คือ ลมหายใจที่ถัดมาจากลมหายใจเข้า/ลมหายใจออก)อานํ คือ ลมหายใจเข้า อปานํ คือ ลมหายใจออก (เถร. อ. ๒.๒๐๖)
คัดมาจาก หนังสือ อานาปานทีปนี หน้า 43-55 พระญาณธชเถระ (แลดี สยาดอ)เขียน พศ. 2446 พระคันธสาราภิวงศ์ พศ. 2549 แปล *ส่วนผู้แปลได้แปลกลับมาเป็น อัสเข้า ปัสออก

            นิมิต ลมอัสสาสปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว
เพราะไม่รู้ธรรม ๓ ประการ จึงไม่ได้ภาวนา นิมิตลม
อัสสาสปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เพราะ
รู้ธรรม ๓ ประการ จึงจะได้ภาวนา ฉะนี้แล ฯ(พระสารีบุตร)ปฏิสัมภิทามรรค อานาฯ ข้อ 383

//www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=4070&Z=5199&pagebreak=0
            ท่านผู้อ่าน ครับในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเขียนไว้แบบโครงสร้างประกอบชุดใหญ่ คือมีเนื้อหาภาคปฏิบัติทั้งหมดรวมอยู่ ฉะนั้นบางที ข้อความสำคัญบางตอนหากเจาะจงอ่านเฉพาะ ที่ท่านเขียนอานาปานสติ อาจตกหล่นใจความสำคัญไปบ้าง เพราะท่านอธิบายรวมอยู่ในส่วนอื่นเช่นคล้ายกับว่า บางข้อความสำคัญอาจอยู่ในบทนำหน้าเล่ม หรือบทสรุปท้ายภาค หากไม่ได้ดูครอบคลุมทั้งหมดก็อาจเข้าใจผิดได้และนี้ล่ะเป็น เจตนากระทู้นี้ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อชี้ให้เห็นข้อความ หรือความสำคัญของ อานาปานสติ ทั้งในด้านคัมภีร์ และผู้สอนที่เหลือน้อยมากๆในยุคปัจจุบัน

            ภาพแสดงข้อความในวิสุทธิมรรคเรื่องนิมิตที่ไม่ควรขยาย ซึ่งท่านพุทธโฆษาจารณ์รจนาไว้ในส่วนคหนิเทศ แต่ข้อความนี้ก็จะไม่ปรากฎในบทที่ท่านกล่าวเรื่องอานาฯโดยตรง อันนี้ในวิสุทธิมรรคมีลักษณะเหล่านี้อยู่มากแห่ง จึงพึงระวัง

//www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31& amp;i=362&p=3#อุปมาด้วยคนพิการ
            อุปมาด้วยคนเฝ้า ประตู อ่านแล้ว ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า ต้องต้องตั้งจิต ไว้ที่ฐานอันเป็น ที่กระทบของลมเข้าออกเท่านั้น อย่าได้ส่งใจวิ่งไปตามลม

            นิมิต ในอานาฯ ต่างจาก นิมิตในการภาวนาแบบอื่น ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวนิมิตไว้หลายแบบและมีลักษณะเรียงลำดับความเข้มด้วย คือ อุคหนิมิตเป็น นิมิตลักษณะผัสสะ ปฏิภาคนิมิต เป็นรูปต่างเช่น ไข่มุข ไล่ไปจนถึง คล้ายพระอาทิตย์ โดยท่านกล่าวหมายถึงฌานระดับต้นๆ จนถึงสุดรูปฌานคือฌาน4 คือสิ่งที่ต่างนั้นเพราะ อานาฯไม่ได้เป็นกองกรรมฐานที่กำหนดรูปเป็นพื้นฐาน แต่ถึงจุดนึง รูปนิมิตจะเกิดขึ้นเอง ซึ่งหลายท่านอาจได้รับการสอนจากครูอาจารย์ว่าให้เพิกนิมิต ซึ่งแตกต่างจากนิมิตในอานาฯที่ท่านพระสารีบุตรให้ทรงไว้
[นิมิต ลมอัสสาสปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว
เพราะไม่รู้ธรรม ๓ ประการ จึงไม่ได้ภาวนา นิมิตลม
อัสสาสปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เพราะ
รู้ธรรม ๓ ประการ จึงจะได้ภาวนา ฉะนี้แล ฯ]*ท่านสารีบุตร

            ซึ่งในท่ามกลางของการปฏิบัตินี้มีตัวบ่งชี้ตัวหนึ่งคือ ปิติ ในวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวไว้ในบทแรกๆไม่มีอยู่ในบทที่กล่าวถึง อานาฯโดยตรง ฉะนั้น หากอ่านหรืออ่านจากผู้แปลอีกทีหนึ่งจะข้ามตัวนี้ไปและทำให้หลงผิดได้คือ

            ปิติในส่วนที่พระพุทธองค์ ตรัสนั้นไม่ได้หมายเอา ปิติขั้นต้นๆคือ 1-4 แต่หมายเอาเฉพาะ ปีติขั้นที่ 5 ผรณาปีติ เท่านั้น

            ฉะนั้นผู้ปฏิบัติ อาจหลงได้ หากเกิด ปิตืข้อต้นๆ เช่น น้ำตาไหล ขนลุก กายโยกโคลง หรือตัวใหญ่ แล้วจะคิดว่านั้นควรที่จะ ถึง ปิติปฏิสังเวที ซึ่งกายจะผ่านมาถึงตรง นี้ต้องผ่าน ปัสสัมภยัง กายสังขารัง คือสามารถข้ามความเจ็บปวด จากอริยบทได้ก่อน

            โดยเมื่อพิจารณาจากหลักนี้ ก็ต้องแน่นอนว่า การเปลี่ยนอริยาบทเป็นอุปสรรค อันหนึ่งของอานาฯสรุปอานาแตกต่างจาก ที่ หนังสือครูอาจารย์หลายเล่มเขียนไว้ในระดับต้น-ขั้นต้นตอนกลางนี้ โดย มีข้อแตกต่างอันเป็นหัวใจ 3 ข้อคือ
1. อัทธานะ ที่กล่าวมาในเบื้องต้น จัดว่าเป็นกุญแจไขความหลงในเบื้องต้นของการปฏิบัติ
2. ปิติ ต้องเป็นปิติตามแบบคือ ผรณาปิติ เท่านั้น มีลักษณะ เหมือนน้ำเต็มเขื่อน หรือเหมือนน้ำซึมแผ่จากภายใน ซาบซ่านไปทั้งกาย
3.นิมิต ในอานาฯ ตามที่กล่าว(ตามแบบ)คือต้องทรงไว้


                                                



Create Date : 13 พฤษภาคม 2553
Last Update : 9 เมษายน 2554 3:18:09 น. 6 comments
Counter : 5695 Pageviews.

 
ขอบคุณ และ อนุโมทนาค่ะ...๑_๑...


โดย: เรือนจันทร์เจ้า IP: 124.120.101.197 วันที่: 15 ธันวาคม 2553 เวลา:18:47:41 น.  

 
อนุโมทนาสาธุครับ รอฟัง(อ่าน)ต่อครับ ขออนุญาติ add ท่านนะครับ


โดย: shadee829 วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:12:21:30 น.  

 
ขออนุโมทนา สาธุ


โดย: bearsaori IP: 223.205.201.239 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:19:25:16 น.  

 
ขอบคุณครับ ขออนุญาติแชรฺในน
พุทธวจน
นะขอรับ อนุโมนทนาบุญขอรับ


โดย: เกริกกฤษฎิ์ โมสิกะ IP: 49.237.1.96 วันที่: 19 กันยายน 2558 เวลา:15:42:57 น.  

 
ขอบคุณครับ ขออนุญาติแชรฺในนาม
พุทธวจน
นะขอรับ อนุโมนทนาบุญขอรับ

ภู ผาหมอก facebook


โดย: ภู ผาหมอก IP: 49.237.1.96 วันที่: 19 กันยายน 2558 เวลา:15:44:32 น.  

 
อ้างถึงลิงค์ให้ด้วยน่ะครับ เพราะเนื้อหามีนัยยะละเอียดมากๆ ผู้สงสัยจะได้ตามมาถามได้ เรื่องวรรค ตอน ต้องขออภัยในความไม่สมบูรณ์ด้วยครับ


โดย: aero.1 วันที่: 20 กันยายน 2558 เวลา:23:03:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aero.1
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




การศึกษาทางโลก
รบ. ธรรมศาสตร์ 2536(นักศึกษาทุนภูมิพล)

การศึกษาทางธรรม
-สัทธิวิหาริก สมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 พศ 2535
-พระเจ้าหน้าที่เวรดูแลพระอาการ สมเด็จญาณสังวร
-อดีตพระป่า(หนองป่าพง)
-ประธานรุ่นนักศึกษาภาคมหาบัณฑิตมหามกุฏราชวิทยาลัย 2546

.

**************************
Friends' blogs
[Add aero.1's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.