Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
1 กันยายน 2550
 
All Blogs
 

บทที่ 8 วันวิวาห์

บทที่ 8 วันวิวาห์

บ่ายสามโมงของวันต่อมา แฮร์รี่ รอน เฟรด และจอร์จ ก็มายืนรอต้อนรับแขกที่จะมางานแต่งอยู่หน้ากระโจมสีขาวหลังใหญ่ในสวนผลไม้ แฮร์รี่ได้ดื่มน้ำยาสรรพรสเข้าไปขนานใหญ่ ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นแฝดคนละฝาของเด็กหนุ่มหัวแดงคนหนึ่งจากหมู่บ้าน อ็อตโตรี เซนต์ แคชโพล ซึ่งอยู่ใกล้เคียง เฟรด กับจอร์จขโมยเส้นผมของเขามาโดยใช้คาถาเรียกหา แผนก็คือจะให้แฮร์รี่เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ลูกพี่ลูกน้องบาร์นี่’ แล้วจับเขามั่วรวมเข้าไปในบรรดาญาติๆตระกูลวีสลีย์ซึ่งมีจำนวนมาก เพื่ออำพรางตัว

พวกเขาทั้งสี่คนกำลังถือแผนผังที่นั่งอยู่ในมือ เพื่อที่จะพาแขกไปยังที่นั่งที่ได้ถูกต้อง พวกบริกรในชุดสีขาวมาถึงแล้วเมื่อชั่วโมงก่อน พร้อมกับพวกวงดนตรีที่ใส่แจ็คเก็ตสีทอง และตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็กำลังนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลออกไป แฮร์รี่สังเกตเห็นกลุ่มควันสีฟ้าของกล้องยาสูบปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณนั้น

ทางเข้าสู่กระโจมด้านหลังแฮร์รี่เผยให้เห็นเก้าอี้สีทองที่ดูบอบบางแถวแล้วแถวเล่า ซึ่งถูกจัดเรียงขนาบพรมยาวสีม่วงไว้ทั้งสองข้าง เสาค้ำกระโจมก็ถูกพันไว้ด้วยดอกไม้สีขาวและสีทอง เฟรดกับจอร์จได้ผูกลูกโป่งพวงใหญ่ไว้เหนือจุดที่บิล กับเฟลอร์จะกลายเป็นสามีภรรยากันในไม่ช้านี้พอดี ด้านนอกมีฝูงผีเสื้อ และผึ้งกำลังบินอย่างอ้อยอิ่งอยู่เหนือสนามหญ้าและรั้วพุ่มไม้ แฮร์รี่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก เพราะรูปร่างของเด็กมักเกิ้ลที่เขายืมร่างมา ค่อนข้างจะท้วมกว่าเขา จึงทำให้เขารู้สึกร้อนและอึดอัดในชุดออกงานที่สวมอยู่ ภายใต้แสงแดดจัดจ้าของหน้าร้อน

“ถ้าฉันแต่งงานเมื่อไหร่นะ” เฟรดพูด ขยับคอปกเสื้อคลุมของตัวเอง “ฉันจะไม่มัวมาเสียเวลากับไอ้เรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก พวกนายจะแต่งตัวกันยังไงก็ได้ตามสบาย แล้วฉันก็จะเสกคาถามัดแม่ไว้จนกว่างานจะเลิก”

“จะว่าไปแล้ววันนี้แม่ก็ไม่เลวนักหรอกนะ” จอร์จพูด “งอแงนิดหน่อยเรื่องที่เพอร์ซี่มาไม่ได้ แต่ใครอยากให้มันมากันวะ? โอ้ว พี่น้องค้าบ แอ๊บแมนกันได้แล้วครับ....พวกนั้นมากันแล้ว ดูสิ”

ร่างในชุดสีสันสดใสมากมายปรากฏตัวขึ้นทีละคนที่อีกฟากหนึ่งของสนาม ภายในนาทีเดียวกับที่ปรากฏตัว พวกเขาก็เริ่มเดินผ่านสวนตรงมาที่กระโจม ดอกไม้พันธุ์ต่างประเทศนาๆชนิดและนกปลุกเสกมากมายก็บินวนอยู่บนหมวกของบรรดาแม่มด ขณะที่พวกพ่อมดก็มีอัญมณีล้ำค่าส่งแสงแวววาวอยู่ที่ผ้าผูกคอ เสียงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นดังใกล้เข้ามาทุกที กลบเสียงบินหึ่งๆของฝูงผึ้งจนมิด

“แจ๋ว ฉันคิดว่าฉันเห็นญาติวีล่าสาวๆมั่งแล้วล่ะ” จอร์จพูด ชะเง้อคอดูเพื่อให้เห็นชัดๆ “พวกเธอคงต้องการความช่วยเหลือในเรื่องประเพณีอังกฤษของเรา เดี๋ยวฉันจัดการเอง....”

“ช้าก่อน ไอ้หูแหว่ง” เฟรดขัด วิ่งพรวดผ่านกลุ่มแม่มดวัยกลางคนที่กำลังคุยกันจ้อกแจ๊กซึ่งเดินนำหน้ากลุ่มไป แล้วพูดว่า “กรุณาให้ผมรับใช้นาคร้าบ” กับเด็กสาวฝรั่งเศษที่น่ารักสองคน ซึ่งก็หัวเราะกันคิกคักแล้วปล่อยให้เขานำทางพวกเธอเข้าไปข้างใน ทิ้งให้จอร์จดูแลพวกแม่มดวัยกลางคนนั่น และรอนรับผิดชอบคุณเพอร์กินส์เพื่อนร่วมงานเก่าของนายวีสลีย์ที่กระทรวง ขณะที่คู่สามีภรรยาที่หูค่อนข้างตึงคู่หนึ่งตกเป็นหน้าที่ของแฮร์รี่

“หวัดดี” เสียงที่คุ้นหูทักทายเขาเมื่อกลับออกมาจากระโจมอีกครั้ง เป็นท็องส์กับลูปินนั่นเองที่รออยู่หัวแถว เธอเปลี่ยนผมเป็นสีบลอนด์สำหรับงานนี้ “อาร์เธอร์บอกว่าเธอคือคนที่ผมหยิกๆ ขอโทษทีนะเรื่องเมื่อคืน” เธอกระซิบตอนที่แฮร์รี่นำพวกเขาไปตามทางเดิน “ช่วงนี้กระทรวงต่อต้านมนุษย์หมาป่ามาก เลยคิดว่าถ้าเราอยู่คงจะไม่เป็นผลดีกับเธอเท่าไหร่”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” แฮร์รี่พูด โดยตั้งใจจะให้ลูปินฟังมากกว่า ลูปินยิ้มให้เขาแว๊บนึง แต่ขณะที่เขาหันกลับไป แฮร์รี่สังเกตเห็นสีหน้าของลูปินก็กลับเป็นหดหู่อีกครั้ง เขาไม่เข้าใจแต่ก็ไม่มีเวลามาขบคิด แฮกริดสร้งเรื่องโกลาหลขึ้นซะก่อน ด้วยเข้าใจในคำอธิบายของเฟรดผิด แทนที่เขาจะไปนั่งบนเก้าอี้ที่เสกไว้ให้ใหญ่และแข็งแรงสำหรับเขาโดยเฉพาะตรงแถวหลัง แต่ดันไปนั่งบนเก้าอี้ห้าตัวซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นเศษไม้ขีดไฟสีทองกองใหญ่ไปเรียบร้
อยแล้ว

ขณะที่นายวีสลีย์กำลังซ่อมแซมความเสียหาย แฮกริดก็ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่กับใครก็ได้ที่จะสนใจฟัง เมื่อแฮร์รี่รีบกลับออกไปที่ทางเข้าก็เจอรอนกำลังต้อนรับพ่อมดที่ดูเพี้ยนสุดๆคนหนึ่
ง ตาค่อนข้างตี่ ผมขาวที่ยาวประบ่าก็ดูยังกับไสไหม เขาสวมหมวกซึ่งพู่ของมันมาห้อยอยู่ที่ปลายจมูกของเขา และใส่ชุดคลุมยาวสีเหลืองไข่ไก่อันแสบสันต์ลูกนัยตา มีสัญลักษณ์ ประหลาดที่คล้ายกับดวงตารูปสามเหลี่ยมห้อยอยู่บนสร้อยทองที่คล้องคอเขาอยู่

“ซีโนฟิเลียส เลิฟกูด” เขาแนะนำตัว พร้อมกับยื่นมือมาให้แฮรี่จับ “ฉันกับลูกสาวอยู่ที่เนินเขาถัดไปนี่เอง บ้านวีสลีย์มีน้ำใจมากที่เชิญเรามา แต่คิดว่าเธอคงรู้จักลูน่าลูกฉันแล้วใช่มั๊ย?” เขาถามรอน

“ครับ” รอนบอก “แล้วเธอไม่มาด้วยเหรอครับ?”

“อ้อ เธอแวะชมสวนเล็กๆที่น่ารักนั่นเพื่อทักทายกับโนมน่ะ ช่างเป็นผู้บุกรุกที่ประเสริฐนัก! มีพ่อมดน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเราสามารถเรียนรู้จากพวกโนมตัวเล็กๆแสนรู้นี่ได้มากขนาด
ไหน – หรือจะรู้จักชื่อที่ถูกต้องของมัน เจอร์นัมบลี การ์เดนซี”

“ของบ้านเรานี่มันพูดคำหยาบได้เยอะแยะเลยครับ” รอนบอก “แต่คิดว่าเฟรดกับจอร์จจะเป็นคนสอนพวกมันมากกว่า”

เขาพาพ่อมดกลุ่มหนึ่งเข้ากระโจมไปตอนที่ลูน่ามาถึง

“สวัสดีแฮร์รี่!” เธอทัก

“เอ่อ! – ฉันชื่อบาร์นี่” แฮร์รี่พูดอย่างตกใจ

“อ้าว เธฮต้องเปลี่ยนชื่อด้วยเหรอ?” เธอถามอย่างใสซื่อ

“แล้วเธอรู้ได้ไง -- ?”

“ดูสีหน้าก็รู้แล้ว” เธอตอบ

ลูน่าก็ใส่ชุดคลุมสีเหลืองเหมือนกับพ่อของเธอ ซึ่งเธอก็ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยดอกทานตะวันดอกใหญ่ที่ผมของเธอ เมื่อสายตาเราเริ่มชินกับแสงจัดจ้านี้แล้ว ดูรวมๆก็สวยดีทีเดียว อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เอาหัวไชเท้ามาห้อยแทนต่างหูล่ะ

ซีโนฟีเลียสกำลังคุยอย่างออกรสกับคนรู้จักจึงไม่ได้ยินการทักทายของแฮร์รี่กับลูน่า เมื่อกล่าวลากับพ่อมดคนนั้นแล้ว เขาก็หันมาทางลูกสาว ซึ่งชูนิ้วมือให้เขาดู “พ่อคะ ดูนี่สิ – โนมมันกัดหนูด้วยล่ะ!”

“วิเศษไปเลย! น้ำลายของโนมมีประโยชน์มากนะลูก!” นายเลิฟกูดพูด ฉวยนิ้วของลูน่าขึ้นมาตรวจดูรอยแผลที่ถูกกัดเป็นรู “ลูน่าลูกรัก ถ้าวันนี้ลูกรู้สึกได้ถึงความสามารถพิเศษใหม่ๆนะ – อย่างเช่น อยากร้องโอเปร่าขึ้นมาเฉยๆ หรืออยากจะกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาเงือก – อย่าไปฝืนมันนะจ๊ะ! ลูกอาจจะได้รับพรจากเจอร์นัมบลีเข้าแล้ว”

รอนเดินสวนมา และแค่นเสียงหัวเราะทางจมูก

“ปล่อยรอนหัวเราะไปเหอะ” ลูน่าพูดอย่างร่าเริงตอนที่แฮร์รี่พาเธอกับพ่อไปยังที่นั่ง “พ่อของฉันน่ะค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเวทย์มนต์ของเจอร์นัมบลีมาตั้งเยอะ”

“จริงดิ?” แฮร์รี่ถาม เขาเลิกคิดที่จะไปโต้แย้งในมุมมองประหลาดๆของสองพ่อลูกมานานแล้ว “แน่ใจนะว่าจะไม่เอาอะไรใส่แผลซะหน่อย?”

“ไม่เป็นไรหรอก” ลูน่าตอบ พลางดูดนิ้วตัวเองอย่างเคลิบเคลิ้ม และมองดูแฮร์รี่หัวจรดเท้า “เธอดูหล่อจังเลย ฉันบอกพ่อแล้วว่าใครๆก็คงจะใส่ชุดออกงานกัน แต่เขาเชื่อว่าเราควรจะใส่สีของดวงอาทิตย์มางานแต่งน่ะ แบบว่า นำโชคไง”

เมื่อเธอแยกตัวตามพ่อไป รอนก็กลับเข้ามาในกระโจมอีกครั้งพร้อมกับแม่มดสูงวัยคนหนึ่งซึ่งเกาะแขนเขาอยู่ จมูกงองุ้ม ขอบตาสีแดง และหมวกขนนกสีชมพู ทำให้เธอดูเหมือนกับนกฟลามิงโก้อารมณ์เสียยังไงยังงั้น

“....ผมของเธอน่ะยาวไปแล้วนะโรนัลด์ ตอนแรกป้านึกว่าเธอเป็นจีเนอวราซะอีก โอ้..เคราเมอร์ลินทรงโปรด! นั่นซีโนฟีเลียส เลิฟกูดเขาแต่งตัวอะไรของเค้าน่ะ? ยังกับไข่เจียว! แล้วเธอน่ะใครกัน?” เธอตะโกนถามแฮร์รี่

“โอ้ จริงสิครับ ป้ามัวรีล นี่ลูกพี่ลูกน้องของเราครับ บาร์นี่”

“วีสลีย์อีกคนแล้ว? พวกเธอนี่ขยายพันธุ์กันเร็วยังกะโนม แล้วแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่มาเรอะ? ป้าอยากจะเห็นหน้าซักหน่อย เขาเป็นเพื่อนเธอไม่ใช่เหรอโรนัลด์ รึว่าเธอโม้ไปเรื่อย?”

“เปล่าครับไม่ได้โม้....เขามาไม่ได้ครับ….”

“หาข้ออ้างล่ะสิ ใช่มั๊ย? งั้นก็แสดงว่าไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนรูปที่เห็นในหนังสือพิมพ์สินะ นี่ป้าก็เพิ่งไปสอนเจ้าสาวให้ใส่รัดเกล้าของป้าอย่างถูกวิธีมา” เธอตะโกนบอกแฮร์รี่ “งานฝีมือก็อบลินเชียวนะ ตกทอดกันในตระกูลของป้ามาหลายศตวรรษแล้ว เจ้าสาวก็สวยอยู่หรอก แต่ว่ายังไงก็...ฝรั่งเศสอ่ะนะ! เอาเถอะๆ หาที่นั่งให้ป้าได้แล้วโรนัลด์ อายุป้าก็ปาเข้าไปตั้ง107ปีแล้ว ยืนนานๆไม่ค่อยดีหรอก”

รอนมองแฮร์รี่เหมือนอยากจะบอกอะไรตอนเดินผ่านเขาไปแล้วก็หายไปครู่ใหญ่ๆ เมื่อรอนออกมานอกกระโจมอีกครั้งแฮร์รี่ก็ได้พาแขกไปนั่งที่แล้วกว่าโหล กระโจมเกือบจะเต็มแล้วในตอนนี้ และก็ไม่มีแถวของแขกรออยู่อีกเลยเป็นครั้งแรก

“ป้ามัวรีลเนี่ย ฝันร้ายชัดๆ” รอนบอก เอาแขนเสื้อเช็ดหน้าผาก “ป้าแกเคยมาตอนวันคริสต์มาสทุกปีนะ แต่ต้องขอบคุณพระเจ้า แกโกรธที่เฟรดกับจอร์จวางระเบิดอึไว้ใต้เก้าอี้ของแกตอนอาหารค่ำน่ะ พ่อบอกว่าป้าต้องตัดพวกเขาออกจากกองมรดกแน่ – ยังกับพวกนั้นจะสน ยังไงก็กำลังจะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในตระกูลอยู่แล้ว ดูยอดขายของเขาซะก่อน....แม่เจ้าโว้ย!” รอนร้องพร้อมกับกระพริบตาถี่ยิบ เมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่เดินมาทางพวกเขา “เธอสวยจังเลย!”

“น้ำเสียงประหลาดใจตลอดเลยนะเธอ” เฮอร์ไมโอนี่แขวะ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ เธอใส่ชุดกระโปรงบานสีม่วงดอกไลเล็ค และรองเท้าส้นสูงสีเข้ากัน ผมของเธอเรียบเป็นประกาย “ป้ามัวรีลที่น่ารักของเธอไม่ค่อยจะเห็นด้วยหรอก ฉันเพิ่งเจอกับเธอข้างบนตอนที่เธอเอารัดเกล้าไปให้เฟลอร์ เธอว่า ‘โอ้หนูจ๋า ลูกมักเกิ้ลใช่มั๊ยเนี่ย?’ แล้วก็ ‘ท่าทางก็แย่ ข้อเท้าก็เล็ก’ ”

“อย่าถือเป็นเรื่องส่วนตัว ป้าป้าแกปากร้ายกับทุกคนเท่าเทียมกัน” รอนบอก

“นินทาป้ามัวรีลกันอยู่ล่ะสิ?” จอร์จถาม ออกมาจากกระโจมพร้อมกับเฟรด “แกเพิ่งหาว่าหูฉันเอียง ยายแร้งทึ้งเอ๊ย! ฉันอยากให้ลุงบิลิอัสยังอยู่จริงๆ เขาน่ะตัวฮาประจำงานแต่งเลย”

“ใช่ลุงคนที่เห็นกริม แล้วอีกวันก็ตายเลยรึเปล่า?” เฮอร์ไมโอนี่ถาม

“คนนั้นแหล่ะ แบบว่าลุงแกตายแปลกไปหน่อย” จอร์จยอมรับ

“แต่ก่อนจะประสาทกิน แกเป็นตัวชูโรงประจำงานเลี้ยงเลยนะ” เฟรดบอก “ลุงเคยกระดกวิสกี้ไฟรวดเดียวหมดขวด แล้วก็วิ่งไปกลางฟลอร์เต้นรำ ถกชุดคลุมขึ้นแล้วก็ดึงดอกไม้ออกมาจาก....”

“อืม ฟังดูลุงคนนี้เสน่ห์แรงไม่เบา” เฮอร์ไมโอนี่พูด แฮร์รี่หัวเราะลั่น

“แต่ไม่เคยแต่งงาน ไม่รู้ทำไม” รอนบอก

“แปลกใจจริงๆ” เฮอร์ไมโอนี่พูด

พวกเขาหัวเราะกันซะจนไม่ทันสังเกตเห็นแขกที่มาทีหลัง จนกระทั่งเด็กหนุ่มจมูกหนางองุ้ม และคิ้วดำดกหนาคนหนึ่ง ยื่นบัตรเชิญให้กับรอน และพูดทั้งๆที่สายตายังจ้องมองเฮอร์ไมโอนี่ว่า “เธอสวยมากเลยนะวันนี้”

“วิคเตอร์!” เฮอร์ไมโอนี่ร้องเสียงหลง และทำกระเป๋าลูกปัดเล็กๆของเธอหล่นดังตุ้บใหญ่ ซึ่งดูไม่ค่อยสมกับขนาดของมันเท่าไหร่ ขณะที่เธอกระวีกระวาดด้วยความเขินหยิบมันขึ้นมา เธอพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณจะ....พระเจ้า....ดีใจจังเลยที่เจอ....สบายดีหรือเปล่า?”

หูของรอนแดงก่ำอีกแล้ว หลังจากตรวจดูบัตรเชิญของครัมราวกับไม่เชื่อว่ามันจะเป็นของจริง เขาก็ถามด้วยเสียงที่ดังเกินจำเป็น “นายมานี่ได้ไง?”

“ก็เฟลอร์เชิญฉันมาน่ะสิ” ครัมตอบ คิ้วเลิกขึ้นสูง

แฮร์รี่ซึ่งไม่ได้ขัดข้องใจอะไรกับครัมก็จับมือกับเขา แล้วคิดว่าคงจะเป็นการดีกว่าที่จะรีบพาครัมไปให้พ้นจากรอน จึงเสนอที่จะพาไปหาที่นั่ง

“เพื่อนของนายไม่ยินดีเลยนะที่เจอฉัน” ครัมพูด เมื่อพวกเขาเข้าไปในกระโจมที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน “รึว่าเป็นญาติกัน?” เขาถามอีก เมื่อสังเกตเห็นผมแดงหยิกๆของแฮร์รี่

“ลูกพี่ลูกน้องน่ะ” แฮร์รี่พึมพำ แต่ครัมก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง การปรากฏตัวของเขาก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้น โดยเฉพาะในหมู่วีล่าสาว จะอย่างไรเขาก็ยังเป็นนักควิดดิชชื่อดัง ขณะที่ผู้คนพากันชะเง้อมองดูเขาอยู่นั้น รอน เฮอร์ไมโอนี่ เฟรด และจอร์จ ก็รีบวิ่งเข้ามาตามทางเดิน

“นั่งกันได้แล้วครับพี่น้อง” เฟรดบอกแฮร์รี่ “ไม่งั้นได้โดนเจ้าสาวเหยียบแบนกันพอดี”

แฮร์รี่ รอน กับเฮอร์ไมโอนี่ นั่งในแถวที่สองข้างหลังเฟรดกับจอร์จ เฮอร์ไมโอนี่แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ ส่วนหูรอนก็ยังแดงก่ำอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กระซิบกับแฮร์รี่ “นายเห็นรึเปล่าว่าหมอนั่นมันไว้เคราแพะอุบาทย์ๆด้วย?”

แฮร์รี่แกล้งทำเสียงขุ่นเคือง

แขกเหรื่อรอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ เสียงพูดคุยกันเงียบลงทุกครั้งที่มีใครหัวเราะอะไรเสียงดังด้วยความตื่นเต้น นายและนางวีสลีย์เดินเข้ามาตามทางเดิน ยิ้มและโบกมือทักทายบรรดาญาติๆ นางวีสลีย์สวมชุดสีม่วงเขี้ยวหนุมานใหม่เอี่ยม และหมวกที่สีเข้ากัน

ครู่ต่อมาบิล และชาร์ลีก็ลุกขึ้นยืนที่หน้ากระโจม ทั้งคู่สวมชุดออกงานที่มีดอกกุหลาบขาวดอกใหญ่เสียบไว้ที่รังดุม เฟรดเป่าปากแซวและมีเสียงหัวเราะคิกคักมาจากกลุ่มวีล่าสาว จากนั้นทุกคนก็เงียบเสียงเมื่อ เสียงดนตรีที่ดูเหมือนจะมาจากพวงลูกโป่งสีทองนั้นดังขึ้น

“อู้ฮู!” เฮอร์ไมโอนี่ร้อง หมุนตัวกลับไปเพื่อดูที่ทางเข้า

มีเสียงฮือฮาดังพร้อมกันจากบรรดาพ่อมดและแม่มดที่รอคอยกันอยู่ เมื่อม็องสิเยอร์เดอลากูร์ กับเฟลอร์เดินเข้ามาตามทางเดิน เฟลอร์นั้นเฉิดฉาย ส่วนม็องสิเยอร์เดอลากูร์เดินมาอย่างกระปรี้กระเปร่า และยิ้มร่า เฟลอร์สวมชุดสีขาวที่แสนจะเรียบง่าย และดูเหมือนจะเปล่งประกายรัศมีสีเงินอย่างเจิดจ้า ปกติแล้วรัศมีของเธอมักจะข่มผู้คนรอบข้างให้หม่นหมองลง แต่วันนี้มันกลับทำให้ทุกคนที่เธอแผ่รังสีไปถึงนั้นดูงดงามขึ้น จินนี่ กับแกเบรียลสวมชุดยาวสีทอง และต่างก็ดูสวยกว่าปกติ แล้วเมื่อเฟอร์เดินมาถึงเขา บิลก็ดูเหมือนกับว่า ไม่เคยได้เจอกับ เฟนแรร์ เกรย์แบ็คมาก่อน

“ท่านสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษ” เสียงที่ร่าเริงเสียงหนึ่งกล่าวขึ้น และแฮร์รี่ต้องตกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นพ่อมดตัวเล็กๆ ผมฟูๆคนเดียวกับที่ดำเนินพิธีศพของดัมเบิลดอร์ ยืนอยู่ตรงหน้าบิลกับเฟลอร์ “เรามารวมกันที่นี่ ในวันนี้ เพื่อเฉลิมฉลองการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ของวิญญาณที่ภักดีทั้งสองดวง....”

“ต้องยังงั้น รัดเกล้าของฉันนี่ทำให้ทุกอย่างดูดีไปหมดจริงๆ” ป้ามัวรีลกระซิบซะดัง “แต่ต้องขอบอกว่า ชุดของจิเนอวรานี่ดูจะคว้านลึกไปหน่อย”

จินนี่เหลียวมองไปรอบๆ ยิ้มนิดๆ ยักคิ้วให้แฮร์รี่ แล้วหันกลับไปข้างหน้าอีกครั้ง ใจของแฮร์รี่ล่องลอยไปไกลจากกระโจม กลับไปสู่ยามบ่ายที่ใช้เวลาอยู่กับจินนี่ตามลำพัง ในมุมเปลี่ยวร้างผู้คนของฮอกวอร์ต มันดูเหมือนผ่านมานานเหลือเกิน ตลอดเวลาที่ผ่านมามันเหมือนดีเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ คล้ายกับว่าเขาได้ไปขโมยช่วงเวลาอันแสนสุขของคนธรรมดาคนหนึ่งมา คนที่ไม่มีรอยแผลเป็นรูปสายฟ้าอยู่บนหน้าผาก....

“วิลเลี่ยม อาร์เธอร์ คุณจะยอมรับ เฟลอร์ อิซาแบล เป็น....?”

ที่แถวหน้า นางวีสลีย์ กับมาดามเดอลากูร์ ต่างก็สะอื้นเบาๆอยู่กับเศษผ้าลูกไม้ แล้วเสียงที่ดังเหมือนเป่าแตรจากด้านหลังของกระโจมก็บอกให้ทุกคนรู้ว่า แฮกริดได้เอาผ้าเช็ดหน้าผืนเท่าผ้าปูโต๊ะของเขาออกมาใช้อีกแล้ว เฮอร์ไมโอนี่หันมายิ้มให้แฮร์รี่ ดวงตาของเธอก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาเหมือนกัน

“....ดังนั้นผมจึงขอประกาศให้คุณทั้งสองผูกพันกันไปชั่วชีวิต”

พ่อมดหัวฟูโบกคทาเหนือศศีรษะของบิล กับเฟลอร์ และละอองดาวสีเงินก็โปรยปรายลงมาบนร่างที่เกี่ยวกระหวัดกันอยู่ของพวกเขา เมื่อเฟรด กับจอร์จปรบมือเสียงกราวใหญ่ ลูกโป่งสีทองที่อยู่เหนือศรีษะก็แตกออก ปลดปล่อยนกสวรรค์ และระฆังใบจิ๋วออกมา ประสานเสียงร้องเพลงและเสียงระฆังดังกังวานไปทั่ว

“ท่านสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษ!” พ่อมดหัวฟูประกาศ “กรุณายืนขึ้นด้วยครับ!”

พวกเขาทั้งหมดลุกขึ้น ส่วนป้ามัวรีลบ่นอุบ เขาโบกคทาของเขา เก้าอี้ที่พวกเขานั่งก็ลอยอย่างนิ่มนวลไปในอากาศ และผนังผ้าใบของกระโจมก็หายวับไป ทำให้ตอนนี้พวกเขาเหมือนยืนอยู่ใต้ซุ้มที่มีเสาค้ำสีทอง และมีทิวทัศน์ของสวนผลไม้ และชนบทอันงามจับตาอยุ่โดยรอบ ต่อมาบ่อสีทองเหลวๆได้แผ่กระจายออกจากพื้นตรงกลางเต็นท์แล้วขึ้นรูปเป็นฟลอร์เต้นรำท
ี่แวววาว เก้าอี้ที่ลอยอยู่ ก็ต่างพากันไปจับกลุ่มรอบๆโต้ะที่ปูด้วยผ้าขาว และลอยลงพื้นอย่างนิ่มนวลรอบโต๊ะเหล่านั้น แล้วนักดนตรีในเสื้อนอกสีทองก็เดินไปที่เวที

“เนียน” รอนชม บรรดาบริกรทั้งหลายก็เข้ามาจากรอบด้าน บ้างก็ถือถาดที่มี น้ำฟักทอง บัตเตอร์เบียร์ และวิสกี้ไฟ บ้างก็แบกทาร์ตและแซนด์วิชเป็นตั้ง

“เราน่าจะไปแสดงความยินดีกับพวกเขาหน่อยนะ!” เฮอร์ไมโอนี่บอก เขย่งเท้ามองหาบิล กับเฟลอร์ท่ามกลางฝูงชนที่เข้าไปแสดงความยินดี

“เอาไว้ทีหลังก็ได้” รอนยักไหล่ คว้าเอาบัตเตอร์เบียร์มาสามขวดจากถาดที่ผ่านมาพอดี แล้วส่งขวดนึงให้แฮร์รี่ “เฮอร์ไมโอนี่ จับแขนฉันไว้ เราไปหาโต๊ะกันดีกว่า....ไม่ใช่ตรงนั้น! อย่าไปใกล้ป้ามัวรีล...”

รอนนำทางข้ามฟลอร์เต้นรำไป เหลียวซ้ายแลขวาตลอด แฮร์รี่มั่นใจว่าเขากำลังมองหาครัม เมื่อพวกเขามาถึงอีกฟากของกระโจม โต๊ะส่วนใหญ่ก็ถูกจับจองหมดแล้ว ที่พอจะว่างก็คือตัวที่ลูน่านั่งอยู่คนเดียว

“พวกเรานั่งด้วยได้มั๊ย?” รอนถาม

“ได้สิ” ลูน่าตอบด้วยความดีใจ “พ่อเพิ่งเอาของขวัญไปให้บิล กับเฟลอร์น่ะ”

“ให้อะไรล่ะ รากเกอดี้ฟรีตลอดชีพรึไง?” รอนถาม

เฮอร์ไมโอนี่พยายามจะเตะรอนจากใต้โต๊ะ แต่กลับไปโดนแฮร์รี่แทน เขาน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด และจับใจความการสนทนาไม่ได้ไปพักนึงเลยทีเดียว

วงดนตรีเริ่มบรรเลง บิลกับเฟลอร์เปิดฟลอร์ก่อน และมีเสียงปรบมือกึกก้อง สักครู่หนึ่ง นายวีสลีย์ กับมาดามเดอลากูร์ก็จับคู่กันบนฟลอร์ ตามมาด้วยนางวีสลีย์กับพ่อของเฟลอร์

“ฉันชอบเพลงนี้” ลูน่าพูด โยกตัวไปตามจังหวะเพลงที่คล้ายๆวอลซ์ ไม่กี่วินาทีต่อมาธอก็ลุกขึ้นแล้วร่อนถลาไปที่ฟลอร์เต้นรำ เธอหมุนตัวไปมาอยู่คนเดียว หลับตาพริ้มแล้วก็โบกแขนไปมา

“เจ๋งมั๊ยล่ะเธอน่ะ?” รอนพูดอย่างนับถือ “งามอย่างมีคุณค่าจริงๆ”

แต่รอยยิ้มก็หายวับไปจากใบหน้าของเขาทันทีที่วิคเตอร์ ครัมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ของลูน่า เฮอร์ไมโอนี่ดูเขินจนออกนอกหน้า แต่คราวนี้ครัมไม่ได้มาเพื่อหยอดคำหวานใส่เธอ “คนชุดเหลืองนั่นใครกัน?”

“นั่น ซีโนฟิเลียส เลิฟกูด เขาเป็นพ่อของเพื่อนเรา” รอนตอบ น้ำเสียงดุดันบ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะซีโนฟีเลียสเด็ดขาด และประมาณว่าถ้าจะหาเรื่องก็ลองดู “ไปเต้นรำกันเถอะ” เขาชวนเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นมาดื้อๆ

เธอตกใจนิดหน่อย แต่ก็ดีใจ แล้วลุกขึ้น พวกเขาหายไปท่ามกลางคู่เต้นรำที่กลางฟลอร์

“อ้อ พวกเขากิ๊กกันอยู่เหรอ?” ครัมถาม หลังจากงุนงงอยู่พักนึง

“เอ่อ – ประมาณนั้น” แฮร์รี่ตอบ

“แล้วนายชื่ออะไร?” ครัมถาม

“บาร์นี่ วีสลีย์”

พวกเขาจับมือกัน

“นี่ บาร์นี่ – รู้จักนายเลิฟกูดคนนี้ดีรึเปล่า?”

“ไม่หรอก เพิ่งเจอกันวันนี้เอง ทำไมเหรอ?”

ครัมส่งเสียงคำรามใส่แก้วของเขา จ้องมองซีโนฟีเลียสที่กำลังคุยอยู่กับพ่อมดกลุ่มหนึ่งบนอีกด้านหนึ่งของฟลอร์เต้นรำต
าไม่กระพริบ

“เพราะว่า” ครัมพูด “ถ้าเขาไม่ได้เป็นแขกของเฟลอร์ล่ะก็ ฉันดวลกับเขาไปแล้ว ที่นี่ตอนนี้เลยด้วย ข้อหาห้อยไอ้สัญลักษณ์โสโครกนั่นไว้บนหน้าอกน่ะ”

“สัญลักษณ์?” แฮร์รี่พูด มองไปที่ซีโนฟีเลียสด้วยอีกคน ดวงตารูปสามเหลี่ยมประหลาดๆเปล่งประกายอยู่บนอกของเขา “ทำไม่ล่ะ? มันมีอะไรเหรอ?”

“กรินเดลวอลด์ มันเป็นสัญลักษญ์ของกรินเดลวอลด์”

“กรินเดลวอลด์....พ่อมดมารที่ดัมเบิลดอร์ปราบลงได้น่ะเหรอ?”

“ถูกต้อง”

ครัมขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วพูด “กรินเดลวอลด์ฆ่าคนไปมากมาย ปู่ของฉันก็คนนึงล่ะ แน่นอนว่าเขาไม่เคยยิ่งใหญ่ในประเทศนี้ ว่ากันว่าเขากลัวดัมเบิลดอร์ – ก็สมควรอยู่ เห็นมั๊ยล่ะว่าเขาโดนจัดการยังไง แต่ไอ้นี่....” เขาชี้นิ้วไปที่ซีโนฟีเลียส “นี่มันสัญลักษณ์ของเขา เห็นปุ๊บก็จำได้ปั๊บ กรินเดลวอลด์แกะสลักมันลงบนฝาผนังที่เดิมสแตรงค์ตอนเขายังเป็นนักเรียนอยู่ ไอ้หน้าโง่บางตัวก็เอาอย่าง เขียนมันไว้ในหนังสือ รึไม่ก็เสื้อผ้า คิดว่าจะเอาไว้ขู่ชาวบ้าน และทำให้ตัวเองดูเก๋า – จนพวกเราที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัวใต้น้ำมือของกรินเดลวอลด์ ได้สอนให้พวกมันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นแหล่ะ”

ครัมหักข้อนิ้วของเขาอย่างกระฟัดกระเฟียด และทำเสียงฮึ่มๆใส่ซีโนฟีเลียส แฮร์รี่จับต้นชนปลายไม่ถูก มันดูเป็นไปได้ยากที่พ่อของลูน่าจะเป็นพวกฝักใฝ่ในศาสตร์มืด และก็ไม่มีใครในเตนท์ที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักเจ้าสัญลักษณ์สามเหลี่ยมนี้เลย

“นายแน่ – เอ่อ – แน่ใจนะว่ามันเป็นของกรินเดลวอลด์จริงๆ....?”

“ฉันจำไม่ผิดหรอก” ครัมตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ฉันเดินผ่านไอ้สัญลักษณ์นั่นอยู่หลายปี ฉันรู้จักมันดี”

“แล้ว เป็นได้มั๊ย” แฮร์รี่พูด “ที่ซีโนฟีเลียสไม่รู้จริงๆว่าสัญลักษณ์นั่นหมายถึงอะไร พวกเลิฟกูดน่ะค่อนข้างจะ...ไม่ค่อยปกติน่ะ เขาอาจจะไปเจอมันที่ไหนโดยบังเอิญแล้วคิดว่ามันคือ ภาพตัดขวางของหัวสนอร์แค็คเขาย่น หรืออะไรซักอย่างก็ได้”

“ภาพตัดขวางของอะไรนะ?”

“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นตัวอะไร แต่ดูเหมือนว่าเขากับลูกสาวจะออกเดินทางไปตามล่ามันช่วงวันหยุดน่ะ....”

แฮร์รี่รู้สึกว่า เขายิ่งทำให้ลูน่ากับพ่อดูแย่เข้าไปใหญ่

“คนนั้นไง” เขาบอก ชี้นิ้วไปที่ลูน่าซึ่งยังคงเต้นรำอยู่คนเดียว และกำลังโบกแขนรอบๆหัวเหมือนคนพยายามจะไล่แมลงอยู่

“เธอทำยังงั้นทำไม?” ครัมถาม

“คงจะพยายามไล่ตัวแร็คสเพิทอยู่น่ะ” แฮร์รี่ซึ่งจดจำอาการนี้ได้ดีตอบ

ครัมไม่รู้ว่านี่แฮร์รี่กำลังเล่นตลกกับเขาอยู่รึเปล่า เขาดึงคทาออกมาจากชุดคลุมแล้วฟาดมันอย่างแรงที่ต้นขาของเขา มีประกายไฟแลบออกจากปลายของมัน

“เกรโกโรวิช!” แฮร์รี่ร้องเสียงดัง ครัมสะดุ้ง แต่แฮร์รี่ตื่นเต้นเกินกว่าจะสนใจ ความทรงจำหวนคืนทันทีที่เห็นคทาของครัม โอลิแวนเดอร์รับมันไปตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนการแข่งขันเวทย์มนต์ไตรภาคี

“เกี่ยวอะไรกับเขา?” ครัมถามอย่างสงสัย

“เขาเป็นช่างทำคทา!”

“เรื่องนั้นน่ะฉันรู้” ครัมพูด

“เขาทำคทาของนาย! ฉันถึงได้นึกถึง – ควิดดิช....”

ครัมยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก

“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเกรโกโรวิชทำคทาให้ฉัน?”

“ฉัน....ฉันอ่านมาน่ะ คิดว่านะ” แฮร์รี่บอก “ในนิ....นิตยสารแฟนคลับน่ะ” เขาแต่งเรื่องมั่วไปเรื่อย แล้วครัมก็ดูเหมือนพยายามจะระงับโทสะ

“ฉันจำไม่ได้ว่าเคยให้สัมภาษณ์เรื่องคทาของฉันกับแฟนๆนะ” เขาพูด

“แล้ว – เอ่อ – ตอนนี้เกรโกโรวิชอยู่ที่ไหนล่ะ?”

ครัมยิ่งงงเข้าไปใหญ่

“เขาเกษียณตัวเองไปหลายปีแล้ว ฉันเป็นหนึ่งในคนกลุ่มท้ายๆที่ได้ซื้อคทาของเขา มันเจ๋งที่สุด – แน่ล่ะฉันรู้ว่าพวกอังกฤษอย่างนายชอบโอลิแวนเดอร์มากกว่า”

แฮร์รี่ไม่ตอบ เขาแกล้งทำเป็นมองพวกที่เต้นรำกันอยู่เหมือนครัม แต่เขากำลังครุ่นคิด แสดงว่าโวลเดอมอร์กำลังตามหาช่างทำคทาชื่อดัง และแฮร์รี่ก็ไม่ต้องหาคำตอบนาน มันเป็นเพราะสิ่งที่คทาของแฮรี่ได้ทำในคืนที่โวลเดอมอร์ไล่ล่าเขาไปทั่วท้องฟ้า คทาไม้โฮลลี่กับแกนขนนกฟินิกซ์ได้มีชัยเหนือคทาที่ถูกยืมมา เป็นเรื่องที่โอลิแวนเดอร์ไม่สามารถจะคาดเดาและเข้าใจได้ เกรโกโรวิชรู้ดีกว่าเขาหรือ? รึว่าเขาจะเก่งกว่าโอลิแวนเดอร์จริงๆ รึว่าเขารู้ความลับของคทาที่โอลิแวนเดอร์ไม่รู้?

“เด็กผู้หญิงคนนั้นน่ารักดีนี่” ครัมพูดขึ้นมาทำให้แฮร์รี่กลับมาสู่สิ่งรอบตัวอีกครั้ง ครัมกำลังชี้ไปที่จินนี่ ซึ่งเพิ่งเดินมาหาลูน่า “เป็นญาติของนายด้วยรึเปล่าล่ะ?”

“ใช่” แฮร์รี่บอก และก็หงุดหงิดขึ้นมาทันใด “แต่เธอกำลังคบกับใครคนนึงอยู่ ขี้หึงชมัด ตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม นายไม่อยากไปยุ่งกับเขาหรอก”

ครัมเสียอารมณ์

“จะ” เขาพูด ยกดื่มรวดเดียวหมดแก้วแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “เป็นนักควิดดิชทีมชาติไปทำแมวอะไรวะ ถ้าหญิงงามๆถูกสอยไปหมดแล้วน่ะ”

แล้วเขาก็เดินจากไป ปล่อยให้แฮร์รี่ฉวยแซนด์วิชจากบริกรที่เดินผ่านมา แล้วเขาก็เดินเลาะไปตามริมฟลอร์เต้นรำ เขาอยากจะหารอน เพื่อจะเล่าเรื่องเกรโกโรวิชให้ฟัง แต่รอนกำลังเต้นรำอยู่กับเฮอร์ไมโอนี่อยู่ตรงกลางฟลอร์นู่น แฮร์รี่จึงมายืนพิงเสาสีทองต้นหนึ่งและมองดูจินนี่ซึ่งกำลังเต้นรำอยู่กับลี จอร์แดนเพื่อนของเฟรดกับจอร์จ และพยายามจะไม่เสียใจกับสัญญาที่ให้ไว้กับรอน

เขาไม่เคยไปงานแต่งมาก่อน เลยไม่สามารถจะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างงานของพ่อมดกับของมักเกิ้ลได้ ถึงแม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าอย่างหลังต้องไม่มีเค้กแต่งงานที่ประดับด้วยหุ่นจำลองน
กฟินิกซ์ ซึ่งจะบินไปรอบๆทุกครั้งที่เค้กถูกตัด หรือจะเป็นขวดแชมเปญที่ลอยอยู่ได้เองกลางอากาศท่ามกลางแขกเหรื่อ เมื่อเริ่มพลบค่ำฝูงแมลงก็เริ่มบินเข้ามาในเตนท์ ซึ่งตอนนี้ถูกส่องสว่างโดยโคมไฟสีทองที่ลอยอยู่ ขาเมาทั้งหลายก็ชักเริ่มจะคุมสติไม่ค่อยอยู่ เฟรดกับจอร์จหายไปในความมืดพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องสาวแสนสวยของเฟลอร์สองคนตั้งนานแล้
ว ชาร์ลี แฮกริด กับพ่อมดอ้วนเตี้ยคนหนึ่งก็กำลังส่งเสียงร้องเพลง โอโดผู้กล้า อยู่ที่มุมนึงของงาน

เขาฝ่าฝูงคนเข้าไปเพื่อจะหลบลุงขี้เมาของรอนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังไม่แน่ใจว่าแฮร์รี่เป็นลูกของเขารึเปล่า แฮร์รี่เห็นพ่อมดชรากำลังนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะตัวหนึ่ง ผมขาวเป็นปุยของเขาทำให้เขาดูเหมือนภาพปักของดอกแดนดิไลออนเก่าๆ และเขาสวมหมวกแขกที่มอดกินอยู่ใบนึง เขาดูหน้าคุ้นๆ นึกอยู่ครู่หนึ่งแฮร์รี่ก็จำได้ว่าคือ เอลเฟียส ด็อจ สมาชิกของภาคีนกฟินิกซ์ และผู้เขียนคำรำลึกถึงดัมเบิลดอร์

แฮร์รี่เดินเข้าไปหาเขา

“ขอนั่งด้วยคนได้มั๊ยครับ?”

“เชิญเลย เชิญเลย” ด็อจตอบ เขามีเสียงค่อนข้างสูงทีเดียว

แฮร์รี่โน้มตัวเข้าไปใกล้

“คุณด็อจครับ ผมแฮร์รี่ พอตเตอร์ครับ”

ด็อจอ้าปากค้าง

“โอ้พ่อหนุ่ม! อาร์เธอร์บอกฉันแล้วว่าเธอก็อยู่ที่นี่ แต่ปลอมตัวอยู่....ฉันยินดีจริงๆ ช่างเป็นเกียรติ์เหลือเกิน!”

ในความตื่นตกใจที่น่าปลื้มปีตินี้ด็อจก็รินแชมเปญให้แฮร์รี่แก้วหนึ่ง

“ผมอยากจะเขียนหาคุณ” เขากระซิบ “หลังจากดัมเบิลดอร์....มันน่ากลัวมาก....และสำหรับคุณด้วยผมแน่ใจ....”

น้ำตาเอ่อท่วมนัยน์ตาหรี่เล็กของด็อจทันที

“ผมได้อ่านคำรำลึกที่คุณเขียนลงเดลี่ โพรเฟ็ตแล้ว” แฮร์รี่บอก “ผมไม่นึกว่าคุณจะรู้จักดัมเบิลดอร์ดีขนาดนั้น”

“ก็เหมือนกับทุกคนแหล่ะ” ด็อจพูด ซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดปาก “ที่แน่ๆฉันน่ะรู้จักเขามานานที่สุด ถ้าเธอไม่นับอะเบอร์ฟอร์ทนะ – แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ใครๆก็ดูเหมือนจะไม่เคยนับอะเบอร์ฟอร์ท”

“พูดถึงเดลี่ โพรเฟ็ต....ไม่ทราบว่าคุณได้อ่าน เอ่อ คุณด็อจ...?”

“โอ เรียกฉันว่าเอลเฟียสเถอะ พ่อหนุ่ม”

“เอลเฟียส ไม่ทราบว่าคุณเคยอ่านบทสำภาษณ์ของ ริต้า สกีเตอร์รึยังครับ?”

หน้าของด็อจเปลี่ยนสีด้วยความโกรธ

“ใช่ ฉันอ่านมันแล้ว แม่คนนี้ รึเรียกว่าอีแร้งคงจะดูเหมาะสมกว่า พยายามจะตื้อให้ฉันให้สัมภาษณ์ น่าอายที่ต้องบอกว่าฉันก็หยาบคายไปหน่อย เรียกเธอว่ายายโง่จอมสาระแน ซึ่งผลก็เป็นอย่างที่เธอคงได้เห็นแล้ว เธอละเลงฉันซะเละว่าเสียสติ”

“แล้ว ในบทสัมภาษณ์นั่น” แฮร์รี่เดินหน้าต่อ “ริต้า สกีเตอร์พูดเป็นนัยๆว่าศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์เคยเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดตอนที่ยังหน
ุ่ม”

“ไม่ต้องไปเชื่อมันเลยซักคำ!” ด็อจสวนทันที “ไม่แม้แต่คำเดียว แฮร์รี่! อย่าปล่อยให้อะไรมาทำความทรงจำของเธอเกี่ยวกับดัมเบิลดอร์ต้องหม่นหมอง!”

แฮร์รี่มองไปที่ใบหน้าอันจริงจังและเจ็บช้ำของด็อจ เขารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจและผิดหวัง ด็อจคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นเลยหรือ ก็แค่แฮร์รี่เลือกที่จะไม่เชื่องั้นสิ? ด็อจไม่เข้าใจรึไงว่าแฮร์รี่ต้องการที่จะมั่นใจ ต้องการจะรู้ทุกสิ่ง?

ด็อจคงจะเดาความรู้สึกของแฮร์รี่ออก เพราะเขาดูกังวลและพูดว่า “แฮร์รี่ ริต้า สกีเตอร์นั่นร้ายกาจมาก....”

แต่เขาถูกขัดจังหวะโดยเสียงหัวเราะแหลมปี๊ด

“ริต้า สกีเตอร์รึ? ฉันน่ะเป็นแฟนพันธุ์แท้เลยนะ ติดตามผลงานของเธอมาตลอด!”

แฮร์รี่กับด็อจแหงนหน้าขึ้นก็เห็นว่าป้ามัวรีลยืนอยู่ตรงนั้น ขนนกบนหมวกของเธอส่ายไหวไปมา และมีแก้วแชมเปญถืออยู่ในมือ “เธอเขียนหนังสือเกี่ยวกับดัมเบิลดอร์ด้วยนะคุณรู้รึเปล่า?”

“สวัสดี มัวรีล” ด็อจทัก “รู้สิ เรากำลังพูดถึงเรื่อง....”

“นี่เธอ! ยกเก้าอี้ของเธอให้ป้าเดี๋ยวนี้เลย ป้าอายุตั้ง107ปีแล้วนะ”

ลูกพี่ลูกน้องวีสลีย์หัวแดงคนหนึ่งกระโดดลุกขึ้นด้วยความตกใจ ป้ามัวรีลกระชากมันมาด้วยความแข็งแรงเหลือเชื่อ แล้วทรุดตัวนั่งลงตรงกลางระหว่างแฮร์รี่กับด็อจ

“สวัสดีอีกทีนะ แบร์รี่ รึจะชื่ออะไรก็ช่างเหอะ” เธอบอกแฮร์รี่ “ทีนี้ คุณกำลังคุยถึงริต้า สกีเตอร์ว่าอะไรล่ะ เอลเฟียส? รู้ใช่มั๊ยว่าเธอกำลังเขียนหนังสือประวัติของดัมเบิลดอร์? ฉันรอจะอ่านแทบไม่ไหว ต้องอย่าลืมไปจองที่ร้านหยดหมึก และตัวบรรจงซะแล้ว!”

ด็อจมีท่าทีอึดอัด และไม่พอใจ แต่ป้ามัวรีลยกแก้วของเธอรวดเดียวหมด แล้วดีดนิ้วให้บริกรเอามาให้ใหม่ เธอยกเชมเปญเข้าไปอีกอึกใหญ่ เรอออกมาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องมาทำหน้ายังกับคางคกสตัฟเลยนะ! ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นที่นับถือ และน่านับถือ และอะไรโง่ๆอีกหลายอย่างขนาดนี้นะ มีข่าวลือแปลกๆมากมายเกี่ยวกับตัวอัลบัส!”

“เสียงนกเสียงกา” ด็อจพูด หน้าถอดสีอีกครั้ง

“คุณก็ต้องว่างั้นอยู่แล้ว เอลเฟียส” ป้ามัวรีลหัวเราะเสียงแหลม “ฉันเห็นแล้วว่าคุณจงใจจะละเลยช่วงเวลาอัปยศนั่น ในคำรำลึกของคุณ”

“เสียใจที่คุณคิดอย่างนั้น” ด็อจพูด เย็นชากว่าเก่า “แต่บอกได้เลยว่าผมเขียนมาจากใจ”

“โถ ใครก็รู้ว่าคุณน่ะบูชาดัมเบิลดอร์จะตาย คุณก็ยังคิดว่าเขาเป็นเทพอยู่ดี แม้ความจริงจะปรากฏมาว่าเขาได้ทอดทิ้งน้องสาวสควิบของเขาอย่างไม่ใยดี”

“มัวรีล!” ด็อจตวาด

ความเย็นยะเยือกที่ไม่ได้มาจากแชมเปญแช่แข็งค่อยๆคืบคลานเข้ามาในอกของแฮร์รี่

“ป้าหมายความว่าไงครับ?” เขาถามมัวรีล “ใครบอกว่าน้องสาวของเขาเป็นสควิบ? ผมคิดว่าเธอป่วยซะอีก?”

“คิดผิดก็คิดใหม่นะ แบร์รี่!” ป้ามัวรีลบอก ดูพออกพอใจกับผลของสิ่งที่เธอได้ประกาศออกมา “แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ เธอจะไปรู้อะไรดีได้ยังไง? เรื่องมันเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะได้คิดถึงมันด้วยซ้ำ นานเป็นชาติแล้วล่ะไอ้หนู และเอาเข้าจริงพวกเราที่อยู่กันตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นั่นแหล่ะป้าถึงอยากรู้นักว่าสกีเตอร์ไปขุดคุ้ยอะไรมาได้บ้าง! ดัมเบิลดอร์ปกปิดเรื่องน้องสาวมานานมากแล้ว!”

“โกหก!” ด็อจร้อง “โกหกทั้งเพ!”

“เขาไม่เคยบอกผมเลยว่าน้องสาวของเขาเป็นสควิบ” แฮร์รี่พูดโดยไม่ได้คิด และยังคงหนาวเหน็บอยู่ข้างใน

“แล้วทำไมเขาถึงต้องมาบอกเธอด้วยไม่ทราบยะ?” มัวรีลร้องเสียงแสบแก้วหู โซเซเล็กน้อยตอนเธอพยายามมองหน้าแฮร์รี่ให้ชัดๆ

“เหตุผลที่อัลบัสไม่เคยเอ่ยถึงอาเรียน่าเลย” เอลเฟียสพูดด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ “ก็คือ -- อย่างที่ฉันคิดได้และค่อนข้างชัดเจน -- เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการตายของเธอ....”

“แล้วทำไมไม่มีใครเคยเห็นเธอเลยล่ะ เอลเฟียส?” มัวรีลขัด “ทำไมพวกเราครึ่งนึงถึงไม่เคยรู้ว่าเธอมีตัวตน จนกระทั่งมีคนแบกโลงศพออกมาจากบ้านนั้น และก็จัดงานศพให้เธอ? พ่อนักบุญอัลบัสไปอยู่ซะที่ไหนล่ะ ตอนที่อาเรียน่าถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินน่ะ? มัวแต่ไปโอ้อวดเก่งอยู่ที่ฮอกวอร์ต และไม่เคยสนใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านของตัวเอง!”

“หมายความว่าไงครับ ‘ถูกขังอยู่ในห้องใต้ดิน’?” แฮร์รี่ถาม “มันเรื่องอะไรกัน?”

ด็อจดูเศร้าหมอง ป้ามัวรีลหัวเราะเสียงแหลมสะใจ แล้วตอบแฮร์รี่

“แม่ของดัมเบิลดอร์น่ะเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ เชื้อสายมักเกิ้ล แต่ป้าเคยได้ข่าวว่าเธอเสแสร้งทำเป็นว่าไม่ใช่....”

“เธอไม่เคยเสแสร้งทำอะไรอย่างนั้น! เคนดร้าเป็นคนดี” ด็อจกระซิบอย่างเศร้าใจ แต่ป้ามัวรีลไม่สนใจเขา

“....เย่อหยิ่ง และจอมบงการ เป็นแม่มดประเภทที่จะรู้สึกว่ามันเป็นความอัปยศ เมื่อเธอให้กำเนิดสควิบ....”

“อาเรียน่าไม่ใช่สควิบนะ!” ด็อจร้อง

“ถ้าคุณว่าอย่างนั้นนะเอลเฟียส ไหนลองอธิบายทีซิว่า ทำไมเธอถึงไม่เคยเข้าเรียนที่ฮอกวอร์ต!” ป้ามัวรีลพูดแล้วหันกลับมาทางแฮร์รี่ “ในสมัยนั้นสควิบมักจะถูกปกปิดซ่อนเร้นไว้ แต่นี่มันโหดร้ายสุดๆ ถ้าถึงต้องกับขังเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆไว้แต่ในบ้าน และแกล้งทำเป็นว่าเธอไม่มีตัวตน....”

“ฉันขอบอกเลยนะว่าเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น!” ด็อจพูด แต่ป้ามัวรีลยังร่ายต่อไปกับแฮร์รี่

“สควิบมักจะถูกส่งไปโรงเรียนมักเกิ้ล และถูกเกลี้ยกล่อมให้ยอมใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมักเกิ้ล....ซึ่งยังดีกว่าการพยายามยัดเยียดให้พวกเขาอยู่ในโลกของพ่อมด แล้วกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง แต่แน่นอน เคนดร้า ดัมเบิลดอร์มีหรือที่จะยอมปล่อยให้ลูกสาวของเธอไปโรงเรียนมักเกิ้ล....”

“อาเรียน่านั้นบอบบาง!” ด็อจพูดอย่างสิ้นหวัง “สุขภาพของเธออ่อนแอเกินกว่าที่จะ....”

“...ที่จะให้เธอออกจากบ้านได้งั้นสิ?” มัวรีลหัวเราะเสียงแหลม “แล้วเธอก็ยังไม่เคยถูกพาไปเซนท์ มังโกเลยนะ และก็ไม่เคยมีนักบำบัดคนไหนถูกเรียกไปรักษาเธอเลยด้วย!”

“จริงเหรอมัวรีล แล้วคุณจะไปมีทางรู้ได้ยังไงว่า...”

“จะบอกให้เอาบุญนะเอลเฟียส แลนซล็อตลูกพี่ลูกน้องของฉันเคยเป็นนักบำบัดที่เซนต์ มังโกในช่วงเวลานั้น เขาได้เล่าให้ที่บ้านฉันฟังด้วยความมั่นใจอย่างสูงว่า อาเรียน่าไม่เคยเข้าไปรักษาที่นั่น แลนซล็อตคิดว่ามันดูมีพิรุธอยู่มาก!”

ด็อจดูเหมือนจะร้องให้อยู่รอมร่อแล้ว ส่วนป้ามัวรีลซึ่งดูเหมือนจะสบายอารมณ์เป็นหนักหนา ก็ดีดนิ้วสั่งแชมเปญอีกแก้ว แฮร์รี่หวนนึกไปถึงตอนที่พวกเดอร์สลีย์ให้เขาปิดปากเงียบ กักขังเขา และซ่อนเขาไว้ให้พ้นหูพ้นตาผู้คน ด้วยอาชญากรรมข้อเดียวคือเขาเป็นพ่อมด แล้วนี่น้องสาวของดัมเบิลดอร์ต้องมาประสบชะตากรรมเดียวกับเขาในทางกลับกัน คือต้องถูกจองจำเพราะไม่มีเวทย์มนต์รึเปล่า? แล้วจริงหรือที่ดัมเบิลดอร์ปล่อยให้เธอต้องเผชิญเคราะห์กรรมตามลำพังระหว่างที่เขาไป
ฮอกวอร์ต เพื่อพิสูจน์ความเก่งกล้าสามารถของตัวเอง?”

“นี่ถ้าเคนดร้าไม่ตายไปก่อนนะ” มัวรีลสาธยายต่อ “ฉันว่าก็คงเป็นเธอเองนั่นแหล่ะที่จัดการอาเรียน่า....”

“กล้าดียังไงมัวรีล?” ด็อจคร่ำครวญ “แม่ฆ่าลูกสาวตัวเองเนี่ยนะ? พูดจาอะไรระวังปากหน่อย?”

“ถ้าแม่ที่ต้องสงสัยคนนั้นสามารถขังลูกสาวตัวเองไว้เป็นปีๆได้ลงคอแล้วล่ะก็ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ?” ป้ามัวรีลยักไหล่ “แต่ก็อย่างว่าแหล่ะ มันไม่สมเหตุสมผล เพราะเคนดร้าตายก่อนอาเรียน่า – ตายด้วยสาเหตุอะไรก็ยังไม่ค่อยมีใครแน่ใจนัก....”

“โถ อาเรียน่าต้องเป็นคนฆ่าเธอแน่อย่างไม่ต้องสงสัย” ด็อจพูด ด้วยความดูแคลน “จริงมะ?”

“เป็นได้ อาเรียน่าอาจจะพยายามหนีอย่างสิ้นหวังเพื่ออิสรภาพ แล้วฆ่าเธอโดยบังเอิญในช่วงชุลมุน” ป้ามัวรีลกล่าวอย่างครุ่นคิด “จะส่ายหัวจนคอหักก็เชิญเถอะเอลเฟียส! คุณก็อยู่ในงานศพของอาเรียน่าด้วยไม่ใช่รึไง?”

“ใช่ ฉันอยู่” ด็อจพูดด้วยปากสั่นเทา “เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์โศกสลดที่ฉันไม่มีวันลืม อัลบัสหัวใจแหลกสลาย....”

“ไม่ใช่หัวใจอย่างเดียวมั๊ง อะเบอร์ฟอร์ทซัดดั้งจมูกอัลบัสหักกลางงานเลยไม่ใช่รึไง?”

ถ้าด็อจเคยดูตื่นตระหนกมาก่อนหน้านี้ มันก็เทียบไม่ได้กับสภาพของเขาตอนนี้เลย เหมือนว่ามัวรีลได้แทงเขาเข้าเต็มๆ เธอหัวเราะเสียงแหลมดังลั่น และดื่มแชมเปญเข้าไปอีกอึกใหญ่ ซึ่งไหลย้อยมาตามคางของเธอ

“คุณรู้ได้ยังไ....?” ด็อจร้อง

“แม่ของฉันเป็นเพื่อนกับ บาธิลดา แบ็กช็อต” มัวรีลพูดอย่างร่าเริง “บาธิลดาเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังแล้วฉันก็แอบฟังอยู่ที่ประตู บาธิลด้าบอกว่ายังกับโขนหน้าไฟเลย! อะเบอร์ฟอร์ทตะโกนด่าว่าเป็นความผิดของอัลบัสที่อาเรียน่าต้องตาย แล้วก็ชกเขาเข้าที่หน้าเต็มๆ แล้วก็ตามที่บาธิลดาบอก อัลบัสไม่พยายามปัดป้องด้วยซ้ำ แค่เรื่องนี้ก็ประหลาดมากในตัวเองอยู่แล้ว เพราะต่อให้มัดมือเขาไว้ข้างหลังทั้งสองข้าง อัสบัสก็น่าจะจัดการกับอะเบอร์ฟอร์ทได้สบายๆ”

มัวรีลกระดกแชมเปญเข้าไปอีก การรื้อฟื้นโศกนาฏกรรมเก่าๆเหล่านี้ขึ้นมาเหมือนจะทำให้เธอกระชุ่มกระชวยได้พอๆกับที
่มันทำให้ด็อจตื่นตระหนก แฮร์รี่คิดอ่านอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเชื่อเรื่องไหนดี เขาต้องการความจริง ด็อจก็เอาแต่นั่งบื้อ และเถียงข้างๆคูๆว่าอาเรียน่าป่วย แฮร์รี่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าดัมเบิลดอร์ยอมที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรถ้ามีการทาร
ุณกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในบ้านของตัวเอง แต่ก็นั่นแหล่ะเรื่องนี้มันมีอะไรทะแม่งๆอยู่อย่างไม่ต่องสงสัย

“แล้วจะบอกอะไรให้อีกนะ” มัวรีลพูด สะอึกนิดหน่อยตอนวางแก้วลง “ฉันคิดว่าบาธิลดาคงเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ริต้า สกีเตอร์ฟังเองล่ะ ที่สกีเตอร์พูดเป็นนัยๆในบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับพวกดัมเบิลดอร์น
่ะ – พระเจ้ารู้ดีว่าเธออยู่ที่นั่นตลอดเวลาในเรื่องทั้งหมดของอาเรียน่า ฟังดูมีเหตุผลนะ!”

“บาธิลดาไม่มีทางพูดอะไรกับริต้า สกีเตอร์เด็ดขาด!” ด็อจกระซิบ

“บาธิลด้า แบ็กช็อต?” แฮร์รี่พูด “คนแต่งหนังสือประวัติศาสตร์เวทย์มนต์น่ะเหรอครับ?”

ชื่อนี้พิมพ์หราอยู่บนตำราเรียนเล่มหนึ่งของแฮร์รี่เอง แม้จะต้องยอมรับว่าไม่ใช่หนึ่งในเล่มที่เขาจะอ่านมันอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ใช่” ด็อจพูด กระโจนใส่คำถามของแฮร์รี่เหมือนคนตกน้ำที่เห็นห่วงชูชีพ “นักประวัติศาสตร์เวทย์มนต์ที่มีพรสวรรค์ที่สุด และเป็นเพื่อนเก่าแก่ของอัลบัส”

“ได้ยินมาว่า สติสตังไม่ค่อยจะดีแล้วนี่พักนี้น่ะ” ป้ามัวรีลพูดอย่างร่าเริง

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันยิ่งน่าละอายเข้าไปใหญ่ที่ริต้า สกีเตอร์จะไปฉวยโอกาสเอากับเธอ” ด็อจพูด “และสิ่งที่เธอพูดออกมามันก็คงไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่”

“โธ่ มันมีตั้งหลายวิธีที่จะดึงความทรงจำกลับมา และฉันก็มั่นใจว่าริต้ารู้หมดทุกวิธีแหล่ะ” ป้ามัวรีลบอก “แต่ถ้าบาธิลด้าเลอะเลือนจริงๆจนกู่ไม่กลับแล้วล่ะก็ ฉันก็มั่นใจว่าเธอคงยังเก็บรูปถ่ายเก่าๆไว้บ้าง รึอาจจะเป็นจดหมายก็ได้ เพราะเธอรู้จักกับบ้านดัมเบิลดอร์มาหลายปี....ฉันคิดว่าก็ยังคงคุ้มค่าที่ต้องถ่อไปถึงโกดริก ฮอลโลอยู่ดี”

แฮร์รี่ซึ่งกำลังจิบบัตเตอร์เบียร์อยู่ ถึงกับสำลัก ด็อจช่วยลูบหลังให้เขาเมื่อเห็นเขาไอค้อกแค้ก เขามองป้ามัวรีลด้วยตาที่น้ำตาเล็ด ทันทีที่เขาควบคุมเสียงได้เขาถามว่า “บาธิลด้า แบ็กช็อตอยู่ที่โกดริก ฮอลโล่เหรอครับ?”

“อ๋อแน่นอน เธออยู่ที่นั่นมาตลอดแหล่ะ! พวกดัมเบิลดอร์ย้ายไปอยู่ที่นั่นหลังจากเพอร์ซิวัลติดคุก แล้วเธอก็กลายเป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา”

“พวกดัมเบิลดอร์ก็อยู่ที่โกดริก ฮอลโลด้วย?”

“ใช่แล้วแบร์รี่ ที่พูดไปน่ะไม่ได้ฟังรึไง” ป้ามัวรีลพูดแบบมีน้ำโห

แฮร์รี่รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังหลั่งไหลออกจากตัวเขา เขารู้สึกว่างเปล่า ไม่เคยเลยซักครั้ง ในรอบ6ปี ที่ดัมเบิลดอร์จะบอกแฮร์รี่ว่าพวกเขาทั้งคู่เคยอยู่และสูญเสียคนที่รักไปที่โกดริค ฮอลโล ทำไมกัน? ลิลี่ และเจมส์ถูกฝังอยู่ในหลุมใกล้ๆกับแม่และน้องสาวของดัมเบิลดอร์รึเปล่า? แล้วดัมเบิลดอร์เคยไปเคารพหลุมศพของพวกเขารึเปล่า อาจจะต้องเดินผ่านลิลี่และเจมส์ด้วยถ้าเป็นอย่างนั้น? แล้วนี่เขายังไม่เคยบอกแฮร์รี่เลยซักครั้ง...ไม่เคยใส่ใจที่จะเล่าด้วยซ้ำ....

แล้วทำไมมันถึงสำคัญนัก แฮร์รี่ก็ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองเข้าใจได้เหมือนกัน และเขายังรู้สึกว่ามันเปรียบได้กับการโกหกเลยทีเดียวที่ไม่เล่าเรื่องสถานที่ และประสบการณ์ที่ทั้งคู่มีเหมือนกันให้เขาฟัง เขาเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นรอบๆตัว และไม่รู้สึกตัวว่าเฮอร์ไมโอนี่ได้ออกมาหาเขาจากกลุ่มคน จนกระทั่งเธอได้ลากเก้าอี้มานั่งข้างเขาแล้ว

“ฉันเต้นรำไมไหวแล้วล่ะ” เธอหอบ ถอดรองเท้าออกข้างหนึ่งแล้วเริ่มนวดฝ่าเท้า “รอนกำลังไปเอาบัตเตอร์เบียร์ แล้วก็มีอะไรแปลกๆด้วยนะ ฉันเห็นวิคเตอร์เดินหุนหันไปจากพ่อของลูน่า ดูยังกับเพิ่งทะเลาะกัน....” เธอชะงักแล้วจ้องมองเขา “แฮร์รี่ นายสบายดีรึเปล่าเนี่ย?”

แฮร์รี่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี แต่มันก็ไม่สำคัญแล้ว จังหวะนั้นเอง มีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่สีเงินยวงหล่นมาจากหลังคากระโจมลงสู่ฟลอร์เต้นรำ มันดูสง่างาม และสว่างเจิดจ้า แมวป่าตัวนั้นร่อนลงอย่างนุ่มนวลท่ามกลางคู่เต้นรำที่กำลังตกตะลึง หลายคนหันไปมอง ขณะบางคนที่อยู่ใกล้ที่สุดยืนค้างอยู่ในท่าเต้น แล้วปากของผู้พิทักษ์ก็อ้าออกกว้าง และพูดด้วยเสียงเนิบๆที่ทุ้มดังกังวานของ คิงส์ลีย์ แชคเคิลโบลท์ว่า

“กระทรวงแตก สกริมเจอร์ตายแล้ว พวกมันกำลังมา”


* หมายเหตุ : หากมักเกิ้ลคนไหนอ่านเอกสารนี้แล้วไม่ซื้อหนังสือของลิขสิทธิ์ ขอสาปให้เป็นหนอนฟลอบเบอร ์











 

Create Date : 01 กันยายน 2550
1 comments
Last Update : 1 กันยายน 2550 0:58:53 น.
Counter : 554 Pageviews.

 

ขออนุญาต copy ไปอ่านนะคะ

ขอ add ด้วย จะได้แวะมาอ่านอีก ^ ^

 

โดย: maru 19 พฤศจิกายน 2550 23:20:46 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Aemmee Berry
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เป็นแค่ผู้หญิงที่สับสนในตัวเอง ไม่แน่ใจว่าจะหวาน จะเปรี้ยว หรือจะห้าว ก้อมันแล้วแต่อารมณ์นะ

ถามจิงจิงแอมกะน้องเหมือนกันปละ (ดูรูปข้างบนเลย) อิอิ

ปั่นบล๊อคคุณให้ Hot สุดๆ ที่ BlogYellow.com คลิ๊กโลด
Friends' blogs
[Add Aemmee Berry's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.