<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
 
มกราคม 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
16 มกราคม 2559
 
All Blogs
 
หนี้รักในกรงไฟ (Miracle Bell) บทที่ 4 (2/2)

บทที่ 4 (ท่อนหลัง)

แสงแดดยามเช้าทอลำผ่านร่มไม้ใหญ่ลงกระทบร่างชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสวมเจ๊คเกตหนังสีดำซึ่งยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพที่เขาเพิ่งวางช่อดอกลิลลี่สีขาวลง ใบหน้าของเขาดูคล้ายกับรูปสลักบนป้ายหินโดยเฉพาะสีผมและดวงตา

“ผมมาเยี่ยมครับแม่”ดวงตาคมจับจ้องรูปสลักที่มีป้ายชื่อกำกับว่า ‘เปมิกา ธาดาโสภณ’ “ขอโทษที่ช่วงนี้หายไปนานเลย...”

ไกลออกไปเกือบร้อยเมตรมีบอดี้การ์ดในชุดสูทยืนกระจายตัวอยู่รอบๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ว่าจะไปที่ไหนข้างกายชายหนุ่มก็จะต้องคนติดตาม ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อราวสิบกว่าปีก่อนตอนที่เควินยังเป็นเด็กชายวัยสิบขวบที่อาศัยอยู่กับแม่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเขาเป็นใคร กระทั่งเกิดเรื่องชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล...

อดีต...

“ซาลาเปาไส้หมูแดงได้แล้วค่ะ”เสียงใสๆ ของพนักงานร้านสะดวกซื้อร่างท้วมดูไม่ดังพอจะให้เปมิกาได้ยินเพราะคุณแม่ยังสาว ด้วยวัยสามสิบต้นๆ มัวแต่ชะเง้อออกไปทางหน้าร้านดูลูกชายวัยสิบขวบซึ่งกำลังไถสเกตบอร์ดอยู่ริมถนนอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน“คุณเปรมคะ ซาลาเปาได้แล้วค่ะ”

เมื่อโดนเรียกชื่อจึงเพิ่งรู้สึกตัวรีบส่งธนบัตรจ่ายค่าของในขณะที่สายตาก็ยังเหลือบมองลูกเป็นระยะๆปากก็พึมพำกับตัวเองว่าไม่น่าจะซื้อของอันตรายให้ลูกเลย พนักงานในร้านอมยิ้มเพราะคุ้นเคยกับสองแม่ลูกนี้ดี เพราะหน้าตาดีทั้งคู่ โดยเฉพาะลูกชาย ลักษณะเด่นเหมือนลูกครึ่งลูกเสี้ยวผมและดวงตาสีดำคงได้จากแม่ ซึ่งเป็นคนที่สวยมากเธอจะมารับลูกชายที่โรงเรียนสอนภาษาข้างๆ ร้านนี้ทุกวันก่อนกลับจะต้องแวะมาซื้อซาลาเปาไส้หมูแดงกับน้ำผลไม้ให้ลูกชายเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน

“คุณเปรมยอมซื้อสเกตบอร์ดให้น้องกวินแล้วเหรอคะ”พนักงานที่คุ้นเคยชวนคุยระหว่างคิดเงิน “แสดงว่าสอบได้ที่หนึ่งอีกแล้วยังเก่งเหมือนเดิม น่าชื่นใจแทนคุณแม่นะคะ”

เปมิกาทำเพียงยิ้มให้เหมือนทุกครั้งประสาคนไม่ชอบพูดโดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า ตรงข้ามกับลูกชาย ที่เป็นคนอัธยาศัยดียิ้มแย้มแจ่มใส การที่พนักงานรู้ชื่อเปมิกาก็เพราะกวินจะเรียก ‘แม่เปรมอย่างนั้น แม่เปรมอย่างนี้’เป็นภาพแม่ลูกที่ชวนมอง แต่คนในร้านก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อของกวินแต่ก็พอเดาได้ว่าถ้าพ่อไม่ใช่ต่างชาติ ก็คงเป็นลูกครึ่ง ถึงได้มีลูกชายน่ารักแถมหน้าตาดี คิ้วเข้ม เบ้าหน้าชัด ผิวขาวอมชมพู หน้าตามีเอกลักษณ์ ลักษณะค่อนไปทางลูกครึ่งลูกเสี้ยว

“เรียบร้อยแล้วค่ะโอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”

นั่นไม่แปลกเพราะตั้งแต่จำความได้กวินก็อาศัยอยู่กับแม่ตามลำพัง แม่เคยพูดถึงพ่อครั้งเดียว ตอนบอกว่าชื่อของเขาพ่อเป็นคนตั้งให้ซึ่งแปลว่าดีงามชีวิตแม่ลูกไม่ได้สบายแต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัด เพราะแม่เปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆหาเงินเลี้ยงดูเขา แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่แม่ก็ดูมีความสุขตามประสา กวินนึกสงสัยว่าทำไมเขาไม่มีญาติคนอื่นให้ไปหาหรือแวะมาเยี่ยมเลย แม่ใช้ชีวิตราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่แม่และเขาทุกครั้งที่ถามถึงพ่อ แม่จะโกรธแล้วตัดพ้อ บางครั้งก็ร้องไห้มันทำให้เขาไม่กล้าถามอีกเลย

“แม่ฮะ ดูนี่นะ”เสียงร้องเรียกจากอีกฟากของถนน “กวินทำอย่างนี้ได้แล้วนะฮะ”

“กวิน! อันตรายนะลูก”

“ไม่เป็นไรฮะ”เด็กชายวัยสิบขวบทรงตัวอยู่บนสเกตบอร์ดที่กำลังไถลไปตามถนนเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปมาสลับกับกระโดดเล่นท่าที่ทำเอาคนเป็นแม่หัวใจหล่นไหนจะกลัวลูกล้ม ไหนจะกลัวรถที่อาจวิ่งสวนมา นึกโทษตัวเองอยู่ลึกๆที่เผลอไปรับปากว่าถ้าสอบได้อันดับหนึ่งคะแนนสูงกว่าเทอมก่อนจะซื้อสเกตบอร์ดให้

“เป็นไงฮะแม่ผมเก่งมั้ย...โอ๊ย!” ร้องเสียงหลงเมื่อข้อแขนถูกปูหนีบรีบอ้อนแม่ให้ปล่อย แต่แม่ก็ยังทำหน้าดุ “ไหนสัญญากับแม่แล้วว่าจะไม่เล่นบนถนนนั่งรอแม่เฉยๆ ไม่ได้รึไง”

“ก็กวินดีใจนี่ฮะรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหว เดี๋ยวกลับเข้าบ้านกวินขอไถลสเกตบอร์ดตามหลังรถแม่เปรมนะฮะ สัญญาว่าจะระวังรถ ในหมู่บ้านรถน้อยไม่เป็นไรหรอกฮะ”

“ไม่ได้ ไม่ต้องมาอ้อน เราสัญญากับแม่แล้วนะว่าจะไม่เล่นบนถนนรอพรุ่งนี้ก่อนแม่จะพาไปเล่นที่สนาม”

“ก็ได้ฮะ” เมื่อแม่เสียงแข็งกวินรู้ว่าต้องยอมให้ เขาก้มลงหยิบสเกตบอร์ดมาเหน็บที่ใต้รักแร้ พร้อมกับยิ้มหวานรู้ว่าจะทำอย่างไรให้แม่ใจดีด้วย “คอแห้งจังฮะ ขอน้ำหน่อย ไม่เอา แม่เปรมถือให้ด้วยกวินมือไม่ว่าง”

“โตแล้วนะเรา...” ต่อให้ว่าอย่างนั้นแต่เปมิกาก็ดีใจ เธอชอบให้ลูกชายเป็นเด็กขี้อ้อนอย่างนี้ดีกว่าให้เขาลุกขึ้นมาเล่นอะไรที่อันตรายๆแต่กระนั้นก็พยายามเข้าใจในตัวเด็กผู้ชาย ที่อาจถึงวัยจะเล่นโลดโผนแล้วเมื่อนึกอย่างนั้นก็สงสารลูก ที่ไม่มีผู้ชายในบ้านให้ดูเป็นแบบอย่าง

“ขอบคุณครับ ซาลาเปาด้วยแม่ป้อนหน่อย มือผมเปื้อน มือไม่ว่างด้วย”

“งั้นไปกินที่รถแม่จอดรถไว้ตรงถนนฟากโน้น”

“งั้นกวินวิ่งไปก่อนนะ หิว”ว่าพลางหยิบถุงซาลาเปาจากมือแม่ พลางก้าวถอยหลัง ลงจากฟุตบาท ไปที่ผิวถนน เพราะตั้งใจจะข้ามฟากกลับไปรถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาค่อนข้างเร็ว “เร็วสิฮะแม่ ตามมาๆ”

“กวิน!” สัญชาตญาณทำให้ทิ้งทุกอย่างถลาตามลูกออกไปสิ่งแรกที่ทำคือดึงลูกเข้ามากอด ใช้ตัวเองบังรถที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วพร้อมเสียงชนโครม!

เด็กชายรับรู้ถึงแรงกระแทกก่อนจะกลิ้งไปบนถนน รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว แต่ยังขยับตัวลุกขึ้นได้ในขณะที่ผู้เป็นแม่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่ง มีเลือดไหลออกจากศีรษะ

“แม่! แม่ฮะ...” กวินถลาเข้าไปหา “แม่ฮะ แม่เป็นอะไรมั้ย”

“กะ...กวิน เจ็บ ตรง ไหน มั้ยลูก...” นั่นคือสิ่งแรกที่เปมิกาอยากรู้ เธอพยายามลืมตาขึ้นมองหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของลูกชายซึ่งทำได้เพียงส่ายหน้าบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร “ดี แล้ว ที่ ลูก ปลอด...”

“แม่! ช่วยด้วยครับ ใครก็ได้ช่วยแม่ผมที...”

ภาพที่พลเมืองดีเห็นคือเด็กชายนั่งกอดแม่ร้องไห้ขอความช่วยเหลือในขณะที่รถคู่กรณีไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วพวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาล อาการของผู้หญิงเคราะห์ร้ายสาหัสศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน

“ผมไม่รู้จะติดต่อใครฮะ ผมอยู่กับแม่สองคน”เด็กชายที่นั่งร้องไห้จนตาบวมบอกกับพยาบาล “แม่เคยบอกว่า แม่ทำประกันไว้ฮะคุณหมอรักษาแม่ผมได้เลยนะ เรามีเงินจ่ายค่ารักษา”

“หมอไม่ได้กลัวเรื่องนั้นครับที่หมอห่วงคือตัวน้อง น้องต้องมีคนดูแลระหว่างที่แม่น้องรักษาตัวที่โรง’บาล”

“ผมดูแลตัวเองได้”เด็กชายบอกอย่างกล้าหาญ “ขอแค่แม่หาย แม่จะหายใช่มั้ยฮะ”

หมอและพยาบาลมองหน้ากันอย่างสะท้อนใจจะบอกความจริงเด็กชายได้อย่างไรว่าแม่ของแกอาการหนักมากต่อให้รอดก็คงไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมที่จะตื่นขึ้นมาคงไม่ใช่แม่ที่จะมาดูแลเด็กชายต่อ เธอจะตื่นมาเพื่อเป็นภาระจำต้องมีคนมาดูแล คนที่ไม่น่าจะใช่แค่เด็กสิบขวบ

“แล้วพ่อล่ะคะ” พยาบาลลองถามเด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง “มีเบอร์ติดต่อมั้ย ถ้าน้องไม่สะดวกที่จะคุยกับพ่อเดี๋ยวพี่โทร.ให้ก็ได้ค่ะ”

กวินส่ายหน้า แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อเพราะเด็กชายไม่เคยรู้เรื่องพ่อเลยจริงๆ ไม่รู้แม้แต่ชื่อของพ่อ และอาจไม่มีวันรู้ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของผู้ชายวัยสามสิบกลางๆ ที่เดินเข้ามาในชีวิต พร้อมแนะนำตัวว่าเป็นตัวแทนสามีของคนเจ็บและพ่อของกวินเขาจะเข้ามารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมดขอให้ทางโรงพยาบาลดูแลกรณีนี้อย่างดีและเต็มที่ ขอเพียงรักษาชีวิตของเปมิกาไว้ให้ได้

“นายน้อยโตขึ้นมากเลยนะครับ”ชายแปลกหน้าหันมาพูดกับกวินด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อมผิดกับตอนที่อยู่กับพวกหมอและพยาบาล “ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณเปมิกาจะได้รับการรักษาอย่างดี”

“คุณลุงเป็นญาติแม่เหรอครับ”คนจะตอบส่ายหน้าเนือยๆ “แล้วทำไมถึงมาช่วยแม่เมื่อกี้ลุงเรียกผมว่านายน้อย? คุณลุงเป็นใครครับ”

“ผมชื่อเทียนคง เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดตระกูลรีฟส์ตระกูลของนายน้อยไงครับ คุณเปมิกาไม่เคยบอกนายน้อยหรือครับ”

“ไม่ครับแม่ไม่เคยพูดถึงญาติของแม่เลยสักคน”

“งั้นคุณเปมิกาก็คงไม่เคยบอกเลยสินะครับว่านายน้อยมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าเควิน ซึ่งเป็นชื่อที่คุณพ่อของนายน้อยเป็นคนตั้งให้มันเป็นชื่อเดียวกับชื่อคุณปู่ของนายน้อยคุณปู่ที่นายท่านรักมากจึงอยากให้ลูกชายคนเดียวใช้ชื้อนี้ด้วย...”

“ลุงจะบอกว่าพ่อรักผม?” เทียนคงพยักหน้า “แล้วตลอดสิบปีที่ผ่านมาพ่อหายไปไหนมาทำไมถึงเพิ่งมาหาผมครับ พ่อจะรู้มั้ยว่าผมอยากเจอพ่อแค่ไหน”

“งั้นเหรอ”เสียงพูดดังมาจากผู้ชายตัวใหญ่ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น “ตอนนี้แกได้เจอแล้วเควินฉันมารับแกกลับบ้าน และฉันจะไม่มีทางปล่อยให้แกหายไปจากชีวิตฉันอีกเลยตอนนี้ชีวิตแกเป็นของฉันแล้ว”

คำพูดที่เมื่อตอนเป็นเด็กไม่เคยเข้าใจความหมายแต่เวลานี้กวินเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงพยายามหนีให้ไกลคนอย่างนิคแม่ไม่เคยเล่าเรื่องพ่อ เพราะผู้ชายอย่างนั้นไม่เคยมีความดีให้เอ่ยถึงเขาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการแม้แต่ต้องทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของตน

“แม่ครับ” ชายหนุ่มนั่งลงตรงพื้นหญ้าอย่างที่เคยทำเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่พบเจอมาให้แม่ฟัง เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเด็ก“บ้านริมน้ำที่ผมซื้อให้แม่เมื่อหลายปีก่อน มีคนไปอยู่แล้วนะครับแม่จำน้องเบลล์ได้มั้ยครับ...”

บ่ายแก่ๆ วันเดียวกัน...

เสียงร้องเหมียวๆที่ดังออกมาจากพงหญ้าข้างทางไม่ได้ทำให้สายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมาสนใจลูกแมวตัวเล็กๆนอนตัวสั่นเพราะความกลัวและอาการป่วยจากพิษแผลติดเชื้อตรงสะโพกที่ถูกกัดเหวอะหวะมีคราบเลือดเกรอะกรัง ขนสีขาวถูกย้อมด้วยโคลนน้ำเน่าเพราะมันหนีตายจากแมวเจ้าถิ่นจนพลัดตกน้ำและไหลมาติดที่กอหญ้าทนแดดเผามาเกือบครึ่งวัน แม้ตอนนี้แสงแดดจะอ่อนลงมากแต่มันก็ไม่มีแรงพอจะพาตัวเองไปจากที่ตรงนั้นทำได้แต่เพียงส่งเสียงร้องครวญครางและแผ่วเบาลงทุกที เหมือนลมหายใจของมันที่จวนเจียนจะหยุดเต้น

“ค่ะ ป้าพิมพ์ เบลล์ซื้อมาแล้ว...”บทสนทนาสะดุดไปเพราะเสียงร้องของแมวน้อยที่แว่วเข้ามา “ค่ะ ยังอยู่ค่ะงั้นแค่นี้ก่อนนะคะป้า”

เด็กสาวในชุดนักเรียนคอนแวนต์วางสายโทรศัพท์แล้วหย่อนใส่กระเป๋านักเรียน มองหาต้นเสียงร้องเหมียวๆ ที่ดังแว่วมาซึ่งต้นเสียงดังมาจากคลองระบายน้ำข้างทางที่เต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏมีคนเอาขยะมาเททิ้งตรงนี้ ทำเอาน้ำเน่าเหม็น ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่วไม่แปลกที่ผู้คนจะรีบเดินผ่านจุดนี้ไป จะเว้นก็แค่เด็กสาวที่พยายามจะเดินลุยกอหญ้าตามเสียงร้องของลูกแมวที่แผ่วลงทุกที

“เหมียวๆ” เธอส่งเสียงเมื่อเสียงร้องของแมวเงียบไป“เหมียวๆ” ไม่มีเสียงตอบกลับมา เธอวางกระเป๋าลงข้างทางเพื่อสะดวกในการแหวกกอหญ้าขณะที่เดินลงไปใจก็กลัวว่าจะเจองู เพราะที่ตรงนี้เชื่อมต่อกับทุ่งและแม่น้ำมีงูตัวใหญ่ๆ ออกมาจ๊ะเอ๋คนอยู่บ่อยๆแต่เมื่อคิดว่าเจ้าเหมียวอาจกำลังตกอยู่ในอันตรายความเป็นคนรักแมวทำให้ลืมความกลัว “เหมียวๆ เหมียวๆ”

คราวนี้มีเสียงตอบกลับมา แล้วก่อหญ้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งของร่องน้ำไหวเบาๆ

“เจ้าเหมียว!” ความตกใจกับภาพที่เห็นทำให้เด็กสาวไม่สนใจตัวเองย่ำโคลนลงไปทั้งที่ใส่รองเท้าถุงเท้า เธอรีบช้อนตัวลูกแมวขึ้นโดยไม่สนใจว่ามันทำให้เสื้อเชิ้ตแขนยาวของเธอเปื้อนสิ่งเดียวที่เธอสนใจในเวลานี้ต้องพาลูกแมวไปหาหมอ

เด็กสาวกระเสือกกระสนขึ้นจากโคลนที่เปรอะเปื้อนตัวเธอไปหมด แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมือหนึ่งอุ้มลูกแมวอีกมือก็หยิบกระเป๋าและถุงของที่เพิ่งแวะซื้อมาตรงไปเรียกรถแท็กซี่ แต่จากสภาพของเธอ ไม่มีแท็กซี่คันไหนจะจอดรับเด็กสาวไม่รู้จะทำยังไงนอกจากอุ้มเจ้าเหมียวแล้วออกวิ่ง

พอไปถึงร้านหมอที่ใกล้สุดกลับปิดลูกแมวแน่นิ่งไปแล้ว เธอกลับไปโบกรถแท็กซี่อีกครั้งไม่มีใครอยากรับคนที่ตัวเปื้อนอย่างเธอ แล้วอยู่ๆ ก็มีรถ ‘บิ๊กไบท์สปอร์ต’ เลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้า คนขับเป็นผู้ชายตัวใหญ่สวมแจ๊คเกตหนัง ใส่หมวกกันน็อกปิดหน้าตา นั่นทำให้ดูไม่น่าไว้ใจเด็กสาวผงะถอยออกห่างอย่างระวังตัว

“ขึ้นมา”เสียงทุ้มต่ำบ่งบอกว่าเป็นชายหนุ่ม เด็กสาวยังคงยืนละล้าละลังจนอีกฝ่ายปัดกระจกหมวกกันน็อกขึ้น เพื่อมองสบตากับคนที่จะพูดด้วย “น้องจะพาแมวไปหาหมอไม่ใช่เหรอส่งกระเป๋ามาให้...พี่...เร็วสิ พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก”

แววตาคมที่มองสบตาอยู่นั้นมีความแน่วแน่“เร็วเข้า...ส่งกระเป๋ามา!”

“ขะ...ขอบคุณค่ะ...”เด็กสาวตอบรับคำทั้งที่ยังไม่แน่ใจ แต่ความเป็นห่วงทำให้เธอก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายรถ มือหนึ่งประคองกอดเจ้าเหมียวไว้แน่นอีกมือเอื้อมไปจับชายเสื้อชายแปลกหน้าที่เธอเห็นเพียงแววตาคมของเขาที่โผล่พ้นหมวกกันน็อกเมื่อรถออกตัวเธอ เธอถึงกับผวากอดคนข้างหน้าไว้ ก่อนจะตกใจทำท่าจะปล่อยมือ

“ไม่เป็นไร...กอดเอวพี่ไว้ ไม่ต้องกลัวสัญญาว่าจะปลอดภัย...”

คำพูดที่แสนคุ้นเคยนี้ทำให้เด็กสาวไว้ใจเธอกระชับแขนที่กอดอีกไว้นั้นไว้แน่น...





Create Date : 16 มกราคม 2559
Last Update : 12 มีนาคม 2559 10:24:42 น. 6 comments
Counter : 671 Pageviews.

 
คุณgoldensun:
ใช่ค่ะ ผิดบาปที่ฝังใจนี่แหล่ะที่เป็นนรกของแท้
แถมมีคนที่คอยจี้คอยทำให้คิดถึงมัน
เควินเป็นตัวละครที่น่าสงสาร สำหรับคนเขียนอาจน่าสงสารกว่าเบลล์เลย

คุณsakeena:
ตัวปัญหาของเควินจะมีมาเป็นระยะๆ ดูว่าหนึ่งในนั้นเป็นชาคริตมั้ยหนอ
ตอนหน้าพระนางเจอกันแล้วนะคะ มาดูกันๆ


โดย: เบญจามินทร์ (adel_ew ) วันที่: 16 มกราคม 2559 เวลา:9:36:09 น.  

 
ก็อกๆๆ เปลี่ยนบรรยากาศมาทักทายใน bloggang บ้าง ^^


โดย: ชมบุหลัน IP: 124.120.89.44 วันที่: 16 มกราคม 2559 เวลา:22:56:35 น.  

 
สวัสดีค่ะ ห่างหายไปนาน มาตามอ่านรวดเดียวจบเลย เรื่องนี้อัพเร็วมากค่ะ...จะรอติดตามนะค้าาาา


โดย: Nammon IP: 49.229.56.165 วันที่: 17 มกราคม 2559 เวลา:17:45:48 น.  

 
ท่าทางแม่ชาคริต น่าจะตัวปัญหามากกว่าลูกแล้วมัง


โดย: sakeena IP: 125.24.244.55 วันที่: 18 มกราคม 2559 เวลา:12:25:36 น.  

 
มาติดตามให้กำลังใจค่ะ


โดย: manee IP: 94.23.252.21 วันที่: 18 มกราคม 2559 เวลา:18:13:09 น.  

 
เห็นด้วยค่ะ ดูแล้ว เควินน่าสงสารกว่าเบลล์จริงๆ สูญเสียและยังจำได้ครบถ้วน ทุกข์ฝังใจ เบลล์ยังสูญเสียความจำ ซึ่งเป็นความกรุณาของโชคชะตาแท้ๆ รอลุ้นต่อค่ะ ว่าเควินจะคลี่คลายปัญหาทั้งหลายแหล่ยังไง


โดย: goldensun IP: 61.91.4.2 วันที่: 18 มกราคม 2559 เวลา:19:23:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.