บทที่ 4 (ท่อนแรก)
ณ บ้านริมน้ำ... ด้วยความที่เป็นเด็กขยันชลิตาพยายามช่วยงานทุกอย่างในบ้าน ช่วยดูแลจุ๋นเจี๋ยก่อนและหลังเลิกเรียน วันหยุดก็ช่วยแม่บ้านที่จ้างมาแบบไปกลับเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่นั่นทำให้เธอเป็นที่เอ็นดูของทุกคน โดยเฉพาะพิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยนับวันพวกเขายิ่งรู้สึกรัก รู้สึกเมตตา พิมพ์พรทำอาหารให้เด็กสาวไปทานที่โรงเรียนทุกวันช่วงที่ฝนตกก็จะออกไปรับ หรือไม่ก็ให้แม่บ้านไปแทน ถ้าสภาพอากาศแย่ก็รอจนฝนหยุดทุกอย่างดีขึ้น ระยะหลังชลิตาแก้ปัญหาโดยการใส่ที่อุดหู หรือไม่ก็หูฟังเสียงเพลงทำให้ความเครียดความกลัวน้อยลงบ้าง แต่ก็ไม่หาย กระนั้นทุกคนก็มองอย่างเข้าใจไม่เคยทำให้เด็กสาวรู้สึกไม่ดีเลยสักครั้ง นั่นทำให้ความสดใสเธอกลับมา ยกเว้นแค่ช่วงเวลาใกล้วันเกิดของเธอเท่านั้นที่ชลิตาจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องหยิบล็อกเกตรูปครอบครัวขึ้นมาดู พิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยแก้ปัญหาโดยการอยู่ใกล้ไม่พูดถึงวันเกิด ไม่ว่าจะของใครก็ตามในบ้าน เพราะแคร์ความรู้สึกของเด็กสาวนั่นคือสิ่งที่ครอบครัวนี้ถือปฏิบัติตั้งแต่รับชลิตามาอยู่ร่วมบ้าน อยู่ที่นี่เอง... ป้าพิมพ์โผล่หน้าเข้ามาในห้องเก็บของที่ชลิตากำลังช่วยแม่บ้านทำความสะอาดอย่างเคย แต่วันนี้มีสิ่งที่แตกต่างออกไปคือเด็กสาวไม่ได้ถือไม้ขนไก่ หรือผ้าปัดฝุ่นอย่างที่เคยทำ เพราะเธอกำลังก้มหน้าดูอัลบั้มรูปหนึ่งอยู่วันนี้เบลล์อยากทานอะไรจ๊ะ ป้าพิมพ์ ดูเหมือนเธอจะไม่ทันฟังคำถามเพราะมีสิ่งที่อยากรู้ นี่รูปใครคะ รูปที่ถูกเอ่ยถึงภาพถ่ายของผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดกันเปื้อนยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์ร้านเบเกอรี่ที่เต็มไปด้วยขนมเค้กและคุกกี้เธอมีเรือนผมยาวสีดำนิลเช่นเดียวกับสีดวงตา ดวงตาเธอทอประกายสดใสเช่นเดียวกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ปรากฏทำให้ยิ่งชวนมอง เธอสวยมากๆ เลย อ้อ...คุณเปมิกาจ้ะ พิมพ์พรยิ้มให้พลางเดินเข้ามาหาตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกนะ เธอสวยจนใครๆ เห็นก็ต้องหลงรัก แม้แต่คนที่ไม่เคยคิดว่าจะตกหลุมรักใครก็ยังหลงรักเธอ และก็รักมากกว่าที่เคยรักผู้หญิงคนไหนในชีวิต เบลล์ไม่สงสัยเลยค่ะ เธอดูสวยดูสง่า ดูใจดี แค่มองก็ยังรู้สึกสดใส ก็เหมือนหนูไงลูก แค่มองก็สดใส คำพูดนั้นของผู้มากวัยทำให้คนถูกชมยิ้มเขินก่อนจะพูดขำๆ ป้าพิมพ์พูดชมตรงๆ แบบนี้ ทำเอาเบลล์ไปไม่ถูกเลยค่ะ คนฟังหัวเราะเล็กๆ กับอาการเก้อๆของสาวน้อย ไม่ใช่คำพูดป้าหรอกนะเป็นคำพูดของนายน้อยน่ะ นายน้อย? นายน้อยเคยเห็นรูปเบลล์ด้วยเหรอคะ อาการจ้องตาแป๋วทำให้พิมพ์พรเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรบางอย่างไปแล้วอะไรบางอย่างที่ว่าก็จะทำให้เธอต้องตอบคำถามสาวน้อยอีกมากมาย เห็นตอนไหนคะป้าพิมพ์...ป้าพิมพ์ส่งรูปเบลล์ให้นายน้อยเหรอคะ ส่งทางไหน ไม่ใช่หรอกจ้ะ ไม่ได้ส่งทางไหนก็รูปเก่าๆ ที่ป้าไปเยี่ยมหนูที่บ้านอุปถัมภ์ไง บังเอิญนายน้อยเคยเห็นน่ะ งั้นเหรอคะ ชลิตาผิดหวังเล็กๆแล้วนายน้อยว่าไงบ้างคะ ก็ว่าแค่นั้นแหล่ะจ้ะเพราะนายน้อยก็แค่มาเห็นโดยบังเอิญ คำแก้ตัวดูไม่ค่อยแนบเนียนนักเพราะความจริงคือทุกครั้งที่มาเมืองไทยพิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยถูกขอร้องให้ไปที่บ้านอุปถัมภ์เพื่อเยี่ยมเด็กผู้หญิงคนนี้ นำของไปให้ให้ถามสารทุกข์สุขดิบ ถ่ายรูปเธอ พวกเขาไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใครสำคัญอะไรกับนายน้อย เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะถาม รับรู้แค่สิ่งที่นายน้อยบอกพวกเขาจึงคิดไปเองว่าเธออาจเป็นคนรู้จักเมื่อครั้งนายน้อยอยู่เมืองไทยและนายน้อยคงมีเหตุผลบางอย่างที่ต้องปกปิดเรื่องนี้กับคนอื่น รวมถึงตัวของชลิตาเองเหตุผลที่แม้ทั้งสองสามีภรรยาจะสงสัย แต่คงไม่กล้าเอ่ยถามหรือตามสืบ คำสั่งสุดท้ายที่พวกเขาได้รับก่อนจะกลับมาไทยคือรับชลิตามาอยู่ด้วยดูแลเธอให้ดีที่สุดแล้วนั่นคือสิ่งที่พิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ยทำ คราแรกนั้นอาจเป็นเพราะคำสั่งนายน้อย แต่เวลานี้พวกเขาทำเพราะความรู้สึกรักและผูกพัน แล้วคุณเปมิกาเป็นอะไรกับนายน้อยคะ...เป็นแฟนเหรอคะ คำถามอย่างซื่อๆทำเอาผู้มากวัยกว่าทำตาโต แฟนที่ไหนกันลูก คุณเปมิกาน่ะ เป็นคุณแม่ของนายน้อย นี่เป็นรูปที่ถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนคุณเปมิกายังสาว มิน่าล่ะ ถึงว่ารูปดูเก่าๆชลิตายิ้มเก้อๆ ก่อนจะถามต่อ งั้นก็แสดงว่านายน้อยมีคุณแม่เป็นคนไทยคงเป็นลูกครึ่งสินะคะ ท่านเป็นลูกเสี้ยวจ้ะแต่ได้ไทยมาเยอะ เพราะคุณพ่อท่านเป็นลูกเสี้ยวไทย จีน อเมริกันส่วนคุณเปมิกาเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ เมื่อก่อนนายน้อยก็เคยอยู่เมืองไทยคุณพ่อท่านก็ด้วย แต่ทั้งคู่ก็ไปโตที่ต่างประเทศ เป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว งั้นนายน้อยก็ต้องหน้าตาดีมากแน่เลยค่ะ พิมพ์พรพยักหน้า ท่านหน้าตาคมเข้มผิวขาวแต่ไม่ได้ดูเป็นคนสำอางหรอกนะ สีผมและสีดวงตาดำสนิทเหมือนคุณแม่ท่าน ตอนเป็นหนุ่มคงป๊อบมากแน่เลยค่ะ เป็นหนุ่ม? เบลล์คิดว่านายน้อยอายุเท่าไหร่กันจ๊ะ ถึงใช้คำว่าเมื่อตอนเป็นหนุ่มผู้มากวัยกว่าถามขันๆ เบลล์คิดว่านายน้อยน่าจะอายุราวๆสี่สิบห้าสิบ...ไม่ใช่เหรอคะ คำพูดนั้นทำให้พิมพ์พรขำ ตอนนี้ท่านก็ยังหนุ่มท่านน่าจะแก่กว่าหนูเจ็ดแปดปีได้มั้งจ๊ะ เจ็ดแปดปี?...เบลล์อายุสิบหก นายน้อยก็ต้องราวๆ ยี่สิบสามยี่สิบสี่? เมื่อพิมพ์พรพยักหน้า เด็กสาวทำตาโต แล้วตอนนี้คุณเปมิกาอยู่กับนายน้อยที่ต่างประเทศเหรอคะ เปล่าหรอกจ้ะ เธอเสียไปนานแล้วล่ะตอนที่เธอเสียนายน้อยอายุแค่สิบห้าปีเอง เธอโดนรถชนเห็นว่าเพราะปกป้องนายน้อยตอนที่คุณเปมิกาเสีย นายน้อยเสียใจมาก รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวเพราะนายน้อยเข้ากับนายท่านไม่ค่อยได้ เหมือนพูดกันคนละเรื่องคนละภาษาป้าเห็นนายน้อยนั่งเศร้าคนเดียวอยู่บ่อยๆ ท่านคงคิดถึงคุณแม่มาก นายน้อยคงโทษตัวเอง ที่แม่ต้องเจ็บต้องตายก็เพราะปกป้องตัวเองชลิตาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเธอจึงได้รู้สึกเศร้ากับเรื่องที่ได้ยินมาถึงขนาดนี้หรือเพราะมันทำให้เธอนึกถึงตัวเอง นี่อาจเป็นความรู้สึกที่จิตใจรับรู้แต่เธอจำไม่ได้ ในวันที่เบลล์ตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล คนแปลกหน้าบอกเบลล์ว่าบ้านเบลล์ถูกไฟไหม้ ทุกคนในครอบครัวตายหมด มีคนปลอบใจเบลล์ว่าพวกเขาอาจตายเพราะปกป้องเบลล์ เบลล์ควรเข้มแข็ง อยู่ต่อไปให้ได้เพื่อพวกเขาเบลล์ก็อยากทำอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้เบลล์ก็เจ็บ...เจ็บในนี้เจ็บที่ทำไมเบลล์ไม่ตายไปพร้อมทุกคน ในนี้ ที่เด็กสาวเอ่ยถึงหัวใจที่เธอชี้ นายน้อยของป้าพิมพ์ก็คงรู้สึกเหมือนเบลล์ตอนนี้ใช่มั้ยคะ พิมพ์พรเข้ามาช่วยปลอบ เช็ดน้ำตาให้ป้าก็คิดอย่างนั้น แต่สุดท้ายนายน้อยก็คิดได้ว่าถ้าวันนั้นคุณเปมิกาช่วยนายน้อยไม่ได้ คนที่จะต้องเสียใจคงเป็นคุณเปมิกา หนูเข้าใจที่ป้าจะบอกมั้ยลูก...เบลล์ ค่ะ หญิงสาวสะอื้นแรงขึ้นเบลล์จะอยู่ให้ได้ เบลล์จะเข้มแข็ง เบลล์จะอยู่อย่างมีความสุขเพราะการอยู่รอดของเบลล์ในวันนั้น ทำให้คนที่รักเบลล์จากไปอย่างหมดห่วงพวกเขาตายตาหลับที่ได้รู้ว่าหนูปลอดภัย... ทั้งที่บอกว่าจะเข้มแข็งแต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับยิ่งไหลพิมพ์พรเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะดึงเข้ามากอด หวังให้ความอบอุ่นห่วงใยที่ส่งไปให้ทำให้เด็กสาวคลายใจ แล้วมันก็ได้ผลเวลานี้ชลิตาไม่ได้รู้สึกว่าอยู่อย่างเดียวดายอีกแล้ว วันนี้เธอมีป้าพิมพ์และจุ๋นเจี๋ยที่ให้ความรักและยังมีนายน้อยที่เมตตาส่งเสียให้ชีวิตใหม่นายน้อยที่เธออยากรู้จักท่านให้มากขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเจอท่านสักครั้ง... ถึงจะปฏิเสธไปแล้ว สุดท้ายเควินก็ยังต้องมาร่วมงานวันเกิดแม่ของชาคริตเพราะหลังจากจบงานในฮ่องกง ก่อนที่จะได้กลับ มีคำสั่งมาจากนิคให้เขาทำหน้าที่คนส่งของขวัญไปให้พัชรินทร์ผู้หญิงที่พยายามจะประกาศต่อใครทั้งโลกว่าหล่อนเคยเป็นผู้หญิงของผู้นำเดอะวันกรุ๊ปคนที่นิคเคยหลงใหลขนาดยอมรับลูกของหล่อนเป็นลูกบุญธรรม พัชรินทร์เชื่ออย่างสนิทใจว่านิคเมตตาชาคริตมากเสียยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ เพราะการที่นิคสั่งให้เควินมาร่วมงานวันเกิดหล่อนเป็นสิ่งยืนยันรอยยิ้มของความสุขยังคงแลระบายบนใบหน้าเจ้าของงานเลี้ยงที่เพิ่งกลับถึงบ้านหลังปาร์ตี้จบลง ดูแม่มีความสุขมากนะครับชาคริตเอ่ยถามมารดาที่แม้จะอายุห้าสิบแล้วแต่ก็ยังเป็นคนที่ดูแลตัวเอง เป็นคุณแม่ยังสาวและสวยสง่าสมวัยและยังดูแข็งแรง จนบางครั้งบางคนคิดว่าเป็นพี่สาวหรือน้าสาว มากกว่าแม่กับลูกผมดีใจที่เห็นแม่มีความสุข และคุณพ่อก็คงดีใจ ถ้ารู้ว่าสร้อยที่คุณพ่อให้คุณแม่ชอบมันมาก ชาคริตมองสร้อยมรกตล้อมเพชรที่คอของมารดาซึ่งคนที่สวมสร้อยเส้นนี้ให้แม่ของเขาก็คือเควิน น้องชายบุญธรรมของเขามาร่วมงานพร้อมของขวัญทำตามทุกคำสั่งของนิค นั่นคือใส่สร้อยเส้นนี้ให้กับเจ้าของงานวันเกิดพร้อมกับคำอวยพรและดูเหมือนเควินจะถ่ายทอดมันอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ฉันชอบสร้อยที่นิคให้ก็จริงแต่ที่ฉันดีใจเพราะของขวัญอีกชิ้นมากกว่า ชาคริตขมวดคิ้วมองสบตามีรอยยิ้มของมารดาแล้วก็นึกได้ เควิน? ใช่ ฉันดีใจที่เควินมาร่วมงานเป็นตัวแทนของนิคเอาของขวัญมาให้ฉัน ซึ่งถ้าสร้อยเส้นนี้แกเป็นคนถือมาฉันคงไม่ดีใจขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าแค่โทรศัพท์กริ๊งเดียวจะทำให้ฉันได้ในสิ่งที่ต้องการ นิคดูให้ความสำคัญกับแกมากนะชาคริต ไม่เสียแรงจริงๆที่แม่ฝากทุกอย่างไว้กับแก ลูกแม่คนนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ผมว่าแม่ไม่น่าทำอย่างนี้เลยนะครับชาคริตรู้ว่ามารดาคิดอะไรอยู่ เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการนั้นการที่แม่ทำแบบนี้ ยิ่งจะทำให้เควินเกลียดคุณพ่อมากขึ้น และนั่นก็จะทำให้คุณพ่อหงุดหงิด หึฉันว่าก็คงไม่ทำให้เควินเกลียดนิคไปมากกว่าเดิมนักหรอก หรือจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าเควินคงไม่เกลียดใครมากไปกว่านิคแล้วล่ะ พัชรินทร์ดูจะไม่ได้ใส่ใจเพราะหล่อนได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว นิคสัญญากับฉันว่าจะมา ในเมื่อมาไม่ได้ ก็ต้องรับผิดชอบจะให้ฉันเสียหน้าไม่ได้ ขืนไม่ให้เควินมาแทนคนก็เอาฉันไปนินทาสิว่าหมดบารมีในมิราเคิลฯ โดยเฉพาะกับพวกญาติๆ ที่เคยว่าฉันหาว่าฉันท้องไม่มีพ่อ หาว่าฉันเป็นคนโกหกป่านนี้พวกนั้นก็คงกลับมาเชื่อเหมือนเดิมแล้วว่า แกเป็นลูกของนิคจริงๆไม่ใช่ฉันแค่สมอ้าง แต่แม่ก็รู้ว่าไม่ใช่ผมไม่ใช่ลูกคุณพ่อ ชาคริตดูสะเทือนใจกับสิ่งที่พูดและรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ พัชรินทร์เองก็คงรู้สึกได้จึงเปลี่ยนเรื่องคุยแม่ดีใจนะที่เห็นแกดูสนิทกับคุณหนูหยาง ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงทำให้ชาคริตมีท่าทีเปลี่ยนไปอมยิ้มเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นแววตาของมารดาก็รีบปรับสีหน้าใหม่ ก็ไม่นี่ครับคุณหนูหยางมาเป็นตัวแทนเจ้าสัวหยาง ผมก็แค่เข้าไปดูแลเธอตามหน้าที่ มารดายิ้มอย่างรู้ทันลูกชายแกจะทำอะไรเกินหน้าที่บ้างก็ได้นะ ผู้หญิงอย่างคุณหนูหยางใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ แล้วอีกอย่างนิคก็อยากดองกับเจ้าสัวอยู่แล้วถ้าแกทำให้คุณหนูหยางประทับใจได้ นิคคงดีใจ แม่รู้ได้ยังไงครับว่าคุณพ่อคิดอย่างนั้น ทำไมฉันจะไม่รู้สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นคิดถ้าแกอยากให้พ่อแกรัก ก็ทำอย่างที่ฉันบอกก็พอ พัชรินทร์บอกอย่างมั่นใจชาคริตไม่พูดอะไรก็จริง แต่มารดาก็ได้คำตอบที่ต้องการแล้วจึงพูดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง ว่าแต่แกกับเควินจะกลับเมื่อไหร่ ผมกลับพรุ่งนี้เลยต้องรีบไปช่วยงานคุณพ่อ ส่วนเควินคงไปไหว้คุณเปมิกาก่อนดูท่าแล้วคงอยู่เมืองไทยต่ออีกสักพัก ข้อแลกเปลี่ยนที่ให้มันมางานวันเกิดฉันสินะแล้วตอนนี้เขาพักอยู่ที่ไหนพัชรินทร์และชาคริตพยายามชวนให้เควินพักที่บ้านนี้ด้วยทุกครั้งที่มาไทยแต่ไม่เคยสำเร็จ ผมไม่ทราบคงเป็นโรงแรมที่ไหนสักที่ ใกล้ๆ กับสุสานริมน้ำละมั้งครับ... งั้นเหรอ...พัชรินทร์ครุ่นคิดบางอย่าง ในขณะที่ลูกชายขอตัวกลับห้อง หล่อนเองก็เช่นกัน หลังกลับเข้าห้องหล่อนต่อสายถึงใครบางคนที่คุ้นเคย ฉันเองฉันมีเรื่องจะขอให้พี่ช่วยหน่อย...
|
มาตามต่อนะคะ ว่าเมื่อไหร่สองพี่น้องจะได้เจอกัน
คุณขวัญ:
ถ้าสงสารก็มาเอาใจช่วยกันต่อนะคะ
คุณsakeena:
ได้คำตอบแล้วนะคะ
goldensun:
การเกิดเรื่องร้ายกับเบลล์ในครั้งนั้นทำให้เควินตัดสินใจ
ว่าจะต้องพาเบลล์ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยค่ะ ^^