|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
20 กุมภาพันธ์ 2553
|
|
|
|
อุทยานประวัติศาสตร์ สงคราม ๙ ทัพ
สวัสดีค่ะ
ไปเที่ยวกาญจนบุรีทั้งที ถ้าไม่ไปที่นี่ เสียทีที่เกิดเป็นคนไทยนะคะ
นั่นคือ
อุทยานประวัติศาสตร์ สงคราม ๙ ทัพ
ที่นี่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ตั้งอยู่บริเวณทุ่งลาดหญ้า ตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง
ซึ่งครั้งหนึ่งสถานที่นี้เคยเป็นสมรภูมิการรบระหว่างกองทัพของไทย ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
และกองทัพพระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่าในพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2328 โดยกองทัพไทยซึ่งมีเพียง 4 กองทัพได้ต้านทานการบุก และตัดการลำเลียงเสบียงอาหารและกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายทัพพม่า โดยใช้เวลาทั้งสื้น 10 เดือน กว่าสงครามจะยุติลง โดยทัพไทยเป็นฝ่ายชนะและรักษาเอกราชของชาติไว้ได้
สงครามครั้งนี้มีชื่อเรียกว่า สงคราม 9 ทัพ
ด้านหน้าของอุทยาน ฯ มีอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาท ผู้ทรงเป็นแม่ทัพ สามารถรบชนะข้าศึกซึ่งมีกำลังมากกว่าได้อย่างราบคาบ
ป้ายอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ ถือเป็นอนุสรณ์ที่มีความหมาย โดยมีเสาธงชาติไทย 4 เสา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทยทั้ง 4 กองทัพ ตั้งอยู่เหนือตอไม้ 9 ตอ ซึ่งหมายถึงทัพพม่าทั้ง 9 ทัพ นั่นหมายถึงว่าทัพไทยมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่า
อุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ มีอาคารจัดนิทรรศการบอกเล่าประวัติของสงครามเก้าทัพ ตัวอาคารเมื่อดูจากภายนอกจะมีลักษณะเหมือนหมวกนักรบโบราณ ซึ่งออกแบบโดยกรมศิลปากร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 27 ล้านบาท
อุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ เป็นความริเริ่มของกองทัพบก โดยพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป จัดสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเฉลิมพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542
ทั้งนี้เนื่องจากในขณะที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ประธานคณะทำงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของกองทัพบก ได้นำคณะทำงานฯ สำรวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดกาญจนบุรี และพบว่าพื้นที่ที่เคยเป็นสมรภูมิสงคราม 9 ทัพ ยังคงสภาพเดิม เหมาะสำหรับเป็นสถานที่ศึกษาหลักการใช้ภูมิประเทศ และเส้นทางเดินทัพ ตลอดจนการดำเนินกลยุทธ์ ซึ่งทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาท ผู้ทรงเป็นแม่ทัพ สามารถรบชนะข้าศึกซึ่งมีกำลังมากกว่าได้อย่างราบคาบ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงกระทำพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2543
นอกจากนี้ยังมีหอสังเกตการณ์ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาลาดกระทิง ภายในอุทยานฯ เป็นป้อมที่สร้างขึ้นเลียนแบบป้อมพระกาฬ ในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจประวัติศาสตร์เดินขึ้นไปสังเกตุภูมิประเทศต่างๆหลังฟังคำบรรยาย
เพื่อจะได้ เข้าใจการเลือกใช้ภูมิประเทศในการเดินทัพ และจุดสกัดกั้นทัพพม่า ทำให้สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น และมีความเช้าใจมากขึ้น
มีนายทหารจากกองทัพบก เป็นผู้บรรยายและบอกเล่าภูมิประเทศโดยรอบอย่างละเอียด
เป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้เป็นอย่างดียิ่ง และเป็นการปลูกจิตสำนึกให้เกิดความรักชาติ และทำประโยชน์ให้แก่ผืนดินบ้านเกิด ซึ่งครั้งหนึ่งบรรพบุรุษของไทยได้สละเลือดเนื้อและชีวิตชะโลมผืนแผ่นดินแห่งนี้ เพื่อปกป้องเอกราชของชาติไทย
ตรงกลางอาคารเป็นแผนที่นูนต่ำ บอกตำบลต่างๆของการรบ การจัดทัพของไทยและพม่า มีทีวีซึ่งจัดฉายวีดีทัศน์เกี่ยวกับสงครามเก้าทัพ
ภายในอาคารมีรูปปั้นของ ปู่มั่น และ ปู่คง ซึ่งเป็นทหารและชาวบ้านอาสามาสู้รบกับพม่าเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน
มีตู้จำลองขนาดย่อ และโต๊ะทรายแสดงภูมิประเทศจำลองเส้นทางการเดินทัพของข้าศึก และการตั้งรับของกองทัพไทยพร้อมคำอธิบายอยู่บริเวณโดยรอบอาคาร
มาร่วมรำลึกถึงวีรกรรมในการรบที่สมรภูมิทุ่งลาดหญ้า
เริ่มจากการอ่านประวัติศาสตร์ฉบับย่อกันก่อน...
พ.ศ.2328 หลังจากสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้ไม่นาน พระเจ้าปะดุงกษัตริย์พม่า เมื่อรู้ว่าไทยเพิ่งสร้างกรุงใหม่ ก็ดำริจะตีไทยให้ย่อยยับเหมือนเมื่อครั้งอยุธยา จึงยกทัพใหญ่ ไพร่พลนับแสนคน แบ่งเป็น 9 กองทัพ ยกเข้ามา 5 ทิศทาง
เราจึงเรียกสงครามครั้งนี้ว่า สงคราม 9 ทัพ
ในครั้งนั้นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงเป็นแม่ทัพและนำกำลังรบชนะข้าศึก เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2328
ที่สมรภูมิทุ่งลาดหญ้า สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ มหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 นั้น ทราบกันดีว่าทรงห้าวหาญ ดุ มีความเด็ดขาด แม้แต่พม่ายังเรียกท่านว่า พระยาเสือ ตั้งแต่รัชสมัยกรุงธนบุรี ว่ากันว่า หากพวกพม่าได้ยินว่า พระยาเสือ เป็นแม่ทัพ กำลังใจก็ลดลงแล้ว
สมรภูมิทุ่งลาดหญ้าแห่งนี้ปัจจุบันได้เป็นที่ตั้งของกองพลทหารราบที่ 9 และอุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ
คราวนี้..มาร่วมกันรำลึกถึงวีรกรรมในการรบครั้งนี้ โดยการเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นสมรภูมิรบ เหมือนพวกเรากำลังอยู่ในกองทัพไทย ที่กำลังมองเห็นกองทัพพม่าเคลื่อนตัวเข้ามาด้วยใจเต้นระทึก
เพราะภายในอาคารพิพิธภัณฑ์สามารถมองออกไปได้รอบทิศทาง ด้านบนของกระจกเป็นภาพภูมิประเทศที่เหมือนกับภูมิประเทศ ที่มองเห็นในพื้นที่จริง แต่มีการเขียนบอกว่าตำแหน่งนั้นเรียกว่าอะไร
ตรงกลางห้องมีการจัด model แสดงทิศทาง และเส้นทางการเดินทัพพม่า รวมทั้งตำแหน่งการตั้งรับของทัพไทย
นายทหาร(ตัวจริง)ในชุดนักรบไทยมาบรรยาย มาอธิบาย ตอบข้อซักถามของผู้สนใจ อย่างตั้งใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึก เหมือนกับได้เห็นภาพของการรบ และเสทือนใจไปกับภาพที่เห็น
อุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพจึงเป็นพิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่ง ที่ทุกท่านที่ไปเที่ยวกาญจนบุรีน่าจะได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียน เพราะนอกจากจะมีทัศนียภาพที่สวยงามแล้ว ยังได้สัมผัสกับวีรกรรมของบรรพบุรุษไทย บนผืนแผ่นดินที่ท่านได้หลั่งเลือดไว้เพื่อพวกเราทุกคน
อุทยานฯ สงคราม ๙ ทัพ แห่งนี้...นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เสมือนจริงมากๆ เมื่อได้นั่งฟังการบรรยาย ประหนึ่งว่าเราได้อยู่ในเหตุการณ์จริง และสถานที่จริง ยิ่งได้ฟังคุณพี่นายทหาร แต่งชุดนักรบ มาบรรยาย ยิ่งหัวใจฮึกเหิม!!!...รักชาติ
ขอลาท่านด้วยภาพนี้ค่ะ
(มาเพิ่มเติมภาพค่ะ) อ่านความเห็นเกือบทุกท่านแล้ว บอกว่าอยากให้มีคนมาเที่ยวหาความรู้ที่นี่มากๆ ต้องบอกว่า ในวันนั้น มีคนมาที่นี่มากมายค่ะ มีทั้งเหล่าลูกเสือด้านหลังของภาพ
และภาพนักเรียนเดินกันมาเป็นหมู่คณะ เมื่อเข้าไปไต่ถามว่ามาจากไหน บางกลุ่มตอบว่ามาจากระยอง บางกลุ่มบอกว่ามาจากกรุงเทพฯ
ทำให้เชื่อได้ว่า ผู้ที่มาที่นี่ แล้วรับฟังการบรรยายจริงๆ จะได้ความรู้กลับไปมากค่ะ แถมยังรักประเทศชาติเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย รับรองได้
แล้วพบกันบล็อกหน้านะคะ
Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 12:20:13 น. |
|
20 comments
|
Counter : 16809 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:46:03 น. |
|
|
|
โดย: เเสงตะวัน วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:07:40 น. |
|
|
|
โดย: ปลาทอง9 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:39:03 น. |
|
|
|
โดย: มนุษย์ต่างดาว..ผมยาว..ปากหวาน... (เป็ดสวรรค์ ) วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:25:14 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:45:49 น. |
|
|
|
โดย: yyswim วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:0:43:55 น. |
|
|
|
โดย: myminny IP: 112.142.139.121 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:5:58:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:7:42:57 น. |
|
|
|
โดย: ลุงแว่น วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:36:55 น. |
|
|
|
โดย: Jang_Akbas วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:13:40:13 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:10:12 น. |
|
|
|
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 203.144.144.165 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:11:33:00 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:02:28 น. |
|
|
|
โดย: pafun.p วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:28:49 น. |
|
|
|
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:13:01:26 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:19:42 น. |
|
|
|
โดย: หน่อยจิง (jackkyjing ) วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:32:41 น. |
|
|
|
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:13:45:38 น. |
|
|
|
โดย: หนิงค่ะ (Heart&Home ) วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:59:17 น. |
|
|
|
โดย: yyswim วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:9:12:32 น. |
|
|
|
| |
|
|
addsiripun |
|
|
|
|
ผมว่าเข้าท่ามากๆเลยครับป้าแอ็ด
เด็กๆได้มาเรียนรู้จากสถานที่จริงแบบนี้
น่าตื่นเต้นกว่าการเรียนในห้องมากกว่าเยอะเลยนะครับ
สำหรับแม่น้ำคงคา
ผมดูเท่าที่ตาเห็น
น้ำไม่ไ่ด้สกปรกเลยครับป้าแอ็ด
ถึงจะมีการเผาศพและลอยศพในน้ำก็ตาม
บางคนผมเห็นเค้าวักน้ำดื่มเลยครับ