ระยะทางเดินทั้งหมดคือ 18 กม. เห็นเขาบอกว่าเดินเร็วสุดใช้เวลา 5 ชม.
วิธีไปคือการจับบัสที่สถานีขนส่ง ซื้อตั๋วไป Omalos Village เที่ยว 7.45 น.
ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. ให้หลับเอาแรงไว้เลยนะคะ เพราะได้ใช้เต็มที่แน่!
เพราะระหว่างทาง จะมีที่ให้เติมน้ำตลอด เป็นแบบน้ำพุหิน อู๊ยย น่าเอ็นดู
ภูมิประเทศส่วนใหญ่ในซามาเรีย กอร์จ เหมือน "ดาวอังคาร" มากๆ ในความคิดเรา
และมัน "ยิ่งใหญ่อลังการ" จนรู้สึกว่ารูปที่ถ่ายมา บรรยายความใหญ่ของมันไม่ได้เท่าตาเห็น
ทางเข้า เป็นจุดสูงสุดของภูเขา (เลกแรกของการเดิน จึงเป็นการเดินลงเขา)
ระหว่างทางนั่งรถมา เห็นกังหันลมบนยอดเขาด้วย
ไฟฟ้าในเกาะ ผลิตจากกังหันลมนั่นเอง
Climb every mountain....(เพลงจบของ the sound of music 5555)
ช่วงแรกค่อนข้างเพลิน และเย็นจัด เพราะอยู่ในป่า ทิวทัศน์สวย
แต่ดูพื้นสิ!!!!
แต่พอเดินลงถึงด้านล่าง จะเริ่มมีแห้งบ้างไรบ้าง
สักพักเห็นหินแบบนี้งง ว่ามันตั้งซ้อนกันได้ไง
พอคุณบูอ่าน ถึงรู้ว่าเป็นการแสดงความเคารพเทพเจ้า
มีเพียบเลยนะ
ทุกๆ กินโลจะมี "ป้ายเสริมสร้างกะลังใจ" บอกให้รู้ว่า
เธอเดินได้กี่กิโลแล้ว (บางทีทำลาย)
หินบางก้อนมีลาย สวยตามธรรมชาติ
บอกตามตรงเลยว่า รองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะจะเดินมาก
เอ๋คาดการณ์ต่ำไป ไม่คิดว่าทางจะหินทรหดขนาดนี้
ระหว่างทาง
เรารองน้ำจากน้ำพุ(ประดิษฐ์) ได้ตลอดทาง มีประมาณ 9-10 จุด
ตามจุดแวะพัก ซึ่งจะมีเก้าอี้ไม้ให้นั่งพักได้ด้วย
แต่ญ-ช บ้าคลั่ง 2 คนนี้ พักแค่ 2 นาทีก็เดินต่อ ไม่รู้จะทรมานตนไปทำไม
ตรงนี้คือจุดพักใหญ่ ใกล้ปลายทางออกแล้ว!
ด้วยความที่ระยะเวลาเดินนานมาก และในนั้นไม่มีอาหารขายเลย
ขอให้เตรียมขนมกรุบกรอบติดเป้ไว้บ้างนะคะ
ส่วนเราสองคน เจ้าของที่พักใจดีมาก พอรู้ว่าเราจะมาซามาเรีย กอร์จ
ก็เตรียมแซนวิช ไข่ต้ม น้ำดื่ม ใส่ถุงไว้ให้พร้อมสรรพ (ประทับใจมาก จุดเน้)
เราเลยนั่งแกะไข่ต้มกินกันแถวนี้แหละค่ะ ได้พลังงานสุดยอด ฟู่ๆๆ
นี่มัน...ดาวอังคาร?
จำได้ว่ามาถึงแถวนี้นี่...แรงหมดอ่ะ เกือบคลาน
หินสีขาวสะท้อนแดดเปรี้ยงเข้าตา ขนาดใส่แว่นกันแดด ยังต้องหยี
เดินต่อไป
หลังจาก 5 ชม. ครึ่งผ่านไป เราก็มาถึงท่าเรืออย่างโผเผ
พบว่าวันๆ นึงมีเรือรอบเดียวคือตอน 17.30 น. โห...ยังเหลือเวลาเกือบ 3 ชม.
เลยไปหาร้านและอาหารกินกัน ระหว่างนั้นซื้อตั๋วเรือด้วย
ร้านที่เราไปกิน ให้เดินเลยหาดไปทางด้านขวา
จะมีร้านอาหารเรียงเป็นแถวเลย คุณบูดมๆ แล้วบอกว่าร้าน papari ก็และกัน
ได้กินหนวดหมึก หนวดแรก เป็นแบบสดด้วยค้า
ใหญ่จิง ไรจิง ยังกะกินสเต็กหนวดหมึก!
อันนี้ดอกบัตเตอร์กวอต ห่อข้าว
การเอาข้าวยัดไส้ใบไม้ และดอกไม้ เป็นเมนูอาหารประจำชาติกรีกอย่างหนึ่ง
อันนี้กุ้ง กินกับมะนาว ซึ่งคุณบูเธอสั่งมาทำไมไม่รุ
ตัวเองก็ไม่ค่อยกิน สุดท้ายเรากินไปเกือบ 80%
เกือบแปลงร่างเป็นกุ้ง -*-
ไม่ลืมสลัดกรีก...
มะเขือเทศ น้ำมันมะกอก feta cheese ออริกาโน แตงกวา เธอมาอีกแล้ว!
(บ่นไป แต่อร่อยนะ ชอบ กินทุกมื้ออ่ะ)
คุณลุงให้ผลไม้ กับ Raki เป็นของแถม
(ซึ่งเราต้องให้ทิป เป็นการตอบแทน)
หลังจากกินไปสักพัก คุณบูถึงเพิ่งรู้ตัวว่า เจ็บเท้าเพราะรองเท้าบีบ
แต่ก็ยังกระเผลกไปซื้อตั๋วเรือ เพราะอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง
เรือของเรา คนจำนวนมากรอขึ้นอยู่ หน้าตาแต่ละคน...อ่อนเพลียอย่างรู้สึกได้ 5555
เป็นเรือที่จะพาเราไปหมู่บ้าน Hora Sfakion ซึ่งที่นั่นจะมีรถบัสจำนวนมากรออยู่
เราก็ขึ้นรถคันที่ไป Chania ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.
คนขับเท่มาก สูบบุหรี่ + คุยทอสับ + ขับรถด้วยศอก ในเวลาเดียวกัน
ทั้งที่เขาทั้งชัน ทั้งสูง เหมือนผ้าพับตลบไปมา (ตูล่ะเสียวแทน)
อนึ่ง***การสูบบุหรี่ในอาคาร เป็นเรื่องปกติทั่วไปในกรีก
แม้จะมีกฎหมายห้ามสูบ แต่ไม่เห็นมีใครสน กระทั่งคนขับรถบัส ยังสูบตอนขับ!
ผู้หญิงก็สูบกันแยะมากๆ ไปนั่งกินข้าวที่ไหนลำบากจิงๆ
หลบควันไม่ค่อยได้เลย ***
เห็นภูเขาที่เดินผ่านมาแล้วแอบสั่น...มันทั้งสูง ทั้งไกล ...
ค่ำนั้น หลังจากอาบน้ำสลัดคราบเหงื่อ เราพาร่างโผเผ
ไปกินอาหารร้าน Mesogeiako ซึ่งเป็นอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน
อนึ่ง ** คนกรีกทานข้าวกันดึกมาก!
อาจจะเริ่มต้นตอน 3 ทุ่ม ดื่มกาแฟ
กินข้าวตอน 4 ทุ่ม แล้วเข้านอนตอนตีหนึ่ง แบบเน้
เขาถึงมีช่วงพักนอน (siesta) ตอนบ่ายๆ ร้านรวงอะไรปิดเงียบเลย ***
สลัดจานนี้สดชื่นมาก ทำจากเกรนอะไรสักอย่าง
ผสมกับส้มสดและผัก ทำให้ได้เท็กซ์เจอร์ของสลัดที่แตกต่าง และอร่อยด้วย
จานข้างหน้าคือ Haloumi (ฮาลูมี่) ย่าง ... ติดใจเลย ขอบอก ชีสจะเค็มๆ นมๆ
กินกับมะเขือเทศเพส เปรี้ยวนิดๆ ตัดกันดีจัง
ได้ขนมกรีกแถมมาตอนท้ายมื้อ (แน่นอน พร้อม Raki)
หวานจัดอย่างไม่ต้องชิม ก็รู้ได้
คงไม่ต้องบอกใช่ไหม ว่าคืนนั้นหลับสนิทแค่ไหน....
Holy Monastery of Chrysoskalitissaเป็นโบสถ์ที่ใช้เวลาขับรถไปแค่ 15 นาทีจากตัวเมือง
นอกจากจะได้เห็นโบสถ์เก่าแก่แล้ว ยังเห็นวิวสวยๆ และผ่านเมืองน่ารักๆ ด้วย
โบสถ์เก่าแก่ เสียค่าเข้าคนละ 2 ยูโร เป็นโบสถ์ติดทะเล
ที่ด้านในมีไอคอน หนังสือ และระเบียงสวยๆ ที่โผล่หน้าไปเห็นทะเลสีเทอร์ควอยซ์
ตอนเราเดินออกมา คุณลุงคนเก็บตั๋วบอกว่า ถ้ามีแรง
จะขึ้นไปดูโบสถ์เก่าบนเนินเขาก็ได้นะ อยู่ตรงข้ามนี้เอง (แล้วลุงก็เดินไปชี้ให้ดู)
เราสองคนเลยขึ้นไปดู บนนั้นคือที่ตั้งของโบสถ์แรกก่อนย้ายไปสร้างด้านล่าง
สิ่งที่พ่วงมา คือวิวสวยๆ ที่มองเห็นโบสถ์หลังใหม่จากตรงนี้ได้ด้วย
และแบบนี้
รอบๆ โบสถ์ด้านล่าง
รอบๆ โบสถ์
รอบๆ โบสถ์
จากนั้นคุณบู ก็นำทางไปยังจุดหมายถัดไป คือร้านอาหารกลางวัน
ทริปนี้เอ๋รับหน้าที่พลขับ ส่วนคุณบู คือเนฯ ประจำรถค่ะ
พอดีผ่านท่าเรือ แล้วเธอบอกว่าขอเวลาเช็คแผนที่แปบ เอ๋เลยวิ่งลงไปถ่ายรูป
ตรงนี้เป็นละแวกร้านอาหารกลางวันของเราที่ชื่อ Gramboussa Taberna
ร้านอาหาร Gramboussa Taberna
ตั้งอยู่ในหมู่บ้านท่ามกลางสวนมะกอก หมู่บ้านนี้ไม่มีอะไรเลยค่ะ
เป็นบ้านคนอยู่จริงๆ แล้วก็มีร้านอาหารนี้หนึ่งร้าน
อ้อ แต่มันเป็นทางผ่านไปหาดๆ นึงค่ะ
ร้านอาหาร
วิวจากโต๊ะที่เรานั่ง สวยมากก มองเห็นทะเล ด้านหลังเป็นภูเขา
งงเหมือนกัน ทำไมถ่ายรูปอาหารมาแค่จานเดียว
แต่เป็นอาหารกรีกค่ะ เน้นสลัด เนื้อย่าง และขนมปัง จำได้ว่ากินอิ่มจุก
ออกจากร้าน เรามุ่งหน้าจะไปหาดชมพู
แต่บังเอิญเจอโบสถ์นี้ก่อน เลยขับรถแวะเข้าไปดู
โบสถ์นี้เป็นที่หลบภัยของชาวบ้าน สมัยมีคนมารุกรานเกาะครีต (ซึ่งมีตลอด 555)
มุมจากยอดโบสถ์
ถ่ายมาตอนไหน ก็ยังสงสัยอยู่
ชอบน้ำทะเลที่นี่ ที่ใสสีเทอร์ควอยซ์ แต่หาดทรายบ้านเรากินขาดค่ะ เฟิมเลย!!
โบสถ์นี้แมวแยะมาก ลูกแมวก็แยะ
คนกรีกชอบแมว ไปไหนก็เจอ
หาดทรายสีชมพู และทะเลแหวกที่ Elafonisi ถ่ายรูปคู่ๆๆๆ
ทรายสีชมพูพวกนี้ เกิดจากปะการังสีชมพู ที่ถูกน้ำซัดจนละเอียด
ด้วยความที่มีคนชอบเก็บไปเป็นที่ระลึก จึงมีป้ายเตือนว่า
อย่าเอาทรายกลับบ้าน เพราะเมื่อก่อนมันชมพูกว่านี้
และทรายสีชมพูพวกนี้ มันมีวันหมดได้นะจ๊ะหนูๆ จ๋า!
ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของหาดนี้
ก็คือเหมือนทะเลแหวกบ้านเราค่ะ เราสามาถเดินลุยน้ำตื้นๆ จากแผ่นดิน
ไปยังเกาะเล็กๆ อีกฝั่งหนึ่งได้ สนุกดี มีคนเดินไปๆ มาๆ ตลอดเวลา
ถ่ายระหว่างเดิน
ที่นั่งพวกนี้มีไว้ให้เช่าค่ะ ห้องน้ำเสียค่าบริการคนละ 50 เซนต์
หาดสะอาดสะอ้าน ไม่มีเศษกระดาษเลย นับถือจริงๆ
เราใช้เวลาอยู่หาดกันประมาณ 1 ชม. เพราะไม่อยากกลับเมืองค่ำ
เนื่องจากว่า ถนนหนทาง ทั้งโค้ง ทั้งชัน เลียบผาน่ากลัว
อย่างที่เกริ่นมาตลอดการเขียนบล็อก หัวใจจะวายกันหลายรอบ 555
บล็อกต่อไปจะพูดถึงเมือง Rethymno ซึ่งเป็นเมืองที่ 2 ในทริปนี้ของเราค่ะ : )
ชอบเกาะครีต เห็นในหนังสือสวยมากๆ
อยากไปบ้างจังค่ะ อิอิ
ขอบคุณสำหรับภาพสวยๆนะคะ