อาจเป็นเพราะช่วงนี้ผมใช้พลังงานในแต่ละวันเยอะเกินไปหรือเปล่า ทั้งเรื่องงานที่กำลังอยู่ช่วงงานเข้าอย่างรุนแรง และเรื่องเรียนที่กำลังจะสอบมิดเทอมในอีกสัปดาห์กว่าๆ พอไปดู Harry Potter วันนี้ถึงรู้สึกว่ามันสนุกเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ตัวหนัง The Half-Blood Prince เอง โดยเฉพาะบทภาพยนตร์ ก็ไม่ได้ดีกว่าภาคที่ผมชอบน้อยที่สุดอย่าง The Order of the Phoenix ซึ่งเป็นภาค 5 ของหนังและเป็นภาคก่อนหน้าซักเท่าไหร่เลย
ในที่สุด Harry Potter ก็ฉายความเป็นหนัง Coming-of-Age ออกมาอย่างเต็มตัวเสียทีในภาคนี้ครับ เรื่องราวความรัก และการตัดสินใจครั้งสำคัญของวัยรุ่น ก็คือบริบทรองที่แทรกอยู่ในเรื่องราวหลักของหนังที่ยังว่าด้วยการแก้แค้น มิตรภาพ และโลกเวทมนตร์เช่นเคย ความชัดเจนตรงนี้นี่เองที่ทำให้ The Half-Blood Prince แตกต่างจากภาคก่อนๆ มากขึ้น (ไม่นับภาค 5 ที่มีความเป็น Coming-of-Age แค่จางๆ เท่านั้น) ...ครั้งนี้พัฒนาการทางด้านความรักของทั้งสามตัวละครหลักอย่างแฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนีจะมีความจริงจังมากขึ้น ในขณะที่มัลฟอยก็คือตัวอย่างเกี่ยวกับการตัดสินใจในการกระทำครั้งสำคัญของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง
The Half-Blood Prince ยังคงได้เดวิด เยตส์ ผู้กำกับคนเดิมจาก The Order of the Phoenix มารับหน้าที่ครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่โทนอันอึมครึมมืดหม่นจะยังมีอยู่อย่างครบถ้วนในภาคนี้ (และคาดว่าคงรวมถึงภาค 7.1 และ 7.2 ของ The Deathly Hallows ซึ่งเยตส์กำลังกำกับอยู่ในขณะนี้ด้วย) ...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าได้อารมณ์ที่ "หม่น" จริงๆ แล้วซะทีจากหนังชุดนี้ อารมณ์หม่นที่ดูจริงจัง สัมผัสได้ และเข้าถึงมากกว่าภาค 5 (ซึ่งเช่นกัน ภาค 5 เป็นครั้งแรกที่หนังปรับอารมณ์เข้าหาความเป็นจริง และเล่นกับโทนสีมืดมัวอย่างจงใจ) หลายเหตุการณ์ของหนังยังแทรกกลิ่นอายของหนังทริลเลอร์อยู่กลายๆ ที่บทว่าจะทำ หนังชุดนี้ก็ทำได้ไม่น้อยหน้าใครเค้าเหมือนกัน แค่เล่นกับสีดำ ความสลัว พื้นที่ว่างๆ ขนาดใหญ่ และที่สำคัญ...ความเงียบ ทำเอาผู้ชมกลั้นหายใจเงียบกริบกันทีเดียว (อย่างที่ปรากฎในเหตุการณ์ช่วงท้ายของเรื่อง)
ไม่รู้ว่าความโดดเด่นจากการสร้างสรรค์ฉาก รวมทั้งบรรยากาศแบบนี้ จะพาให้ The Half-Blood Prince ไปได้ไกลถึงเวทีออสการ์กับการเข้าชิงงานกำกับศิลป์เหมือนเมื่อครั้งที่ Goblet of Fire เคยทำได้หรือเปล่า??
โดยสรุปแล้ว ถ้าพิจารณากันจากเรื่องราว The Half-Blood Prince คือภาคที่ดีที่สุดของอนุกรมหนังชุดนี้ครับ (ต้องยกความดีความชอบให้ เจ.เค.โรว์ลิงส์ ผู้ประพันธ์หนังสือ) แต่ถ้าว่ากันด้วยบทภาพยนตร์ นี่คือภาคที่ไม่แตกต่างอะไรกันเลยกับ The Order of the Phoenix
อะ...ให้ B+ ละกันครับ
[อ้างอิง] 1) หนังชุดนี้เคยมีโอกาสได้ไปแวะเวียนเวทีออสการ์มาแล้ว 3 ภาค ได้แก่ - Harry Potter and the Sorcerer's Stone ซึ่งเข้าชิงในสาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม รวม 3 สาขาในปี 2001 - Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ซึ่งเข้าชิงในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม รวม 2 สาขาในปี 2004 - Harry Potter and the Goblet of Fire ซึ่งเข้าชิงในสาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยมในปี 2005 เพียงสาขาเดียว
2) สตีฟ โคลฟส์ก็คือผู้พัฒนาบทภาพยนตร์คนดั้งเดิมตั้งแต่ภาคแรก (และยังรับหน้าที่นี้ต่อจนถึงภาคสุดท้าย) ซึ่งเคยทั้งทำให้ผมสนุกมากไปกับ The Prisoner of Azkaban รวมทั้งอยากฆ่าตัวตายไปให้พ้นๆ กับ The Order of the Phoenix!!! [ป.ล.พิเศษ: สตีฟ โคลฟส์ ไม่ได้เป็นคนเขียนบทภาค The Order of the Phoenix จริงๆ ด้วยแฮะ ...ภาค Phoenix เป็นภาคเดียวที่เปลี่ยนคนเขียนบทมาเป็นไมเคิล โกลเดนเบิร์กแทน ขออภัยคุณโคลฟส์ด้วยที่เข้าใจผิดครับ หึหึหึ ...มิน่าภาค 5 มันถึงได้แปลกประหลาดเกินจะรับได้สุดๆ -- แก้ไขเมื่อ 18/7/2009]