ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
29 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
พระโสภิตเถระ

ประวัติพระโสภิตเถระ
เอตทัคคมหาสาวกผู้ได้บุพเพนิวาสญาณ
พระเถระที่ชื่อ “โสณะ” นี้ ในพระบาลีปรากฏอยู่ ๕ ท่านด้วยกันคือ
๑ พระขุชชโสภิตเถระ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในนครปาฏลีบุตร ได้ มีนามว่าโสภิตะ แต่เพราะเป็นผู้ค่อมเล็กน้อย จึงปรากฏ ชื่อว่าขุชชโสภิตะ นั่นเทียว ท่านเจริญวัยแล้ว เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ได้บวช ในสำนักของท่านพระอานนทเถระ ได้บรรลุพระอรหัต
๒ พระโสภิตเถระ ตามประวัติที่จะกล่าวในเรื่องนี้
ควรจะได้ทราบว่าการที่ท่านการที่ท่านพระโสภิตเถระ ท่านนี้ได้รับการสถาปนาจากพระบรมศาสดาให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นเลิศกว่าเหล่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้ได้บุพเพนิวาสญาณนั้นก็เนื่องด้วยเหตุ ๒ ประการคือ โดยเป็นผู้ช่ำชองชำนาญในเรื่อง บุพเพนิวาสญาณเป็นพิเศษ และอีกเหตุหนึ่งก็คือ เนื่องด้วยท่านได้ตั้งความปรารถนาในตำแหน่งนั้นตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้
บุรพกรรมในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้เกิดในเรือนอันมีตระกูลแห่งหนึ่ง ในพระนคร หงสาวดีเจริญวัยแล้ว ดำรงเพศเป็นฆราวาส วันหนึ่ง พระศาสดาทรง แสดงธรรมแก่หมู่ชนเป็นอันมาก เห็นพระศาสดาทรงตั้ง ภิกษุรูปหนึ่ง ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ได้บุพเพนิวาสญาณ จึงคิดว่า แม้เราก็ควรเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ได้บุพเพนิวาสญาณในศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต กระทำความปรารถนามุ่งตำแหน่งนั้น
กำเนิดในสมัยพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สุเมธะ ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ เมื่อเติบใหญ่แล้ว ได้เล่าเรียนในภาควิชาการและ ศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ทั้งหลายสำเร็จแล้ว มีใจน้อมไปในเนกขัมมะ จึงได้ละฆราวาสวิสัย แล้วบวชเป็นดาบส สร้างอาศรมไว้ที่ชัฏแห่งป่า ณ ทิศทักษิณ แห่งภูเขาหิมวันต์ ยังชีพด้วยด้วยมูลผลาผลในป่า คือด้วยเหง้ามันและผลไม้ ไม่เบียดเบียนใคร ๆ อยู่เพียงคนเดียว
ครั้งนั้น พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ประกาศธรรมสัจจะอยู่ ท่านมิได้สดับข่าวพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และก็ไม่มีใครที่จะบอกกล่าวให้ท่านรู้ ต่อเมื่อเวลาล่วงไปได้ ๘ ปี ท่านจึงได้สดับข่าวความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า จึงละอาศรมแล้วเดินทางเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ที่ภัททวดีนคร (บางแห่งว่าจันทวดีนคร) ท่านพักอยู่ในบ้าน และนิคมแห่งละคืน จึงถึงภัททวดีนคร ท่านได้ไปถวายบังคมพระชินเจ้า ทำหนังสัตว์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วสรรเสริญพระผู้มีพระภาคด้วยคาถา ๖ คาถาแล้ว ประนมกรอัญชลียืนนิ่งอยู่ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดมีใจเลื่อมใส ได้กล่าวสรรเสริญญาณของเรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว
ผู้นี้จะรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ๗๗ กัป จักเป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติอยู่ในเทวโลก ๑,๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเกิน ๑๐๐ ครั้ง และจักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณานับมิได้ เมื่อเขาเป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์ ก็จักเป็นผู้ตั้งมั่นในบุญกรรม จักเป็นผู้มีความดำริแห่งใจไม่บกพร่อง มีปัญญากล้า ในสามหมื่นกัป พระศาสดาทรงพระนามว่า โคตมะซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นี้จักไม่มีความกังวล ออกบวชเป็นบรรพชิต จักบรรลุพระอรหัต แต่อายุ ๗ ขวบ
กำเนิดในสมัยพระศากยโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในพุทธปบาทกาลนี้ ได้มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี ในเวลาที่ท่านมีอายุได้เพียง ๗ ปีเท่านั้นก็มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เกิดจิตศรัทธา จึงได้ออกบวชแล้วเจริญวิปัสสนา ต่อเวลาไม่นานนักก็ได้เป็นพระ อรหันต์ พร้อมคุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ และได้เป็นผู้มีวสี คือการปฏิบัติจนช่ำชองชำนาญเป็นพิเศษในบุพเพนิวาสญาณ
พระศาสดาทรงสถาปนาท่านเป็นเอตทัคคะ

ครั้งหนึ่งท่านพระโสภิตะเรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เราระลึกชาติได้ห้าร้อยกัลป์ ภิกษุทั้งหลายพากัน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระโสภิตะ จึงกล่าวอย่างเช่นนั้น ท่านพระโสภิตะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม แล้วภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชาตินี้ของโสภิตะมีอยู่ แต่มีชาติเดียวเท่านั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย โสภิตะ พูดจริง โสภิตะ ไม่ต้องอาบัติ.
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า ชาตินี้ของโสภิตะมีอยู่ แต่มีชาติเดียวเท่านั้นแล ทรงหมายความว่า ชาติที่พระโสภิตะกล่าวว่าระลึกได้ ๕๐๐ กัป นั้นเป็นเพียงชาติเดียวของพระโสภิตะซึ่งในชาตินั้นท่านมีอายุได้ ๕๐๐ กัป เรื่องมีอยู่ว่า
ในอดีตชาติ พระโสภิตะนี้ บวชในลัทธิเดียรถีย์ ยังสัญญีสมาบัติให้บังเกิดแล้ว เป็นผู้มีฌานไม่เสื่อมในขณะที่สิ้นชีวิตจึงไปบังเกิดในอสัญญีภพ ซึ่งเป็นอัตภาพอันไม่มีจิตในระหว่างจุติและ ปฏิสนธิ ซึ่งมีอายุกว่า ๕๐๐ กัป ครั้นจุติจากอสัญญีภพนั้นแล้วก็มาอุบัติในมนุษยโลกเป็นพระโสภิตเถระในชาตินี้ เมื่อท่านบรรลุพระอรหัต พร้อมวิชชา ๓ แล้วนั้น เมื่อระลึกถึงบุพเพนิวาสญาณ ของตนโดยลำดับ ได้เห็นจนถึงอจิตตกปฏิสนธิ (ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตดวงแรกในภพใดภพหนึ่ง) ในอสัญญภพ จากนั้นก็ไม่เห็นจิตตประวัติตลอด ๕๐๐ กัป ท่านไม่อาจระลึกถึงอัตภาพอันไม่มีจิตในระหว่างจุติและ ปฏิสนธิทั้ง ๒ ได้ จึงได้กำหนดโดยนัยว่า เราบังเกิดในอสัญญีภพแน่นอน พระโสภิตเถระนั้นกำหนดได้อยู่อย่างนี้ ได้กระทำสิ่งที่ทำได้ยาก เหมือนกับการแสดงรอยเท้าในอากาศ
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาผู้มีอายุยืน ชื่อว่า อสัญญสัตว์มีอยู่ พระโสภิตะจุติจากอสัญญภพนั้นแล้วมาบังเกิดในภพนี้ เธอย่อมรู้ภพนั่น โสภิตะย่อมระลึกได้
พระศาสดาทรงทำเหตุนี้ให้เป็นอัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่องแล้ว ทรง สถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ระลึกบุพเพนิวาสญาณ


Create Date : 29 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 สิงหาคม 2554 13:29:55 น. 1 comments
Counter : 355 Pageviews.

 
ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love. _/|\_



โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 22 ธันวาคม 2563 เวลา:13:56:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.