|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
31 ตุลาคม 2555
|
|
|
|
Looper (2012)
สารบัญภาพยนตร์
Looper (2012)
แรงขับดันที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นมนุษย์
*เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์*
หากจินตนาการถึงภาพยนตร์ไซไฟที่คุ้นเคย เราอาจแบ่งพล็อตเรื่องภาพยนตร์ได้ไม่ยากนัก หากไม่ใช่การขึ้นพาหนะสำรวจความเร้นลับในจักรวาล ก็อาจเป็นไปเพื่อประกาศแสนยานุภาพของมนุษย์ที่คิดค้นเทคโนโลยีทันสมัย ดังเช่นเครื่องย้อนเวลาที่วาดฝันพรรณนาเปลี่ยนทั้งอดีตกาลและสร้างอนาคต แม้กระทั่งการผลิตหุ่นยนตร์แอนดรอยด์ก็นิยมเพื่อสำรวจสถานะของมนุษย์ผู้สร้าง หรือกระทั่งการสำรวจความเป็นมนุษย์ในหุ่นแอนดรอยด์เองก็มี โดยช่วงเวลานิยมของภาพยนตร์ไซไฟมักดำรงอยู่ในโลกอนาคตที่ปฎิทินยังเดินไปไม่ถึงในความเป็นจริงปัจจุบัน
เช่นเดียวกัน ภาพยนตร์ Looper ไม่ได้หลีกหนีจากที่กล่าวมาข้างต้นเลย โดยสิ่งที่จำเพาะเจาะจงลงไปนั้นจะอยู่บนโลกมนุษย์เพื่อตรวจสอบสภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปรวมถึงการใช้เครื่องมือย้อนเวลาทันสมัยที่นำพาให้มนุษย์สูงส่งมิดแกนโลกแต่กลับสร้างขอบเขตจำกัดด้านความเป็นมนุษย์ให้ลดน้อยถอยลงไปในสภาวะที่ตัวเลขปฎิทินรุดหน้าไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด
กระนั้นก็ดีทำให้เห็นว่าภาพยนตร์ Looper ไม่ได้แหวกแนวแตกต่างจากภาพยนตร์ไซไฟที่เคยพบเห็นกันก่อนหน้าสักเท่าไหร่ เพราะสภาพโลกมนุษย์ในภาพยนตร์ Looper นั้นมีความทับซ้อนคล้ายคลึงไม่ต่างจาก Blade Runner (1982), Total Recall (1990)(2012) ฯลฯ ซึ่งเป็นโลกอนาคตแบบดิสโทเปีย(Dsytopia) ที่มีต้นกำเนิดมาจากมันสมองนักเขียนนิยายไซไฟสุดล้ำนาม ฟิลิป เคดิค แสดงให้เห็นว่า ภาพยนตร์ Looper เป็นเพียงหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ต่อยอดแตกความมาจากโลกดิสโทเปีย ของ เคดิค นั่นเอง
แต่การกล่าวเปิดหัวเช่นนี้ไม่ได้ต้องการดิสเครดิตผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน แต่อย่างใด เพราะหากศึกษาเข้าไปในตัวงานของจอห์นสัน ซึ่งมีผลงานย่อมๆเพียง 2 เรื่องก่อนหน้า (Brick 2005,The Brother Bloom 2008) ยิ่งทำให้เห็นและค้นพบว่าตัวเขานั้นมีตัวตนและเอกลักษณ์การทำภาพยนตร์ในรูปแบบทรงใด กล่าวกันอย่างฉับไว ไรอัน จอห์นสัน เป็นผู้กำกับที่ชอบล่วงลึกศึกษาภาพยนตร์ในแนวทางที่เขาต้องการจะทำโดยกลับไปค้นหาต้นตอและวิธีการของรูปแบบในตระกูลภาพยนตร์นั้นๆ เพื่อสร้างความผันแปรให้กับความคาดหวังของผู้ชมในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้กลายเป็นงานที่มีเอกลักษณ์ลายเซ็นของเขาติดผสมกลมกลืนกับความเป็นหนังคลาสสิคที่สามารถเดจาวูขึ้นมาหลังจากชมภาพยนตร์ของเขานั่นเอง
เช่นนั้นทำให้ภาพยนตร์ Looper ของเขา มีกลิ่นอายทั้งภาพยนตร์ที่สำรวจหมวดเหมาะมนุษย์ในโลกอนาคต ดังงานของ เคดิค ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น กับการยอกย้อนทฤษฎีท่องเวลาที่เคยประสพพบมาจากเรื่อง Back to future(1985),The Terminator(1985),12 monkeys(1995) หรือแม้กระทั่งล่าสุดอย่าง Soure code(2011) ฯลฯ ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ทำให้ภาพยนตร์ Looper สามารถสร้างสิ่งพิเศษในความคลาสสิคของหนังไซไฟหลากหลายแนว ที่ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาใหม่ได้อย่างลงตัว
เรื่องราวของ Looper นั้นดำเนินอยู่ในโลกมนุษย์ปี 2044 ที่ยังไม่มีการสร้างเครื่องย้อนเวลาขึ้นมา แต่อีก 30 ปีให้หลังองค์กรแก๊งอาชญากรรมระดับชาติก็ทำสำเร็จ และได้ส่งศัตรูที่คอยปัดแข้งปัดขาจากโลกอนาคตย้อนกลับมาเพื่อให้มือปืนยุคปัจจุบันสำเร็จโทษ โดยพวกเขาเหล่านั้นถูกเรียกขานว่า “ลูปเปอร์”
ในแง่การดำเนินเรื่อง แม้จะถูกผลิตโดยสตูดิโอเล็กที่ใช้เงินทุนเพียง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(โดยประมาณ) แต่วิธีการเล่าเรื่องและองค์ประกอบยังถูกจัดอยู่สไตล์ที่คุ้นเคยกันแบบฮอลลีวู้ด โดยมีความหวือหวา ระทึกใจด้วยการใช้เสียงดนตรีประกอบที่กระแทกกระทั้นสร้างความฉงัดฉงนให้กับโลกดิสโทเปีย รวมถึงการเล่าเรื่องด้วยช็อตสั้นๆเพียงไม่กี่ช็อต การใช้วิธีตัดต่อวูบวาบ รวดเร็ว มีการใช้มองทาจในการย่นย่อเรื่องราวของ โจแก่(บรูซ วิลลิส) ได้อย่างน่าจดจำ จนกลายเป็นมู้ดอารมณ์แบบหนังไซไฟแอคชั่นไล่ล่าอย่างเต็มภาคภูมิ แม้จะต้องใช้เวลาเล่าเรื่องกฎระเบียบท่องเวลาช่วงต้นอยู่พอควร แต่ก็สามารถทำให้กลมกลืนเข้าไปกับเนื้อเรื่องได้อย่างน่าสนใจ
โดยภาพยนตร์ Looper เน้นการจับจ้องวิถีชีวิตของ ‘โจ’ (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) ผู้ได้รับโอกาสจาก เอ๊บ(แจ็ค แดเนียลส์) ให้เป็นลูปเปอร์ ทั้งที่ตามชะตาชีวิตจริงของเขานั้นควรจะเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อนเพียงเท่านั้น ดังนั้นจะว่าไป อาชีพลูปเปอร์ก็ไม่ต่างจากอาชีพที่ถูกมอบให้กับสุภาพบุรุษที่จมตรอกกับชะตามกรรมของชีวิตตน เพื่อเป็นการยกสถานะทางชนชั้นอันเหลวแหลกขึ้นมา เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสุขสบายแลกกับการทำงานที่กลับยิ่งทำให้โลกตกต่ำลงเท่านั้นเอง
แล้วถ้าสืบเสาะหาความลงไปอีกชั้น เอ๊บที่ถูกส่งมาจากอนาคตเฉกเช่นกัน นั่นแสดงว่า เครื่องย้อนเวลาที่สามารถส่งคนเพื่อให้ลูปเปอร์ฆ่าได้อย่างไร้ร่องรอยนั่น ยังสามารถคาดการณ์ได้ด้วยว่า โลกอนาคตกำลังถูกครอบครองโดยแก๊งมิจฉาชีพ ที่ใช้ความฉ้อฉลเป็นเครื่องแสวงหาผลประโยชน์ ดังกับ วิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องตราบาปของมวลมนุษย์ อีกทั้งยังทำให้ชะตากรรมของมนุษย์ผันแปรไปทุกครั้งที่ส่งคนมาไม่ว่าจะกระทบตรงต่อตนเองหรือชิ่งสู่ผู้อื่นก็ตาม(สร้างไทม์ไลน์ใหม่ขึ้นมา)
นั่นเท่ากับว่าโลกในภาพยนตร์ Looper นั้น ไม่ต่างอะไรกับโลกที่มนุษย์สถาปนาตัวเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ลบลิขิตของฟ้าดิน และสร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ โดยมีเครื่องทุ่นแรงจากวิทยาศาสตร์เป็นอุปกรณ์คู่ใจ ดังนั้นสิ่งสูงส่งที่เราเคยเชื่อถือกันมาไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า,เทพเจ้า หรืออะไรก็ตาม ได้ถูกสั่นคลอนโดยความรอบรู้มนุษย์ หรือจะกล่าวกันให้อย่างเจ็บแสบก็คือ มนุษย์ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นใหญ่แทนพระเจ้า นั่นเท่ากับว่า “พระเจ้าได้ตายลงแล้ว” อย่างสมบูรณ์ แม้คนที่เป็นพระเจ้าแทนนั้นจะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ชนชั้นบนหรือนายทุนเพียงแค่กระหย่อมมือเดียวก็ตาม
ทั้งนี้ใช่ว่าโลกที่ถูกกำหนดกฎเกณฑ์โดยมนุษย์จะสงบสุขก็ผิดนัก เพราะจากผลงานคาดเดาอนาคตของ นักเขียน ฟิลิป เคดิค ที่ปรากฏในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง จะพบว่าโลกที่มนุษย์สถาปนาตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาตินั้น สามารถสร้างปรากฏการณ์ได้แต่เพียงทางวัตถุเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตึกสูงเด่นทันสมัย รถราเหาะเหินเดินอากาศ หรือเทคโนโลยีก้าวล้ำนับพันปี แต่สิ่งที่เป็นความขัดแย้งคู่ขนานคือ สภาวะทางด้านจิตใจที่กลับต่ำลงอย่างน่าใจหาย บวกกับช่องว่างทางชนชั้นที่ยืดขยายออกห่างกันนับปีแสง มีผู้มั่งมีเพียงน้อยนิดแต่กลับครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างแทบสิ้นซาก ต่างจากคนส่วนมากในสังคมที่ยิ่งเพิ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีสิ่งใดแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอน และการตอกย้ำให้เห็นภาพแก๊งอาญาชากรรมคุมประเทศด้วยแล้ว จึงเป็นภาพสุดโต่งของสังคมที่ล่มจมทางศีลธรรมจรรยาถึงที่สุด
กลับมาพูดถึงเครื่องย้อนเวลากันต่อ นอกจากจะเป็นวิวัฒนาการก้าวหน้าของโลกอนาคตที่ภาพยนตร์เลือกใช้แล้ว มันยังได้เป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของทุกคนขึ้นมาใหม่ เช่น โจที่เป็นเพียงเด็กเร่ร่อน แต่เมื่อเอ๊บถูกส่งมาจากอนาคต ก็ได้ชุบเลี้ยงโจจนกลายเป็นลูปเปอร์ แต่ปัญหาของลูปเปอร์คือมันเป็นอาชีพที่ห้ามคิดไกล และเมื่อถึงเวลาหนึ่งเขาจะส่งตัวเราเองในอนาคตมาให้เราฆ่าเพื่อปิดลูปตัวเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นเรายังมีเวลาใช้ชีวิตได้อย่างสวิงสุดเหวี่ยงอีก 30 ปี ก่อนที่จะเราจะถูกส่งกลับมาอดีตให้ตัวเราในวัยหนุ่มปิดบัญชีอีกครั้ง ซึ่งมันกลายเป็น ‘วัฎจักร’ขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ภาพของโจแก่ที่ใช้ชีวิตแบบหยำเปและไร้จุดหมาย เที่ยวดื่ม,ยาเสพย์ติด และก่ออันธพาล หรือแม้กระทั่งสาดกระสุนปลิดชีพผู้อื่นอย่างสบาย เหตุเพราะรู้ตัวว่าเวลาของเขาในปัจจุบันใกล้หมดสิ้นลง เป็นการแสดงให้เห็นว่า การเป็นลูปเปอร์นั้น ไม่ต่างจากการตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ ที่ต่อให้เราถูกฆ่าตายไปแล้วอีกเท่าไหร่ แต่ตัวเราในวัยหนุ่มก็ยังกลับมาวนเวียนอยู่อย่างไม่มีทางหลุดพ้นไปได้ ซึ่งนอกจากภาพการใช้ชีวิตของลูปเปอร์ ที่ทำให้เห็นถึงภาพสะท้อนของการใช้ชีวิตในลัทธิบริโภคนิยมแบบเต็มขั้นแล้วนั่น ภาพการกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง คงไม่ต่างจากการตกอยู่ในบ่วงกรรมอบายมุขที่ไม่มีสิ้นสุด ภาพของเครื่องย้อนเวลาจึงไม่ต่างจากเครื่องรึงรังความทุกข์ทางพระพุทธศาสนาเลยก็ไม่ปาน
นอกจากภาพยนตร์เน้นให้เห็นถึงโลกดิสโทเปียและความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นแล้ว ผู้กำกับยังพยายามสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนต่างเกิดมามีปมในจิตใจด้วยกันทั้งสิ้น และต่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว โจหนุ่มโหยหาอาทรแม่ที่ทิ้งเขาไปตั้งแต่วัยเด็ก โจแก่พยายามกลับมาเพื่อช่วยเหลือเมียของเขาให้อยู่รอดปลอดภัย ทำให้เมื่อผ่านกลางเรื่องเป็นต้นไปภาพยนตร์ไซไฟข้ามเวลาที่ถูกเปิดหัวในช่วงต้น จะลดทอนรายละเอียดลงให้เหลือเพียงเรื่องราวดราม่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก ของ ซิด(Pierce Gagnon) ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นเรนเมคเกอร์ และซาร่า(เอมิลี่ บลันท์) แม่ที่พยายามกลับตัวกลับใจเลี้ยงดูลูกในไส้อีกครั้ง
ภาพยนตร์ชี้ชัดว่า “ความรัก” คือทางวิเศษที่จะทำให้หลุดพ้นจากทางอุบาทว์ของโลกดิสโทปีย ความรักคือเป้าหมายที่ตัวละครต่างใฝ่หาดังเป็นเป้าหมายของชีวิต โจหนุ่มใช้บริการชั่วครั้งชั่วคราวกับซูซี่(ไพเพอร์ เพอราโบ)สาวโสเภณี เพื่อให้เธอมอบความรักรวมทั้งลูบไล้ไรผมดัง ‘โจ’ เป็นลูกน้อยๆของเธอ โดยโจทำได้แม้กระทั่งยกเงินที่หามาได้ทั้งหมดยกให้เธอเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตกับลูกน้อยของเธอ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ต่อให้โลกดิสโทเปียที่ผู้คนต่างแก่งแย่งชิงดีและเห็นแก่ตัวมากเท่าไหร่ แต่ความรักความอาลัยที่เป็นพื้นฐานทางจิตใจ คือสิ่งเดียวที่เราจะเผื่อแผ่และให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ที่สำคัญโจเพิ่งขายเพื่อนเพื่อเงินมาหยกๆเมื่อเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เอง
ส่วนโจแก่นั้นไร้จุดหมายขณะดำเนินชีวิตเสเพล 30 ปีสุดท้ายจนได้มาพบสาวจีน ซึ่งผู้ชมสังเกตเห็นว่า โจแก่ ซบอยู่ในวงแขนอ้อมอกของเธอดังแม่ลูกก็ปาน แสดงให้เห็นว่าเขาได้พบความรักที่เขาโหยหามาตลอดชีวิตแล้ว แม้ในวัยดึกนั้นเขาจะไม่มีไรผมให้เธอลูบไล้อีกแล้วก็ตาม ความตายของเธอจึงเป็นเรื่องรับไม่ได้สำหรับตัวเขา นั่นจึงเป็นปมของการกลับมาปัจจุบันเพื่อช่วยเหลือเมียหน้าหมวยของเขา และกำจัด เรนเมคเกอร์ ผู้เป็นต้นตอเหตุแห่งทุกอย่าง แม้รู้ทั้งรู้ว่า ตัวเองอาจจะไม่ได้พบกับเธออีกแล้วก็ตาม(ไม่มีเครื่องกลับไปอนาคต) แต่นี่เป็นการเน้นย้ำให้เห็นอีกครั้งว่าเป็นการกระทำเพื่อคนรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ที่ขัดแย้งกับสังคมที่หล่อหลอมให้คนเห็นแก่ตัวและทำเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง แม้ว่าการทำเช่นนี้ก็เป็นการเห็นแก่ตัวเพื่อความรักอยู่ก็ตาม(ฆ่าคนอื่นเพื่อให้คนรักตัวเองอยู่)
และเพื่อให้ภาพความสัมพันธ์ชัดเจนยิ่งขึ้นเราอาจเหมารวมตัวละคร คิทบลู (โนอาห์ เซแกน) ที่ชื่อก็แสดงถึงความเป็นเด็กเศร้าสร้อยอยู่แล้ว บวกกับบุคลิกที่เหมือนเด็กไม่รู้จักโต ควงปืนเล่นโชว์เท่ บุคลิกเลิ่กลั่ก แลดูไม่มั่นใจ เขาเพียงต้องการถูกชื่นชมจากเอ๊บ ซึ่งมีลักษณะความต้องการความรักในลักษณะ เจ้านาย-ลูกน้อง หรือกระทั่ง พ่อ-ลูก นั่นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นภาพแทนทุกอย่างในเรื่องความรักและความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก ถูกแสดงอย่างวิจิตรบรรจง ในแถบชนบทของไร่อ้อยห่างไกลความเจริญ ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนที่ผู้กำกับจงใจใช้ความเป็นชนบทขัดแย้งกับสภาพสังคมสุดโต่งในเมือง หากในเมืองเป็นที่ต่ำทรามและลอกคราบความงามของมนุษย์ออกไป ชนบทที่ไม่น่าหลงเหลืออยู่คงเป็นถิ่นควรค่าแก่การรักษาเพื่อการฟูมฟักความรักระหว่างแม่-ลูก หรืออาจหมายถึงดินแดนพิศวงที่ความดีงามของมนุษย์ยังคงเหลือรอดอยู่ในสภาพสังคมเช่นนี้
ซิด เด็กน้อยพลังจิตซึ่งเป็นวัยที่ต้องการความรักจากแม่เป็นที่สุด ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าเขาจะโตขึ้นเป็นเรคเมคเกอร์ในอนาคตจึงถูกไล่ล่าจากโจแก่ ที่มืดบอดตามัวจากความรัก มีคำพูดหนึ่งที่ซิดพูดกับโจหนุ่มว่า “เขาจะปกป้องซาร่าให้ถึงที่สุด” ซึ่งเป็นคำพูดที่งดงามที่แสดงความสะเทือนใจต่อโจหนุ่มและผู้ชมเป็นอย่างดี มันแสดงการปกป้องทางจิตใจของลูกเล็กๆที่มีต่อแม่ของเขา และเป็นการมันบ่งบอกได้ว่า แม่สำคัญต่อลูกแค่ไหนกัน และนี่อาจเป็นภาพสะท้อนเข้าสู่สภาวะจิตใจของโจหนุ่มด้วยก็เป็นได้
กระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่สุดของภาพยนตร์บังเกิดในฉากสุดท้าย โจแก่ไล่ล่าจนกระทั่งซาร่าและซิดจนมุม โจหนุ่มได้แต่ยืนมองในระยะไกลที่ไม่อาจช่วยเหลือได้ กระสุนนัดแรกจากโจแก่ได้พุ่งเข้าสู่ขากรรไกรของซิด เพียงเท่านั้นโจหนุ่มก็ได้เข้าใจ ว่าเหตุการณ์เช่นไรจะเกิดขึ้นต่อมา ภาพยนตร์ใช้วิธีการแฟรชฟอร์เวิร์ด(Flash forward)นำเสนอภาพห้วงความคิดของโจหนุ่มได้อย่างน่าสนใจประกอบกับเสียงบรรยาย ที่ทำให้ผู้ชมเห็นภาพและความคิดในหัวของโจไปพร้อมกัน และยังทำให้คิดวนกลับไปว่าเขาจะต้องเจอกับชะตากรรมที่ไม่สิ้นสุดเช่นไร แม้เขาจะตาสว่างกับชีวิตแล้วก็ตาม เขาจึงเลือกปกป้องคนรักล่าสุดอย่าง ซาร่า ที่เป็นคนรักในแง่ของการมีอะไรกัน และยังเป็นภาพสะท้อนของความสัมพันธ์แม่-ลูกที่เขาโหยหาและสูญเสียไป ซึ่งทำให้เขารู้สึกถึงความนึกคิดของซิดได้ หากซิดต้องสูญเสียแม่ไปเช่นเขาเอง
เขาเลือกจบชีวิตของตัวเอง เพื่อที่ทำให้โจแก่หรือตัวเขาเองในอนาคตไม่ต้องมาเข่นฆ่ากันอย่างไม่รู้จบ และเพื่อสร้างโอกาสให้ซิดมีแม่ และเขายังเชื่อว่า เมื่อแม่ไม่ตาย ซิดจะไม่กลายเป็นเรคเมคเกอร์ แถมยังส่งผลกระทบให้เมียคนจีนของโจแก่รอดชีวิต ซึ่งเป็นการเริ่มวงจรชีวิตใหม่ที่ไม่มีโจ และเป็นการเสียสละเพื่อความรักของโจอย่างแท้จริง ที่ยอมทำทุกทางเพื่อทำให้คนที่เขารักมีความสุข ในแง่ของความคิดอุดมคติที่แม่ทุกคนรักลูกและลูกทุกคนต้องการแม่ และแม่ยังสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของลูกๆได้ ยิ่งกว่าเครื่องปฎิกรณ์ข้ามเวลาด้วยซ้ำไป อีกทั้งการปลิดชีพตัวเองยังเป็นการหยุดวงจรของลูปเปอร์ที่ไม่สิ้นสุดได้อีกด้วย
ภาพยนตร์ Looper เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะโลกดิสโทเปีย และการใช้ทฤษฎีท่องเวลาในหนังไซไฟอีกครั้ง แม้การดำเนินเรื่องจะเป็นสูตรสำเร็จอย่างที่ได้กล่าวไป แต่สิ่งที่โดดเด่นมากคือเรื่องราวของบทภาพยนตร์ที่ผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน เขียนขึ้นเอง วิธีการคิดที่แสนซับซ้อนและวิพากษ์สังคมอนาคตวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการต้องตกอยู่ในวงจรที่ไม่สามารถหลุดพ้น ที่ทำได้น่าขบคิด อีกทั้งมันยังสะท้อนภาพของโลกมนุษย์ที่มนุษย์เป็นใหญ่ เล็งเห็นได้จากตอนจบสุดท้ายที่ โจหนุ่มเป็นผู้กำหนดชะตากรรมทั้งหมด แม้กระทั่งชะตากรรมของซิด หรือชะตากรรมของตนเอง
แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าชะตาชีวิตของเราจะถูกกำหนดด้วยใคร และวิธีไหน แต่สภาวะทางจิตใจเราถูกกำหนดจากแรงขับทางด้านความรักด้วยกันแทบทั้งนั้น และนี้สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ในโลกดิสโทเปียที่นิยมชมชอบวัตถุและเงินทองเป็นของยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังสร้างเครื่องมือเพื่อมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมนุษย์ได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อมาปิดลบรอยแผลจากตอนเด็กๆทั้งนั้น และในวาระที่มนุษย์พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวสิ่งทดแทนพระเจ้า(ศาสนา) และสถาปนาให้ตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุดในจักวาล ก็เห็นจะมีแต่สิ่งที่เรียกว่าความรักนี่แหละ ที่ทำให้เรายังหลุดพ้นไปไม่ได้ และมันยังคอยกำหนดชะตากรรมของเราอยู่ตลอด เหมือนที่ซิด และ โจ ถูกกำหนดมาจากอดีตนั่นเอง
‘อยู่ที่ว่าเราจะใช้ความรักมันเพื่อสร้างสรรค์หรือเพื่อทำลาย’ เท่านั้นจริงๆ
คะแนน 8/10 เกรด A
อ่านบทความเรื่องอื่นได้ที่:สารบัญภาพยนตร์
ภาพยนตร์ที่ผู้เขียนให้คะแนนมากที่สุดประจำปี 2012
Moonrise Kingdom 9 แต่เพียงผู้เดียว 9 The Cabin in the Woods 8.5 The Avengers 8.25 From up on Poppy Hill 8 Prometheus 8 The Raid Redemption(2011) 8
Create Date : 31 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 18 ธันวาคม 2555 17:43:39 น. |
|
3 comments
|
Counter : 4141 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: สิท IP: 171.6.162.221 วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:22:29:19 น. |
|
|
|
โดย: A-Bellamy วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:28:53 น. |
|
|
|
โดย: บอนด์ IP: 171.7.38.2 วันที่: 7 มกราคม 2556 เวลา:23:36:46 น. |
|
|
|
| |
|
|
A-Bellamy |
|
|
|
|
ส่วนตัวนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่สนุกดี แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากดูอีก เหมือนว่าทุกอย่างมันเคลียร์ในตัวมันเอง มันเหมือนขนมที่ปรุงแต่งเสร็จแล้วโดยคนที่เสพไม่ต้องย่อยมันครับ (จริงอยู่ ตอนดูอาจมึนและต้องคิดตามเล็กน้อย)
ผมให้ 3.5/5 นะครับ เพราะผมอาจคาดหวังอะไรมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางข้ามเวลาถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆอย่าง back to the future, terminaor, the butterfly effect หรือ 12 monkeys