คำกล่าวแรกที่ต้องเอ่ยอ้างแก่ภาพยนตร์ This Must Be the Place นั่นคือ มันไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะหาชมได้อย่างง่ายดายในโรงภาพยนตร์ที่เสียค่าบัตรเข้าชม ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ This Must Be the Place มีมิติที่เสาะหาในระดับภาพยนตร์ประจำเทศกาลเสียมากกว่าภาพยนตร์ในระดับการค้าเชิงพาณิชย์ และโดยเฉพาะยิ่งประเทศไทยแล้ว รสนิยมมวลชนส่วนมากมิได้เสพย์ภาพยนตร์ศิลปะเพื่อการหล่อเลี้ยงชีพจรชีวิต นั่นจึงทำให้ภาพยนตร์บันเทิงเชิงพาณิชย์อื่นๆมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากกว่า จึงทำให้ไม่หลงเหลือที่ว่างให้แก่ภาพยนตร์ที่เดินทางในเส้นสายนี้
แต่ก็เป็นความน่าปลื้มปิติต่อภาพยนตร์ This Must Be the Place เป็นอย่างมากที่สามารถหลุดรอดระบบการค้าและออกมาเป็นภาพยนตร์การค้าที่มีมิติทางศิลปะได้อย่างดียิ่ง สิ่งแรกก็ต้องชมก็คือทางค่ายจัดจำหน่าย M Picture ที่ได้หยิบภาพยนตร์เรื่องนี้เข้ามาฉายที่โรง ลิโด้ (ไม่แน่ชัดว่าถ้าโรงลิโด้โดนทุบอย่างที่เป็นข่าว ภาพยนตร์แบบนี้จะสามารถยืนหยัดฉายได้ที่โรงมัลติเพล็กซ์หรือไม่ หรือมิเช่นนั้นข่าวการทุบ ลิโด้ ก็อาจเป็นนิมิตหมายอันชั่วร้ายที่บ่งบอกว่า ภาพยนตร์ในแนวทางนี้กำลังถูกปิดตายจากระบบการค้าของไทย เพราะมันไม่สามารถทำเงินในระบบธุรกิจได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างแน่นอน)
เข้าสู่ตัวภาพยนตร์ This Must Be the Place ของผู้กำกับสัญชาติอิตาเลี่ยนนาม เปาโล ซอร์เรนติโน (Paolo Sorrentino) หากค้นประวัติและภาพยนตร์ของเขาจะพบว่า เส้นทางประนีประนอมแห่งการดำรงอยู่ด้วยการค้านั้นไม่ค่อยคุ้นเคยกับเขา เพราะภาพยนตร์ของเขานั้นมักเข้าไปเฉิดฉายอยู่ในเทศกาลทั่วโลกอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเทศกาลเมืองคานส์ เช่นภาพยนตร์เรื่อง Il divo (2008), The Consequences of Love (2004) และหากจะกล่าวอย่างรวบรัด อาจพูดได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคอหนังชาวไทยกับผู้กำกับ เปาโล ซอร์เรนติโน แล้วนั่น อาจถึงขึ้นเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักกันเลยทีเดียว
หากจะทำให้ This Must Be the Place มีหน้ามีตาอยู่บ้าง ก็อาจเพราะการมารับบท เชเยนน์ อดีตร็อคสตาร์วัย 50 ปี ของนักแสดงมากความสามารถ ฌอน เพนน์ (Sean Penn) โดย เชเยนน์ นั้นคือบุคคลผู้สิ้นหวังจากทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เพราะบทเพลงของเขาได้นำพาให้แฟนเพลงของเขาต้องกระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยกันถึงสองราย รวมทั้งการทำให้มารดาของแมรี่ (Olwen Fouere) เศร้าสร้อยและเสียใจจาการหนีออกจากบ้านไปของ “โทนี่” ลูกชายและเป็นพี่ของแมรี่ โดยอาจมีหมายเหตุตัวการมาจากบทเพลงของ เชเยนน์ และนั้นเป็นผลกระทบชิ่งให้ แมรี่ (Eve Hewson) เสียใจต่อการสูญเสียความเป็นไปในตัวแม่ของเธอ จนกระทั่งหลงลืมแมรี่ไป และนั้นทำให้เธอทั้งสองเฝ้ารอคอย “โทนี่” พี่ชายของแมรี่และลูกชายสุดที่รักของแม่ ให้กลับมาในสักวัน
และหากเหลารวม This Must Be the Place เข้าด้วยกัน สิ่งแรกเลยนั้นมันบ่งบอกถึงการค้นหาตัวตนอดีตของบุคคลทั้งหลาย โดยมีจุดแห่งศูนย์กลางอยู่ที่ เชเยนน์ โดยรายล้อมการอมทุกข์และหมองเศร้าต่อผู้คนรอบกาย ทั้งที่ตัวเขาเป็นต้นเหตุโดยตรงและโดยอ้อม มิหนำซ้ำเขาก็ยังต้องไปชำระอดีตของตนเอง เป็นอีกระลอกหนึ่ง จนน่าแปลกว่า บุคคลทั้งหลาย This Must Be the Place นั้นค่อนข้างยึดติดอดีต และความระทมทุกข์เป็นสรณะ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนมีบางคนเท่านั้น ที่มีความสุขในชีวิต เพื่อเป็นการถ่วงดุลให้ภาพยนตร์มีความสมดุล และไม่หลุดกรอบไปด้านหนึ่งด้านใดมากเกินไป