ตีความหนัง...ตีความชีวิต
สารบัญภาพยนตร์
จัดอันดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2012
ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์(แยกตามลัทธิ)
ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์(ตาม ค.ศ.)
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
26 ตุลาคม 2554

Forrest Gump(1994)

Forrest Gump

ชีวิตเราใครลิขิต




ในโลกปัจจุบันหายากนัก ที่เราจะพบคนแบบ ฟอร์เรส กัมพ์ ไม่ใช่เพราะเขามีสติปัญญาที่อ่อนกว่ามาตรฐานคนปกติ แต่เป็นเพราะสิ่งที่เขาทำมันช่างใหญ่เกินนักที่เขาทั่วไปจะทำตามได้สำเร็จ

ฟอร์เรส กัมพ์ นั้นเป็นภาพยนตร์ครองใจผู้คนในยุคสมัยใหม่ ด้วยบทบาทการแสดงของ ทอม แฮงค์ ที่มัดใจคนทั่วทั้งโลก

และสิ่งที่เหนือล้ำก็คือสไตล์ของวิธีการนำเสนอของผู้กำกับ Robert Zemeckis ที่สร้างฟอร์เรส กัมพ์ จนไม่มีใครกล้าปฎิเสธว่าเมื่อได้ดูฟอร์เรส กัมพ์จบลง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าไปสัมผัสจิตใจลึกๆข้างในของผู้ชมจนเป็นที่รักใคร่ของใครต่อใครเสมอมาแม้จะถูกออกฉายมาตั้งแต่ปี 1994 แล้วก็ตาม

ความสวยงามที่เกิดขึ้นในทุกๆองค์ประกอบของภาพ การบรรเลงเพลงที่เกาะกุมจิตใจ และความน่ารักน่าเอ็นดูของตัวละครฟอร์เรส กัมพ์เอง รวมทั้งแสงเจิดจ้าแสงสว่างเจิดจ้าของโทนหนังเรื่องนี้ ทำให้ผู้ชมเผลอล่องลอยสู่โลกแห่งความฝันดั่งจินตนาการเหมือนนิทานเทพนิยายของผู้ใหญ่เลยทีเดียว

ตัวละครฟอร์เรส กัมพ์ ถูกสร้างขึ้นมาให้ทับซ้อนกับบริบททางประวัติศาตร์สำคัญๆของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นสงครามเวียดนาม การสังหารประธานาธิบดี หรือจะเป็นการเหยียบดวงจันทร์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดในช่วงชีวิตของฟอร์เรส กัมพ์ทั้งหมด

ความงดงามที่ทุกคนได้สัมผัสกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจจะเหมือนช็อคโกแล็ตที่แสนหวาน แต่ถ้าลิ้มรสให้ดีผู้ชมจะรู้สึกถึงความขมที่เจือจางอยู่ในลิ้นโดยไม่ทันระวังตัว

ฟอร์เรส กัมพ์คือเด็กไอคิวต่ำ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเด็กปัญญาอ่อน แต่นั้นอาจเป็นข้อดีของฟอร์เรส เพราะนั่นทำให้ฟอร์รส เชื่อฟังทุกคน รักษาคำสัญญา และทุ่มเททุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

สิ่งเหล่านี้ทำให้ฟอร์เรส กัมพ์ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งของมหาวิทยาลัย นักปิงปองทีมชาติ ความกล้าในสมรภูมิรบจนได้เหรียญกล้าหาญ กัปตันเรือกุ้ง นักวิ่งมาราธอน หรืออะไรก็ตามที่ฟอร์เรส มุ่งหน้าบากบั่นทำมัน

แต่สิ่งที่ฟอร์เรส ทำมันทั้งหมดนั้นฟอร์เรส ต้องการมันแล้วหรือ หรือเป็นเพราะโชคชะตาลิขิตขึ้นมา

ใช่แล้วฟอร์เรส ไม่ได้ต้องการอะไรกับชีวิตของเขาเลย ขนนกที่ลอยละล่องในฉากเปิดเรื่อง และตอนจบนั้นบ่งบอกในสิ่งที่ฟอร์เรส เป็นได้อย่างดี เพราะฟอร์เรส ได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นแค่ขนนก ที่ปลิวว่อนไปตามกระแสแรงลม ตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งข้างหน้าให้สุดแรง และนี่คงเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของฟอร์เรส นั้นเอง



และประเด็นเหล่านี้คงเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังสั่งสอนคนดูในแบบอ้อมๆ โดยใช้ฟอร์เรส เป็นตัวอย่างที่งดงาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีน้ำหนักเป็นอย่างมากทันที เมื่อเปรียบทุกคนรอบกายของฟอร์เรสเอง ที่มีปรัชญาการใช้ชีวิตที่ขัดไปกับวิถีการใช้ชีวิตของฟอร์เรส

เจนนี่ เพื่อนสาวของฟอร์เรส เป็นตัวอย่างสุดโต่งที่สุดที่ขัดกับวิถีชีวิตของฟอร์เรสเอง แม้ทั้งสองจะรักกันก็ตาม แต่เส้นทางของเขาทั้งสองไม่เคยได้บรรจบกันสักที เจนนี่เกลียดการอยู่บ้านเป็นเพราะถูกพ่อเลี้ยงใจร้ายกระทำชำเราตั้งแต่วัยเด็ก นั้นเป็นเหตุผลสำคัญที่เจนนี่ออกเดินทางทั่วอเมริกา บวกกับการลิขิตชีวิตตัวเองด้วยความฝันกับการได้เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง

เจนนี่ใช้ปรัชญาการใช้ชีวิตโดยใช้ตัวเองเป็นที่ตั้งและออกบินตามคำอธิษฐานที่อยากเป็นนก แต่ผู้ชมจะพบเห็นเส้นทางอันน่าเวทนาของเจนนี่ ที่เป็นได้แค่นักร้องเปลือยในผับ การถูกซ้อมจากแฟนหนุ่ม การต่อต้านจากสงคราม หรือการมั่วสุมกับยาเสพติดตลอดชีวิตของเธอ แถมยังถูกลิขิตด้วยการต้องติดโรคร้ายและตายในที่สุด

บั๊บบา เพื่อนรักของฟอร์เรสอีกคนหนึ่ง ที่เลือกใช้ชีวิตโดยการลิขิตชีวิตตัวเอง โดยมีความฝันว่าเมื่อพ้นจากภารกิจทหารเขาจะต้องเป็นกัปตันเรือกุ้งให้จงได้ เขาพร่ำพรรณนากับฟอร์เรส ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต่างจากฟอร์เรส เมื่อรู้ว่าตัวเองจะเป็นทหารก็ทำหน้าที่ ที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด

จนวันหนึ่งที่เกิดดหตุการณ์ยิงถล่มกันจนทำให้ บั๊บบา เสียชีวิต ความฝันที่บั๊บบาเฝ้าบ่นกลับแปรเปลี่ยนในลมหายใจสุดท้ายว่า “อยากกลับบ้าน” นั่นอาจหมายถึงว่าการใช้การลิขิตชีวิตตัวเองนั้นอาจไม่ยั่งยืนก็เป็นได้

ร้อยตรี แดน เทย์เลอร์ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ตั้งธงวางเป้าหมายชีวิตของตัวเองอย่างสวยหรู ในการตายอย่างสมศักดิ์ศรีในสมรภูมิดั่งต้นตระกูลที่สูงส่งของเขาที่ตายอย่างกล้าหาญในสมรภูมิสงครามอย่างสมเกียรติ

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อความตายกำลังกล้ำกรายมาหา ร้อยตรี แดน เทย์เลอร์ อยู่แล้ว แต่ฟอร์เรส กลับช่วยเขาไว้ เป็นผลทำให้ชะตาที่เขาลิขิตต้องพังทลายลง มิหนำซ้ำต้องอยู่กลับสภาพที่ตัวเองพิการขาด้วนตลอดไปอีกด้วย

แต่เมื่อเวลาผ่านไป การได้รู้จักฟอร์เรสมากขึ้น ทำให้ร้อยตรีแดน เริ่มรับรู้และเข้าใจ ว่าชีวิตเรานั้นอาจจะไม่สามรถลิขิตเองได้ทั้งหมด และเริ่มที่จะยอมรับกับสภาพขาด้วนของตัวเอง

แม่ ของฟอร์เรสเองเช่นกันก็ต้องการลิขิตชีวิตลูกของเขาเองให้เหมือนคนปกติทั่วไป ทั้งๆที่ไม่สามารถเป็นไปได้ ถึงขนาดยอมพลีกายให้ครูเพื่อยอมแลกให้กับฟอร์เรส ได้เรียนโรงเรียนเดียวคนปกติทั่วไป แต่นอกนั้นจะเห็นว่าเธอค่อนข้างจะปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามการลิขิตของโชคชะตา

ทั้งหมดทั้งมวลก็พอจะกล่าวได้ว่า หนังนำเสนอในการใช้ชีวิตใน 2 ขั้ว นั้นคือ

1. การใช้ชีวิตในแบบโชคชะตาลิขิต
2. การลิขิตโชคชะตา

ฟอร์เรส กัมพ์ เลือกทางเดินในแบบสุดขั้วทางที่ 1

เจนนี่ เลือกทางเดินที่ 2 ในแบบสุดขั้ว

บั๊บบา เลือกทางเดินที่ 2

ร้อยตรี แดน เทย์เลอร์ เลือกทางเดินที่ 2 แต่ตอนหลังเปลี่ยนมายอมรับในทางเดินที่ 1

แม่ ใช้ทางเดิน 2 ทางผสมกัน อยู่ที่ว่าเหตุการณ์ไหนควรเอียงไปทางไหน

ทั้งหมดทั้งมวล ในตอนท้ายของเรื่องแม้ฟอร์เรส กัมพ์ จะบอกว่า “ผมไม่รู้ว่าแม่พุดถูก หรือผู้หมวดแดนพูดถูก ไม่รู้ว่าคนเราต้องลิขิตชีวิตมั้ย หรือว่าแค่ล่องลอยไปตามลม แต่ผมว่าน่าจะถูกทั้งคู่ เป็นได้ทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน” แต่สิ่งที่หนังนำเสนอผู้ชมก็อาจตีความได้อย่างแจ่มแจ้งว่า ทางในแบบฟอร์เรส กัพท์ นั้นน่าจะสดใสกว่า





แล้วถ้าลองคิดไปให้ลึกกว่านั้น ก็พอจะบอกได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกำลังจะบอกว่า หากคนในสังคมอเมริกาเชื่อฟังอย่างฟอร์เรส กัมพ์ คือชื่อฟังแบบคนชั้นกลางในแบบอนุรักษ์นิยม สิ่งต่างๆก็อาจจะถูกลิขิตไปทางที่ดีได้ เพราะถ้าทำตัวสุดขั้วแบบเจนนี่ ขัดขืนต่อระบบอนุรักษ์นิยม ที่ประเทศอเมริกากำลังปูทางให้คนในชาติดำเนินไป ในที่นี้ที่เห็นชัดคือการต่อต้านสงครามเวียดนาม การเที่ยวเร่ร้อนแบบฮิปปี้ ก็อาจจะมีหนทางที่ไม่ดีอย่าง เจนนี่ ได้

ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกำลังบอกเป็นนัยๆ ว่าสิ่งสูงส่งที่สุด ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งแต่คือประเทศอเมริกานั้นเอง และสิ่งที่ลิขิตต่างๆนานา ไม่ใช่โชคชะตาแต่มันคือวิถีทางแบบอเมริกันชนนั้นเอง

สุดท้ายไม่ว่าผู้ชมจะเลือกวิถีทางเดินในแบบไหน ก็ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด อยู่ที่ว่าเราเต็มที่กับวิถีทางที่เราเลือกเดินหรือยัง ถ้าเราเต็มที่กับมันแล้ว อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้..... ลิขิตแล้วกัน

คะแนน 8.5/10
เกรด A+




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2554
2 comments
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2555 13:32:44 น.
Counter : 3883 Pageviews.

 

วิจารณ์ได้ดีครับ

หนังดรามาอเมริกันหลายเรื่องในยุค 90 00 จะออกแนวชาตินิยมและอเมริกันดรีม แต่เขาฉลาดในการสอดไส้สอดแทรก ให้ไม่รู้สึกว่ามากเกินไป และมีหนังกัดรัฐบาลออกมาผสมเรื่อยๆด้วย

แต่ในปลาย 00 และต้น 10 ตอนนี้ดูจะหนักไปทางเรื่อง action-scifi ทุนสร้างมหาศาล และ super hero

ส่วนยุคก่อนหน้านั้น ผมยังโตไม่ทันดูและตอนนี้ก็ไม่นิยมดู เลยไม่รู้ยังไง

 

โดย: จุใจ (จุใจ ) 10 พฤศจิกายน 2554 19:33:41 น.  

 

ดูนานแล้ว จำได้ว่าชอบมากตอนนั้น

 

โดย: คนขับช้า 5 ธันวาคม 2554 23:23:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


A-Bellamy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ย้ายบล็อกแล้วนะครับ ติดตามกันต่อได้ที่ http://www.A-Bellamy.com ครับ

พูดคุยเรื่องหนังกันได้ที่Facebook

สนุกกับการอ่านบล็อกนะครับ


บทความล่าสุด
Jack the Giant Slayer (2013)
The Tree of Life(2011)
Iron Man (2013)
ลัทธิ Constructivism
คู่กรรม(2013)
Stoker(2013)
Amour(2012)
Silver Linings Playbook(2012)
Zero Dark Thirty(2012)
Les Misérables(2012)


บทความแนะนำ
จัดอันดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2012
ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์(แยกตามลัทธิ)
ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์(ตาม ค.ศ.)
สารบัญภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

[Add A-Bellamy's blog to your web]