อย่างที่เรารู้กันว่าคอนโดฯ ส่วนใหญ่นั้นเป็นแบบขายก่อนสร้างทั้งนั้น อาศัยเเค่โชว์รูปสวยงามจากโบร์ชัวร์ให้เห็นภาพเท่านั้น เเถมตอนขายบางทีก็ขายทั้งที่โครงการยังไม่ผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งเเวดล้อม (EIA) ยังไม่มีใบอนุญาตก่อสร้างเลยด้วยซ้ำ
นอกจากปัญหาเหล่านี้เเล้ว อีกหลากหลายปัญหาที่พบกันบ่อยๆ อย่างเช่น จองซื้อแล้วอาจสร้างไม่ได้ สร้างผิดแบบ หรือสร้างเเล้วพอส่งมอบอาจผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นปัญหาที่พบเห็นกันเสมอ
ปัญหาแบบนี้ถ้ามันเกิดกับตัวเราขึ้นมาต้องทำไง เเล้วเรามีสิทธิเรียกร้องอะไรได้ตามกฎหมายบ้าง? มาหาคำตอบกันค่า
ปัจจุบันผู้จองซื้อคอนโดฯ จะมีสิทธิได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายใน 2 ช่องทางด้วยกัน คือ
ช่องทาง 1 : คุ้มครองผ่านทางคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ที่ประกาศให้ธุรกิจขายห้องชุดเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ควบคุมสัญญาตั้งเเต่ปี 2543 ดังนั้นหากใครก็ตามมีปัญหาถูกละเมิดสัญญา หรือได้รับความไม่เป็นธรรมจากการซื้อคอนโดฯ เเละรวมถึงที่อยู่อาศัยอื่นๆ ก็สามารถร้องเรียนได้โดยตรงที่สำนักงานคณะกรรมการผู้บริโภค (สคบ.)
ในกรณีผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถดำเนินโครงการอาคารชุดหรือคอนโดฯ ให้เเล้วเสร็จภายในกำหนดสัญญา หรือคาดหมายได้ว่าจะไม่เเล้วเสร็จภายในกำหนด สคบ.จะให้การคุ้มครองผู้บริโภคใน 2 เเนวทาง ดังนี้
- เเนวทางเเรก ให้ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเลยก็ได้ เเละมีสิทธิเรียกเงินที่ได้ชำระไปเเล้วทั้งหมดคืนพร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกับเบี้ยปรับที่ทางผู้ประกอบธุรกิจกำหนดในกรณีที่ผู้บริโภคเป็นฝ่ายผิดนัดชำระหนี้ เเละไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายอย่างอื่นอีกด้วย
- เเนวทางทีสอง หากผู้บริโภคไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้บริโภคมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับเป็นรายวันตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่า 0.01 เเละเมื่อรวมกันเเล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของราคาห้องชุดที่ซื้อขายกัน
เเต่ถ้าเกิดผู้บริโภคใช้สิทธิในการปรับครบร้อยละ 10 ของราคาห้องชุดแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจก็ยังสร้างไม่เสร็จทันตามกำหนดอีก ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเเละเรียกค่าเสียหายตามเเนวทางเเรกได้เช่นกัน
ช่องทาง 2 : คุ้มครองผ่านบทบัญญัติในกฎหมายอาคารชุด
ในพระราชบัญญัติอาคารชุดฉบับชุดแก้ไขล่าสุดที่บังคับใช้ตั้งเเต่ 4 กรกฎาคม 2551 มีบทบัญญัติที่ให้การคุ้มครองสิทธิผู้ซื้อหลายประเด็นด้วยกันดังนี้
ประเด็นเเรกคือกำหนดให้สัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุด จะต้องทำตามแบบสัญญามาตรฐานที่ทางการกำหนดให้เท่านั้น หากไม่ได้ทำตามที่กำหนดเเละไม่เป็นคุณต่อผู้จะซื้อหรือผู้ซื้อห้องชุด จะถือว่าสัญญาส่วนนั้นไม่มีผลใช้บังคับ เเละหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับสูงสุดถึง 100,000 บาท
ทั้งนี้ในสัญญาจะซื้อจะขายมาตรฐานนี้จะให้สิทธิผู้ซื้อสามารถโอนสิทธิตามสัญญาให้กับบุคคลอื่นๆ ได้อย่างเสรีโดยไม่มีเงื่อนไข พูดง่ายๆ ก็คือหลังจากจองซื้อแล้วผู้ซื้อจะสามารถขายเปลี่ยนชื่อในสัญญาได้ตามที่ต้องการ โดยเจ้าของการจะไม่สามารถเรียกร้องเงินค่าเปลี่ยนสัญญาใดๆ ได้เลย
ข้อกำหนดส่วนนี้เองทำให้โครงการส่วนใหญ่นิยมเลี่ยงกฎหมาย เพื่อให้ตัวเองยังคงมีสิทธิเรียกเก็บค่าเปลี่ยนสัญญาได้อยู่ โดยใช้การดึงเวลาไม่ยอมออกสัญญาจะซื้อจะขายให้สักที เเต่จะออกให้เฉพาะสัญญาจองซื้อเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่าง ก็คือกฎหมายยังระบุให้ข้อความหรือภาพที่โฆษณา หรือหนังสือชักชวน ให้ถือเสมอเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุดด้วย
เเละถ้าหากมีข้อความหรือภาพใดมีความหมายขัดหรือแย้งกับข้อความในสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุด จะต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณเเก่ผู้ที่จะซื้อหรือผู้ซื้อห้องชุดเท่านั้น เเละเหตุนี้เองต้องจำไว้เลยว่าทุกครั้งที่จองซื้อคอนโดฯ เราต้องเก็บเอกสารเเละใบโฆษณาทุกอย่างของโครงการไว้ให้ครบ อย่าทำหาย เพราะจะถือเป็นหลักฐานได้อย่างดีเลย