มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
4 มิถุนายน 2552
 
 

อาทิตย์ขึ้นที่เมียวอู วันแรก

อาทิตย์ขึ้นที่เมียวอู แต่........
(ตำนานของเรื่อง)



3 ป้า ตกลงกันว่าจะไปพม่ารอบสองหลังจากที่ไปรอบแรกเมื่อเดือนมกราคม ปีนี้ จำได้ว่าเมื่อคุณหนูไฮโซ เพื่อนสมัยเรียนชั้นมัธยมในโรงเรียนเอกชนหญิงล้วนชื่อดังย่านฝั่งธนฯ เราเรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้นม.ศ.1 ย้ำ ม.ศ.1 (คงจะพอคาดการณ์ได้ว่าอายุผู้เขียนน่าจะประมาณไหน เด็กสมัยนี้อาจจะไม่เคยได้ยิน) จนถึง ม.ศ.5 พอเราเอนทรานช์ติดก็ต้องแยกทางกันเพราะเธอได้เรียนมหาวิทยาลัยติดแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนป้าขามป้อมต้องระเหเร่ร่อนไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ หลังจากนั้นต่างคนต่างมีภารกิจจนทำให้ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน เมื่อจบปริญญาตรี คุณหนูไฮโซไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกา สักสิบกว่าปีโดยที่เราไม่ได้ติดต่อกันเลย
จนเมื่อสักห้าปีที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสได้เจอกันจากการนัดของเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพราะคุณหนูไฮโซกลับมาบริหารงานที่เกาะเสม็ด(ขายส้มตำไง ถูกสุดที่สุดเจ้าของสวยและใจดีที่สุดนะจ๊ะ ขอบอก)อันเป็นกิจการของครอบครัวโดยมี หมูน้อยน้องสาวที่คลานตามกันมาเกิดขายน้ำปั่น จากนั้นเราก็ได้เจอกันเวลาขามป้อมไปหาที่เสม็ด จากนั้นเราก็กันไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เช่น ไปดูเทศกาลน้ำแข็งที่ฮาร์บิน ประเทศจีน ไปเยือนเอเวอเรสต์ที่เนปาล ชมนครวัดที่กัมพูชา ฯลฯ จนครั้งล่าสุดเราจะไปไหว้พระธาตุที่พม่า

ก่อนไปป้า ป้าและป้า คิดกันว่า เอ๊ะ! จะไปดีเหรอ พม่าเคยมาตีเมืองไทยนะ จากประวัติศาสตร์ที่เราเคยเรียนมาพร้อมกันตอนยังเป็นเด็ก (สมัยก่อนเราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ จำได้แน่นอนว่าพม่ามาตีเมืองเราแตกไป 2 ครั้ง เพราะฉะนั้นเอาไงดี แต่ด้วยความเป็นคนดีของสามป้าเลยตกลงว่าอดีตปล่อยไป มาดูกันที่ปัจจุบันจะดีกว่า
ว่าแล้วคุณหนูไฮโซก็จัดกรุ๊ปของเราเอง (ส่วนมากเราจะไปเป็นกรุ๊ปของเราเองไม่ไปร่วมกับผู้อื่นเพราะคุณหนูเธอใจดีมักพาผู้ร่วมงานที่เกาะไปด้วย บวกกับคุณพ่อ และภรรยาของคุณพ่อด้วยทำให้พวกเราเป็นครอบครัวใหญ่ประมาณ 10 คน จึงจัดกรุ๊ปได้สบายๆ) แต่คราวนี้คุณพ่อและพี่ลินดา(ภรรยาของคุณพ่อ) ไม่มาเราจึงมีกันแค่ 6 คน หัวหน้าทัวร์(คุณชายโต้ง คราวหลังจะเล่าว่าทำไมถึงเป็นคุณชาย) นายโต้งเป็นผู้จัดรายการทัวร์พาเราไปพม่าด้วยโปรแกรมธรรมดา คือไปย่างกุ้งไหว้เจดีย์ชเวดากองและไปพระธาตุอินทร์แขวน
ตอนแรกทริปนี้ไม่มีคนอื่นๆไปเลย แต่โต้งบอกว่าบริษัทโต้งจัดให้ มีกี่คนก็จัดให้ เราเลยตกลงจะไปกัน นัดเก็บเงินกันเรียบร้อยแต่โต้งบอกว่าเนื่องจากเราไปกันแค่ 6 คนจึงทำให้ไม่มีไกด์ไทยไปด้วยแต่เมื่อถึงย่างกุ้งจะมีไกด์ท้องถิ่นมารับพูดไทยได้ พวกเราก็ตกลง แต่พอก่อนจะไป โต้งก็โทรศัพท์มาบอกว่าโต้งสามารถหา (หลอก) ลูกทัวร์เพิ่มได้อีก จึงมีคนอื่นๆมาร่วมเดินทางด้วยจนสามารถมีไกด์ไทยไปด้วยซึ่งก็คือยอดชายนายโต้งนั่นเอง




โต้งเองครับ


เราไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนานมีไกด์ท้องถิ่น ชื่อ Sai Hein ไกด์พม่าเชื้อสายไทยใหญ่ เคี้ยวหมากปากแดงฟันดำ เป็นไกด์ที่เก่งมาก......ก (แต่อาจมีขี้เกียจอธิบายข้อมูลเป็นบางเรื่อง) เราเที่ยวจนเกือบจบทริปแต่คุณหนูไฮโซไม่ยอมจบขอไปต่อ พุกาม มัณฑะเลย์ อินเล ชื่อหลังนี่เราไม่รู้จัก อยากไปด้วยจังแต่ต้องกลับไปทำงาน โต้งอยากไปด้วยแต่ด้วยหน้าที่จึงต้องกลับมาส่งลูกทัวร์คนอื่นๆ และในที่สุดทนความเย้ายวนไม่ไหว คุณหนูไฮโซเลยจัดการให้เราดูแลลูกทัวร์ทั้งหมดกลับกรุงเทพฯ คุณหนูไฮโซและผองเพื่อนไปกับโต้งและอาเฮง ปล่อยให้สาวน้อยอย่างเราต้องกลับกรุงเทพฯตามลำพัง
หลังจากนั้นขามป้อมก็กลับมาทำงานด้วยหัวใจว้าวุ่นด้วยความอิจฉาตาร้อน เมื่อคุณหนูไฮโซ กลับมากรุงเทพฯก็โทรศัพท์มาเล่าด้วยความสนุกสนานและมีความสุข (ช่างไม่คิดถึงเพื่อนเลยว่าเพื่อนต้องกลับมาเฉาอยู่บ้านตั้งหลายวัน) แต่ด้วยความเป็นคนมีน้ำใจและมีน้ำเงินด้วย คุณหนูไฮโซจึงบอกให้ขามป้อมหาวันหยุดให้ได้มาก....กก ที่สุด เพื่อเราจะไปพม่ากันอีกสัก โอ้ ! พระเจ้า 15 วันสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างฉันเนี่ยนะ ฉันไม่ใช่เจ้าของกิจการนะจ๊ะ แต่ปาฏิหาริย์มีจริงบวกกับความสามารถของคนอย่างฉันทำให้ฉันสามารถหาวันหยุดได้โดยเราเริ่มออกเดินทาง วันที่ 1 มีนาคม และกลับมากันวันที่ 15 มีนาคม โอ้โฮ ! ช่างเป็นความสามารถของคนขี้เกียจเสียนี่กระไร เทคนิคของฉันคุณผู้อ่านอย่ารู้เลยนะคะเอาเป็นว่าฉันสามารถลางานแค่วันเดียวแล้วกัน (เผอิญเป็นอาชีพพิเศษของคนพิเศษน่ะค่ะ)
คราวนี้เราตกลง (จริงๆคุณหนูไฮโซตกลงกับหมูน้อยน่ะค่ะแต่พวกเราทุกคนก็เห็นด้วยเพราะมีความชอบคล้ายๆกันตามอายุที่ไล่ๆกันมา) ไปรัฐยะไข่ (Rakhine State) เมืองชิตเว (ชิ-ตะ-เว) ออกเสียงตะเบาๆนะคะ(Sittae) และเมี่ยวอู(Mrauk-U) ซึ่งเมืองเหล่านี้ไม่ค่อยมีคนไทยไปกัน ขนาดอาเฮงคนพม่าเองยังไม่เคยไปเลย แต่พวกเราชอบ สาเหตุที่ทำให้คุณหนูไฮโซและน้องหมูน้อยอยากไปเพราะเห็นหนังสือบนเครื่องบิน Air Bagan มีภาพเจดีย์เก่าๆ สวยๆ สวยกว่าในเมืองย่างกุ้งอีก ดูจากภาพถ่ายแล้วกัน
เอาล่ะเริ่มออกเดินทางนะคะ เริ่มจากจำนวนคนก่อน มี คุณหนูไฮโซ ป้าหมูน้อย คุณอุ้ย อิ๋ว โต้ง และขามป้อม โดยมีไกด์ที่โต้งบอกว่าหล่อกว่าอาเฮงชื่ออาฮานซึ่งเป็นน้องชายคลานตามกันมาของอาเฮง อาเฮงบอกว่าไม่ว่างติดงานอื่นแต่พวกเราสันนิษฐานกันว่าเพราะอาเฮงขี้เกียจหาข้อมูลเพราะตัวเองก็ยังไม่เคยไปคงกลัวเสียฟอร์มละมั้ง ตัวอาฮานเองก็เคยไปครั้งเดียวแต่ข้อมูลเพียบ ท่องมาเก่งจริงๆ



วันแรก

เราออกเดินทางวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 51 ด้วยสายการบิน Air Bagan เครื่องออก เก้าโมงกว่าๆ ขามป้อมหิวมากเพราะเมื่อคืนลดความอ้วนไม่ได้กินอะไร แอร์สาวเสริฟ์อาหารเช้าเป็นแซนวิชทูน่า รสชาติใช้ได้แต่ขนมเค้กหวานม้าก...มาก คนหวานแล้วอย่างเราเลยกินไม่ได้ มิฉะนั้นความหวานจะอยู่ในตัวมากเกินไป
ถึงสนามบิน กรุงย่างกุ้ง สนามบินที่ดูเล็กๆน่าเอ็นดู มีผู้สันทัดกรณี (เที่ยวบ่อย) บอกว่าคล้ายสนามบินกระบี่บ้านเรา รับกระเป๋าใบใหญ่ที่เดิมเป็นสีฟ้าเพิ่งใช้เป็นครั้งแรกแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆแล้ว เสียดายใจแทบหลุด ส่วนกระเป๋าใบเล็กจะต้องนำไปที่ยะไข่ด้วย มีไกด์หนุ่มหน้าละอ่อนมารับ พิจารณาดูดี...ดี หน้าตาน่ารัก ถ้าเปรียบอาเฮงคนพี่คงเป็นฝ่ายบู๊ ส่วนอาฮานคนน้องอยู่ฝ่ายบุ๋น อาฮานจัดการฝากกระเป๋าใบใหญ่ของพวกเราไปเก็บที่โรงแรม Park Royal Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่เรามาพักทุกครั้งที่มาย่างกุ้ง เราทุกคนและกระเป๋าทุกใบเดินจากสนามบินนานาชาติไปสนามบินภายในประเทศซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน เดินสัก 5 นาที สนามบินภายในประเทศของเขาเหมือนสถานีขนส่งหมอชิตของเราเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ดูเก่าๆหม่นๆ มีเก้าอี้เหมือนเก้าอี้ตามสถานีรถไฟบ้านเราที่มีเอกลักษณ์ว่าเห็นเมื่อไร รู้ทันทีว่าเป็นเก้าอี้สถานีรถไฟ





รอสักพักเราก็ขึ้นเครื่อง Air Bagan เหมือนเคย เราต้องนั่งเครื่องอีกชั่วโมงกว่าๆ เพราะย่างกุ้งอยู่ทางใต้แต่ชิตเว (คนพม่าออกเสียงเหมือนชิตตุ่ย) เมืองที่เราจะไปนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า แอร์เสริฟ์อาหาร คราวนี้เป็นสปาเกตตี้กับปลาอบพริกไทยดำ ของหวานเป็นเครปไส้แยมสับปะรด รสชาติดีทีเดียว กินเสร็จอ่านหนังสือได้เล็กน้อยก็หลับ (ตามประสาป้าๆ) ตื่นตอนได้ยินเสียงเตือนให้รัดเข็มขัด มองไปนอกหน้าต่าง หมูน้อยบอกว่าเป็นอ่าวเบงกอล ถึงสนามบินเราก็ต้องเดินลงจากเครื่องและเดินมารอกระเป๋า ที่ต้องรอกระเป๋านาน...เพราะที่นี่ยังใช้ระบบคนขนของลงจากเครื่องบินและแบกมาให้ที่ห้องภายในสนามบิน รถที่มารับลักษณะเหมือนรถตู้คันใหญ่ๆ ไม่มีแอร์ แต่ก็นั่งสบายเพราะคันใหญ่แล้วพวกเรามีกันไม่กี่คน ตอนรถกำลังจะเคลื่อนที่มองกลับไปข้างๆสนามบินก็เห็นคนไล่ต้อนวัว เป็นภาพที่หาได้ยากมากๆนะจะบอกให้
นั่งรถไปประมาณ 10 นาที ฮานก็แวะให้กินข้าวที่ร้านอาหารเป็นร้านเปิดโล่งไม่มีไฟฟ้าเพราะที่นี่จะเปิดให้ประชาชนใช้ไฟได้ตั้งแต่ 19.00-21.00 น.เท่านั้น นอกจากนี้ถ้าอยากมีไฟฟ้าใช้ก็ใช้เครื่องปั่นไฟเอาก็แล้วกัน (ช่วยลดภาวะโลกร้อนดีจังเลย) แต่ไม่เหมาะกบคนไทยที่เข้าใจว่าตัวเองอยู่ในโลกที่เจริญแล้วเพราะพอจะเข้าห้องน้ำก็มองอะไรไม่เห็นเลย เพราะฉะนั้นต้องเลือกระหว่างคลำๆเอาเองหรือเปิดประตูห้องน้ำไว้นิดๆ พอให้มีแสงเข้ามาได้นิดหน่อย อาหารรสชาติดีกว่าที่คิดมากรวมทั้งประเภทของอาหารก็เหมาะกับคนไทย อาหารที่เราเตรียมมามากมายเพราะกลัวอดจึงยังไม่ต้องพึ่งการบริการ




ร้านอาหารของเรา มื้อแรกที่รัฐยะไข่


กินเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปไหว้พระ(เราเรียกทัวร์พม่าว่าทัวร์ไหว้พระ) ที่วัดมหากุตระ แต่ถ้าถามความรู้สึกของเรา เราว่าเหมือนพิพิธภัณฑ์มากกว่า ลักษณะไม่เหมือนวัดทั่วๆไป คือมีลักษณะเป็นเหมือนบ้านไม้สองชั้น ก่อนเข้าไปต้องถอดรองเท้าก่อน (ไปพม่ารอบแรกรังเกียจการถอดรองเท้ามาก กะว่าจะเอาถุงน่องมาใส่แต่ถูกห้ามอย่างเด็ดขาดถ้าไม่อยากถูก....) เราเริ่มชินกับการเดินเท้าเปล่าแล้วล่ะ




เดินขึ้นไปบนชั้นสองมีการเก็บพระพุทธรูปต่างๆวางเรียงกันอยู่ตามชั้นไม้บ้าง ในตู้ไม้บ้าง แต่มีตู้กระจกใบหนึ่งมีการเก็บธนบัตรที่ออก เมื่อปีพ.ศ. 2531 เพราะรัฐบาลต้องการกำจัดการค้าขายของกองกำลังกบฏกะเหรี่ยงและไทใหญ่ตามแนวชายแดนพม่า-ไทย จึงยกเลิกธนบัตรเดิมที่มีอยู่แล้ว ออกเป็นธนบัตรพิเศษเป็นธนบัตรฉบับละ 5,15,35,45,75,90 (แต่มีคนแอบบอกว่าจริงๆแล้วท่านผู้นำทำตามคำทำนายของโหรสมัยนั้น) ทำให้ผู้คนเดือดร้อนเพราะธนบัตรที่มีสะสมอยู่ต้องกลายเป็นเศษกระดาษไปโดยปริยายในชั่วพริบตา นอกจากนี้ยังมีพระธาตุของพระสงฆ์ต่างๆมากมาย วางเรียงรายให้พุทธศาสนิกชนได้กราบนมัสการกัน จะสังเกตว่าคนพม่านิยมเก็บพระธาตุของพระสงฆ์เพื่อบูชา




วัดต่อไปคือวัด......... ทางเข้ามีต้นลีลาวดีอยู่ทั้งสองด้านของวัดแต่ละต้นอายุคงมากกว่าอายุของผู้เขียนเพราะดูจากรูปราง ขนาดของลำต้น สวยและดูมีฟอร์มดีที่เดียว เห็นแล้วอยากขโมยมาปลูกที่บ้านเราจัง ทางเข้าวัดมียักษ์สองตนยืนจับกระบองเฝ้าอยู่เหมือนที่วัดในประเทศไทย ภายในมีพระพุทธรูปวางเรียงรายกันไปให้เราได้เดินกราบไหว้เวียนไปเรื่อยๆ มีพระพุทธรูปของคนไทยด้วย(ไหนใครบอกคนไทยไม่ค่อยได้ไปยะไข่ไง) เพราะมีคำจารึกอยู่ด้านล่างว่าเป็นของคนไทย นอกจากนี้ในตู้รับบริจาคเงินทำบุญยังเห็นมีธนบัตรไทยฉบับละ 20 บาทอยู่หลายฉบับ



ยักษ์เฝ้าหน้าวัด




พระพุทธรูปของคนไทยค่ะ





พระพุทธรูปปางต่างๆของพม่า จะสังเกตได้จากพระนขา(เล็บ)และพระโอษฐ์(ปาก) จะมีสีแดง




เงินไทยก็ทำบุญที่พม่าได้ คนพม่าชอบด้วยซ้ำไป


วัดสุดท้ายของวันนี้ คือ วัด....... เป็นวัดที่ยิ่งใหญ่อลังการมากเป็นเจดีย์ทรงเดียวกับเจดีย์ชเวดากอง บริเวณด้วยรอบเป็นลานกว้างใหญ่มาก ลานด้านหน้ามีต้นมะพร้าวโผล่ขึ้นมาราวกับขอมดำดินโดยโผล่มาเฉพาะลำต้น ดูแปลกๆดี ภายในรอบๆองค์เจดีย์ทำเป็นรูปสลักประวัติพระพุทธเจ้าโดยทำเลียนแบบให้ดูเหมือนเก่า ออกจากองค์เจดีย์เดินลงมาด้านล่างมีวิหารที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูป ที่เป็นที่เคารพบูชาของคนพม่า มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่แล้วมีพระเครื่ององค์เล็กๆติดอยู่ทั่วองค์ใหญ่













จบทัวร์วัดแล้ววันนี้ไปเที่ยวดีกว่า อาฮานบอกว่าจะพาไปดูทะเลที่สวยงามมีจุดชมวิวด้วย ระหว่างเดินไปที่จุดชมวิว เราเห็นธงโฆษณาเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง ให้ทายว่ายี่ห้ออะไร จ้างให้ก็ทายไม่ถูก เฉลยค่ะ อินทรีค่ะอินทรีเขียนแบบนี้เลย เฮ้อ! เบียร์ไทยดีจริงๆ ขจรไกลดี เราเดินต่อจนเห็นทะเลปรากฏว่า ก็คือทะเลน่ะค่ะ(เวลาอ่านออกเสียงต่ำหน่อยนะคะ) เผอิญป้าเป็นคนไม่ค่อยชอบทะเลแต่ชอบภูเขาเลยรู้สึกว่าก็ทะเลคล้ายๆที่บางปู คือ ทำเป็นสถานที่ชมวิว มีปืนใหญ่อยู่หนึ่งกระบอกเส้นผ่าศูนย์กลางสัก 10 นิ้วได้มั้ง แต่ที่สำคัญที่สุด คือต้องจ่ายค่ากล้องถ่ายรูปกล้องละ 1000 จั๊ต เราเลยไม่จ่าย ไม่ถ่ายก็ได้ ทะเลก็ดูธรรมดา บางแสนบ้านเราสวยกว่า (อย่าบอกอาฮานนะ) ที่นี่มีสิ่งที่ดูดีก็น่าจะเป็น เมื่อมองไปในทะเลกว้างใหญ่สุดสายตาก็จะพบเกาะใหญ่ๆหนึ่งเกาะประภาคารร้าง หนึ่งประภาคาร (ไม่รู้จะใช้ลักษณนามอย่างไรดีใครรู้ช่วยบอกด้วย) ต่อไปเราไปชมตลาดกันค่ะ ตลาดสด เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่า ถ้าอยากรู้วิถีชีวิตชาวบ้านให้ไปดูที่ตลาด ขามป้อมเลยจำไว้ เวลาไปที่ไหนถ้ามีเวลาเราจะต้องไปตลาดสดให้ได้ไม่ว่าจะต้องตื่นเช้าแค่ไหนหรือลำบากอย่างไร
สำหรับตลาดที่ชิตตุ่ยนี้น่าสนใจมากเพราะพืชผักดูสมบูรณ์จริงๆ มะเขือเปราะลูกโตกว่าบ้านเราเยอะเลย ท่าทางจะได้ปุ๋ยดีที่สำคัญคนพม่าบอกว่าพืชผักผลไม้ของเขาปลอดภัยจากสารพิษนะจ๊ะ จะกินอะไรก็รีบกินแต่จะบอกว่าที่พม่าแตงโมอร่อยที่สุดอยากกินเยอะๆแต่ต้องระวังเพราะห้องน้ำหายาก ตลาดที่นี่เดินไปตามทางเหมือนเดินเข้าซอย ของวางขายสองข้างทาง ส่วนมากจะเป็นพืชผัก ทุกอย่างใหญ่โตจริงๆ ฟักบ้านเขาเป็นลูกยาวๆและมักจะผ่าสี่ตามความยาววางขายบนกระจาดสาน มีใบพลู ของแห้ง เช่น ปลาหมึกแห้ง ปลาแห้ง....แห้งมาก.....และแห้งมาก...กก เหมือนแผ่นกระดาษบางๆไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไปทำอะไรกิน ถามอาฮานก็ไม่ได้เรื่องแต่ป้าให้อภัยจ้ะเพราะคนที่นี่ถึงจะพูดภาษาพม่าเหมือนกันแต่อาฮานบอกว่าคนละสำเนียงและมีศัพท์บางคำที่อาฮานเองก็ฟังไม่ค่อยออก คงเหมือนเราเวลาไปเที่ยวภาคอื่นๆในไทยแล้วเจอคนพูดภาษาพื้นเมืองแล้วเราฟังไม่ออกนั่นแหละ

<







ผักพื้นเมือง






กุนเชียงกะมะขามเปียก






ปลาแห้งมาก เชื่อยังคะ


ที่สะดุดตามากที่สุดที่บ้านเราไม่มีแล้ว คือ ไข่เต่าตนุจำได้ว่าเคยเห็นตอนเด็กมากๆสัก 30 เกือบ 40 ปีมาแล้วที่ตลาดบางลำพูปัจจุบันไม่มีขายเพราะเต่าแทบจะหมดเมืองไทยแล้ว ถ้ายังมีไข่เต่าขาย เต่าคงสูญพันธุ์แน่ๆ



ไข่เต่าตนุค่ะ (เด็กๆสมัยนี้เคยเห็นไหม)



ผลไม้ที่มีมากที่สุด คือ องุ่นม่วงลูกเล็กๆแต่รสชาติดี เวลาขายเขาจะใส่ตราชั่งแบบที่เป็นสัญลักษณ์ประจำศาลบ้านเรานั่นแหละ พยายามดูว่าเขาใช้อย่างไร พอจะเข้าใจว่าก็เหมือนเวลาชั่งทองคำ คือ มีจานวางสองด้าน จานหนึ่งใส่สินค้า จานหนึ่งใส่ก้อนเหล็กที่มีขนาดของน้ำหนักจะมีหน่วยเป็นอะไรไม่มีใครฟังออกก็เลยไม่ต้องรู้เรื่องกัน





แม่ค้าขายองุ่น ใจดี ด้วยค่ะ


ปากทางเข้าตลาดจะมีแม่ค้านั่งขายขนมเป็นถ้วยๆมีแบบน้ำลักษณะคล้ายเม็ดบัวลอยน้ำขิงแต่น้ำไม่ใช่น้ำขิงและมีมะพร้าวขูดลอยหน้าอยู่น่ากินเหมือนกัน ของคาวก็จะมีเป็นก๋วยเตี๋ยวคล้ายๆหมี่กะทิ






ของหวาน





ของคาว











ยานพาหนะในเมือง






ฟ้องด้วยภาพ ไม่ต้องบอกก็ได้ใช่ไหมคะ




โรงแรมของเราคืนนี้ค่ะ

จบการเดินตลาดเราก็ไปโรงแรมที่จะพักคืนนี้ ชื่อ Shwe Thazin Hotel ได้พักชั้น 5 เดินขึ้นเหนื่อยมาก (ก็ป้าแก่แล้ว) นั่งพักสักชั่วโมงก็ออกไปกินอาหารเย็นที่ River Valley Restaurant เป็นร้านเปิดโล่งเพราะไม่มีแอร์เพราะ(อีกครั้ง)ไม่มีไฟฟ้าตอนกลางวันไง มีวันละไม่กี่ชั่วโมงเลยไม่ต้องติดแอร์ อาหารอร่อยใช้ได้เลย มียำมะเขือเทศอร่อยที่สุด กุ้งชุบแป้งทอดเนื้อกุ้งสดและหวาน ไก่ทอด อร่อยอีกเหมือนกันกิน 2 จาน ต้มยำกุ้ง บวกกับน้ำพริกและน้ำปลาพริกบรรจุซองที่นำมาจากกรุงเทพฯ เฮ้อ! มีความสุขจริงๆ (สังเกตดีๆนะ ขามป้อมจะมีความสุขตอนกินมากๆเลย)




พาหนะที่หรูที่สุดของเมืองนี้

ก่อนกลับโรงแรมขอให้ขับรถรอบเมืองใช้เวลาสัก 10 นาทีได้เพราะมีรถเราวิ่งอยู่คันเดียวทั้งเมือง บรรยากาศเหมือนชนบทบ้านเราเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ตามถนนหนทางไม่มีเสาไฟฟ้า ถ้ามีเพิงขายของก็จะใช้ตะเกียงน้ำมัน ย้อนยุคดีจริงๆ สงบ เงียบ ธรรมชาติ อย่างที่จะไม่มีโอกาสได้เจออีกแล้วที่เมืองไทย
ถึงโรงแรมแยกย้ายกันเข้าห้อง โชคดีที่วันนี้มีคนพักมากทำให้โรงแรมจะเปิดไฟฟ้า(ใช้เครื่องปั่นไฟ)ให้เราทั้งคืน ถ้าคืนไหนคนพักน้อยอาจจะเปิดไฟให้แค่เที่ยงคืนเท่านั้น เราเลยนอนหลับสบายเตรียมพร้อมที่จะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ






 

Create Date : 04 มิถุนายน 2552
1 comments
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 11:48:22 น.
Counter : 1963 Pageviews.

 

 

โดย: scimovie 4 มิถุนายน 2552 22:34:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

3papartour
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add 3papartour's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com