|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
จาก "ลออ ไกรฤกษ์ " สู่เจ้าพระยามหิธร ตอนที่ ๑
เจ้าพระยามหิธร เรียบเรียง ประวัติ ผลงาน และ บทบาท ของ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) เนติบัณฑิตหมายเลข ๑ แห่งประเทศไทย ผู้เป็นตัวอย่าง และแรงบันดาลใจให้คนไทยและเด็กไทยทุกคน
ผู้เขียน: เทาชมพู อยู่ในส่วน: ประวัติศาสตร์
ลออ ไกรฤกษ์ " สู่เจ้าพระยามหิธร
เจ้าพระยามหิธรมีชื่อเดิมว่า " ลออ " เกิดในสกุล " ไกรฤกษ์ " ซึ่งมีลูกหลานสืบเชื้อสายกันมาจนถึงทุกวันนี้
สมัยโน้น ชื่อของคนไทยเป็นชื่อที่ไม่จำกัดเพศ ไม่เหมือนปัจจุบัน สมัยนี้ไม่มีนางสาวคนไหนชื่อ ทักษิณ หรือผู้ชายคนไหนชื่อนายดาวพระศุกร์ ผิดกับสมัยก่อน ไม่ว่าชื่ออะไรผู้ชายผู้หญิงก็ใช้เหมือนกันได้ เพราะถ้าเช่นนั้นผู้ชายชื่อเดือน ชื่อดาว หรือลออ ถือเป็นเรื่องปกติ ผู้หญิงชื่อแม่โชติ ก็ไม่ประหลาด
เด็กชายลออเกิดมาในตระกูลขุนนางไทย แบบเดียวกับตระกูลผู้ดีไทยอีกมากที่เริ่มต้นจากคนจีนแล้วกลืนเข้าเป็นคนไทยอย่างสนิท แทบไม่เหลือขนบธรรมเนียมการดำเนินชีวิตแบบจีน เหลือก็แต่ความทรงจำว่าบรรพบุรุษของตนมาจากแผ่นดินใหญ่
ต้นตระกูลไกรฤกษ์ที่เดินทางจากจีนมาตั้งถิ่นฐานในสยามสมัยปลายอยุธยา มีชื่อตัวว่าอะไรไม่ทราบ รู้แต่ว่าแซ่หลิม คำว่าหลิม เป็นสำเนียงจีนฮกเกี้ยน ท่านหลิมคงจะเข้ามาตัวคนเดียวและได้ภรรยาชาวอยุธยาแบบหนุ่มจีนโดยมาก ลูกชาย ๒ คนที่เกิดในอยุธยาจึงมีชื่อไทยว่า " เริก " และ " อิน" ท่านหลิมถึงแก่กรรมตอนไหนไม่ปรากฏ แต่ว่าลูกชายสองคนหนีรอดข้าศึกตอนเสียงกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองไปได้ จนถึงสมัยสถาปนากรุงธนบุรี นายเริกและนายอินก็ได้สมัครเข้ารับราชการกับพระเจ้าตากสินกันทั้งสองคน
เจ้าพระยามหิธรสืบเชื้อสายโดยตรงจากนายเริก บุตรชายคนโตของท่านหลิม ปรากฏในคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า พระเจ้าตากสินผู้เป็นเชื้อจีนเช่นกัน ทรงรับนายเริก เข้าเป็นขุนท่องสื่ออักษร เสมียนตรากรมท่าซ้าย มีหน้าที่เป็นล่ามจีนในคณะทูตไทยที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีที่ปักกิ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๔ การเดินทางเรือสมัยนั้นกว่าจะโต้คลื่นไปขึ้นทางใต้ของจีน และขึ้นบกระหกระเหิน เดินทางไปถึงกรุงปักกิ่ง กินเวลายาวนานขนาดไปปีนี้ กลับเอาปีหน้า ดังนั้นกว่าคณะทูตจะกลับมา ก็สิ้นสุดรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีไปแล้ว ขึ้นรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
การผลัดแผ่นดินใหม่ไม่ได้มีผลกระทบกระเทือนต่อขุนนางหนุ่มอย่างขุนท่องสื่อ เช่นเดียวกับขุนนางอื่นโดยมากที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจลาจลสมัยปลายกรุงธนบุรี เมื่อผลัดแผ่นดินขุนนางเหล่านี้ก็ทำงานไปตามปกติ แยกย้ายกันสังกัดวังหน้าบ้างวังหลวงบ้าง
ขุนท่องสื่อเริกก็ได้เข้ารับราชการสังกัดวังหน้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท แล้วเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับจนเป็นถึงเสนาบดีคลัง หนึ่งในจตุสดมภ์วังหน้า มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาไกรโกษา
บ้านเดิมของพระยาไกรโกษา อยู่ที่ตรอกพระยาไกรในสำเพ็ง ก่อนหน้านี้ ตอนปลายรัชสมัยธนบุรีท่านคงอยู่ในละแวกชุมชนคนจีน ฟากบางกอกตรงส่วนที่เป็นพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงย้ายเมืองหลวงข้ามแม่น้ำมาตั้งทางฝ่ายบางกอก ก็โปรดเกล้าฯให้ย้ายชุมชนคนจีนเดิมจากที่นั้นไปหาที่อยู่ใหม่จากคลองใต้วัดสามปลื้มจนถึงคลองเหนือวัดสำเพ็ง พระยาไกรโกษาจึงย้ายบ้านไปอยู่ที่สำเพ็ง จนถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่ ๒
พระยาไกรโกษา มีบุตรกับภรรยาเอกชื่อคุณหญิงจุ้ย ๓ คน มีบุตรกับภรรยาน้อยอีกหลายคน แต่ขอข้ามไปเพราะไม่ใช่สายเจ้าพระยามหิธร จึงขอพูดถึงเพียงคนเดียวคือบุตรชายคนเล็กของคุณหญิงจุ้ยชื่อนายสุด
นายสุดเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก ได้เป็นหัวหน้ามหาดเล็กตำแหน่งหลวงเดชนายเวร สมัยโน้นการเป็นมหาดเล็กไม่ใช่เป็นกันง่ายๆ ต้องคัดเลือกจากลูกผู้ดีมีตระกูล นอกจากนี้ต้องหน้าตาดีกิริยามารยาทเรียบร้อยรู้ธรรมเนียมประเพณีไทย และเป็นคนเฉลียวฉลาดฝึกงานได้คล่อง หัวไว เรียนรู้เร็ว เพราะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน ให้ทรงใช้สอย เป็นโอกาสให้ได้รับตำแหน่งสำคัญๆในอนาคตได้ง่าย
เมื่อมาถึงยุคนี้คงจะเห็นว่า เมื่อถึงชั่วคนที่สาม หลานปู่ของท่านหลิม ก็ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลของไทย อย่างสนิทแล้ว ไม่ได้มีใครเห็นว่าเป็นคนจีนอีก เรื่องราวของหลวงเดช กล่าวไว้ในประวัติของตระกูลไกรฤกษ์เพียงสั้นๆว่าท่านมีบุตร ๔ คน หนึ่งในจำนวนนี้เป็นชายชื่อโมรา
นายโมราเกิดในรัชกาลที่ ๓ แต่กว่าจะโตเป็นหนุ่มอายุ ๑๗ เข้ารับราชการได้ก็ถึงรัชกาลที่ ๔ ตำแหน่งแรกของท่านคือประจำกรมตำรวจหลวงวังหน้า ตามบรรพบุรุษที่เป็นเสนาบดีวังหน้ามาก่อน แล้วเลื่อนขึ้นจนได้เป็นพระยาบริรักษ์ราชา เจ้ากรมพระตำรวจวังหน้า เมื่อออกจากราชการประจำแล้วจึงเปลี่ยนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเพ็ชรรัตน์
พระยาเพ็ชรรัตน์คือบิดาของเจ้าพระยามหิธร
ขอเริ่มประเด็นใหม่ คือระบบศาลยุติธรรมของไทย
สมัยโบราณนั้น ตั้งแต่อยุธยามาจนถึงปลายรัชกาลที่ ๕ หรือแม้แต่สมัยต้นรัชกาลที่ ๕ เอง ไทยก็ยังยึดถือระบบตุลาการแบบโบราณอยู่ ไม่มีกระทรวงยุติธรรมอย่างสมัยนี้ แม้แต่ศาลที่เป็นศาลล้วนๆ อย่างเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มี
สมัยโน้น ราชการฝ่ายบริหารและตุลาการไม่ได้แยกจากกัน เพราะถือว่าการชำระความโดยเฉพาะความอาญาเป็นเรื่องการใช้อำนาจปกครองเพื่อปราบปรามและลงโทษผู้กระทำผิด ดังนั้นกรมไหนๆก็มีหน้าที่ชำระความของตัวเองได้ ข้าราชการสังกัดกรมนั้นก็อาจได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ตุลาการชำระความในกรมของตัวเองได้เช่นกัน
หน้าที่ตุลาการสมัยโน้นคือสอบสวนซักถามพิจารณาหาข้อเท็จจริง ส่วนข้อกฎหมายเป็นหน้าที่ของลูกขุนและผู้ปรับก็คือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยจะรู้กัน รู้แล้วก็รู้สึกว่าตลก คือข้าราชการหรือขุนนางสมัยโน้น แม้ว่ามีหน้ามีตา แต่ไม่ค่อยจะมีสตางค์ เพราะระบบราชการไม่มีเงินเดือนให้ มีแต่เบี้ยหวัดซึ่งจ่ายปีละครั้งสองครั้ง บางทีก็ไม่จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นผ้าลายบ้าง ทองคำบ้าง แล้วแต่ท้องพระคลังจะมีให้มากน้อยแค่ไหน
สมัยรัชกาลที่ ๒ พบกันว่าท้องพระคลังหาเงินไม่ค่อยได้ ต้องติดเบี้ยหวัดขุนนาง ไปจ่ายเป็นผ้าลายแทนก็มี จนถึงรัชกาลที่ ๓ ทรงคิดระบบเจ้าภาษีขึ้นมาเป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้าสู่พระคลังหลวง จึงค่อยมีเงินทองขึ้นมามากหน่อย
ในเมื่อขุนนางไม่มีสตางค์ แต่มีลูกเมียบริวารต้องเลี้ยงกันมากมายในแต่ละบ้าน ก็มักจะไปร้องเรียนขอความเห็นใจจากเจ้ากรม เจ้ากรมก็หาทางหางานพิเศษให้ลูกน้อง โดยมอบความแพ่งหรืออาญา ให้ขุนนางผู้นั้นเอาไปเป็นตุลาการชำระความที่บ้าน เป็นรายได้พิเศษ เพราะการชำระความไม่ได้กินเวลาแค่ครั้งเดียวจบ แต่ว่าต้องสืบสวนสอบสวนทวนพยานกันนานเป็นปี คู่ความทั้งโจทก์และจำเลยตลอดจนพยาน ก็ต้องอพยพกันมาปลูกกระท่อม นอนค้างอ้างแรมในบริเวณบ้านตุลาการ ต้องหาข้าวปลาอาหารของใช้มาส่งเสียตัวเอง
และเพื่อจะเอาใจตุลาการให้ชำระความเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน ก็ต้องเผื่อแผ่ของกินของใช้ให้ตุลาการด้วย ตุลาการก็ค่อยคลายความฝืดเคืองลงได้ จนกว่าจะชำระความเสร็จซึ่งอาจจะกินเวลานานเป็นปี โจทก์จำเลยถึงจะหอบข้าวของ(ถ้ายังมีเหลือ) ออกจากบ้านตุลาการไปได้ ไม่ต้องพบกันอีก ส่วนฝ่ายไหนจะแพ้ความไปติดคุก ฝ่ายไหนชนะความได้กลับบ้าน ก็เป็นอีกเรื่องที่พ้นหน้าที่ตุลาการไปแล้ว
พระยาเพ็ชรรัตน์ในฐานะเจ้ากรม นอกจากจะแบ่งคดีให้ข้าราชการรองๆลงไปช่วยชำระความ ท่านก็ชำระความของท่านเป็นรายได้พิเศษประจำตัวเองด้วย พอเลี้ยงครอบครัวกันไปได้ไม่ลำบาก
อ่านมาถึงตอนนี้อาจจะมีคนเอะอะโวยวายด้วยความสงสัยว่า ระบบนี้เปิดช่องทางให้ลำเอียงกันได้ ฝ่ายไหนประเคนเงินทองข้าวของอาหารการกินให้มากกว่า ตุลาการก็ต้องลำเอียงเข้าข้างคนนั้นเป็นธรรมดา แล้วจะเอาความยุติธรรมมาจากไหน สุนทรภู่ก็เป็นคนหนึ่งที่โวยวายขึ้นมาแบบนี้ หาอ่านได้ในกาพย์พระไชยสุริยาตอนหนึ่ง ที่บรรยายเมืองสาวัตถี ว่า
สุภา ก็คือตุลาการ เป็นคำเหน็บแนมของสุนทรภู่โดยยกเมืองสาวัตถี ใน กาพย์พระไชยสุริยา เป็นแบบอย่างของความชั่วในเมือง ซึ่งในบรรดาความเลวทรามต่างๆนั้น มีการกินสินบาทคาดสินบนรวมเข้าไปด้วยอีกอย่างหนึ่ง
ในความเป็นจริง ระบบชำระความแบบนี้ ทำกันต่อมาจนกระทั่งมีการตั้งศาลในระบบสากลขึ้น ตอนปลายรัชกาลที่ ๕ ถ้ามีผู้ถามว่า โจทก์จำเลยที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจะหันไปฟ้องร้องกับใครได้ สำหรับข้อนี้ก็มีคำตอบให้เหมือนกัน ข้อลำบากของตุลาการอยู่ที่ว่าเมื่อตัดสินความออกมาว่าใครผิดใครไม่ผิด โจทก์กับจำเลยยอมรับได้ก็หมดเรื่องไป แต่ถ้ายอมรับไม่ได้ เขาก็สามารถอุทธรณ์ได้
แต่การอุทธรณ์สมัยนั้นผิดกับสมัยนี้ สมัยนี้จะอุทธรณ์ว่าคำตัดสินนั้นไม่ถูกต้องตรงไหนและแย้งได้อย่างไรบ้าง แต่สมัยนั้น เวลาอุทธรณ์ เขาจะอุทธรณ์ว่าตุลาการตัดสินไม่ยุติธรรม เข้าข้างอีกฝ่ายหรือรับสินบน แล้วจึงยื่นคำร้องให้ตุลาการชั้นสูงขึ้นไปพิจารณา
พอถึงตอนนี้ ตุลาการชั้นต้นก็กลายมาเป็นจำเลย มีหน้าที่ต้องแก้คำอุทธรณ์โดยชี้แจงให้ได้ว่าตัวเองตัดสินไปนั้นเที่ยงธรรมดีแล้ว ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างใครหรือว่ารับสินบนใคร ไม่อย่างนั้นถ้าระดับบนเอาเรื่องตัวเองก็ลำบากเหมือนกัน
ทางออกของตุลาการชั้นต้น เผื่อเกิดเรื่องเจอโจทก์จำเลยหัวหมอต่อสู้ไม่ยอมแพ้ขึ้นมา แม้ว่าการตัดสินนั้นอาจจะถูกต้องแล้วก็ตาม ก็จะต้องไม่ประมาทในการรับมือ ก็คือทำความคุ้นเคยฝากเนื้อฝากตัว ทำตัวเป็นผู้น้อยที่ดีต่อตุลาการชั้นผู้ใหญ่เอาไว้เสียตั้งแต่แรก เพื่อจะได้เกิดความเมตตา หรือช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เวลาถูกโจทก์จำเลยเล่นงานเอา
พระยาเพ็ชรรัตน์เองก็ไม่ประมาทที่จะฝากเนื้อฝากตัวให้ผู้ใหญ่เหนือขึ้นไปกว่าให้เมตตาปรานี ท่านมีตุลาการชั้นสูงเป็นมิตรที่ดีอยู่หลายคน หนึ่งในจำนวนนั้นคือพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนศิริธัชสังกาศ(ต้นราชสกุล ศรีธวัช ณ อยุธยา)อธิบดีศาลฎีกา ซึ่งต่อมาก็ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งในชีวิตของเจ้าพระยามหิธร
ลูกชายของพระยาเพ็ชรรัตน์ ทั้ง ๓ คน ต่างคุ้นเคยกับการชำระความของบิดามาตั้งแต่เล็ก โตขึ้นจึงใฝ่ใจที่จะเป็นตุลาการกันทั้งหมด หนึ่งในจำนวนนั้นคือเจ้าพระยามหิธร
เจ้าพระยามหิธรหรือเด็กชายลออ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของพระยาเพ็ชรรัตน์ เกิดจากภรรยาคนที่ ๓ ชื่อท่านตาล บ้านเกิดอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลตึกแดง หลังวัดอนงคาราม ซึ่งเป็นบ้านมรดกตกทอดจากหลวงเดชนายเวรคุณปู่ของท่าน คุณป้าของเจ้าพระยามหิธรคือคุณหญิงจับ ภรรยาพระยามหาอำมาตย์ตั้งชื่อให้หลานชายว่า ลออ
ข้อมูลลุงกล้วยนำมาจากวิชาการ.คอมครับ
ยังมีต่ออีกห้าตอนนะครับ ลุงกล้วยจะนำเสนอติดต่อกันครับ
Create Date : 04 เมษายน 2550 |
Last Update : 4 เมษายน 2550 3:57:24 น. |
|
26 comments
|
Counter : 6012 Pageviews. |
|
|
|
โดย: MoneyPenny วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:4:40:13 น. |
|
|
|
โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:4:55:58 น. |
|
|
|
โดย: เป๋อน้อย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:8:18:32 น. |
|
|
|
โดย: ทูน่าค่ะ วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:9:16:47 น. |
|
|
|
โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:9:45:11 น. |
|
|
|
โดย: ดาว..กลางวัน (ดาว..กลางวัน ) วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:9:46:10 น. |
|
|
|
โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:10:38:01 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:11:14:59 น. |
|
|
|
โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:11:36:26 น. |
|
|
|
โดย: junna_j (junna_j ) วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:13:02:13 น. |
|
|
|
โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:14:20:17 น. |
|
|
|
โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:14:41:35 น. |
|
|
|
โดย: the Vicky วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:15:26:19 น. |
|
|
|
โดย: จิชฎา วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:15:41:21 น. |
|
|
|
โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:16:13:48 น. |
|
|
|
โดย: Htervo วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:16:18:32 น. |
|
|
|
โดย: จิชฎา วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:16:21:55 น. |
|
|
|
โดย: ราม-ไทย-จีน วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:16:43:46 น. |
|
|
|
โดย: แซนด์ซี วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:20:37:25 น. |
|
|
|
โดย: จังงัง IP: 58.64.93.11 วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:40:07 น. |
|
|
|
โดย: da IP: 124.120.5.122 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:6:15:13 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ลุงกล้วยสบายดีนะคะ ขอบคุณที่เอาความรู้ดี ๆ มาแบ่งปันกันค่ะ