"ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)"
Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
4 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
จาก "ลออ ไกรฤกษ์ " สู่เจ้าพระยามหิธร ตอนที่ ๑



เจ้าพระยามหิธร
เรียบเรียง ประวัติ ผลงาน และ บทบาท ของ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) เนติบัณฑิตหมายเลข ๑ แห่งประเทศไทย ผู้เป็นตัวอย่าง และแรงบันดาลใจให้คนไทยและเด็กไทยทุกคน

ผู้เขียน: เทาชมพู
อยู่ในส่วน: ประวัติศาสตร์

ลออ ไกรฤกษ์ " สู่เจ้าพระยามหิธร



เจ้าพระยามหิธรมีชื่อเดิมว่า " ลออ " เกิดในสกุล " ไกรฤกษ์ " ซึ่งมีลูกหลานสืบเชื้อสายกันมาจนถึงทุกวันนี้

สมัยโน้น ชื่อของคนไทยเป็นชื่อที่ไม่จำกัดเพศ ไม่เหมือนปัจจุบัน สมัยนี้ไม่มีนางสาวคนไหนชื่อ ทักษิณ หรือผู้ชายคนไหนชื่อนายดาวพระศุกร์ ผิดกับสมัยก่อน ไม่ว่าชื่ออะไรผู้ชายผู้หญิงก็ใช้เหมือนกันได้ เพราะถ้าเช่นนั้นผู้ชายชื่อเดือน ชื่อดาว หรือลออ ถือเป็นเรื่องปกติ ผู้หญิงชื่อแม่โชติ ก็ไม่ประหลาด

เด็กชายลออเกิดมาในตระกูลขุนนางไทย แบบเดียวกับตระกูลผู้ดีไทยอีกมากที่เริ่มต้นจากคนจีนแล้วกลืนเข้าเป็นคนไทยอย่างสนิท แทบไม่เหลือขนบธรรมเนียมการดำเนินชีวิตแบบจีน เหลือก็แต่ความทรงจำว่าบรรพบุรุษของตนมาจากแผ่นดินใหญ่

ต้นตระกูลไกรฤกษ์ที่เดินทางจากจีนมาตั้งถิ่นฐานในสยามสมัยปลายอยุธยา มีชื่อตัวว่าอะไรไม่ทราบ รู้แต่ว่าแซ่หลิม คำว่า”หลิม” เป็นสำเนียงจีนฮกเกี้ยน ท่านหลิมคงจะเข้ามาตัวคนเดียวและได้ภรรยาชาวอยุธยาแบบหนุ่มจีนโดยมาก ลูกชาย ๒ คนที่เกิดในอยุธยาจึงมีชื่อไทยว่า " เริก " และ " อิน" ท่านหลิมถึงแก่กรรมตอนไหนไม่ปรากฏ แต่ว่าลูกชายสองคนหนีรอดข้าศึกตอนเสียงกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองไปได้ จนถึงสมัยสถาปนากรุงธนบุรี นายเริกและนายอินก็ได้สมัครเข้ารับราชการกับพระเจ้าตากสินกันทั้งสองคน

เจ้าพระยามหิธรสืบเชื้อสายโดยตรงจากนายเริก บุตรชายคนโตของท่านหลิม ปรากฏในคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า พระเจ้าตากสินผู้เป็นเชื้อจีนเช่นกัน ทรงรับนายเริก เข้าเป็นขุนท่องสื่ออักษร เสมียนตรากรมท่าซ้าย มีหน้าที่เป็นล่ามจีนในคณะทูตไทยที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีที่ปักกิ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๔ การเดินทางเรือสมัยนั้นกว่าจะโต้คลื่นไปขึ้นทางใต้ของจีน และขึ้นบกระหกระเหิน เดินทางไปถึงกรุงปักกิ่ง กินเวลายาวนานขนาดไปปีนี้ กลับเอาปีหน้า ดังนั้นกว่าคณะทูตจะกลับมา ก็สิ้นสุดรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีไปแล้ว ขึ้นรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

การผลัดแผ่นดินใหม่ไม่ได้มีผลกระทบกระเทือนต่อขุนนางหนุ่มอย่างขุนท่องสื่อ เช่นเดียวกับขุนนางอื่นโดยมากที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจลาจลสมัยปลายกรุงธนบุรี เมื่อผลัดแผ่นดินขุนนางเหล่านี้ก็ทำงานไปตามปกติ แยกย้ายกันสังกัดวังหน้าบ้างวังหลวงบ้าง

ขุนท่องสื่อเริกก็ได้เข้ารับราชการสังกัดวังหน้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท แล้วเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับจนเป็นถึงเสนาบดีคลัง หนึ่งในจตุสดมภ์วังหน้า มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาไกรโกษา

บ้านเดิมของพระยาไกรโกษา อยู่ที่ตรอกพระยาไกรในสำเพ็ง ก่อนหน้านี้ ตอนปลายรัชสมัยธนบุรีท่านคงอยู่ในละแวกชุมชนคนจีน ฟากบางกอกตรงส่วนที่เป็นพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงย้ายเมืองหลวงข้ามแม่น้ำมาตั้งทางฝ่ายบางกอก ก็โปรดเกล้าฯให้ย้ายชุมชนคนจีนเดิมจากที่นั้นไปหาที่อยู่ใหม่จากคลองใต้วัดสามปลื้มจนถึงคลองเหนือวัดสำเพ็ง พระยาไกรโกษาจึงย้ายบ้านไปอยู่ที่สำเพ็ง จนถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่ ๒

พระยาไกรโกษา มีบุตรกับภรรยาเอกชื่อคุณหญิงจุ้ย ๓ คน มีบุตรกับภรรยาน้อยอีกหลายคน แต่ขอข้ามไปเพราะไม่ใช่สายเจ้าพระยามหิธร จึงขอพูดถึงเพียงคนเดียวคือบุตรชายคนเล็กของคุณหญิงจุ้ยชื่อนายสุด

นายสุดเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก ได้เป็นหัวหน้ามหาดเล็กตำแหน่งหลวงเดชนายเวร สมัยโน้นการเป็นมหาดเล็กไม่ใช่เป็นกันง่ายๆ ต้องคัดเลือกจากลูกผู้ดีมีตระกูล นอกจากนี้ต้องหน้าตาดีกิริยามารยาทเรียบร้อยรู้ธรรมเนียมประเพณีไทย และเป็นคนเฉลียวฉลาดฝึกงานได้คล่อง หัวไว เรียนรู้เร็ว เพราะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน ให้ทรงใช้สอย เป็นโอกาสให้ได้รับตำแหน่งสำคัญๆในอนาคตได้ง่าย

เมื่อมาถึงยุคนี้คงจะเห็นว่า เมื่อถึงชั่วคนที่สาม หลานปู่ของท่านหลิม ก็ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลของไทย อย่างสนิทแล้ว ไม่ได้มีใครเห็นว่าเป็นคนจีนอีก
เรื่องราวของหลวงเดช กล่าวไว้ในประวัติของตระกูลไกรฤกษ์เพียงสั้นๆว่าท่านมีบุตร ๔ คน หนึ่งในจำนวนนี้เป็นชายชื่อโมรา

นายโมราเกิดในรัชกาลที่ ๓ แต่กว่าจะโตเป็นหนุ่มอายุ ๑๗ เข้ารับราชการได้ก็ถึงรัชกาลที่ ๔ ตำแหน่งแรกของท่านคือประจำกรมตำรวจหลวงวังหน้า ตามบรรพบุรุษที่เป็นเสนาบดีวังหน้ามาก่อน แล้วเลื่อนขึ้นจนได้เป็นพระยาบริรักษ์ราชา เจ้ากรมพระตำรวจวังหน้า เมื่อออกจากราชการประจำแล้วจึงเปลี่ยนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเพ็ชรรัตน์

พระยาเพ็ชรรัตน์คือบิดาของเจ้าพระยามหิธร



ขอเริ่มประเด็นใหม่ คือระบบศาลยุติธรรมของไทย

สมัยโบราณนั้น ตั้งแต่อยุธยามาจนถึงปลายรัชกาลที่ ๕ หรือแม้แต่สมัยต้นรัชกาลที่ ๕ เอง ไทยก็ยังยึดถือระบบตุลาการแบบโบราณอยู่ ไม่มีกระทรวงยุติธรรมอย่างสมัยนี้ แม้แต่ศาลที่เป็นศาลล้วนๆ อย่างเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มี

สมัยโน้น ราชการฝ่ายบริหารและตุลาการไม่ได้แยกจากกัน เพราะถือว่าการชำระความโดยเฉพาะความอาญาเป็นเรื่องการใช้อำนาจปกครองเพื่อปราบปรามและลงโทษผู้กระทำผิด ดังนั้นกรมไหนๆก็มีหน้าที่ชำระความของตัวเองได้ ข้าราชการสังกัดกรมนั้นก็อาจได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ตุลาการชำระความในกรมของตัวเองได้เช่นกัน

หน้าที่ตุลาการสมัยโน้นคือสอบสวนซักถามพิจารณาหาข้อเท็จจริง ส่วนข้อกฎหมายเป็นหน้าที่ของลูกขุนและผู้ปรับก็คือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยจะรู้กัน รู้แล้วก็รู้สึกว่าตลก คือข้าราชการหรือขุนนางสมัยโน้น แม้ว่ามีหน้ามีตา แต่ไม่ค่อยจะมีสตางค์ เพราะระบบราชการไม่มีเงินเดือนให้ มีแต่เบี้ยหวัดซึ่งจ่ายปีละครั้งสองครั้ง บางทีก็ไม่จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นผ้าลายบ้าง ทองคำบ้าง แล้วแต่ท้องพระคลังจะมีให้มากน้อยแค่ไหน

สมัยรัชกาลที่ ๒ พบกันว่าท้องพระคลังหาเงินไม่ค่อยได้ ต้องติดเบี้ยหวัดขุนนาง ไปจ่ายเป็นผ้าลายแทนก็มี จนถึงรัชกาลที่ ๓ ทรงคิดระบบเจ้าภาษีขึ้นมาเป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้าสู่พระคลังหลวง จึงค่อยมีเงินทองขึ้นมามากหน่อย

ในเมื่อขุนนางไม่มีสตางค์ แต่มีลูกเมียบริวารต้องเลี้ยงกันมากมายในแต่ละบ้าน ก็มักจะไปร้องเรียนขอความเห็นใจจากเจ้ากรม เจ้ากรมก็หาทางหางานพิเศษให้ลูกน้อง โดยมอบความแพ่งหรืออาญา ให้ขุนนางผู้นั้นเอาไปเป็นตุลาการชำระความที่บ้าน เป็นรายได้พิเศษ เพราะการชำระความไม่ได้กินเวลาแค่ครั้งเดียวจบ แต่ว่าต้องสืบสวนสอบสวนทวนพยานกันนานเป็นปี คู่ความทั้งโจทก์และจำเลยตลอดจนพยาน ก็ต้องอพยพกันมาปลูกกระท่อม นอนค้างอ้างแรมในบริเวณบ้านตุลาการ ต้องหาข้าวปลาอาหารของใช้มาส่งเสียตัวเอง

และเพื่อจะเอาใจตุลาการให้ชำระความเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน ก็ต้องเผื่อแผ่ของกินของใช้ให้ตุลาการด้วย ตุลาการก็ค่อยคลายความฝืดเคืองลงได้ จนกว่าจะชำระความเสร็จซึ่งอาจจะกินเวลานานเป็นปี โจทก์จำเลยถึงจะหอบข้าวของ(ถ้ายังมีเหลือ) ออกจากบ้านตุลาการไปได้ ไม่ต้องพบกันอีก ส่วนฝ่ายไหนจะแพ้ความไปติดคุก ฝ่ายไหนชนะความได้กลับบ้าน ก็เป็นอีกเรื่องที่พ้นหน้าที่ตุลาการไปแล้ว

พระยาเพ็ชรรัตน์ในฐานะเจ้ากรม นอกจากจะแบ่งคดีให้ข้าราชการรองๆลงไปช่วยชำระความ ท่านก็ชำระความของท่านเป็นรายได้พิเศษประจำตัวเองด้วย พอเลี้ยงครอบครัวกันไปได้ไม่ลำบาก

อ่านมาถึงตอนนี้อาจจะมีคนเอะอะโวยวายด้วยความสงสัยว่า ระบบนี้เปิดช่องทางให้ลำเอียงกันได้ ฝ่ายไหนประเคนเงินทองข้าวของอาหารการกินให้มากกว่า ตุลาการก็ต้องลำเอียงเข้าข้างคนนั้นเป็นธรรมดา แล้วจะเอาความยุติธรรมมาจากไหน สุนทรภู่ก็เป็นคนหนึ่งที่โวยวายขึ้นมาแบบนี้ หาอ่านได้ในกาพย์พระไชยสุริยาตอนหนึ่ง ที่บรรยายเมืองสาวัตถี ว่า



สุภา ก็คือตุลาการ เป็นคำเหน็บแนมของสุนทรภู่โดยยกเมืองสาวัตถี ใน กาพย์พระไชยสุริยา เป็นแบบอย่างของความชั่วในเมือง ซึ่งในบรรดาความเลวทรามต่างๆนั้น มีการกินสินบาทคาดสินบนรวมเข้าไปด้วยอีกอย่างหนึ่ง

ในความเป็นจริง ระบบชำระความแบบนี้ ทำกันต่อมาจนกระทั่งมีการตั้งศาลในระบบสากลขึ้น ตอนปลายรัชกาลที่ ๕ ถ้ามีผู้ถามว่า โจทก์จำเลยที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจะหันไปฟ้องร้องกับใครได้ สำหรับข้อนี้ก็มีคำตอบให้เหมือนกัน
ข้อลำบากของตุลาการอยู่ที่ว่าเมื่อตัดสินความออกมาว่าใครผิดใครไม่ผิด โจทก์กับจำเลยยอมรับได้ก็หมดเรื่องไป แต่ถ้ายอมรับไม่ได้ เขาก็สามารถอุทธรณ์ได้

แต่การอุทธรณ์สมัยนั้นผิดกับสมัยนี้ สมัยนี้จะอุทธรณ์ว่าคำตัดสินนั้นไม่ถูกต้องตรงไหนและแย้งได้อย่างไรบ้าง แต่สมัยนั้น เวลาอุทธรณ์ เขาจะอุทธรณ์ว่าตุลาการตัดสินไม่ยุติธรรม เข้าข้างอีกฝ่ายหรือรับสินบน แล้วจึงยื่นคำร้องให้ตุลาการชั้นสูงขึ้นไปพิจารณา

พอถึงตอนนี้ ตุลาการชั้นต้นก็กลายมาเป็นจำเลย มีหน้าที่ต้องแก้คำอุทธรณ์โดยชี้แจงให้ได้ว่าตัวเองตัดสินไปนั้นเที่ยงธรรมดีแล้ว ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างใครหรือว่ารับสินบนใคร ไม่อย่างนั้นถ้าระดับบนเอาเรื่องตัวเองก็ลำบากเหมือนกัน

ทางออกของตุลาการชั้นต้น เผื่อเกิดเรื่องเจอโจทก์จำเลยหัวหมอต่อสู้ไม่ยอมแพ้ขึ้นมา แม้ว่าการตัดสินนั้นอาจจะถูกต้องแล้วก็ตาม ก็จะต้องไม่ประมาทในการรับมือ ก็คือทำความคุ้นเคยฝากเนื้อฝากตัว ทำตัวเป็นผู้น้อยที่ดีต่อตุลาการชั้นผู้ใหญ่เอาไว้เสียตั้งแต่แรก เพื่อจะได้เกิดความเมตตา หรือช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เวลาถูกโจทก์จำเลยเล่นงานเอา

พระยาเพ็ชรรัตน์เองก็ไม่ประมาทที่จะฝากเนื้อฝากตัวให้ผู้ใหญ่เหนือขึ้นไปกว่าให้เมตตาปรานี ท่านมีตุลาการชั้นสูงเป็นมิตรที่ดีอยู่หลายคน หนึ่งในจำนวนนั้นคือพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนศิริธัชสังกาศ(ต้นราชสกุล ศรีธวัช ณ อยุธยา)อธิบดีศาลฎีกา ซึ่งต่อมาก็ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งในชีวิตของเจ้าพระยามหิธร

ลูกชายของพระยาเพ็ชรรัตน์ ทั้ง ๓ คน ต่างคุ้นเคยกับการชำระความของบิดามาตั้งแต่เล็ก โตขึ้นจึงใฝ่ใจที่จะเป็นตุลาการกันทั้งหมด หนึ่งในจำนวนนั้นคือเจ้าพระยามหิธร

เจ้าพระยามหิธรหรือเด็กชายลออ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของพระยาเพ็ชรรัตน์ เกิดจากภรรยาคนที่ ๓ ชื่อท่านตาล บ้านเกิดอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลตึกแดง หลังวัดอนงคาราม ซึ่งเป็นบ้านมรดกตกทอดจากหลวงเดชนายเวรคุณปู่ของท่าน คุณป้าของเจ้าพระยามหิธรคือคุณหญิงจับ ภรรยาพระยามหาอำมาตย์ตั้งชื่อให้หลานชายว่า ลออ

ข้อมูลลุงกล้วยนำมาจากวิชาการ.คอมครับ

ยังมีต่ออีกห้าตอนนะครับ ลุงกล้วยจะนำเสนอติดต่อกันครับ










Create Date : 04 เมษายน 2550
Last Update : 4 เมษายน 2550 3:57:24 น. 26 comments
Counter : 6012 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะลุงกล้วย จริง ๆ ระบบตุลาการเก่าของไทยก็คล้าย ๆ อังกฤษนะคะ ไม่มีเงินเดือนให้ เพราะส่วนใหญ่คนที่จะไต่เต้ามาเป็นได้จะเป็นพวกผู้ดีมีสกุลมีเงินทองอยู่แล้ว จึงไม่มีเรื่องการทุจริต แต่ฝรั่งคงไม่มีลูกเมียข้าทาสบริวารเยอะเท่าคนไทยกระมังคะเลยไม่เดือดร้อนมาก คิดเล่น ๆ ขำ ๆ นะคะ

ลุงกล้วยสบายดีนะคะ ขอบคุณที่เอาความรู้ดี ๆ มาแบ่งปันกันค่ะ


โดย: MoneyPenny วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:4:40:13 น.  

 
สวัสดีครับMoneyPenny
บางครั้งเรื่องของความโลภ ไม่แยกคนรวยคนจนนะครับ อันนี้เราคุยกันเฉยๆนะครับ ไม่ได้พลาดพิงใครนะครับ ลุงกล้วยสบายดีครับ ขอบคุณมากครับ
อากาศร้อนๆระวังสุขภาพด้วยนะครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:4:55:58 น.  

 
ลุงกล้วย เพลงเพราะค่ะ

คิคิ หนิงสบายดีค่ะ ร่างกายอยู่ตัวแล้ว

หายเหนื่อย คิคิ

ลุงกล้วยสบายดีนะคะ


โดย: รวมการเฉพาะกิจ วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:6:12:29 น.  

 
เพิ่งมารู้จัก ต้นตระกูลไกรฤกษ์ ที่บ้านลุงกล้วยนี่แหละค่ะ

โหเก่าแก่มาก ๆ ก่อน กทม.สร้างอีกอ่ะ 225 ปี ยังรู้ที่มาของตัวเองเนอะ

อรุณสวัสดิ์ค่ะลุง


โดย: varissaporn327 วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:6:33:10 น.  

 
ขอบคุณข้อมูลของเจ้าพระยามหิธร เป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กไทย
นำดอกไม้มาฝากลุงกล้วย ขอบคุณที่แวะไปทักทายเสมอค่ะ




''Dicentra ดอกไม้รูปหัวใจ''



โดย: law of nature วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:6:34:08 น.  

 
สวัสดีค่ะลุงกล้วย อ่านแล้วเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กเปิดหนังสืออ่านประวัติไทยเราอีกครั้งค่ะ ดีมากๆเลยค่ะ เตือนความทรงจำของเราอีก เพลงไพเราะมากๆค่ะ มีความสุขมากๆนะค่ะลุง


โดย: Hawaii_Havaii วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:7:45:35 น.  

 
ชอบเสียงเปียโนเพลงนี้จัง โดยเฉพาะตอนขึ้นต้น (จากนางฟ้าของลุงรึเปล่าเอ่ย? )

ระบบเส้นสายและใต้โต๊ะของไทยนี่ หยั่งรากฝังลึกเน๊อะ น่าเศร้า


โดย: เป๋อน้อย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:8:18:32 น.  

 
แวะมาสวัสดีท่านลุงกล้วยค่ะ


โดย: ทูน่าค่ะ วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:9:16:47 น.  

 
font color=green size=2>เราก็ชอบเรียนรู้กฎหมายค่ะ
ทำให้เราฉลาดดีนะค่ะ

ทุกสมัยเหมือนกันหมดเลยนะค่ะต้องมีพรรคมีพวก
ถึงจะแข็งแกร่ง

น่าเศร้าจัง..ถ้าชีวิตเราอยู่โดดเดี่ยว

อย่าจริงจังดีกว่านะค่ะ ใจจะไร้สุข
ขอให้ลุงกล้วยมีแต่ความสุขนะค่ะ
เราห่างหายกันดีจังนะค่ะ
แต่ระลึกถึงความใจดีเสมอค่ะ






โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:9:17:44 น.  

 
สวัสดีครับคุณหนิง
เพลงน้ำเซาะทรายครับ ครับลุงกล้วยชอบมากครับ
ลุงกล้วยสบายดีครับ คุณหนิงก็ดูแลสุขภาพนะครับ


สวัสดีครับคุณvarissaporn327
ถ้าชอบยังมีอีกหลายตอนนะครับ ลุงกล้วยจะลงติดต่อกันจนจบนะครับ


สวัสดีครับคุณlaw of nature
ดอกไม้สวยมากครับ ขอบคุณครับ


สวัสดีครับคุณอ้อย
ครับลุงกล้วยก็ถือเป็นโอกาสทบทวนความทรงจำไปด้วยครับ เพลงนี้ลุงกล้วยชอบมากครับ ขอบคุณมากครับ ขอให้คุณอ้อยมีความสุขเช่นกันนะครับ


สวัสดีครับคุณเป๋อน้อย
ใช่ครับ ลุงกล้วยขอลิงค์มาจากนางฟ้าครับ ครับระบบนี้ก็ยังคงมีไปอีกนานแสนนานนะครับ


สวัสดีครับคุณทูน่า
ขอบคุณมากครับที่แวะมาทักทายลุงกล้วยครับ


สวัสดีครับคุณแคท
ต่อไปลุงกล้วยจะพยายามไม่ห่างหายนะครับ ลุงกล้วยก็ระลึกถึงอยู่เสมอเช่นกันครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:9:45:11 น.  

 
เพิ่งรู้ที่มาที่ไปของตระกูลนี้จากลุงกล้วยนี่แหละค่ะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ


โดย: ดาว..กลางวัน (ดาว..กลางวัน ) วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:9:46:10 น.  

 
สวัสดีครับคุณดาว
ครับผม ขอบคุณครับพรุ่งนี้นะครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:10:38:01 น.  

 


เจ้าค่ะลุงกล้วย
แล้วจะมาติดตามตอนต่อไปเด้อ
ขอบคุณที่นำสาระดีดีมาฝากเจ้าค่ะ
รักษาสุขภาพนะคะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:11:14:59 น.  

 
สวัสดีครับป้าอุ้ม
ขอบคุณครับ ป้าก็ด้วยนะครับ ดูแลสุขภาพเช่นกันนะครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:11:36:26 น.  

 
แวะมาคารวะ ญาติผู้ใหญ่ถึงไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ขอตามน้ำเรียก[ลุง]กล้วยด้วยแล้วกันนะค๊า..


โดย: junna_j (junna_j ) วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:13:02:13 น.  

 
แวะมาเยี่ยมลุงกล้วยครับ

ได้ความรู้ดีครับ แต่ว่าอ่านแล้วกลัวจะจำไม่ได้นะครับ อ่านเพื่อเป็นความรู้รอบตัวไว้ก่อนดีกว่า

อิอิ


โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:14:20:17 น.  

 
สวัสดีครับคุณjunna_j
ลุงกล้วยยินดีต้อนรับนะครับ


สวัสดีครับคุณอาคุงกล่อง
ครับเชิญนะครับ ลุงกล้วยก็ถือโอกาสทบทวนเหมือนกันครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:14:41:35 น.  

 
สวัสดีตอนเช้าของที่นี่ค่ะ
ลุงกล้วยเอาอาหารสมองมาแจกอีกแล้ว ขอบคุณมากค่ะ เลยได้รู้อะไรที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีก

ชอบเพลงจัง


โดย: the Vicky วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:15:26:19 น.  

 
แวะมาย้อนประวัติศาสตร์กับลุงกล้วยค่ะ...
ฎายังไม่มีเวลาอัพบล็อคเลยค่ะ..

ว่าแต่ลุงกล้วยตื่นเช้ามากน่ะค่ะ แวะไปที่บล็อคตอนตี 4 ฎายังหลับอุตุอยู่เลยค่ะ..

เพลงเพราะจัง "น้ำเซาะทราย" เย็นดีค่ะ



โดย: จิชฎา วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:15:41:21 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับคุณวิค
กรุงเทพฯกำลังระอุอ้าวเลยครับ ครับลุงกล้วยก็ชอบครับฟังแล้วคลายร้อนไปได้มากครับ


สวัสดีครับคุณฎา
ลุงกล้วยชอบทะเลชะอำครับคนไม่พลุกพล่านนะครับ แต่ลุงกล้วยจะไปนอนที่เขาตะเกียบนะครับ ระวังนะครับเช้าพรุ่งนี้ลุงกล้วยจะไปปลุกนะครับ..ฮิฮิ

ลาสองสาวเลยนะครับ ลุงกล้วยจะไปข้างนอกแล้วครับ ตีสามเจอกันครับ555+


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:16:13:48 น.  

 

ไกรฤกษ์นี่กระกูลดังเลยนะคะลุงกล้วย...วันนี้บุ๋มตื่นสายอีกแล้วอ่ะค่ะ

สุขสันต์วันพุธนะคะลุงกล้วย อย่าลืมทานข้าวเยอะๆด้วยนะคะ คิดถึงลุงกล้วยค่า.....


โดย: Htervo วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:16:18:32 น.  

 
ว่าแล้ว ฎาก็เปิดบล็อคลุงแอบไว้ แล้วนั่งทำงานจนเสร็จล่ะ ฟังเพลงเพลินจังค่ะ..ขอบคุณค่ะ..ลุง


โดย: จิชฎา วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:16:21:55 น.  

 
โอ้โห........น่าอ่านมากกก


โดย: ราม-ไทย-จีน วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:16:43:46 น.  

 

ลุงกล้วยพูดถูกค่ะ คนโลภไม่จำเป็นต้องเป็นคนจน คนรวยก็โลภหากไม่รู้จักคำว่าพอ
ภาพในกล่องคอมเม้นท์ชวนให้คิดถึงละคร รื่งสายโลหิตเลยค่ะ


โดย: แซนด์ซี วันที่: 4 เมษายน 2550 เวลา:20:37:25 น.  

 

วันนี้ search google ค้นหาข้อมูลนิดหน่อย
แล้วมาเจอที่เวปนี้ เป็นที่สนใจอย่างมากค่ะ

ขอบคุณ ลุงกล้วยที่เขียนสาระดี ๆ ให้ได้อ่าน
แล้วจะแวะมาอีก ค่ะ


โดย: จังงัง IP: 58.64.93.11 วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:40:07 น.  

 
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him


โดย: da IP: 124.120.5.122 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:6:15:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลุงกล้วย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




Friends' blogs
[Add ลุงกล้วย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.