All Blog
20 ไอเดียง่ายๆ ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรี


1. อย่าปล่อยให้ปริมาณอาหารกำหนดการกินของคุณ เพราะปริมาณอาหารไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายต้องการ ทุกมื้ออาหารควรทานให้อิ่มพอดีๆ อย่าให้ถึงกับรู้สึกอึดอัด และไม่ต้องเสียดายอาหารที่เหลือในจาน แต่ให้คิดเสียว่าอาหารที่เหลือต่อวัน คือแคลอรีที่คุณสามารถลดได้

2. หาน้ำดื่มทุกครั้งก่อนที่คุณจะหาขนมนมเนยเข้าปาก ถ้าทำได้ วิธีนี้จะช่วยคุณได้มากทีเดียว ทั้งลดความอ้วนและประหยัดค่าขนมไปในตัวด้วย

3. กฎเหล็กของการลดความอ้วนคือ การตัด ABC ออก A หมายถึง Alcohol (แอลกอฮอร์), B หมายถึง Bread (ขนมปัง) และ C carbohydrates (คาร์โบไฮเดรต)

4. ปล่อยให้ตู้เย็นโล่งสะอาดตา โดยหาเพียงสิ่งที่ทานแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือทานแล้วช่วยให้คุณดูสวยขึ้น เช่น หาผลไม้หรือน้ำผลไม้ประดับตู้เย็นแทนขนมเค๊ก นมพร่องไขมันเนย และน้ำแร่แช่แทนน้ำอัดลม และที่สำคัญ ควรหาภาพนางแบบหุ่นดีๆ ใส่เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนโค้งเว้า มาติดตู้เย็นแทนแม่เหล็กที่แถมจากร้านอาหาร

5. ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะอาหารเช้าสามารถช่วยให้คุณทาน อาหารมื้ออื่นๆ ได้น้อยลง

6. เคยมีผลวิจัยบอกว่า การได้ฟังดนตรีเพลงโปรด (ต้องเพลงช้าๆ นะ) นั้นเปรียบเสมือนได้รับประทานอาหารรสเยี่ยม ทีนี้เมื่อคุณเกิดอาการอยากอาหาร ให้ลองเปลี่ยนมาฟังเพลงเพราะแทน

7. เตือนความจำตัวเองด้วยการนำชุดตัวเก่งที่คุณใส่ได้เมื่อครั้งยังผอม แขวนในตู้เสื้อผ้าที่คุณสามารถเห็นได้ชัดทุกวัน เพื่อเตือนความจำให้คุณอยากกลับมาใส่ชุดนี้อีกครั้ง

8. เมื่ออยู่ห้องแอร์เย็นๆ ให้หาน้ำขิงหรือชาเขียวดื่มแทน กาแฟ กาแฟหนึ่งถ้วย เปรียบเสมือนทานข้าวไปสองจาน น่าตกใจไหมล่ะ

9. นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่และเต็มตา เพราะผู้หญิงเรา หากได้นอนหลับเพียงพอ ร่างกายจะสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้มากขึ้นจากปกติถึง 40% เชียวนะ

10. ก่อนเข้าซุปเปอร์มาเก็ตทุกครั้ง ควรจดรายการที่ต้องการ และซื้อตามรายการที่จด แทนการเลือกซื้อแบบตามใจฉันจะนึกออก ณ ตอนนั้น หากตั้งใจช้อปของไม่มาก แนะนำให้ถือตระกร้าแทนรถเข็น เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณได้ออกแรงแล้ว ยังช่วยไม่ให้คุณเลือกซื้อของเกินรายการที่ต้องการอีกด้วย

11. หลีกเลี่ยงการอยู่หรือทำงานในเวลากลางคืน เนื่องจาก แสงของยามค่ำคืนและการนอนดึกจะยิ่งทำให้คุณอยากทานของจุกจิก หรือหิวระหว่างคืนได้ แต่หากคุณต้องการดูหนังในเวลากลางก็สามารถทำได้ด้วยการเปิดไฟดวงน้อย เมื่อหนังจบก็สามารถดับไฟนอนได้เลย

12. เปลี่ยนขนมจุกจิกเป็นลูกอม เพราะลูกอมมีแคลอรีเพียง 20 แคลอรี และสามารถช่วยให้คุณหายหิวได้ถึง 20 นาที

13. เติมความสดชื่นด้วยชาเขียว เพราะชาเขียวสามารถทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น ควรหาชาเขียวมาดื่มร้อนๆ สักสามถ้วยต่อวัน

14. ทำเรื่องกินให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยไม่ทานอาหารในขณะที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือเล่นอินเทอร์เน็ต หากต้องการกิน ก็ควรนั่งกินบนโต๊ะอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

15. หาเวลาสัก 20 นาทีต่อวัน สำหรับการเดินเล่น ชมสวน หรือนั่งเล่นท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ วิธีนอกจากจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว ยังช่วยเผาผลาญแคลอรีต่อวันได้อีกด้วย

16. ฝึกที่จะใช้บันไดแทนลิฟ หากคุณทำงานหรือเรียนอยู่บนชั้นสูงๆ ให้ขึ้นลิฟไปถึงก่อนชั้นทำงานหรือชั้นเรียนอย่างน้อย 2 ชั้นที่เหลือให้ใช้บันไดแทน

17. ปลดปล่อยอารมณ์ให้สุดเหวี่ยงขณะขับรถ โดยการฟังเพลงแดนซ์เพลงโปรดของคุณ ร้องออกมาดังๆ แล้วขยับร่างกายตามจังหวะเพลง ไม่ต้องไปสนใจใครหรอก โดยเฉพาะหากรถยังแล่นอยู่

18. ยุ่งนัก หาเวลาออกกำลังไม่ได้ ให้หาถุงเท้าสบายๆ แล้วใส่อยู่บ้านแล้วโลดแล่นให้ทั่วพื้นบ้าน จินตนาการว่ากำลังเล่นสเก็ตอยู่ เพียง 10 นาทีก็ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีเชียวนะ

19. หาวีดีโอหรือวีซีดีออกกำลังกายสักหนึ่งชุด แล้วเปลี่ยนห้องของคุณให้กลายเป็นเฮ็ลท์คลับส่วนตัว เปิดแอร์ได้ไม่ว่ากันค่ะ

20. เปลี่ยนนิสัยขี้เกียจ แล้วเริ่มหัดทำงานบ้านเสียบ้าง เพราะทุกสิ่งที่คุณทำล้วนเปรียบเสมือนได้ออกกำลังกายและเผาผลาญแคลอรีในตัว

Other Link
ลดน้ำหนักกับ Longderse
บทความอื่นๆ



Create Date : 01 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2553 18:10:25 น.
Counter : 820 Pageviews.

0 comment
โ ค เ ล ส เ ต อ ร อ ล สู ง !


ปีหนึ่งๆ คนไทยตาย 7 คนต่อชั่วโมง* ด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดสูง คือหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจ - โรคที่กำลังเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทย

โคเลสเตอรอลคืออะไร?

โคเลสเตอรอล คือ สารไขมันคล้ายขี้ผึ้งที่ปรากฏอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกาย โคเลสเตอรอลบางชนิดจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายโดยทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบ ของผนังเซลล์ในร่างกาย และเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนบางชนิดที่จำเป็นของร่างกาย

ไขมันในเส้นเลือดมีกี่ชนิด?

มี 3 ชนิด คือ

1. แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL Cholesterol)

เปรียบเสมือน "ตัวผู้ร้าย" ถ้ามีปริมาณมากจะสะสมอยู่ในหลอดเลือดแดงเป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ยิ่งระดับแอล ดี แอล โคเลสเตอรอลสูงมากเท่าไหร่ อัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

2. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol)

เปรียบเสมือน "ตำรวจ" คอยจับผู้ร้าย เพราะเป็นตัวกำจัดแอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ออกจากหลอดเลือดแดง การมีระดับเอช ดี แอล โคเลสเตอรอลสูง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Heart Disease)

3. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride หรือ TRG)

เป็นไขมันอีกประเภทหนึ่งในกระแสเลือด เปรียบเสมือน "ผู้ช่วยผู้ร้าย" คนที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง พร้อมกับระดับเอช ดี แอล โคเลสเตอรอลต่ำ หรือ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอลสูง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ

โคเลสเตอรอลในร่างกายมาจากไหน?

1. จากตับของร่างกายเราสร้างขึ้น โดยทั่วไปตับจะทำหน้าที่สร้างโคเลสเตอรอลได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

2. จากอาหารที่รับประทานเข้าไป ถ้ารับประทานอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงเป็นนิสัย ก็อาจเกิดโทษต่อ สุขภาพได้จากโคเลสเตอรอลส่วนเกินที่สะสมอยู่ในร่างกายโดยเฉพาะในหลอดเลือด

อะไรทำให้โคเลสเตอรอลสูง?

1. พฤติกรรมการบริโภค
2. ขาดการออกกำลังกาย
3. กรรมพันธุ์
4. โรคเบาหวาน

โคเลสเตอรอลสูงทำให้เกิดโรคหัวใจได้อย่างไร?

ปรกติหลอดเลือดจะมีผิวเรียบลื่นสม่ำเสมอ แต่เมื่อมี แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล มาจับที่ผนังหลอดเลือดจนพอกหนา เรียกส่วนนี้ว่า พลัค (plaque) การก่อตัวของพลัคทำให้หลอดเลือดตีบลง ดังนั้นหัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อดันให้เลือดเคลื่อนที่ผ่านไปได้ พลัคสามารถขวางกั้นระบบไหลเวียนเลือดในเส้นเลือด และยังสามารถแตกตัวออกมาทำให้เกิดก้อนเลือดแข็งตัว และเมื่อมันเกิดขึ้นในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ หรือสมอง จะทำให้อวัยวะส่วนนั้นขาดเลือด เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด หรืออัมพาตจากสมองขาดเลือด

แค่ไหนถึงจัดว่าโคเลสเตอรอลสูง?

วิธีดูว่าใครมีโคเลสเตอรอลสูง ทางการแพทย์จะเทียบกับค่าระดับ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ที่พึงปรารถนา ซึ่งค่าดังกล่าวขึ้นกับว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือเป็นโรคเบาหวาน หรือไม่ ถ้ายังไม่เป็นโรคดังกล่าว ปัจจัยเสื่ยงที่ต้องคำนึงในการจัดระดับแอล ดี แอล โคเลสเตอรอลที่พึงปรารถนามีอยู่ 6 ประการ

1. อายุ : ชายเกิน 45 ปี, หญิงเกิน 55 ปี
2. มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ก่อนวัยอันควร(ชายก่อนอายุ 55 ปี, หญิงก่อนอายุ 65 ปี)
3. ความดันโลหิตสูง
4. โรคเบาหวาน
5. สูบบุหรี่
6. ค่าเอช ดี แอล โคเลสเตอรอล น้อยกว่า 40 มก./ดล.

โคเลสเตอรอลสูงรักษาหายขาด หรือไม่?
โคเลสเตอรอลสูงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ควบคุมได้ ระดับโคเลสเตอรอลจะค่อยๆ กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกหากหยุดการบำบัด

จะควบคุมระดับโคเลสเตอรอลสูงได้อย่างไร?

1. ควบคุมอาหาร

หลีกเลี่ยงอาหารพวกไข่แดง เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ส่วนที่ติดมันทุกชนิด สมองสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เช่น หอยนางรม ปลาหมึก
หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน อาหารทอด เจียว ควรใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันสัตว์ เช่น เนย หรือ น้ำมันหมู น้ำมันพืชที่สกัดจากเมล็ดพืชจะมีกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) ที่เป็นตัวนำ Cholesterol ไปเผาผลาญได้ดี
ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะพร้าว หรือ กะทิ
ควรดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมที่มีไขมันเต็มส่วน
พยายามเปลี่ยนแปลงการปรุงอาหารเป็น นึ่ง ต้ม ย่าง อบ แทนการทอด หรือผัด
พยายามลดน้ำหนักตัวในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน
ควรเพิ่มอาหารพวกผักใบต่างๆ และผลไม้บางชนิดที่มีกากใย เช่น ผักคะน้า ผักกาด ฝรั่ง ส้ม ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไขมันน้อยลง


2. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเพิ่มระดับเอช ดี แอล โคเลสเตอรอล ลดแอล ดี แอล โคเลสเตอรอล และ ไตรกลีเซอไรด์

ข้อแนะนำในการออกกำลังกายมีดังนี้

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ออกกำลังกายชนิดต่อเนื่อง ไม่วิ่งๆ หยุดๆ จะเป็นผลดีต่อหัวใจมากกว่า เช่น เต้นแอโรบิค, ว่ายน้ำ, ขี่จักรยาน ฯลฯ
ออกกำลังกายแต่ละครั้งให้นานพอ และหนักพอ แต่อย่าหักโหมเกินกำลัง


3. ใช้ยาช่วยลดระดับไขมันในเลือด

การควบคุมระดับโคเลสเตอรอลสูงอย่างปลอดภัย ควรจะอยู่ในความดูแลของแพทย์, กรณีที่การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ (ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ป่วยขาดวินัย หรืออาจปฏิบัติเคร่งครัดแล้ว ระดับโคเลสเตอรอลก็ยังคงสูง) ก็จำเป็นที่จะต้องพิจารณาการใช้ยาลดระดับไขมันในเลือดร่วมด้วย ทั้งนี้ ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์เป็นผู้สั่งการและติดตามรักษาต่อไป

จะป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างไร?

เพื่อหลีกเลี่ยงให้ห่างจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่สุด คุณควร

1. หยุดสูบบุหรี่
2. ควบคุมอาหารที่มีโคเลสเตอรอล (LDL-C) และไขมันอิ่มตัวสูง
3. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
5. วัดความดันโลหิต, ตรวจเลือดหาภาวะเบาหวาน
6. ตรวจระดับโคเลสเตอรอลทุกปี (อย่างน้อยปีละครั้ง)

Other Link
ลดน้ำหนักกับ Longderse
บทความอื่นๆ



Create Date : 01 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2553 8:23:11 น.
Counter : 816 Pageviews.

2 comment
ความอ้วน...กับยาเม็ดคุมกำเนิด


คุณสาว ๆ หลายท่านที่เห็นหัวข้อนี้คงรู้สึกสงสัยว่า มันเกี่ยวอะไรกันด้วย ในความเป็นจริงแล้ว ยาเม็ดคุมกำเนิดก็ยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน

"ยาเม็ดคุมกำเนิดทั่วไปมีส่วนผสมของฮอร์โมนอยู่ด้วย" คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน อยู่ในเม็ดเดียวกัน เอสโตรเจนยังมีส่วนเกี่ยวกับน้ำหนักตัวของผู้หญิงด้วยเนื่องจาก เอสโตรเจนทำให้มีการ สะสมของน้ำและไขมันใต้ชั้นผิวหนังมากขึ้น ดังนั้นคุณผู้หญิงที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีเอสโตรเจนสูง ๆ นอกจากที่จะต้องผจญกับอาการข้างเคียง พวกคลื่นไส้ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะแล้ว คุณสาว ๆ สังเกตุตัวเองบ้างไหมค่ะว่าน้ำหนักตัวค่อย ๆ ขยับขึ้นทุกครั้งที่ขึ้นไปเหยียบบนตราชั่งเลยทีเดียว

นอกจากนั้นเอสโตรเจนสูง ๆ นี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เป็นฝ้าได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งที่ต้องพูดถึงด้วยคือโปรเจสโตเจนที่มีอยู่ในยาเม็ดคุมกำเนิด โปรเจสโตเจนที่มีฤทธิ์ฮอร์โมนเพศชายจะเป็นตัวกระตุ้นให้คุณสาว ๆ มีความอยากอาหารมากขึ้น เมื่อรับประทานอาหารมากขึ้นก็หนีไม่พ้นน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาสมทบอีก และที่ร้ายกาจมากขึ้นกว่านี้คือ

การเพิ่มขึ้นของเจ้าโคเลสเตอรอลตัวร้ายที่ชื่อ แอลดีแอล โคเรสเตอรอล (LDL-Cholesterol) จากฤทธิ์ฮอร์โมนเพศชายที่มีอยู่นั่นหมายความว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดก็จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่คุณสาว ๆ อย่าสิ้นหวัง คิดว่ายาเม็ดคุมกำเน็ดเลงร้ายไปเสียหมด

วิวัฒนาการทางการแพทย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันทำให้ ยาเม็ดคุมกำเนิดรุ่นใหม่ ๆ "มีประสิทธิภาพการคุมกำเนิดดี อาการข้างเคียงน้อยเพราะประกอบด้วย "เอสโตรเจนต่ำ และ โปรเจสโตเจนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับฮอร์โมนธรรมชาติ เช่น ดีโซเจสเตรล มีฤทธิ์ฮอร์โมนเพศชายน้อนที่สุด นอกจากนี้อัตราส่วนของฮอร์โมนทั้งสองที่เหมาะสมในยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดนี้ ก็ไม่น้อยเกินไปจนคุมกำเนิดไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มากเกินไบจนเกิดผลข้างเคียงในร่างกาย" ดังนั้น ยาคุมกำเนิดรุ่นใหม่นี้จึงนับเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการ
คุมกำเนิดไปพร้อม ๆ กับการดูแลรูปร่างและน้ำหนักตัวพร้อม ๆ กัน ทั้งฉลาดทั้งสวย อยู่ในคน ๆเดียวกันได้
Other Link
ลดน้ำหนักกับ Longderse
บทความอื่นๆ



Create Date : 31 ตุลาคม 2553
Last Update : 31 ตุลาคม 2553 10:41:46 น.
Counter : 677 Pageviews.

2 comment
กินอย่างไร...ไม่อ้วนน!!!


การเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าหรือต้อนรับปีใหม่ของบางคนก็ผ่านไปแล้ว นอกจากการ กล่าวคำอวยพรที่ทำกันพอเป็นพิธีแล้ว การเลี้ยงสังสรรค์ก็ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักเลยทีเดียว ในยุคโลกไร้พรมแดน เรารับวัฒนธรรมต่างชาติมาโดยไม่รู้ตัว (หรือบางครั้งก็รู้ตัว) แล้วคิดว่าเป็นวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ เราเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่เลียนแบบต่างชาติ เรากินอาหารที่มีแป้งและไขมันมากเกินควมจำเป็น จึงพบว่า "โรคอ้วน" กำลังเป็นโรคติดอันดับในหมู่คนเมืองขณะนี้

ปัจจุบันอาหารที่นิยมบรรจุไว้ในเมนูอาหารสำหรับจัดเลี้ยง มักจะเป้นอาหารต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เช่น อาหารจีน อาหารฝรั่ง อาหารอิตาเลียน ซึ่งอาหารต่างประเทศส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแป้ง และไขมันเป็นหลัก

หากใครไม่ต้องการมีปัญหา "โรคอ้วน" ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้ง อาหารที่ต้องปรุงด้วยน้ำมันหรือเนย รวมทั้งอาหารที่มีกระทิ ควรกินอาหารต้ม อบหรือนึ่ง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากส่วนประกอบของอาหารและวิธีการปรุงอาหาร แล้วอาหารไทยจะได้เปรียบกว่าอาหารของชาติอื่นๆ เพราะอาหารไทยส่วนใหญ่มีไขมันน้อย (ยกเว้นอาหารจำพวก กะทิ) พืชผักที่ใช้ประกอบอาหารนอกจากจะช่วยแต่งกลิ่นและรสแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาด้วย เช่น ตะไคร้ ข่า ฯลฯ แต่ถ้าไม่มีอาหารให้เลือกมากนัก ก็ควรกินอาหารประเภทแป้งและไขมันให้น้อยที่สุด เลือกกินผักให้มากขึ้น โดยเฉพาะอาหารมื้อเย็น

เมื่อกินอาหารคาว แล้วหลายคนต้องกินของหวานเป็นการ "ล้างปาก" ซึ่งก็หนีไม่พ้นน้ำตาล ที่เป็นปัจจัยอีกตัวหนึ่งของโรคอ้วน ดังนั้น ผลไม้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะกินได้ไม่จำกัด แถมช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย แต่ควรระวังผลไม้ที่มีรสหวานจัดไว้สักหน่อย เช่น มะม่วงสุก ขนุน ทุเรียน ฯลฯ เพราะผลไม้ที่มีสหวานจัดก็จะมีน้ำตาลสูงขึ้นไปด้วย

ดังนั้น การรู้จักเลือกชนิดและจำกัดปริมาณของอาหารในแต่ละมื้อ จะทำให้เราอิ่มอร่อยได้อย่างไร้กังวลกับน้ำหนักส่วนเกิน หรือภาวะโรคอ้วนได้

Other Link
ลดน้ำหนักกับ Longderse
บทความอื่นๆ



Create Date : 28 ตุลาคม 2553
Last Update : 28 ตุลาคม 2553 20:08:33 น.
Counter : 614 Pageviews.

0 comment
ลดความอ้วน


ในสมัยก่อน ความอ้วนมิได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาด้านสุขภาพมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อดอยากยากแค้น การเลี้ยงลูกให้อ้วนอาจถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง

ในปัจจุบัน แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้แล้วว่า ความอ้วนเป็นภัยต่อสุขภาพแต่บางคนก็ห้าม ไม่ได้ที่ต้องปล่อยให้ตัวเองมีสภาพอ้วนจนขาดความสวยงาม

คนบางกลุ่มจึงนึกสนุกจัดประกวด ราชินีช้าง คล้ายกับเป็นการประชดชีวิตไปเสียเลย บางคนอยากได้ตำแหน่งมาก ถึงกับพยายามเพิ่มน้ำหนัก ด้วยการตั้งหน้าตั้งตากินกันขนาดใหญ่ ก่อนประกวดเพียงไม่กี่วัน ซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ในทางการแพทย์ถือว่าความอ้วนเป็นพยาธิสภาพอย่างหนึ่งและเรียกว่า โรคอ้วน (Obesity)

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วน

เป็นเพราะพลังงานที่บริโภคเข้าสู่ร่างกายมีปริมาณมากกว่าพลังงานที่ใช้ออกไป พลังงานส่วนเกินนั้นจึงสะสมในร่างกายเป็นไขมันตามส่วนต่างๆ ถ้าเงินไหลเข้าแบบนี้ ก็เรียกได้ว่าเงินล้นคลัง แต่นี่เป็นไขมัน ไม่ใช่เงิน จึงไม่ค่อยมีใครปรารถนา

กลไกการเกิดโรคอ้วน จึงขึ้นจากปัจจัย 2 อย่างคือ

1. กินอาหารมากเกินไป
2. ใช้พลังงานน้อยเกินไป

คนที่กินอาหารมากเกินไปโดยไม่สามารถยับยั้งความต้องการของตนเองได้นั้น ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ Sigmund Freud เชื่อว่าเป็นเพราะมีปมขัดแย้งในจิตใจที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วัยขวบแรกของชีวิต ซึ่งเป็นวัยที่มีความสุขอยู่ที่ปาก (Oral stage)

เด็กที่ได้รับความสุขมากเกินไปหรือมีความกระทบกระเทือนทางจิตใจในวัยนี้ทำให้พัฒนาการชะงักงัน หรือติดตรึงอยู่ในวัยนี้ บุคลิกภาพเมื่อโตขึ้นอาจมีความต้องการพึ่งพิงคนอื่นมาก และมีการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การติดสุรา ติดบุหรี่

อันที่จริงคนที่กินแล้วหยุดไม่ได้ ก็เป็นเสมือนเสพย์ติดอาหาร คนบางคนอาจมีพฤติกรรมการกิน ที่แตกต่างจากคนทั่วไป อย่างที่มีคำเรียกว่า "ยัด" หรือ "สวาปาม" พฤติกรรมแบบนี้ ย่อมทำให้เกิดโรคอ้วนได้แน่นอน

สารอาหารที่เลือกกิน มีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนได้

คนที่มีแนวโน้มจะอ้วนมักชอบกินอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ขนม เวลากินก๋วยเตี๋ยวก็ชอบใส่น้ำตาล ดื่มกาแฟก็ใส่ครีมใส่น้ำตาลมาก

อารมณ์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อพฤติกรรมการกินของคน บางคนเวลาเครียดหรือซึมเศร้า ก็กินอาการบ่อยขึ้นมากขึ้น บางคนชอบกินจุบกินจิบ เพราะเหงาปาก ไม่รู้จะทำอย่างไร

สารอาหารที่คนเรากินเข้าไป เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ส่วนหนึ่งจะต้องถูกนำมาใช้ ในการให้พลังงานแก่ร่างกาย การใช้พลังงานให้พอดีกับอาหารที่ได้รับ เป็นกลไกสำคัญ ที่ทำให้ไม่เกิดโรคอ้วนคนที่ใช้พลังงานน้อยจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อ้วน

การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ช่วยเผาผลาญพลังงานได้รวดเร็วที่สุด แต่ในชีวิตจริง คนเราอาจไม่มีโอกาสออกกำลังกายเป็นกิจลักษณะได้ทุกคน การใช้พลังงานในการทำงาน เป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันโรคอ้วน คนที่เป็นกรรมกรแบกหาม กับสามล้อ หรือเกษตรกรจึงไม่ค่อยเป็นโรคอ้วน

คนที่มีพฤติกรรมชอบความสะดวกสบาย ขี้เกียจแม้ในกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขึ้นลงตึกเพียง 1-2 ชั้น ก็ต้องใช้ลิฟต์ ระยะทางไม่กี่สิบเมตรก็ต้องขับรถไป พฤติกรรมแบบนี้ มีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคอื่นๆ อีกหลายอย่าง

การรักษาโรคอ้วน ต้องใช้หลักพลังงานใช้ไปมากกว่าพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกาย

ต้องเลือกสารอาหารที่กินให้เป็นพวกพลังงานต่ำ มีเส้นใยอาหารมาก โดยไม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินให้กินเป็นมื้อเป็นคราวที่เหมาะสม ไม่กินจุบกินจิบ ไม่ควรอดอาหาร เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการชดเชยและอยากอาหารมากขึ้น

พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ช่วยป้องกันและแก้ไขโรคอ้วนได้ คือ การลดการใช้เครื่องอำนวย ความสะดวกต่างๆ เช่น ลิฟต์ และรถยนต์ หันมาใช้การเดินหรือขี่จักรยานมากขึ้น ลดการใช้เครื่องซักผ้า และหันมาซักด้วยมือ

สิ่งหนึ่งที่มีคนสนใจมากคือ ยาลดความอ้วน หลายคนมีความเชื่อว่า มียาบางอย่างที่สามารถเนรมิต ให้ตนผอมลงได้เองโดยไม่ต้องปฏิบัติตัวอย่างใดเป็นพิเศษ คล้ายกับคนที่เชื่อว่ามียากินให้ฉลาด ยากินให้สวยให้หล่อ ยากินให้สมองดี ความจำแม่น หรือยาอายุวัฒนะ ความเชื่อเหล่านี้ ไม่น่าจะเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง

ยาที่มีผู้นำไปใช้ลดความอ้วนนั้นส่วนใหญ่เป็นยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้มีอาการตื่นตัว ไม่ง่วงนอน และมีผลข้างเคียงทำให้ความอยากอาหารลดลง

สรรพคุณของยากลุ่มนี้จึงเหมือนกับยาบ้า ที่นิยมใช้เป็นสารเสพติด ยาอาจทำให้น้ำหนักลดลง ได้ค่อนข้างเร็วแต่ผลแทรกซ้อนมีมากมายเช่น ทำให้นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ หากใช้เกินขนาดอาจถึงตายได้

ผลข้างเคียงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของยากลุ่มนี้ก็คือทำให้เกิดประสาทหลอน หลงผิดหรือเป็นโรคจิตได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตภายหลังจากไปกินยาลดความอ้วน พบได้บ่อยพอสมควร บางคนที่เคยป่วยอยู่ก่อน และอาการทุเลาแล้วพอไปใช้ยาพวกนี้ เลยทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก

ผลเสียจากการใช้ยาลดความอ้วนมีมากมาย จนไม่คุ้มที่จะหวังพึ่งฤทธิ์ของมันในการช่วยลด ความอยากอาหารและช่วยลดน้ำหนัก

การป้องกันและการรักษาโรคอ้วน จึงควรใช้วิธีปฏิบัติตัวในการควบคุมการกินอาหาร และเพิ่มการใช้พลังงานตามที่กล่าวตอนต้น น้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่ง หากไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพโดยด่วน คนที่เป็นโรคอ้วน ควรลดน้ำหนักลงอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่าได้พยายามลดฮวบฮาบเป็นอันขาด เพราะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

หุ่นดีกับ 4 วิธีง่าย ๆ

หากพยายามลดความอ้วนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ก็ควรทำใจยอมรับเสียเถิด คิดเสียว่า "อ้วนตายดีกว่าอดตาย" ก็แล้วกัน

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการมีหุ่นดี คุณไม่จำเป็นต้องไปเข้าคอร์สลดน้ำหนักตามศูนย์หรือคลินิกใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่คุณต้องมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้คิดว่าการควบคุมอาหารเป็นการใช้ชีวิตตามปกติของคุณ พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้

- พยายามไม่ทานอะไรอีกหลัง 14.00 น. หรืออย่างช้าที่สุด 18.00 น. นั่นคือถ้าคุณต้องทานอาหารเย็น จะต้องทานให้เสร็จก่อน 18.00 น.แล้วหลังจากนั้นห้ามทานอะไรอีก นอจากน้ำเปล่า

- อย่าระบายความโกรธหรือความหงุดหงิดของคุณไปกับของขบเคี้ยว เพราะจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

- ตั้งปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ทานช็อกโกแลตและไอศกรีมตลอดทั้งสัปดาห์ และพยายามทำให้ได้ อย่าเผลอเด็ดขาด เพราะขนมที่หวานและเย็นอย่างไอศกรีมจะทำให้ทานได้เยอะ

- สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทานเมื่อคุณหิวเท่านั้น ไม่ใช่ทานเพื่อตอบสนองความอยาก

Other Link
ลดน้ำหนักกับ Longderse
บทความอื่นๆ



Create Date : 28 ตุลาคม 2553
Last Update : 28 ตุลาคม 2553 11:15:03 น.
Counter : 739 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

ChaiKU
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



รับสมัครผู้สนใจหารายได้ทาง Internet
และให้คำปรึกษาผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก