Group Blog
 
All blogs
 

มือชา กลุ่มอาการกดทับเส้นประสาทฝ่ามือ

มือชา กลุ่มอาการกดทับเส้นประสาทฝ่ามือ

อาการของมือชา
การกดทับเส้นประสาทที่ฝ่ามือ จะทำให้มีอาการปวดมือและปวดร้าวขึ้นไปที่แขนมักจะมีอาการชาที่นิ้วมือ โดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลางและบางส่วนของนิ้วนางตามแนวของเส้นประสาท

อาการปวดจะมีมากขึ้นเมื่อมีการใช้งานในลักษณะการเกร็งอยู่นานๆ เช่น การจับมีด กรรไกร การทำงานช่างที่ใช้ค้อนหรือใช้เครื่องมือที่มีแรงสั่นสะเทือนตั้งแต่เครื่องเป่าผมจนถึงเครื่องกระแทกเจาะคอนกรีต มักจะมีอาการปวดในเวลากลางคืนหรือเวลาตื่นนอนตอนเช้าบางรายที่ถูกกดทับอยู่นานๆ จะเริ่มมีอาการอ่อนแรงของมือ เช่น จะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรงเวลากำมือ โดยเฉพาะการใช้มือหยิบของเล็กๆ จะทำได้ลำบากและมีกล้ามเนื้อลีบที่ฝ่ามือ

สาเหตุและพยาธิสภาพ
อาการปวดและชาเกิดเนื่องจากมีความดันสูงในช่องอุโมงค์ที่เส้นประสาทลอดผ่านที่บริเวณฝ่ามือ เนื่องจากมีการอักเสบและการหนาตัวของเนื้อเยื่อพังผืดที่คลุมช่องอุโมงค์นี้เกิดการกดทับเส้นประสาท ในรายที่เป็นอยู่มากๆ ก็จะเกิดเนื้อเยื่อพังผืดบางๆ รัดเส้นประสาทอีกชั้นหนึ่ง ทำให้การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล

การตรวจวินิจฉัย
จะมีอาการปวดแปลบๆ เวลาเคาะที่เส้นประสาทอาจพบมีกล้ามเนื้อลีบ ในบางรายอาจต้องใช้การตรวจระบบไฟฟ้าของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
ปัจจัยเสี่ยงและโรคที่เกี่ยวข้อง
 โรคเบาหวาน
 โรคข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เก๊าต์
 โรคต่อมไทรอยด์บกพร่อง
 ภาวะตั้งครรภ์
 ก้อนถุงน้ำหรือเนื้องอกในช่องอุโมงค์
 กระดูกหักบริเวณข้อมือ
 การใช้งานมือนานๆ
 ภาวะบวมน้ำจากโรคไต โรคตับ

การรักษา ให้หลีกเลี่ยงการใช้งานมือในลักษณะเกร็งนานๆ
 ควบคุมหรือรักษาโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวานให้ดี
 การใช้ยาลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ชนิดรับประทานมักจะได้ผลดี โดยอยู่ในดุลพินิจของแพทย์
 บางรายอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยดามข้อมือชั่วคราว
 การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าในช่องอุโมงค์จะช่วยอักเสบและบางรายจะหายได้

การผ่าตัด
เป็นการรักษาในรายที่มีอาการมากหรือกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรงหรือลีบลง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและการรักษาด้วยการผ่าตัดทำให้โรคหายขาดได้
การผ่าตัดจะเป็นการตัดและเลาะผังผืดที่รัดเส้นประสาท ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็กและผู้ป่วยสามารถใช้งานได้ภายใน 2 สัปดาห์ และจะใช้งานได้ตามปกติ ภายใน 4 - 6 สัปดาห์

ที่มา : ศูนย์กระดูกและข้อกรุงเทพ


** เป็นโรคนี้อยู่ เพิ่งไปหาหมอมา หมอบอกให้พยายามใช้มือให้น้อยลง
หรือไม่ใช้เลย สงสัยคงต้องรอ ตายซะก่อน..ฮ่า ๆ




 

Create Date : 02 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 20:20:24 น.
Counter : 399 Pageviews.  

รอยตะปูที่รั้วหลังบ้าน

เด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขาถุงหนึ่ง และ บอกกับเขาว่า “ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน” วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป

...อย่างน้อยที่สุด ก็คือการรู้จัก ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบ ซึ่งง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ และแล้วหลังจากที่สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบพ่อและบอกกับพ่อว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็น พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายว่า “ถ้าเป็น เช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ ฉุนเฉียวของตนเองได้ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว” วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว จาก 1 เป็น 2... จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกมา ...

เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า “ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ !!” พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอกกับลูกว่า “ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เห็นไหมว่ามันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็น ..

จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน ต่อให้พูดคำขอโทษสักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กับคนที่เรารัก ..คนที่เรารักและที่รักเรานั้นเปรียบเสมือนอัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม เป็นคนที่คอยให้กำลังใจและยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ คอยเป็นคนที่ปลอบใจเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ ...แสดงให้เขาเห็นว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน และระวังสิ่งที่เราทำไปไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจำไว้เสมอว่า คำขอ โทษไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตามแต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วคือ รอยร้าวที่เขาคงมันไม่อาจลืมได้........ตลอดไป




 

Create Date : 02 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 20:17:28 น.
Counter : 1237 Pageviews.  

คู่มือสั่ง “จิต” พิชิตโรคร้าย

ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์แขนงไหนๆ ต่างก็ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า “จิตใจ” คือส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมนุษย์มีจิตใจที่อ่อนแอ หรือจิตใจมีปัญหา ก็ย่อมสามารถนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ ขณะเดียวกันถ้าหากจิตใจเข้มแข็ง ก็ย่อมที่จะมีกำลังและแรงในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งเป็นพลังในการดำเนินชีวิตต่อไปได้

เรียกได้ว่า เป็นมหัศจรรย์แห่งโลกภายในเลยทีเดียว
บุญเลิศ สายสนิท ผู้เชี่ยวชาญการสั่งจิตบำบัด ทางการแพทย์และทันตกรรมนานาชาติ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ผู้คนเป็นจำนวนมากจะพูดเสมอว่า “รักตัวเอง” แต่จากการที่ได้สังเกตชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่ทุกวันนี้แล้ว โดยส่วนตัวอยากตั้งคำถามกลับไปอีกครั้งว่า “รักตัวเองจริงหรือ???” เพราะเท่าที่เห็น ก็ยังคงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังคงกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือเที่ยวกลางคืน โดยเข้าใจว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นการพักผ่อน ผ่อนคลาย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

“ผมเป็นคนสนใจในเรื่องสุขภาพกายและใจมานานแล้ว ทำให้เป็นคนดูแลตัวเองไปโดยปริยาย ผมได้ยินหลายๆ คนพูดว่ารักตัวเองแต่ที่จริงแล้วยังมีคนอีกไม่น้อยที่ยังเห็นเหล้าเป็นเครื่องผ่อนคลายความเครียด เห็นบุหรี่เป็นเรื่องของการพักผ่อน เห็นสถานที่เที่ยวกลางคืนเป็นของสนุก แต่นั่นแหละคือการทำให้ร่างกายเสื่อม เมื่อร่างกายเสื่อม ก็จะแก่ลงเร็ว คนสูบบุหรี่บางคนอายุจริงแต่สามสิบต้นๆ แต่อายุใบหน้านี่สี่สิบปลายๆ”

อ.บุญเลิศอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า จริงๆ แล้ว คนเราทุกคนสามารถเป็นคนรวยได้ และคนรวยจริงๆ ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินมากมาย แต่คนรวยคือคนที่มีสุขภาพดี เพราะคนรวยที่ป่วยก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนจน มีเงินแต่กินไม่ได้ มีเงินแต่เดินทางท่องเที่ยวไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนรวยได้ก็คือการที่เรามีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์พร้อม

และการที่จะมีสุขภาพกาย - ใจ ที่สมบูรณ์พร้อมนั้น ไม่ยากเลย หากเพียงแค่ใส่ใจในรายละเอียดของการใช้ชีวิต กินของดีมีประโยชน์ ออกกำลังกาย คิดดี ทำดี มองโลกในแง่ดี มีทัศนคติเชิงบวก

ส่วนในเรื่องของจิตใจนั้น อ.บุญเลิศแนะว่า จิตของคนเราเป็นแพทย์มือดีที่สุด หากเราสามารถสั่งจิตตัวเองได้แล้ว สุขภาพใจก็จะดี และส่งผลถึงสุขภาพกายอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราบอกตัวเองว่า ฉันแก่แล้ว ฉันต้องป่วย ฉันต้องเจ็บ ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย หรือฉันไม่สบาย ร่างกายก็จะเป็นไปตามที่จิตกำหนด ดังนั้น อย่าบอกตัวเองว่าชรา อย่าบอกตัวเองว่าไม่ไหว แนะนำให้ปรับการเดิน หากใครเป็นคนเดินช้า เดินไม่มีแรง ควรเดินอย่างทะมัดทะแมงกระฉับกระเฉง ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า

“ตอนนี้ผมอายุ 72 แล้ว แต่ผมยังเดินเหินเร็ว ยังดูไม่แก่ เพราะผมไม่เคยบอกว่าตัวเองแก่ ตื่นเช้ามาผมลุกจากที่นอน ก็จะไม่บอกตัวเองว่า ง่วง หรือเพลีย แต่จะลุกขึ้นออกกำลังกาย ทำธุระส่วนตัวอย่างสดชื่น เพียงเท่านี้ก็เป็นการสั่งจิตตัวเองแบบหนึ่ง"

นอกจากนี้ อ.บุญเลิศยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสั่งจิตบำบัดโรคด้วยการสะกดจิต ว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้กว่า 100 ปัญหา เช่นการติดบุหรี่ - เหล้า , ความประหม่าไม่มั่นใจตนเอง , อาการสมาธิสั้น , ขี้ลืม , เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ , หลั่งเร็ว , อวัยวะเพศไม่แข็งตัว , อาการผิดปกติทางเพศ ความเบี่ยงเบนทางเพศ หรืออาการติดอ่าง เป็นต้น

ขณะเดียวกันก็ได้เปิดเผยถึงโครงการที่กำลังศึกษาคือ การใช้จิตสั่งยีนเนื่องจากยีนเป็นตัวกำหนดรูปแบบชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดแต่แรกปฏิสนธิ คือการกำหนดเพศ กำหนดกรุ๊ปเลือด แล้วยังเป็นตัวกำหนดว่าร่างกายเราจะโทรมลงเมื่อไหร่ แก่ลงเมื่อใด ...

“ผมกำลังศึกษาเรื่องการสั่งจิตพัฒนายีนครับ เพราะนอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะทำให้คนแก่ลงก่อนวัยอันควร ยีนก็มีส่วนในเรื่องของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะศึกษาในเรื่องนี้” อ.บุญเลิศสรุป

โดย Uncle fat นสพ.ผู้จัดการ




 

Create Date : 02 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 20:16:32 น.
Counter : 700 Pageviews.  

4 วิธี ช่วยกระดูกให้แข็งแรง

ทำอย่างไรดี ไปตรวจความหนาแน่นของกระดูกแล้วพบว่า กระดูกบางลง”

โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่มีเนื้อกระดูกบางตัวลง เนื่องจากมีการสร้างกระดูกน้อยกว่าการทำลายกระดูก ทำให้เสี่ยงต่อภาวะกระดูกหัก หรือยุบตัวได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกข้อมือ พบมากในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสตรีที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป


เมื่อเป็นโรคกระดูกพรุนจะทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดหลัง กระดูกสันหลังยุบตัวลง หลังค่อม ตัวเตี้ยลง กระดูกแขนขาเปราะและหัก บางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง ทำให้พิการเดินไม่ได้ ดังนั้น เพื่อป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุน เรามีวิธีบำรุงรักษากระดูกให้แข็งแรงมาฝาก


1.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง และ รับประทานแคลเซียมเสริม

ผู้ใหญ่อายุน้อยกว่า 50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม อายุมากกว่า 50 ปี ต้องการ แคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม แหล่งที่มาของแคลเซียมได้จากอาหารหลายประเภท เช่น นม โยเกิร์ต ชีส ปลาตัวเล็กทอด กุ้งแห้ง กะปิ ผักคะน้า ใบยอ ดอกแค เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง และงาดำ


โดยทั่วไปการรับประทานอาหารไทยจะได้รับแคลเซียมประมาณ 400-500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่ร่างกายควรได้รับ จึงควรดื่มนมเสริม แต่หากไม่ได้รับแคลเซียมจากอาหารอย่างเพียงพอ แนะนำให้รับประทานแคลเซียมชนิดเม็ดซึ่งมีหลักการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมดังนี้


1. ดูตัวยาสำคัญที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ ว่ามีวิตามินอื่นผสมหรือไม่ เพราะหากผสมวิตามินซี หรือ วิตามินดีมากเกินไป อาจทำให้เกิดอันตราย


2.ดูว่าใน 1 เม็ด ให้อนุมูลแคลเซียมเท่าไร เพราะร่างกายต้องการแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 800 มิลลิกรัม


3.ดูว่าผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมอยู่ในรูปแบบใด เนื่องจากแคลเซียมละลายน้ำจะถูกดูดซึมได้ยาก ดังนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมแบบเม็ดฟู่ เพราะจะละลายและดูดซึมได้ดีกว่าแบบธรรมดา


4.ต้องดูว่าแคลเซียมในผลิตภัณฑ์เป็นเกลือแคลเซียมอะไร เนื่องจากเกลือแคลเซียมแต่ละชนิดจะดูดซึมต่างกันในสภาวะกรดในกระเพาะต่างๆ กัน เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต จะดูดซึมได้น้อยลงถ้าผู้ป่วยมีกรดในกระเพาะอาหารน้อย


อย่างไรก็ตาม การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อความปลอดภัย


2.ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (weight-bearing exercise) อย่างสม่ำเสมอ

ควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที โดยเฉพาะผู้สูงอายุและวัยหมดประจำเดือน เน้นการออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก เช่น เดินไกล วิ่งเหยาะๆ รำมวยจีน เต้นรำ เพื่อป้องกันการสูญเสียกระดูก การออกกำลังกายชนิดนี้ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังทำให้กล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้นด้วย


3.หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน


ได้แก่ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ลดเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เนื่องจากจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ลดลง ระวังการใช้ยาสเตียรอยด์ และยาลูกกลอน ซึ่งมีผลทำให้เกิดกระดูกพรุนมากขึ้นได้


4. ปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย

เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสม ส่งตรวจมวลกระดูกหรือความหนาแน่นของกระดูกในกรณีที่มีปัจจัยเสี่ยง และให้การรักษาเมื่อตรวจพบภาวะโรคกระดูกพรุน


สุดท้ายคงต้องบอกว่า การเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงสามารถทำได้ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนอายุ 30 ปี เป็นการป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุด และต้องไม่ลืมว่าการออกกำลังกายแต่พอเหมาะและรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ท่านมีสุขภาพดีไปอีกนาน


ที่มา: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ




 

Create Date : 02 เมษายน 2551    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2553 21:15:31 น.
Counter : 432 Pageviews.  

ไวรัสตับอักเสบ

เรื่องเบื้องต้นเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ

ตับ จัดเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกาย ตั้งอยู่ที่ชายโครงขวา หน้าที่ของตับที่สำคัญได้แก่ การเปลี่ยนแปลงพลังงานจากอาหารไปเป็นสารไกลโคเจน การสร้างโปรตีน คลอเลสเตอรอล ทำลายสารพิษต่างๆของร่างกาย กำจัดเชื้อโรค และสร้างสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว
การปราศจากตับ ก็ปราศจากชีวิต.... จึงไม่ได้เป็นคำกล่าวที่เกินเลยไป
ในขณะเดียวกันโรคที่ทำลายตับนั้นมีมากมายหลายชนิด เช่นการได้รับสารพิษ เช่นเหล้า ยา สารพิษอื่นๆ หรือการติดเชื้อต่างๆไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบ และเชื้ออื่นๆ ซึ่งการทำลายตับมีทั้งชนิดเฉียบพลันที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว และแบบเรื้อรังที่ก่อให้เกิดตับแข็งหรือบางครั้งบางคราวก็กลายเป็นมะเร็งตับ ... จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องตับอักเสบเพื่อจะได้ป้องกัน ซึ่งในเรื่องของเหล้านั้น แม้จะเป็นสาเหตุที่ถือได้ว่าสำคัญและก่อให้เกิดปัญหามากกว่า แต่เนื่องจากเหล้าเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับในสังคมไทยมากกว่าและ"เหมือนกับว่า"รู้ข้อมูลกันอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยมีคนอยากรู้เรื่องผลของเหล้าต่อตับมากนัก ในทางกลับกัน ไวรัสตับอักเสบ เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบมากกว่า เพราะในการสมัครงานหลายๆแห่งมีการกำหนดเรื่องตับอักเสบเอาไว้
เรื่องในครั้งนี้จึงกล่าวเฉพาะเรื่องของตับอักเสบ โดยวันนี้จะพูดถึงเพียงแต่ในเรื่องเบื้องต้นก่อนครับ

ไวรัสตับอักเสบคืออะไร เห็นมี เอ บี ซี
ไวรัสตับอักเสบ ที่เห็นกันว่า มีชื่อ A B C D E F ...... นั้น ที่จริงแล้วมันเองไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันในทางชนิดของเชื้อ ต่างเป็นไวรัสที่ต่างชนิดกันพอสมควร แต่มีความเกี่ยวเนื่องกันก็คือ ต่างเป็นเชื้อที่ชื่นชอบเซลล์ตับเป็นพิเศษ และก่อให้เกิดการอักเสบต่อเซลล์ตับได้

ไวรัสตับอักเสบ เอ
ไวรัสตับอักเสบ A เป็นไวรัสในกลุ่ม Picornaviridae เป็น RNA Virus ในอดีตเชื้อนี้จัดเป็นเชื้อที่ไม่ค่อยก่อปัญหาทางสาธารณสุข เนื่องจากคนส่วนใหญ่ติดเชื้อนี้ตั้งแต่เด็กๆ และเชื้อนี้มักไม่ก่อโรคที่รุนแรงในเด็ก ถึงติดเชื้อไปแล้วก็จะเข้าใจว่าป่วยธรรมดาทั่วไปและเมื่อโตขึ้นก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อโรค แต่ปัจจุบันสุขอนามัยที่ดีขึ้นจึงทำให้คนที่เป็นโรคนี้ตั้งแต่เด็กมีน้อยลง
ความสำคัญของโรคนี้จึงมากขึ้น เนื่องจากโรคตับอักเสบเอ เมื่อเป็นในผู้ใหญ่ จะก่อให้เกิดอาการที่รุนแรงได้ ซึ่งอาการก็คือมีไข้สูงเบื่ออาหารตัวเหลืองตาเหลือง หากเป็นมากๆ ก็มีโอกาสตับวายและเสียชีวิตได้ (การตายพบได้ประมาณ1ในพันถึง1ในหมื่น เกิดจากตับวาย)
ในส่วนของการติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบA เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Feco-oral หรือติดจากตูดสู่ปาก.... ซึ่งก็คือการติดต่อโดยทางการกินอาหาร เช่นผู้ประกอบอาหารที่ไม่รักษาความสะอาด การทำอาหารไม่สุก การไปกินอาหารกับคนที่มีเชื้อและไม่ใช้ช้อนกลาง
เมื่อเป็นแล้ว ส่วนใหญ่จะหายขาดและมีภูมิคุ้มกันต่อโรค
ส่วนการติดต่อทางเลือดหรือสารคัดหลั่งพบได้แต่ไม่บ่อย(เอาเป็นว่าอย่างไปนึกถึงดีกว่า)
สำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็น สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและรับวัคซีนได้ครับ (รู้สึกว่าจะต้องจ่ายเงินเองครับ)

ไวรัสตับอักเสบ บี
ไวรัสตับอักเสบ B เป็นไวรัสในกลุ่ม Hepadna virus ปัจจุบันเป็นเชื้อที่ก่อปัญหามากที่สุดในกลุ่มไวรัสตับอักเสบ เนื่องจากก่อให้เกิดโรคตับอักเสบแล้วหากเป็นอย่างเรื้อรังจะก่อให้เกิดตับแข็งตามมาและกลายเป็นมะเร็งตับได้ , และหากติดเชื้อตั้งแต่แรกคลอดจากมารดา ก็เสี่ยงที่จะเป็นตับแข็งและมะเร็งตับเสียชีวิตได้ตั้งแต่อายุไม่มาก
การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบ B เป็นการติดต่อทาง "เพศสัมพันธุ์"และ"ทางเลือด" การติดเชื้อในเด็กเล็กส่วนใหญ่เป็นการติดต่อทางเลือดจากการคลอดจากมารดาที่เป็นโรค , ส่วนในการติดเชื้อในวัยผู้ใหญ่ ส่วนมากแล้วเกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธุ์
ส่วนที่ถามกันมาก ก็คือการติดเชื้อจากการกินอาหารร่วมกันกับคนที่เป็นโรค ผมคงต้องตอบว่า "ตับอักเสบบีไม่ติดทางการกิน" ครับ
เมื่อเป็นแล้ว ส่วนหนึ่งจะหาย ส่วนหนึ่งจะเป็นพาหะ ส่วนหนึ่งจะเป็นเรื้อรังและกลายไปเป็นตับแข็งและมะเร็งตับตามลำดับ
ดูจากการติดต่อนั้น ผู้ที่ควรจะได้รับการตรวจและรับวัคซีนได้แก่ 1. ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับเลือด ได้แก่บุคลากรทางการแพทย์ 2. ผู้ที่เตรียมแต่งงาน

ไวรัสตับอักเสบ ซี
ไวรัสตับอักเสบ C เป็นไวรัสกลุ่ม Flavivirus จัดเป็น RNAไวรัส แม้จำนวนผู้ที่ป่วยจะยังมีไม่มากเท่ากับไวรัสตับอักเสบบี แต่ก็มีความน่ากลัวอยู่สองอย่างก็คือ ไม่มีวัคซีนป้องกัน และถ้าติดเชื้อแล้วมีโอกาสเป็นตับแข็งและมะเร็งตับสูงกว่าตับอักเสบบี
การติดต่อของเชื้อนี้ เป็นการติดต่อ "ทางเลือด" เป็นสำคัญ และรองลงมาก็คือทางเพศสัมพันธุ์

นอกจากเชื้อสามตัวนี้ ยังมีเชื้อไวรัสตับอักเสบอีกมากมายหลายชนิดแต่พบไม่บ่อยเท่าและไม่มีความสำคัญเท่ากับสามตัวนี้ จึงยังไม่ได้กล่าวไว้ในครั้งนี้ครับ
การรักษาก็เช่นกัน หากลงลึกลงไปในรายละเอียดก็คงจะมากเกินไปสำหรับวันนี้ ก็ไม่กล่าวถึง

วันนี้ผมกล่าวถึงเพียงข้อมูลสั้นๆแต่สำคัญของโรคกลุ่มนี้ อาจจะไม่ละเอียด แต่ได้แจกแจงสิ่งที่เอาไปใช้ประโยชน์ได้ไว้ให้ดูแล้ว.... จึงขอถือว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้ปลายเปิดสำหรับให้ทุกท่านที่อ่านในวันนี้ได้โพสข้อสงสัยของตนเองเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบไว้สำหรับบทความอันต่อไปครับ




 

Create Date : 02 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 20:14:14 น.
Counter : 347 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

npmail
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
.....ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, พระองค์นั้น

อะระหะโต
.....ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส

สัมมาสัมพุทธัสสะ
.....ตรัสรู่ชอบได้โดยพระองค์เอง

~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~

Blog นี้เอาไว้เก็บเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ เอาไว้อ่านเองค่ะ ไว้ว่าง ๆ ค่อยกลับมาอ่าน ส่วนใหญ่ก็ก็อป ๆ มากจากคนอื่นค่ะ ต้องขอขอบคุณ ณ ที่นี้นะคะ

ขอขอบคุณสมาชิกทุกท่าน ที่แบ่งปันของแต่งบล็อกสวย ๆ ให้มาแต่งบล็อกนี้

และขอขอบคุณทุกท่านที่ Vote ให้ด้วยนะคะ
โหลดเพลง นิยาย คลิปวีดีโอ การ์ตูน โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน ดูดวง โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคล 60 ปีราชาภิเษก และ 84 พรรษามหาราชา โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคล 60 ปีราชาภิเษก และ 84 พรรษามหาราชา โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคล 60 ปีราชาภิเษก และ 84 พรรษามหาราชา
Friends' blogs
[Add npmail's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.