● พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ● ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ● VIDEOTEXT
● ๐๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ● AUDIO TEXT ● ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ ● VIDEOTEXT
งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปีเครือข่ายกาญจนาภิเษก๖๐ ล้านความดีถวายในหลวง
เผยแพร่แนวทรงงานมูลนิธิ ๕ ธันวามหาราช

● เรา ในหลวง ● We The King ● หนังสือพิมพ์ “ข่าวโลก” ออนไลน์ ● The “World News” Newspaper Online. ● เกาะติดสถานการณ์ ประชาธิปไตยที่ถูกฆ่า ● HaWii CluB : www.hawiiclub.com ●

Zebu Zigouiller
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Zebu Zigouiller's blog to your web]
Links
 

 

ข่าวโลก/บลูแพลเนท 13-19 พฤศจิกายน 2548



ประจำสัปดาห์ที่ 13-19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น


ชี้ปัญหาวัยรุ่นไทยฆ่าตัวตาย
พ่อ-แม่เลี้ยงไม่ให้เผชิญผิดหวัง



วัฒนา เมืองสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(รมว.พม.)


"วัฒนา" ยอมรับ เด็กไทยเครียดมากขึ้น เผยนิสิตแพทย์จุฬาฯ ฆ่าตัวตาย อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เตรียมให้ พม.หามาตรการเฝ้าระวัง เสนอนายกฯ 30 พ.ย. ผอ.สถาบันรามจิตติชี้สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมตะวันตกทำให้จิตใจรุนแรง คิดชั่วแล่น ทำร้ายตัวเองมากขึ้น ทั้งระบบแข่งขันศึกษา การทำงานส่งผลให้เด็กเครียดไม่รู้ตัว ระบุพ่อแม่สมัยนี้ไม่เลี้ยงลูกให้เผชิญกับความผิดหวัง จี้รัฐแก้ปัญหาวิกฤตวัยรุ่นด่วน

กรณีเกิดเหตุสลด นายแวนก์ วีรธรรม อายุ 32 ปี หนุ่มนิสิตแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครียดจากเรื่องเรียน ตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากตึกอาคารคุ้มเกล้า ภายในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ถนนพหลโยธิน เขตสายไหม กทม. เสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นายวรัตม์ เรือนเพ็ชร์ อายุ 20 ปี นิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ชั้นปีที่ 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็กระโดดลงมาจากชั้น 4 อาคารมหิตลาธิเบศร ภายในจุฬาฯ เสียชีวิตเช่นเดียวกัน สาเหตุผิดหวังจากความรักเมื่อแฟนสาวบอกเลิก และล่าสุดผลวิจัยของคณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ได้สำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กไทย พบว่านักเรียน 1 ใน 10 เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายมาแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวถึงผลวิจัยที่คณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ได้สำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กไทยพบว่า นักเรียน 1 ใน 10 เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายมาแล้ว ว่าตอนนี้จากตัวเลขที่สำรวจออกมาแล้วชี้ได้ชัดว่าเด็กไทยมีความเครียดมากขึ้น ทำให้รู้ว่าเด็กกลุ่มไหนมีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งกระทรวงจะต้องหามาตรการมาเฝ้าระวัง และทำงานในเชิงรุกมากขึ้น โดยในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ นายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุมคณะทำงานด้านสังคมทั้งหมด ซึ่งตนจะนำผลการสำรวจเกี่ยวกับปัญหาเด็กและเยาวชนนำเสนอในที่ประชุม และคาดว่านายกรัฐมนตรีจะสามารถกำหนดมาตรการและแนวทางการทำงานด้านเด็กและเยาวชนได้ชัดเจนมากขึ้น

นายวัฒนากล่าวต่อว่า ในกรณีของนิสิตแพทย์จุฬาฯที่ฆ่าตัวตายนั้น ตรงนี้ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง โดยกระทรวงจะส่งจิตแพทย์และนักสังคมสงเคราะห์เข้าไปพูดคุยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ในส่วนของการป้องกันด้านสิ่งแวดล้อมภายนอกอย่างตัวตึกและอาคารเองก็อาจจะต้องปรับปรุงให้มีการสร้างระเบียงกั้นให้สูงขึ้น ก็จะช่วยป้องกันเหตุร้ายจากการกระโดดตึกฆ่าตัวตายได้อีกทางหนึ่ง

ด้านนายอมรวิทย์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวว่า เด็กวัยรุ่นปัจจุบันมีจิตใจรุนแรงและความคิดชั่วแล่นมากขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อม และวัฒธรรมตะวันตกที่มีส่วนช่วยทำให้วัยรุ่นใจร้อนมากขึ้น รวมทั้งระบบการแข่งขันทั้งเรื่องการศึกษาและการทำงานส่งผลให้เด็กเครียดโดยไม่รู้ตัว และการเลี้ยงดูบุตรสมัยนี้ของพ่อแม่ไม่เลี้ยงลูกให้เผชิญกับความผิดหวัง เมื่อเด็กพบกับความผิดหวังแล้ว ทำให้โอกาสทำร้ายตัวเองของเด็กมีสูงขึ้น ดังนั้น มาตรการที่รัฐควรจะทำอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของวัยรุ่นคือ ต้องเปิดพื้นที่และเวทีให้เด็กวัยรุ่นได้แสดงออกมากขึ้น วัยรุ่นจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เด็กจะทำร้ายตัวเองได้น้อยลง

วันเดียวกัน ผศ.สุขุม เฉลยทรัพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็น "สวนดุสิตโพล" เรื่อง "วัยรุ่นคิดอย่างไรกับการฆ่าตัวตาย" ว่า หลังจากที่มีกระแสข่าวที่มีการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น โดยเฉพาะการกระโดดตึกตาย การผูกคอตาย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทยที่จะต้องเร่งหาแนวทางในการแก้ไข ทางสวนดุสิตโพลได้สำรวจความเห็นของวัยุร่นที่มีอายุ 15-20 ปี ที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมลฑล จำนวน 1,278 คน ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2548 ผลสรุปว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่ 72.62% ไม่เคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย มีเพียง 16.74% เท่านั้นที่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย เนื่องจากเครียด มีปัญหาแก้ไม่ตก เบื่อชีวิต อีก 10.64% ไม่ระบุ

ส่วนเรื่องที่ทำให้วัยรุ่นคิดจะฆ่าตัวตายอันดับ 1 คือ ความรัก 31.77% รองลงมาคือ การเรียน การทำงาน 24.10% ครอบครัว ญาติพี่น้อง 16.98% เพื่อน 10.80% หนี้สิน 9.87% และจากสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคประจำตัว 6.57% สิ่งที่มีอิทธิพลที่จะยับยั้งไม่ให้วัยรุ่นฆ่าตัวตาย คือ แม่ 38.89% คนรัก แฟน 24.33% พ่อ 24.02% เพื่อน 10.11% สุดท้ายคือ ครู 2.65%

สำหรับการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายของสื่อมวลชนมีผลชี้นำต่อการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นหรือไม่ ส่วนใหญ่วัยรุ่นเห็นว่าไม่มีผล 70.11% ไม่แน่ใจ 23.08% และตอบว่ามีผล 6.81% เมื่อถามว่าสังคมจะช่วยเหลืออย่างไร ที่จะทำให้ไม่เกิดการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น ส่วนใหญ่ตอบว่าควรให้ความรัก ความเข้าใจแก่วัยรุ่น 37.17% ควรมีให้เวลา ให้ความสนใจแก่วัยรุ่นอย่างจริงจัง 29.11% อย่าตั้งความหวัง และคาดคั้น บีบคั้นต่อวัยรุ่นมากเกินไป 16.90% ผู้ใหญ่ต้องเป็นกำลังใจ เป็นแบบอย่าง เป็นที่ปรึกษาแก่วัยรุ่น 8.92% และสร้างความเข้าใจ หาวิธีการป้องกันและแก้ปัญหาให้วัยรุ่นอย่างจริงจัง 7.90%.

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548

"โจ หลุยส์" นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก วัฒนธรรมเชื่อมสองฟากโลก

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น


คลิกเพื่อดูภาพประกอบ
คลิกเพื่อดูภาพประกอบ


เหตุการณ์ภัยพิบัติแห่งปีที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ธรณีพิบัติภัย "สึนามิ" ยังอยู่ในความทรงจำทั้งของผู้ประสบภัยและเพื่อนร่วมโลกที่รับทราบเหตุการณ์อย่างยากจะลบเลือน แม้เวลาผ่านคล้อยไปเกือบปีแล้วก็ตาม

นอกจากประเทศไทย คนไทยที่ต้องพบกับความสูญเสียทั้งชีวิตผู้คนและทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลแล้ว ชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ก็พบกับความสูญเสียไม่แพ้กัน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศนอร์ดิก อันประกอบด้วย สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ และฟินแลนด์

แม้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นก่อความทุกข์โศกประดุจภูเขาหลวง แต่มิตรประเทศเหล่านี้ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือประเทศไทยทั้งด้านมนุษยธรรม การบรรเทาทุกข์ และความร่วมมือด้านวิชาการ เทคนิค วิทยาการ เช่น ด้านนิติวิทยาศาสตร์ ในการจัดการเก็บ ค้นหาศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

นายกรัฐมนตรีกลุ่มประเทศนอร์ดิก ต่างเดินทางมาประเทศไทยร่วมหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหาทางช่วยเหลือผู้ประสบภัย และยังเดินทางลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย 6 จังหวัดภาคใต้ พร้อมทั้งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

รัฐบาลไทยเองได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวชาวเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์ ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และขอบคุณสำหรับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

หลังเหตุการณ์ร้ายที่ค่อยๆ คลี่คลายกลับคืนสู่ภาวะปกติ รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดทำโครงการเพื่อเป็นการขอบคุณมิตรประเทศทั้งสี่ พร้อมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในกลุ่มประเทศนอร์ดิกที่มีต่อประเทศไทย และส่งเสริมความร่วมมือด้านวัฒนธรรมในระดับประชาชนต่อประชาชน ภายใต้ชื่อ โครงการแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทยในกลุ่มประเทศนอร์ดิก

ด้วยเพราะเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมนั้น สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมหลังจากต้องเผชิญกับความสูญเสีย และแสดงให้เห็นถึงมิตรจิตมิตรใจของฝ่ายไทยได้เป็นอย่างดี

"นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก คณะโจ หลุยส์" ได้รับเลือกให้เดินทางไปเป็นตัวแทนในการถ่ายทอดความสัมพันธ์และความรู้สึกขอบคุณของชาวไทยที่มีต่อชาวนอร์ดิก โดยการประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตไทยที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่โคเปนเฮเกน ออสโล สตอกโฮล์ม และเฮลซิงกิ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในท้องถิ่นประเทศนั้นๆ เป็นเจ้าภาพร่วมด้วย

การแสดงแห่งแรกเริ่มขึ้นที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในหอประชุมของศูนย์วัฒนธรรมที่เมือง Lyngby Kulturhus นายกเทศมนตรีของเมืองนี้ให้ความร่วมมือเต็มที่ด้วยการมาช่วยจัดเตรียมเวทีการแสดงด้วยตัวเอง รวมทั้งคนไทยในเดนมาร์กที่ยกโขยงมาช่วยกันคนละไม้ละมือ ทำเอาบรรยากาศคึกคักจนใครต่อใครที่เดินผ่านสถานที่แห่งนี้ต้องเข้ามาสอบถามและถือโอกาสเข้ามาร่วมงานโดยปริยาย

เมื่อโรงละครเปิดม่าน เสียงสดใสของโฆษกสาวร่างอรชร มิกิ มิตซุย กล่าวอธิบายถึงความเป็นมาของหุ่นละครเล็กคณะโจ หลุยส์ ที่เรียกกันว่า "นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก" น้ำเสียงอันชวนฟังของเธอสะกดคนดูเงียบงันไปทั้งหอประชุม

มิกิ อธิบายว่า บทละครที่นำมาแสดงเป็นตอนหนึ่งของเรื่อง "รามเกียรติ์" คือ ตอน "ทศกัณฐ์เกี้ยวนางสีดา" และ "หนุมานจับนางเบญกาย"

และก่อนจะเข้าสู่ชั่วโมงแห่งความสนุกสนาน จำเป็นต้องรู้ความหมายท่าแสดงของหุ่น หรือเรียกให้เข้าใจว่า "ภาษาท่าทาง" ของหุ่น นั่นเอง เพื่อให้คนดูเข้าใจการแสดงมากขึ้น

จึงเป็นการแสดงการสาธิตอากัปกิริยาของตัวละครจากหนุ่มๆ แห่งโจ หลุยส์ อัยเรศ ยังเขียวสด กมลชัย ประจัน เชิดตัวเอกคือ ลิง หรือ หนุมาน ที่ฝรั่งรู้จักในนาม "ไวท์ มังกี้" แค่การสาธิตเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะดังลั่นเป็นระยะๆ

บทละครที่นำไปเปิดการแสดงครั้งนี้หนุมานเป็นตัวเอก จึงสาธิตเฉพาะกิริยาความรู้สึกของหนุมาน

ส่วนตัวละคร "ทศกัณฐ์" กับ "นางเบญกาย" ไม่มีการสาธิต

ยิ่งเมื่อเข้าสู่เนื้อเรื่อง ทั้งคนเชิดหุ่นและหุ่น เล่นประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ประหนึ่งว่าหุ่นคือคน-คนก็คือหุ่น

หุ่นละครเล็กคณะโจ หลุยส์ คัดเอาตอน "ทศกัณฐ์เกี้ยวนางสีดา" และ "หนุมานจับนางเบญกาย" มาแสดง เพราะเนื้อเรื่องทั้งสองตอนนี้เหมาะในการใช้แสดงเป็นละครอย่างยิ่ง ตัวละครน้อย และบทเจรจากำลังพอเหมาะพอดี

เนื้อเรื่องเหมือนในวรรณคดี "รามเกียรติ์" มีดัดแปลงบทบ้างเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เช่น ตอนหนุมานไล่จับนางเบญกาย หลานสาวทศกัณฐ์จะหลบหนีเข้าไปในกลุ่มคนดู ปะปนและเล่นกับคนดู เปิดโอกาสให้คนดูได้เล่นกับหุ่นอย่างใกล้ชิด

หรือทีเด็ดที่ดัดแปลงบทให้หนุมานทะเลาะกันคนเชิดหุ่น จนคนเชิดไม่ยอมเชิด ทำให้หนุมานต้องไปขอร้องคนดูที่นั่งอยู่บนแสตนด์ให้มาช่วยเชิดแทน ซึ่งเล่นเอาฝรั่งทั้งหลายขำกลิ้ง เมื่อเห็นเพื่อนตัวโตขึ้นไปย่งโย่ย่งหยก กระโดดยกขาเดียวเชิดหุ่นหนุมานบนเวที

เป็นธรรมดาว่าเมื่อจบการแสดง เสียงปรบมือจึงดังลั่น พร้อมกับคำกล่าว "It's very nice Show." (อิท'ส เวรี่ ไนซ์ โชว์)

ไม่เฉพาะที่โคเปนเฮเกนเท่านั้น ที่เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือล้นหลาม ที่โกเธนเบอร์ก สตอกโฮล์ม หรือแม้แต่ที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ก็ไม่แตกต่างกัน

ที่กรุงออสโลนั้นต้องเพิ่มรอบให้เด็กโรงเรียนอนุบาลนานาชาติด้วย เพราะหุ่นละครเล็กที่ไทยนำไปแสดงนั้นถือเป็นของแปลกใหม่ที่ประเทศเขาไม่เคยมี

ฝรั่งจะมีแต่หุ่นกระบอกตัวเล็ก ใช้ด้ายพันนิ้วแล้วชักไปมา ไม่มีหุ่นละครเล็กที่ดูราวกับมีชีวิตจริง การนำหุ่นละครเล็กโจ หลุยส์ ไปทำหน้าที่สะพานเชื่อมความสัมพันธ์ จึงเป็นของแปลกใหม่และต่างชื่นชมกับศิลปะที่เขาถือว่าเป็นสุดยอดของการแสดงหุ่น

"หุ่นละครเล็กโจ หลุยส์" จึงเป็นเสมือนตัวแทนความรักความผูกพันของคนสองฟากโลก

โครงการนี้ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการแสดงเพื่อขอบคุณชาวนอร์ดิกเท่านั้น แต่ยังจะได้รับการขยายออกไปเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เห็นว่าเราเป็นอารยประเทศที่มีศิลปวัฒนธรรมไม่แพ้เขาเหล่านั้น

เพราะแท้จริงแล้ว ศิลปวัฒนธรรมไม่มีชนชั้น ไม่ว่าชาติใด-ภาษาใด ล้วนเข้าใจกันได้ไม่ยาก


สกุณา ประยูรศุข

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548

บทสนทนาก่อนวันลอยกระทง
คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์


กาลครั้งหนึ่งยังมีคนอยู่สี่คนนั่งคุยกันอยู่ สามคนเป็นผู้ชาย คนแรกชื่อคนแบกโลก คนที่สองชื่อคนขวางโลก และคนที่สามชื่อคนจ้องโลก ส่วนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเป็นสาวสวยชื่อคนกอดโลก

ทั้งสี่คนเป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนจะเป็นเพื่อนสนิทแบบในหนังเรื่องเพื่อนสนิทหรือเปล่า ผมก็มิอาจเดาได้

ลองฟังเขาคุยกันดูครับ เขาคุยกันเรื่องลอยกระทงครับ

คนกอดโลก - "ปีนี้จะไปลอยกระทงที่ไหนกันน่ะ"

คนขวางโลก - "ลอยที่ไหนก็ไม่ต่าง เพราะมันก็แค่เอากระทงลอยลงไปในน้ำ ที่ไหนมีน้ำที่นั่นก็ลอยได้"

คนแบกโลก - "ไม่ว่าจะลอยที่ไหน มันก็คือการทิ้งลงไปนั่นเอง"

คนจ้องโลก - "ตอนที่ลอยนั้นเราควรจะคิดอะไรด้วย เพราะมันมีตำนานอยู่"

คนกอดโลก - "คิดอะไรหรือ"

คนจ้องโลก - "มันมีหลายตำนาน จะเอาตำนานไหน"

คนกอดโลก - "ลอยกระทงนี่มีแต่บ้านเราหรือเปล่า มันเกี่ยวกับศาสนาหรือเปล่า"

คนขวางโลก - "ศาสนาพุทธสอนให้ปล่อยวาง ไม่เคยสอนให้ยึดติดพิธีกรรม"

คนจ้องโลก - "พม่าก็ลอย ลาวก็ลอย จีนก็ลอยนะ แต่รายละเอียดไม่เหมือนกัน ความเชื่อก็ไม่เหมือนกัน"

คนกอดโลก - "อยากรู้ เล่าหน่อยเถอะ"

คนขวางโลก - "จะรู้ไปทำไม รู้แล้วทำให้ลอยสนุกขึ้นหรือ"

คนจ้องโลก - "ถ้าเอาตำนานทางพุทธ เขาก็ว่าเป็นการลอยเพื่อไปบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นการบูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา"

คนขวางโลก - "แล้วมันจะลอยถึงได้อย่างไร บางคนลอยในสระน้ำ ลอยในคลอง เอ้า...ต่อให้ลอยในแม่น้ำด้วย แม่น้ำที่ไหนไหลทวนไปอินเดียได้"

คนกอดโลก - "แต่บางคนเขาก็ลอยเพื่อขอขมาและขอบคุณแม่น้ำที่ให้เราใช้มาตลอดนะ"

คนแบกโลก - "ขอขมาประสาอะไร ทำร้ายมากกว่า ทิ้งขยะเต็มแม่น้ำภายในวันเดียวเยอะกว่าทิ้งทั้งปีอีก"

คนจ้องโลก - "ประเทศที่มีการลอยกระทงนี่ล้วนทำกสิกรรมทั้งนั้น เห็นไหม เราบูชาอะไรบ้าง แม่คงคา พระพิรุณ น้ำทั้งนั้น เพราะเราต้องพึ่งน้ำเป็นอย่างมาก"

คนขวางโลก - "ประเทศอุตสาหกรรมก็ต้องพึ่งน้ำ มีใครไม่พึ่งน้ำบ้าง ไม่เห็นเขาต้องมาไหว้ มาบูชาอะไรเลย"

คนแบกโลก - "ลอยเอาแค่สนุกมั้ง จะมีสักกี่คนที่ลอยเพื่อขอขมา หรือรำลึกถึงบุญคุณแม่น้ำ ไหนจะเรื่องจุดพลุดอกไม้ไฟอีก อันตรายทั้งนั้น"

คนจ้องโลก - "มันก็ต้องมีอุบายบ้าง ถ้าไม่สนุกมันจะสืบสานต่อไปได้หรือ"

คนกอดโลก - "อย่างน้อยก็สอนให้คนรุ่นหลังรู้ว่าเรามีประเพณีขอขมาธรรมชาติที่เราได้ล่วงเกินมาตลอดทั้งปี สอนไปทีละนิดมันก็คิดขึ้นได้เองล่ะน่า"

คนแบกโลก - "สอนให้ทำลายธรรมชาติสิไม่ว่า"

คนจ้องโลก - "ตำนานล้านนาเล่าว่า เกิดอหิวาต์ระบาดที่อาณาจักรหริภุญไชย ทำให้คนต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดี บางคนก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่น พออหิวาต์สงบลงแล้ว บางส่วนจึงอพยพกลับ และเมื่อถึงวันครบรอบที่ได้อพยพไปก็เกิดการคิดถึง เลยจัดของกินของใช้ใส่กระทงลอยน้ำไป หวังจะให้ถึงหงสาวดี"

คนขวางโลก - "บ้าแล้ว มันคงลอยถึงหรอก"

คนกอดโลก - "แค่ลอยก็สบายใจแล้วนี่ เหมือนทำบุญทำทานไง จะถึงผู้รับแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง"

คนขวางโลก - "คนแบบนี้แหละ ที่เขาเรียกว่าเหยื่อ"

คนแบกโลก - "สองปีที่แล้ว กทม.นับกระทงที่มีผู้คนมาลอยได้ 1,075,792 ใบ เป็นกระทงที่ทำจากโฟม 30.52 เปอร์เซ็นต์ โฟมใครๆ ก็รู้ว่าสลายยากแค่ไหน เผาไปทีก็ทำลายชั้นบรรยากาศที รู้จักปฏิกิริยาเรือนกระจกใช่ไหม โลกมันร้อนน้ำท่วมพายุกระหน่ำก็จากสาเหตุพวกนี้แหละ"

คนจ้องโลก - "นี่ก็เหยื่ออีกรายมั้ง เชื่อ กทม.หรือว่าเขาจะนับกระทง ใครจะนับไหว เป็นล้านกระทงอย่างนั้น"

คนขวางโลก - "เขาก็มีวิธี วิชาสถิติก็ทำได้ นับโดยการสุ่มตัวอย่างก็ได้"

คนกอดโลก - "นับได้ขนาดนี้แสดงว่าก็คงเก็บไปรีไซเคิลได้"

คนแบกโลก - "ทุกปีจะเก็บได้ไม่หมด เหลือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ บรรลัยแล้วเห็นไหม"

คนจ้องโลก - "ตามตำนานพราหมณ์เล่าว่า พิธีลอยประทีปนี่แต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม"

คนกอดโลก - "ถ้าเราจะช่วยกันคิดใหม่ว่าให้ใช้กระทงร่วมกันเป็นกลุ่มน่าจะดีนะ ครอบครัวละกระทง แฟนกันก็กระทงหนึ่ง เพื่อนกันก็กระทงหนึ่ง จะได้ลดจำนวนลงบ้าง"

คนขวางโลก - "หลวงเขาก็รณรงค์อยู่ไม่เห็นหรือ แล้วได้ผลตรงไหน คนไทยชวนทำอะไรดีๆ ยาก"

คนจ้องโลก - "ตำนานจีนเล่าว่า สมัยก่อนทางตอนเหนือเมื่อถึงหน้าน้ำ น้ำจะท่วมเสมอ บางปีน้ำท่วมจนชาวบ้านตายนับเป็นพันเป็นหมื่น และหาศพไม่ได้ก็มี จึงจัดกระทงใส่อาหารลอยน้ำไป เพื่อเซ่นไหว้ผีเป็นงานประจำปี"

คนขวางโลก - "แล้วทำไมไม่ลอยกลางวัน อยากรู้มานานแล้ว ไม่ว่าจะตำนานไหน ทำไมไม่ลอยกลางวัน สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าด้วย ลอยกลางคืนน่าจะมืดจนน่ากลัว"

คนกอดโลก - "ไม่น่ากลัวหรอก จุดเทียน มีแสงวอมแวม ดูสวย ขลังดีออก"

คนจ้องโลก - "แล้วผีที่ไหนโผล่มาตอนกลางวัน คนจีนเขาก็ว่าจุดเทียนก็เพราะหนทางไปเมืองผีมันมืด จึงต้องจุดให้แสงสว่าง ในภาษาจีนเรียกลอยกระทงว่า ปั่งจุ๊ยเต็ง แปลว่า ปล่อยโคมน้ำ"

คนกอดโลก - "ใครจะลอยเพื่ออะไรก็เอาเถอะ แต่ขอลอยเพื่อระลึกถึงผู้มีพระคุณต่อเราก็แล้วกัน ทั้งพระพุทธเจ้า พระแม่คงคา"

คนขวางโลก - "ระลึกถึงผู้มีพระคุณ แล้วอธิษฐานขอนู่นขอนี่ทำไม"

คนแบกโลก - "อีกข้อมูลหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยรู้กัน เมื่อปีที่แล้ว หนึ่งในสิบของกระทงที่ลอยกันในแม่น้ำเจ้าพระยา ลอยไกลไปถึงอ่าวไทย เก็บยากเลยทีนี้"

คนจ้องโลก - "เรื่องลอยกระทงนี่มันมีหลายเรื่องอยู่ในเรื่องเดียวกันนะ ไหนจะเรื่องประเพณี ไหนจะเรื่องโบราณคดี แล้วเรื่องสิ่งแวดล้อมสิ่งแวดล้อมอีกล่ะ"

คนแบกโลก - "เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่สุด"

คนกอดโลก - "เรื่องประเพณี เรื่องประวัติศาสตร์ก็สำคัญนะ"

คนจ้องโลก - "อันที่จริงที่มาลอยกันเยอะๆ นี่ก็สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นี่เองนะ เพลงลอยกระทงก็ยุคนี้แหละ ย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่สามยังเป็นเรื่องของเจ้านายอยู่เลย พิธีใหญ่และโอ่อ่ามาก พอถึงรัชกาลที่สี่พระองค์เห็นว่ามันฟุ่มเฟือยมากไป ก็ย่อเหลือแค่ลงเรือพระที่นั่งไปลอยประทีป"

คนกอดโลก - "กระทงที่ทำจากขนมปังก็ดีนี่ ปลากินได้"

คนแบกโลก - "กินไม่ทันหรอก บางแหล่งน้ำไม่ได้มีปลาเยอะขนาดกินได้หมดในหนึ่งวัน แล้วรู้ไหม ขนมปังที่เอามาทำกระทง หลายแห่งเลยใส่สารกันบูดเยอะเสียจน ปลากินปลาก็ตาย แล้วถ้าเหลือเยอะน้ำก็เน่า เคยเห็นบ่อเลี้ยงปลาที่ให้อาหารเยอะเกินไปหรือเปล่า น้ำเน่าหมด"

คนกอดโลก - "ทำกระทงจากน้ำแข็งได้ไหม ลอยไปพอละลายก็กลายเป็นน้ำ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย"

คนจ้องโลก - "ทำได้ง่ายๆ หรือ แล้วจะไม่ละลายหมดระหว่างเดินทางหรือ แล้วจะขายกันอย่างไร สงสัยต้องขนตู้เย็นไปแช่กระทงด้วย"

คนขวางโลก - "ขืนลอยกระทงน้ำแข็งกันเยอะๆ พอน้ำแข็งละลายอุณหภูมิของน้ำก็จะลดลง ปลาก็ตายนะ"

คนกอดโลก - "แม่น้ำทั้งสายนี่นะ อุณหภูมิจะลดลงได้ด้วยกระทงน้ำแข็ง"

คนแบกโลก - "ธูปเทียนที่อยู่ในกระทงล่ะ ขยะทั้งนั้นนะ ทิ้งกันเข้าไป"

คนกอดโลก - "พูดไปแล้วเหมือนการลอยกระทงนี่ไม่มีอะไรดีเลย ปีนี้สงสัยต้องไปคนเดียวแล้ว ว่าจะไปลอยที่คลองข้างวัดเสียหน่อย"

คนขวางโลก - "ถ้าไม่มีใครไปด้วย ไปเป็นเพื่อนให้ก็ได้นะ"

คนจ้องโลก - "คลองข้างวัด น่าสนใจนี่ ไปด้วย"

คนแบกโลก - "อยากได้กระทงน้ำไหม จะลองทำมาจากบ้านให้ ว่างพอดีเลย".

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548

สายข้อมือเฉลิมพระเกียรติ
คอลัมน์ โลกสองวัย โดย บางกอกเกี้ยน




หลายวันมาแล้วที่เห็นข้อมือของผู้คนจำนวนหนึ่งหลากวัยสวมกำไลข้อมือยางสีออกเหลืองส้ม วันก่อนเห็นเจ้าหน้าที่การบินไทยที่พิษณุโลกสวมถึงสองสาย

กำไลยางสีเหลืองส้มเป็นกำไลยางล่าสุดที่มูลนิธิคิงเพาเวอร์ จัดทำขึ้นจำนวน 1 ล้านเส้น ใช้ชื่อว่า

สายข้อมือเฉลิมพระเกียรติ (รูปหัวใจ-หมายถึงความรัก)

คุณวิชัย รักศรีอักษร ประธานกรรมการมูลนิธิคิงเพาเวอร์ แจ้งไว้ในใบรับรองว่า

"ข้าพระพุทธเจ้า ขอรับพระบรมมหากรุณาธิคุณและพระเมตตา ในการที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทูลเกล้าฯถวายความจงรักภักดี เคารพบูชา และเทิดทูนต่อพระเกียรติยศองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการจัดทำสายข้อมือ ขึ้น เพื่อนำเงินที่ได้รับการบริจาคโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทูลเกล้าฯถวายเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเป็นปีที่ 60 ในปี พ.ศ.2549 นี้

ขอเดชะพระบารมีของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ทรงปกเกล้าปกกระหม่อม คุ้มครองผองภัยนานัปการให้กับประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ตลอดกาลนาน"



อีกด้านของใบรับรอง เป็นบทกลอนเทิดพระเกียรติ และให้ข้อคิดในการใช้ชีวิต 19 ข้อ ดังนี้

1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้

2.เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย

3.รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆ เท่านั้น

4.หัดทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

5.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก

6.ใช้เวลาน้อยในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก

7.เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน

8.คิดให้รอบคอบ ก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ

9.เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน

10.เป็นคนถ่อมตน คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด

11.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด…สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

12.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า "เป็นยังไงบ้างตอนนี้" ก็บอกไปเลยว่า "สบายมาก"

13.อย่าพูดว่า มีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมี มันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าๆ กับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์, ไมเคิล แองเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดาวินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน, หรืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขามีนั่นเอง

14.เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

15.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น

16.จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

17.คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น

18.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด

19.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"



สำหรับสายข้อมือที่นำออกมาให้พวกเราได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีและร่วมกันสมทบเงินเพื่อทูลเกล้าฯถวายต่อไปครั้งนี้ น่าที่หน่วยงานอื่นจะนำแนวความคิดนี้ไปจัดทำเพิ่มให้มีเป็น 10 ล้าน 20 ล้านสาย หรือมิฉะนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านสาย ให้ได้เงินจำนวน 6,000 ล้านบาท เพื่อทูลเกล้าฯถวายเนื่องในวโรกาสครองราชย์เป็นปีที่ 60 ก็จะเป็นคุณต่อแผ่นดิน

เพราะทุนทรัพย์ที่ประชาชนร่วมกันสมทบครั้งนี้ จะเป็นทุนของแผ่นดินที่พระองค์ทรงนำไปสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนต่อไป

การถวายพระพรด้วยการกระทำ นับเป็น การปฏิบัติบูชา ต่อ พระเจ้าอยู่หัว อย่างแท้จริง

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548




 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2548 17:26:46 น.
Counter : 1440 Pageviews.  

“ไทยกูเกิลเอิร์ธ” ชู ยอดคนสนใจเพิ่ม เผย คนไทย ฮิตดาวน์โหลด “แผนที่”



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

ภาพจำลอง วัดโสธรฯ แบบสามมิติ ที่สามารถหมุนได้ทุกมุม สร้างโดยฝีมือคนไทย


เว็บไซต์ “ไทยกูเกิลเอิร์ธ ดอท คอม” เดินหน้าสวย หลังคนไทยสนใจ แห่ดาวน์โหลดแผนที่ไปเล่นกันมากมาย ผู้ก่อตั้งเผย เตรียมจัดแคมเปญ สนับสนุนให้คนไทยช่วยปักหมุด–สร้างแบบจำลองสถานที่ โดยเชื่อว่า จะสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้มากขึ้นด้วย

นายพงษ์ระพี เตชพาหพงษ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Thai Google Earth เว็บท่าแห่งแรก สำหรับ Google Earth ในประเทศไทย ได้กล่าวว่า หลังจากที่กูเกิลได้เข้าไปซื้อบริษัท Keyhole แล้วนำมาปรับเปลี่ยนเป็น Google Earth พร้อมกับแจกให้ใช้ฟรีนั้น ได้สร้างกระแสการใช้แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมกันทั่วโลก ซึ่งรวมถึงเมืองไทยด้วย ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่สื่อต่างๆ ได้นำเสนอสกู๊ปเกี่ยวกับความน่าสนใจ และศักยภาพการเอาโปรแกรมนี้ไปใช้

โดย นายพงษ์ระพี กล่าวว่า “ความน่าสนใจของกูเกิลเอิร์ธคือ ตัวบริการจะไม่ได้ลงหมุดในรายละเอียดของสถานที่ไว้ เขาแค่เอาภาพถ่ายดาวเทียมมารวบรวม และสร้างโปรแกรมให้เข้าถึงสถานที่ต่างๆ จากนั้น เมื่อผู้ใช้ต้องการจะกำหนดตำแหน่งสถานที่ ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งผมว่าเป็นไอเดียที่ดีมาก”

บริการของกูเกิลเอิร์ธจะมีแต่ภาพถ่ายดาวเทียมล้วนๆ และจะมีโปรแกรมสำหรับให้ผู้ใช้สามารถปักหมุดสถานที่ ซึ่งอาจจะเป็นจังหวัดบ้านเกิดตัวเอง หรือสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ เพื่อช่วยให้สามารถสืบค้นได้ง่ายมากขึ้น ผู้ใช้บางรายถึงกับสร้างโมเดลสามมิติของวัดโสธร แล้วเอาไปวาง ณ สถานที่จริงบนแผนที่กูเกิลเอิร์ธ เพื่อให้ผู้ใช้คนอื่นหมุนดูรอบอุโบสถได้รอบ ส่วนบางคนชื่อชอบฟุตบอลมาก ก็ไปนั่งไล่ปักหมุดสนามบอลเอาไว้ เพื่อมาดูภาพมุมสูงได้เช่นกัน

นอกจากบริการสืบค้นหาไฟล์ที่ต้องการอย่างง่ายๆ แล้ว กูเกิลเอิร์ธยังกลายเป็นแหล่งความรู้ และจุดแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้ใช้กูเกิลเอิร์ธอีกด้วย โดยไฟล์ที่นิยมดาวน์โหลดกันมาก จะเป็น 741 อำเภอทั่วไทย, Thailand Placemark 7.0 ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับปักหมุดสถานที่สำคัญทั่วประเทศ นอกเหนือจากนี้ก็จะเป็นไฟล์แผนที่ในประเทศเป็นส่วนใหญ่

“คนเล่นกูเกิลเอิร์ธครั้งแรก ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มจากการค้นหาบ้านตัวเองก่อนว่าอยู่ตรงไหน มองเห็นหลังคาบ้านหรือเปล่า ซึ่งเมื่อเจอส่วนใหญ่จะประทับใจกับเทคโนโลยีมากขึ้น จุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง ก็คือการประยุกต์เอากูเกิลเอิร์ธไปใช้ในงานต่างๆ เพราะแผนที่นั้นเกี่ยวข้องกับทุกคน ทุกธุรกิจ ไม่ว่าเป็นงานทางด้านภูมิสถาปัตย์ งานป้องกันภัย งานที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ งานประกัน งานพยากรณ์อากาศ งานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว”

และในช่วงต้นปีหน้า ทางเว็บไซต์ไทยกูเกิลเอิร์ธก็มีแผนจะจัดแคมเปญ “ToBeArchitect” เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนคนทั่วไปได้เข้ามาปักหมุดบอกสถานที่ หรือแข่งสร้างโมเดลจำลองบนกูเกิลเอิร์ธด้วย โดยใช้โปรแกรมการสร้างภาพจำลองแบบ 3 มิติ ซึ่งนายพงษ์ระพีระบุว่าจะมีประโยชน์มาก เพราะจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นการสร้างโมเดลจำลองสถานที่สำคัญ หรือวัดโบราณ ก็มีความสำคัญไม่แพ้การปักหมุดแผนที่เช่นกัน

“งานนี้เราอยากเปิดให้คนทั่วไปได้เข้ามาร่วมแข่งขันกัน ไม่จำเป็นต้องเรียนสถาปัตยกรรมจึงจะมาแข่งได้”

คงไม่แปลก ถ้าจะเห็นธุรกิจต่างๆ เริ่มศึกษาความสามารถของโปรแกรมนี้ แล้วเอามาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตเราคงเห็นการประยุกต์ใช้มันๆ จากโปรแกรมนี้เพิ่มขึ้นอีกมากมายแน่นอน.

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 ตุลาคม 2548 13:15 น.




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2548    
Last Update : 26 ตุลาคม 2548 19:09:23 น.
Counter : 577 Pageviews.  

“แฮมเบอร์เกอร์” เมนูดังจาก “ฮัมบูร์ก”




แฮมเบอร์เกอร์
เมนูจากฮัมบูร์ก แต่มาฮิตที่อเมริกา


วันนี้ คอลัมน์ ถามตอบรอบโลก จะมาช่วยไขปัญหาให้กับคุณ “เดือน” ซึ่งสงสัยว่าเจ้าแฮมเบอร์เกอร์ อาหารยอดฮิตของชาวสหรัฐฯ ที่คนไทยอย่างคุณเดือนเองก็ชอบกินนั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมถึงต้องเรียกว่า “แฮมเบอร์เกอร์” ด้วย

ก่อนอื่นต้องขอบอกคุณเดือนก่อนเลยว่ายังไม่มีการบันทึกที่ชัดเจนว่าประเทศหรือชนชาติใดเป็นต้นตำรับของแฮมเบอร์เกอร์ แต่คำที่ใช้เรียกขนมปัง 2 ชิ้นที่มีเนื้ออยู่ตรงกลางว่าแฮมเบอร์เกอร์นั้น เริ่มต้นขึ้นที่เมืองฮัมบูร์ก(Hamburg) ประเทศเยอรมนี ขณะที่เมนูกินด่วนแบบนี้ยังไปฮิตติดอันดับที่สหรัฐ แทน ส่วนคนในฮัมบูร์กเองนั้น กลับนิยมทานแซนด์วิชมากกว่า

อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ที่แนะนำให้ชาวฮัมบูร์กรู้จักกับการปรุงอาหารชนิดนี้ โดยมีผู้กล่าวถึงที่มาเอาไว้ 2 ทฤษฎีด้วยกัน โดยทฤษฎีแรกมีการกล่าวเอาไว้ว่า ในช่วงยุคกลาง เมืองฮัมบูร์กเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญระหว่างโลกอาหรับและยุโรป ทำให้พ่อค้าอาหรับเข้ามาติดต่อกับชาวบ้าน และได้แนะนำอาหารที่ชื่อกะบาบ ซึ่งเป็นเนื้อลูกแกะบดผสมเครื่องเทศ ที่มักจะกินกันดิบๆ ให้กับชาวบ้าน

หลังจากนั้นชาวเมืองฮัมบูร์กได้ดัดแปลงเปลี่ยนจากเนื้อลูกแกะไปเป็นเนื้อหมูหรือว่าเนื้อวัวแทน พร้อมกับปรุงรสขึ้นใหม่ จนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และสุดท้ายก็พัฒนากลายมาเป็น “แฮมเบอร์เกอร์” ในเวลาต่อมา

ส่วนอีกทฤษฎีนั้นกล่าวไว้ว่า ในช่วงที่กองทัพมองโกลของเจงกีสข่านยกทัพบุกรัสเซียนั้น เหล่าทหารจะกินเนื้อลูกแกะดิบที่ปั้นเป็นก้อนกลม ซึ่งเหล่าทหารมีวิธีการทำให้เนื้อนิ่มด้วยการวางไว้ใต้อานม้า

จากนั้นชาวรัสเซียก็รับเอาอาหารชนิดนี้ไป และเรียกว่า “ทาร์ทาร์สเต็ก” เนื่องจากชาวรัสเซียเรียกชาวมองโกลว่า “ทาร์ทาร์” และในช่วงศตวรรษที่ 17 รัสเซียเริ่มที่จะค้าขายติดต่อกับเมืองฮัมบูร์กและก็ได้นำอาหารชนิดนี้ไปเผยแพร่ด้วย โดยชาวเยอรมันได้เปลี่ยนไปใช้เนื้อวัวไปปรุงรสด้วยเครื่องเทศในท้องถิ่นจนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และอาจจะนำไปรมควันหรือว่าหมักเกลือ เพื่อที่จะสามารถเก็บได้นานระหว่างที่กำลังเดินทาง

จากนั้น ทหารเรือชาวเยอรมันและผู้อพยพก็ได้นำเมนูนี้ติดตัวไปยังสหรัฐฯด้วยในช่วง 1800s และในช่วงทศวรรษที่ 1820 หรือ 1830 นี่เองที่มีการนำชื่อ “แฮมเบอร์เกอร์สเต็ก” ไปปรากฏอยู่บนรายการอาหารของร้านอาหารที่ชื่อเดลโมนิโก ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ก่อนจะได้รับความนิยมแพร่หลาย ไปอย่างรวดเร็ว

ช่วงต้นยุค 1900s ร้านอาหารในสหรัฐฯมากมายหลายร้านได้เริ่มนำแฮมเบอร์เกอร์สเต็กมาใส่ระหว่างขนมปัง 2 ชิ้น หรือว่าใส่ข้างในขนมปัง และเมื่อแฮมเบอร์เกอร์สเต็กถูกนำมาใส่ไว้ข้างในขนมปัง จึงถูกเรียกว่า “แฮมเบอร์เกอร์แซนด์วิช” และผู้ที่คิดค้นขนมปังก้อนสำหรับแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมาก็คือพ่อครัวที่ชื่อ เจ. วอลเตอร์ แอนเดอร์สัน ในปี 1916 ก่อนที่เขาค้นนี้จะไปเปิดร้านอาหารที่ชื่อ ไวท์คาสเซิล ในปี 1921

สำหรับ ชีสแฮมเบอร์เกอร์ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ชีสเบอร์เกอร์ นั้น ว่ากันว่า ผู้ที่เริ่มคิดค้นลงมือทำเป็นคนแรก ก็คือเชฟ ที่ชื่อ ไลโอเนล สไตน์เบอร์เกอร์ จากร้านอาหารที่ชื่อ ไรท์สปอต ในเมืองพาซาดีนา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของฟาสต์ฟูดส์อย่างแฮมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในยุคปัจจุบันก็คือ เรย์ ครอก ซึ่งเริ่มเปิดตัวร้านแมคโดนัลด์สาขาแรกช่วงกลางทศวรรษที่ 1950.


โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 ตุลาคม 2548 10:38 น.




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2548    
Last Update : 26 ตุลาคม 2548 19:00:32 น.
Counter : 421 Pageviews.  

"ตั้งท้องในวัยเรียน" อนาคตมีแต่ "เหนื่อย" และ "มืดมน" !!

คอลัมน์ ทีนเทศ





ปัญหาเด็กสาวตั้งท้องในวัยเรียน ยังคงเป็นปัญหาที่ "แก้ไม่ตก" ในหลายประเทศ และนับวันดูเหมือนจะยิ่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ประเทศอังกฤษ ก็มีผลสำรวจอย่างเป็นทางการระบุว่า อังกฤษเป็นประเทศที่มีอัตราของเด็กสาววัยรุ่นตั้งท้องสูงที่สุดในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก โดยจากตัวเลขเมื่อปีที่แล้ว พบว่ามีเด็กสาวอังกฤษอายุต่ำกว่า 16 ปี ตั้งครรภ์ถึง 8,076 ราย!!

ล่าสุด ก็มีข่าว เด็กนักเรียนสาว กลายเป็นคุณแม่ลูก 3 ตั้งแต่มีอายุเพียง 16 ปี และที่ "แย่" ไปกว่านั้นก็คือ ลูกทั้ง 3 คนของเธอนั้นเป็น "ลูกแฝด 3" ทำให้คุณแม่ยังเด็กต้อง "เหนื่อยหนัก" กับการต้องรับหน้าที่ "แม่ลูกอ่อน" ที่มีชีวิตน้อยๆ ให้ดูแลถึง 3 ชีวิตในคราวเดียวกัน แถมตอนนี้แฟนหนุ่มวัยรุ่นอายุ 19 ซึ่งเป็นพ่อของเด็กๆ ได้ทิ้งเธอไปแล้ว!!

ทั้งนี้ จากข่าวเล่าว่า การตั้งครรภ์ในวัยเรียนทำให้ นาตาลี สแกนเลน เด็กสาวเมืองแมนเชสเตอร์ ต้องทิ้งอนาคตทางการศึกษา และตอนนี้ก็ไม่มีงานทำ หลังจากต้องลาออกจากงานที่บริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ตอนท้องแก่ใกล้คลอด!!

ด้วยสภาพที่ไม่มีทั้งเงิน และงาน ทำให้ปัจจุบันนาตาลีและลูกแฝดหญิงทั้ง 3 ต้องอาศัยอยู่ในบ้านสงเคราะห์หญิงแม่ลูกอ่อน ซึ่งเธอเล่าว่า ทุกวันนี้เธอต้องนั่ง "ชงนม" ถึงวันละ 18 ขวด เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสัปดาห์ละ 90 ผืน!!

ขณะที่อนาคตข้างหน้า หากพิจารณาจากสภาพชีวิตของนาตาลีตอนนี้ ก็ต้องบอกว่าช่าง "มืดมน" จริงๆ !!

โดย มติชนออนไลน์ 26 ตุลาคม 2548




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2548    
Last Update : 26 ตุลาคม 2548 18:55:51 น.
Counter : 624 Pageviews.  

"4 โจ๋" หักดิบ เลิกเหล้า เล่าประสบการณ์ หวังวัยรุ่นไทย "ลด-ละ-เลิก"



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น


ผ่านมาแล้วสำหรับโครงการ ยามาฮ่า-กล้าดี หักดิบ 2 ตอนเลิกเหล้าที่รายการ "กล้าดี" จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้วัยรุ่นไทยตระหนักถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหันมาเลิกดื่มเหล้า โดยมีโจ๋กล้าดี 4 คนเข้าร่วมโครงการ

หลังจากนั้น ทาง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เชิญทั้ง 4 คน ร่วมเสวนาในหัวข้อ "เรื่องเหล้า..เยาวชน" ในโครงการ "วัยมันส์รู้ทันแอลกอฮอล์" ที่ลานวิคตอรี่พ้อยท์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ


กอล์ฟ-กมลขรร อังสุพัฒน์


เริ่มจากกอล์ฟ นางสาวกมลขรร อังสุพัฒน์ หนึ่งในสมาชิกกล้าดี เคยเป็นคนกิน เที่ยว และดื่มหนักมาก จนแทบไม่เป็นอันเรียนหนังสือ บอกว่า หลังจากเข้าร่วมโครงการชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนหลังเลิกเรียนจะเที่ยวเลย แต่ตอนนี้เรียนเสร็จจะไปออกกำลังกาย ฝึกโยคะ อยากบอกเพื่อนคนอื่นๆ ว่าเหล้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี โดยเฉพาะวัยรุ่น เป็นวัยที่ยังต้องศึกษา เรียนรู้ มีอะไรอีกมากมายที่น่าค้นหา ไม่จำเป็นต้องกินเหล้าเลย


โน้ต-วิทยา ลากะสงค์


หนุ่มหน้าใสอีกคน โน้ต นายวิทยา ลากะสงค์ กินเหล้าหนักจนต้องถูกดร็อปการเรียน บอกว่า หลังจากได้เข้าคอร์สบำบัดขับสารพิษออกจากร่างกาย รู้สึกว่าร่างกายสะอาดขึ้น ทุกวันนี้แทบไม่เข้าร้านเหล้าเลย การเลิกเหล้ามันอยู่ที่ใจมากกว่า ต้องหาวิธีออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ทำแทน ตอนนี้มีแต่คนรู้จักทำให้ไม่กล้าทำผิด อยากฝากวัยรุ่นที่หลงอยู่ในแอลกอฮอล์และพยายามเลิกอยู่ ขอเป็นกำลังใจทำให้สำเร็จ เชื่อว่ายังมีวัยรุ่นอีกมากพยายามทำสิ่งดีๆ อย่างนี้อยู่


ช้าง-วสันต์ มณีวรรณ


สมาชิกอีกคน นายวสันต์ มณีวรรณ หรือช้าง บอกว่า ตั้งแต่เข้าโครงการคิดได้ว่าทำไมต้องสิ้นเปลืองกับการดื่มเหล้า มันทำให้หมดเงินไปมาก สำนึกได้ว่า การดื่มเหล้ามันแค่สนุก และสะใจเท่านั้น ฝากวัยรุ่นคนอื่นๆ ถ้าเลิกได้ก็พยายามเลิก เพราะกินเข้าไปจะทำให้สุขภาพแย่ลงอย่างเดียวไม่มีอะไรดีขึ้นด้วย


แนท-อนุสรา แต่งร่มใบ


สุดท้าย สาวที่ตกเป็นทาสของแอลกอฮอล์ จนต้องถูกรีไทร์ แนท นางสาวอนุสรา แต่งร่มใบ บอกว่า การเลิกเหล้าสำหรับคนที่ติดแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้ามุ่งมั่น และตั้งใจจริงก็สามารถเลิกเหล้าได้ ตัวเองรู้สึกภูมิใจที่สามารถชนะใจตัวเองได้ อยากฝากวัยรุ่นคนอื่นๆ ว่าการกินเหล้าไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมาเลย มีแต่จะทำให้เกิดโทษ และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ ทะเลาะวิวาทได้ ทางที่ดีอย่าเสี่ยงเลยดีกว่า

กล้าคิด กล้าทำ ได้ขนาดนี้ ขอปรบมือให้ดังๆ และหวังว่า จะเป็นแง่คิดดีดี ให้กับวัยรุ่นคนอื่นได้ เช่นกัน.

โดย มติชนออนไลน์ 26 ตุลาคม 2548




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2548    
Last Update : 26 ตุลาคม 2548 19:16:37 น.
Counter : 490 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.