Group Blog All Blog
|
การขอโทษและการให้อภัย
การรู้จักขอโทษนั้นเป็น มารยาทอันดีงามสำหรับตัวผู้ทำเอง และเป็นการช่วยระงับหรือช่วยแก้โทสะของผู้ถูกกระทบกระทั่งให้เรียบร้อยด้วย ดีในทางหนึ่ง หรือจะกล่าวว่าการขอโทษคือการพยายามป้องกันมิให้มีการผูกเวรกันก็ไม่ผิด เพราะ เมื่อผู้หนึ่งทำผิด อีกผู้หนึ่งเกิดโทสะเพราะถือความผิดนั้นเป็นความล่วงเกินกระทบกระทั่งถึงตน แม้ไม่อาจแก้โทสะนั้นได้ ความผูกโกรธหรือความผูกเวรก็ย่อมมีขึ้น ถ้าแก้โทสะนั้นได้ก็เท่ากับแก้ความผูกโกรธหรือผูกเวรได้ เป็นการสร้างอภัยทานขึ้นแทน อภัยทานก็คือการยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ อัน อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลาย เหมือนกัน คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะ ยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ โกรธ แล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเอง มากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป ผู้ อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย... : พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร.. ขอบคุณลานธรรมจักร //variety.teenee.com/saladharm/24515.html สามัคคี (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
สามัคคี (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ความ สามัคคี ย่อมเกิดจาก (๑) ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน (๒) พูดจาอ่อนน้อมอ่อนหวานต่อกัน (๓) ช่วยเหลือกันในยามยาก (๔) วางตนเสมอกันในความเป็นอยู่ (๕) ไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน (๖) ไม่ถือความขัดแย้งกันทางความคิด เป็นเรื่องสำคัญ (๗) ไม่เอาแพ้เอาชนะกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะชนะเขาก็ต้องได้รับการจองเวร แพ้เขาก็ช้ำใจ ไม่แพ้ไม่ชนะใคร สงบ สบาย ไม่วุ่นวายประการใด ความชนะที่มีคุณค่า คือ ความชนะใจของตัวเองเป็นคุณค่ามหาศาล การที่คนเรา มีความคิดเห็นไม่ตรงกันหรือขัดแย้งกัน เป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนเราย่อมมีความคิดเห็นต่างกันได้ ตามสภาพ ของจิตใจของใครของมัน ถ้ามีความปรารถนาดีต่อการงานของหมู่คณะ มี ความรักหมู่คณะ ก็สามารถทำงานด้วยกันได้ ไม่มีปัญหา เหมือนชอบรสอาหาร ไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมดา มีความรักกันก็สามารถรับประทานร่วมกัน ได้ด้วยดี เพลิดเพลินสนุกสนาน โปรดเข้าใจว่า คนที่มีความคิดเห็นไม่เหมือนเรา ไม่ใช่คนเลวทรามเสียหาย เป็นคนดีเหมือนเรานั่นเอง การทำให้คนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ทำงานด้วยกันได้ มีความสามัคคีปรองดองกัน เป็นความสามารถของการปกครอง และ การบังคับบัญชาบุคคลของนักบริหาร เครื่องวัดความคิด เห็นว่าจะตรงจุดหมายหรือไม่นั้น ได้แก่ (๑) ระเบียบแบบแผน (๒) ขนบธรรมเนียมประเพณี (๓) เหตุผล (๔) ข้อเท็จจริง (๕) กฎธรรมดา (๖) ความยอมรับของมหาชน ความสงบชั้นสุดยอด หมายถึง ความสงบของจิตใจจากการเจริญกรรมฐาน คือ ใจอยู่ในปรกติภาพตลอดเวลา และอิสรภาพตามธรรมชาติของมัน เวลามีอารมณ์มากระทบก็ไม่หวั่นไหว ไม่กระเทือนประการใด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มาถึงก็ไม่ดีใจ ความ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ มาถึงก็ไม่เสียใจ มีอุเบกขา คือ ความวางเฉย หรือความรู้สึกเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาถึง เมื่อไม่มีอารมณ์เป็นอย่างไร มีอารมณ์มาถึง ก็เป็นอย่างนั้น เป็นเครื่องบังคับ คือ สติสัมปชัญญะ ท่านสาธุชนทั้งหลาย การเจริญกรรมฐานจึงมีประโยชน์ในชีวิตของเรา ทำให้อายุยืนยาวต่อไปได้ และสามารถใช้ชีวิตต่อการงานและหน้าที่ที่ถูกต้อง ไม่เอาถูกใจเหมือนแต่ ก่อนมา และสภาพความเป็นอยู่ในชีวิตนี้ของท่าน จะเจริญรุ่งเรืองวัฒนา สถาพรต่อไปได้อย่างสมปรารถนาทุกประการ ขอบคุณบทความจาก ธรรมจักร Free TextEditor จริงใจ..สบายจริง
เราคงมีชีวิตอยู่กับความสุขปลอมๆ ถอกหน้ากากออกดีไหม เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เราไม่ต้องปิดบัง ซึ่งต่างค้นพบพลังแห่งความจริงใจ ฉะนั้น.. .................... บทความจาก Free TextEditor "มาฆบูชา" วันแห่งความรัก
"มาฆบูชา" วันแห่งความรัก ความรักของสมเด็จพระพุทธองค์ สูงส่งบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ ให้ทุกข์ไม่ให้โทษไม่ให้ภัย แก่ชีวิตจิตใจใดทั้งนั้น ด้วยทรงมีความ รักบริสุทธิ์สูงส่ง ไม่มีเสมอเหมือน พระพุทธองค์จึงทรงแผ่พระมหากรุณาได้ กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีขอบเขต ทั้งแก่พรหมเทพ มนุษย์สัตว์ ปรากฏแจ้ง ชัดใน โอวาทปาติโมกข์ ที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชา พึง ไม่ทำบาปทั้งปวง พึ่งทำกุศลให้ถึงพร้อม พึง รักษาจิตของตนให้ผ่องใส บาปย่อมก่อให้เกิดทุกข์โทษ ภัยแก่ผู้ทำและผู้อื่น พระพุทธองค์จึงทรงเตือนไม่ให้ทำ กุศลย่อมเป็นคุณแก่ผู้ทำและผู้อื่น พระพุทธองค์จึงทรง เตือนให้ทำ จิตผ่องใสคือจิตที่ไกลได้จากกิเลสโกรธหลง ที่มีอยู่เต็มโลก ย่อมให้ความสุขสงบอย่างยิ่งจนถึงเป็นบรมสุข พระ พุทธองค์จึงทรงเตือนให้รักษาจิตของตน : แสงส่องใจ มาฆบูชา ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ : สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
//variety.teenee.com/saladharm/24437.html Free TextEditor 7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี
7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 ช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ ใครที่กำลังเป็นทุกข์ //www.dhammajak.net/book-vachiramethi/7-7.html |
zaiseefa
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Friends Blog
|