สุขในปัจจุบัน สุขในอนาคต
เรื่องของทาน ศีล ภาวนา
ทุกสิ่งที่เราทำคนได้ก็คือเราเอง ถามว่าดีอย่างไร
ก็ต้องดูว่าตัวผลคืออานิสงส์ที่จะได้เป็นอย่างไร ?
เอาเรื่องของศีลเป็นตัวอย่าง
ทุกคนไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาฆ่าเราหรือทำร้ายเรา
เพราะฉะนั้น..เราก็ไม่ควรที่จะฆ่าใคร ไม่ควรที่จะทำร้ายใคร
เราไม่อยากให้ใครมาลักขโมยของเรา เราก็ไม่ควรจะลักขโมยของ ๆ ใคร
คนที่เรารัก เราไม่อยากให้คนอื่นมาแย่งไป เราก็อย่าแย่งคนอื่นเขา
เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็ไม่ควรที่จะโกหกใคร
เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ รู้ผิดรู้ถูก รู้อะไรควร
รู้อะไรไม่ควรเป็นสิ่งที่ดี
อย่างไรก็อย่าไปเอายาเสพติดมาย้อมใจตัวเองให้มึนเมาจนขาดสติสัมปชัญญะไป
ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา
ท่านสอนเพื่อให้ตัวเราได้เองทั้งนั้น สิ่งที่เราทำ คือ เราได้ก่อนแล้ว
หลังจากนั้นพอเราทำแล้ว ตัวเราดี สิ่งที่เราทำดี
พอตัวเราดีเสร็จก็จะส่งผลไปถึงคนรอบข้างด้วย คนรอบข้าง
เออ..เห็นตัวอย่างที่ดีก็เลียนแบบทำตาม ก็เป็นสังคมที่อยู่ร่มเย็นในวงเล็ก ๆ
อาจจะเป็นว่าเฉพาะครอบครัวของเราก่อน
แต่อย่าลืมว่าทุกครอบครัวตั้งใจทำดีอย่างนี้ หมู่บ้านนั้นทั้งหมู่บ้านก็ดี
ทุก ๆ หมู่บ้านถ้าตั้งใจทำ ตำบลนั้นก็จะดี ถ้าทุกตำบลตั้งใจทำ
อำเภอนั้นก็ดี ทุกอำเภอตั้งใจทำ จังหวัดนั้นก็ดี ถ้าทุกจังหวัดพร้อมใจกันทำ
ประเทศของเราก็ต้องดี
ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
ท่านสอนเพื่อประโยชน์สุขของเราทั้งนั้น
สุขในปัจจุบัน คือ ไม่ต้องไประแวดระวัง
ไม่ต้องไปกลัวภัยอะไร เพราะทุกคนไม่เบียดเบียนกัน
สุขในอนาคต คือ
ผลที่เราทำ ถ้าหากว่าเกิดจากการให้ทาน
ต่อไปในภายภาคหน้าก็จะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย
ผลของการที่เรารักษาศีลก็จะเป็นผู้ที่มีรูปสวย มีจิตใจที่ดีงาม
ผลของการเจริญภาวนาเกิดมาก็จะมีปัญญามาก
ถ้าหากว่าเป็นทางโลกมีอุปสรรคอะไรก็แก้ไขได้
ถ้าเป็นทางธรรมต้องการจะตัดกิเลสก็มีปัญญาสามารถตัดกิเลสได้
เหล่านี้เป็นต้น
เพราะ
ฉะนั้น..สิ่งที่ท่านสอน ท่านสอนให้อยู่สุขทั้งปัจจุบันและสุขทั้งอนาคต ค่อย
ๆ ดูไป ค่อย ๆ ทำไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พิสูจน์ได้ในระยะยาว ๆ
อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่าย ๆ ตามพิสูจน์ตามค่อย ๆ ดูไป
เขา
บอกว่าพระรูปนี้ดี หลวงปู่รูปนี้ดี หลวงพ่อรูปนี้ดีค่อย ๆ ดูไป
ถ้าหากว่าไม่ดีจริง ถึงเวลาก็จะมีสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ไม่เหมาะไม่สม
หลุดออกมาให้เราเห็นจนได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ดีจริง กาย วาจา ใจ
ของท่านเป็นผู้ที่บริสุทธิ์จริง ต่อให้ระยะเวลายาวนานแค่ไหน
ไม่ว่าระยะใกล้ไกล ใกล้ชิดหรือห่างไกลขนาดไหนก็ตาม
เราไม่สามารถที่จะหาจุดบกพร่องของท่านได้ สิ่งที่จะต้องมาตำหนิกันไม่มี
ค่อย ๆ ดูไปนาน ๆ โบราณเขาว่า หนทางพิสูจน์
ม้า เวลาพิสูจน์คนใช่ไหม ?
ของโบราณนั้นเกิดจาก ประสบการณ์ที่ตกผลึกลงมาจนกระทั่งกลายเป็นข้อคิด
กลายเป็นคำคม กลายเป็นคำพังเพยขึ้นมา
ฉะนั้นสิ่งที่ท่านพูดส่วนใหญ่ก็แฝงไปด้วยความจริงเกือบ ๆ จะ ๑๐๐
เปอร์เซ็นต์เต็ม ท่านบอกหนทางพิสูจน์ม้าใช่
ไหม ? ม้าไม่ดีจริงเดินทางไกลไม่ไหวหรอก
หรือไม่ก็เจอหนทางที่ทุรกันดารหน่อยหนึ่งก็ไปไม่รอดแล้ว ต้องม้าดีถึงไปได้
ขณะเดียวกันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คน
จะดีจะชั่วอย่างไรดูไปนาน ๆ คบกันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็เห็นเอง
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
จาก
เว็บวัดท่าขุน
Free TextEditor
คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา (2)
คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา (2)
ว่า ด้วยทัศนคติ
คนโง่ ดูหมิ่นความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตตกต่ำ กลายเป็นทาสสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีจะไม่เข้าใจ จึงพลาดโอกาสใหญ่ คน ฉลาด ชอบทำดีและคิดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งดีโดยมาก ครั้งพบสิ่งชั่วร้ายจะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น ต้องถอยหนีสถานการณ์ ดวงใจแตกร้าว ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคืองและปฏิฆะเร้นลึก คนเจ้าปัญญา ละชั่วเด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ติดดี แล้วละแม้ความดีเข้าสู่ความบริสุทธิ์ จึงเห็น ที่สุดแห่งความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่า ทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ และ ความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกภาวการณ์
ว่าด้วยความยิ่งใหญ่
คนโง่ เห็นว่าตนยิ่งใหญ่ จึงจมอยู่ในตัวตนอันกระจ้อยร่อย ท่ามกลางเอกภพอันไร้ขอบเขต คน ฉลาด เห็นว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่ หวาดกลัวและเทิดทูนธรรมชาติ ส่วนใดที่ตนเข้าไม่ถึงจึงโยนไว้ในอุ้งหัตถ์ของภูติผี และ พระเจ้า คน เจ้าปัญญา เห็นว่าความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ เพราะตน ธรรมชาติ และ วิญญาณทั้งหลาย ล้วนมีเป้าหมายสูงสุดที่ความบริสุทธิ์
ว่าด้วยการสร้างความมั่งคั่งร่ำ รวย
คนโง่ ชอบรวยทางลัด จึงจนอย่างรวบรัดเช่นกัน คนฉลาด ชอบรวยเชิงระบบ ต้องอิงอาศัยระบบจึงจะรวย เมื่อระบบล่มก็ต้องล้มไปด้วย คน เจ้าปัญญา ชอบรวยด้วยความยินดี จึงรวยในทุกระดับที่มี ได้ดูดซับคุณค่าของสิ่งที่มีอย่างแท้จริง รวย และ เป็นสุขเสมอ
ว่าด้วยวิถีการดำเนินชีวิต
คนโง่ มักโกงเขากิน กรรมจึงกระหน่ำให้เสียทรัพย์ ยากจนอยู่ร่ำไป ช้ำมีศัตรูคอยกัดกร่อนตลอดเวลา คนฉลาด แข่งขันแย่งกันกินอย่างถูกกฎหมาย จึงยุ่งยาก และพลาดไม่ได้ เพราะมีคู่แข่งพร้อมย่ำเหยียบเสมอ คนเจ้าปัญญา แบ่งปันกันกินตามความพอดี จึงมีคนช่วยสร้าง ช่วยรักษา และช่วยเสพ และ มีมิตรร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยมาก
ว่าด้วยการบริหารทรัพย์
คนโง่ บริโภคความมีทรัพย์ นั่งนับอย่างเป็นสุขกับการได้มี คนฉลาด บริโภคอำนาจของทรัพย์ เป็นสุขกับการที่ได้จับจ่ายใช้สอย คนเจ้า ปัญญา บริโภคคุณค่าของทรัพย์ เป็นสุขกับการสร้าง รักษา สละ และ พัฒนาค่าของทรัพย์เป็นคุณสมบัติอื่นที่ยิ่งกว่า
ว่า ด้วยคุณค่า
คนโง่ ยึดความชอบ หรือ ความไม่ชอบ เป็นสำคัญ เขาจึงได้รับความสุข และ ความทุกข์อันบีบคั้น เป็นของตอบแทน คน ฉลาด ยึดความถูก และ ความผิด เป็นสำคัญ เขาจึงได้รับศัตรูต่างความคิดเห็นเป็นรางวัล คนเจ้าปัญญา ยึดประโยชน์สุขสำหรับทุกฝ่ายในทุกกาลเวลาเป็นสำคัญ เขาจึงได้รับศรัทธา และ มหามิตรเป็นกำนัล
ว่า ด้วยพฤติกรรม
คน โง่ ชอบเรียกร้อง เขาจึงเป็นที่น่าเบื่อหน่าย และ น่าสมเพชสำหรับคนทั้งหลาย คนฉลาด ชอบต่อรอง เขาจึงเป็นที่ระแวง ระวังสำหรับคนทั้งหลาย คบหากันอย่างไม่จริงใจ คน เจ้าปัญญา อาสา สละ เขาจึงเอาชนะใจคนทั้งหลาย และได้รับความรัก ความนับถือเป็นผลตอบแทน
|
|
|
ว่า ด้วยการอวดตน
คนโง่ ชอบอวดตัว เขาจึงได้รับความหมั่นไส้ การต่อต้าน และ ความเจ็บปวดเป็นรางวัล คนฉลาด ชอบถ่อมตัว เขาจึงได้รับความเห็นใจ การดูหมิ่น และการช่วยเหลือเป็นรางวัล คนเจ้าปัญญา ย่อมมั่นใจตนแต่ไม่นิยมแสดงตัว ไม่ยกตน และ ไม่ถ่อมตัว แต่บริหารสัมพันธภาพเพียงเพื่อผลวางตน และ สำแดงบทบาทตามหน้าที่ เขาจึงได้รับความเคารพ และ ความเชื่อถือเป็นรางวัล
ว่า ด้วยความเก่งกาจ
คนโง่ มัวอวดเก่ง จึงไม่มีใครเติมความเก่งให้กับเขาอีก คนฉลาด ชอบเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเก่งให้ยิ่งขึ้น และเอาความเก่งมาใช้โดยไม่อวด จึงได้ผลงานดี แต่อาจไม่ทุกเรื่อง และอาจไม่ยั่งยืน คนเจ้า ปัญญา หาความเก่งไม่เจอ แต่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมเสมอ เพราะมองเห็นทุกอย่างในตนและนอกตนเป็นธรรมดา ทุกคุณสมบัติจึงเป็นปกติ และ ยั่งยืนสำหรับเขา
ว่า ด้วยจรรยามารยาท
คนโง่ แข็งกระด้าง จึงล้มเหลว ดั่งเปลือกไม้ร่วงหล่นลงสู่ดิน คนฉลาด ยืดหยุ่น จึงกระจายตนไปในสถานการณ์ต่างๆ ดั่งรากไม้แผ่ซ่านไปในผืนปฐพี คน เจ้าปัญญา อ่อนโยน จึงเจริญงอกงาม ดั่งยอดไม้ที่ทะยานขึ้นสู่ที่สูง
ว่าด้วยความรักสัมพันธ์
คนโง่ ชอบขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ คนฉลาด ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนื่องๆ คน เจ้าปัญญา ชอบให้ปัญญา ที่จะให้ทุกคนรักและเข้าใจตนเอง จึงได้รับความนับถือและความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ
ว่าด้วยแหล่งมิตรภาพ
คนโง่ ชอบหาเพื่อนจากวงเหล้า หรือแหล่งอบายมุข จึงได้แต่มิตรเทียม ที่นำภัยมาสู่ชีวิต และ ต้องแตกแยกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า คน ฉลาด ชอบหาเพื่อนจากงาน จึงได้มิตรดีร่วมอุดมการณ์ แต่เมื่องานหมดหรือล้มเหลว มิตรดีเหล่านั้นก็อันตรธานไป และ บางคนก็ผันมาเป็นศัตรูหรือคู่แข่ง คนเจ้าปัญญา ชอบหาเพื่อนจากธรรมสภาวะ จึงได้มิตรแท้ที่มีรสนิยมเหนือเงื่อนไขทางโลก ความสัมพันธ์จึงสะอาด และ มีแนวโน้มนิรันดร
ว่าด้วยความสัมพันธ์ เชิงสร้างสรรค์
คน โง่ มองแต่ความชั่วร้ายในคนอื่น จึงหยิบยื่นแต่โทษให้แก่กัน และได้รับความทุกข์ตรมเป้นของกำนัล คนฉลาด มองแต่ความดีในคนอื่น จงหยิบยื่นคุณค่าให้แก่กัน และได้รับความสุขระคนทุกข์อันประณีต เป็นของกำนัล คนเจ้าปัญญา มองทั้งความดีและความชั่วในทุกตัวคน จึงควบคุมโทษแม้เล็กน้อย ที่อาจเกิดระหว่างกัน แล้วหยิบยื่นคุณค่าให้เพื่อการพัฒนาร่วมกัน ปฏิสัมพันธ์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องและได้รับความ เจริญรุ่งเรืองยั่งยืนเป็นกำนัล
ว่าด้วยวัฒนธรรมสัมพันธ์
คนโง่ เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา ก็ทำสืบๆกันไป โดยไม่ได้ตรวจสอบประเมินคุณค่าใดๆ จึงผิดๆ ถูกๆ คนฉลาด เห็นอะไรที่ทำสืบๆ กันมาก็ยังไม่ทำสืบๆกันไป ทำการตรวจสอบประเมินคุณค่าก่อน จึงจะทำสืบๆกันต่อไป จึงได้ประโยชน์ชัดเจน คน เจ้าปัญญา เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา และ สืบๆกันไป ก็พยายามพัฒนาต่อเพื่อสิ่งที่ดีกว่า จึงได้ความเจริญโดยลำดับ
ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ
คนโง่ เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก คนฉลาด กตัญญูผู้มีบุญคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รุ้จบ คนเจ้าปัญญา ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่อง ทุกฝ่ายจึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง
ว่าด้วย การจัดการกับปัญหา
คน โง่ : พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย คน ฉลาด : พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา คนเจ้าปัญญา : พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น
ว่าด้วยการบริหารและการปกครอง
คนโง่ : พยายามบริหารคน จึงวุ่นวายสับสนตามธรรมชาติของคน คนฉลาด : พยายามบริหารประโยชน์สัมพันธ์ จึงยุ่งยากซับซ้อนตามปรารถนาอันไม่สิ้นสุด คน เจ้าปัญญา : พยายามบริหารระบบธรรม จึงสงบลงตัว ณ จุดพอดี
ว่า ด้วยความคิด!!!
คนโง่ : เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย คนฉลาด. : เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอมรับความจริงและแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ คนเจ้าปัญญา : เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็น***ส่วนการบริหารคนที่เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่วสากลให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป.
ว่าด้วยการบริหารธรรม
คนโง่ : ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ คน ฉลาด : ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี คน เจ้าปัญญา : ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!
ว่า ด้วยความเพียร
คนโง่ : มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี คนฉลาด : มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าห์ระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก คน เจ้าปัญญา : ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป
|
|
Free TextEditor