นาวาเอกผู้
หนึ่งได้เข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากร มหลวงวชิรญาณวงศ์
ซึ่งเคย
เป็นพระอุปัชฌาย์เขาเมื่อครั้งบวชที่วัดบวรนิเวศ
หน้าตา
ของนาวาเอกดูหม่นหมองและอิดโรย ท่าทางอมทุกข์
สมเด็จฯ จึงรับสั่งถามว่า
“เป็นไงมั่งพักนี้?”
“หนักครับ” เขาทูล “ช่วงนี้แย่มากเลยครับ”
“หนัก
อะไร” สมเด็จฯ ถาม
แล้วนาวาเอกก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่าง ๆ
ที่ประดังประเดเข้ามาทั้งเรื่องชีวิต
เรื่องการงาน
เขาบอกว่าตอนนี้จวนจะแบกไม่ไหวแล้ว
จึงมาเฝ้าสมเด็จฯ
ขอบารมีเป็นที่พึ่ง
สมเด็จฯ
นั่งสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่าและยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า
แล้ว
พระองค์ก็หยิบกระดาษชิ้นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของนาวาเอก
จากนั้น
พระองค์ก็เสด็จออกไปจากที่ประทับ
พร้อมกับรับสั่งว่า “นั่งอยู่นี่แหล่ะ
อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา
จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว”
แล้วจึงเสด็จเข้าไป
นาวาเอกนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า
และประคองกระดาษทั้งสองมืออยู่เป็นเวลานาน ๑๐ นาทีก็แล้ว
๒๐ นาทีก็แล้ว
สมเด็จฯ ก็ยังไม่ออกมา
เขา
เริ่มเหนื่อย แขนก็เริ่มเมื่อยล้า กระดาษชิ้นเล็ก ๆ
ซึ่งเบาหวิวดูจะ
หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออก
ในที่สุด
สมเด็จฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม
ทำทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สักพักก็มองกระดาษที่มือนาวาเอก
แล้วทรงถามว่า “เป็นไง?”
“หนักครับ พระเดชพระคุณ
เมื่อยจนจะทนไม่ไหว”
“อ้าว ทำไม ไม่วางมันลงเสียละ?” สมเด็จฯ รับสั่ง
“ก็
ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่อย่างนั้นนะสิ
มันจะเป็นอย่าง
อื่นไปได้ยังไง”
กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ที่เบาหวิว หากถือไปนาน ๆ เข้า
ก็ย่อมกลายเป็นของหนัก
ตรงกันข้าม ก้อนหินก้อนใหญ่
ถ้าไม่ไปแบกหรืออุ้มมัน ก็ไม่รู้สึกหนัก
ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้
ชีวิตหรือจิตใจหนักอึ้ง ควรรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
แม้
แต่ของที่มีประโยชน์ เราควรยึดถือก็ต่อเมื่อถึงเวลาใช้งาน
เมื่อใช้
เสร็จ ก็ควรวางลงเสีย นับประสาอะไรกับของที่ไร้ประโยชน์
เช่นความทุกข์
ความห่วงกังวล ยิ่งต้องวางทันที ที่รู้ตัวว่ามาครองใจ
หาไม่แล้วจะกลาย
เป็นของหนักจนเอาตัวไม่รอด
ขอบคุณบทความจาก ลานธรรมจักร
Free TextEditor