วันนี้ต้องโดดเรียนไปพบแพทย์ตามนัด
คุณหมอบอกว่าเราไม่ได้เจอกัน 5 เดือนเลยนะเนี่ย นานจัง ก็เพราะว่าครั้งที่แล้วรู้สึกว่าดีขึ้น เลยนัดนานได้
แต่พอครั้งนี้บอกหมอว่ามันไม่ดีอะ คือมันไม่เบื่อ ไม่ซึมเศร้าแล้ว แต่ดันหงุดหงิด โมโหง่าย ทะเลาะกับคนอื่นไปทั่วเลย ทั้งคนที่ทำงาน คนที่บ้าน
ก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้คุณหมอฟัง
หมอถามว่าช่วงนี้ shopping เยอะมั้ย >>> เยอะค่ะ ช่วงนี้ซื้อของบ่อยมาก อย่างเช่น ลิปสติกมีบนโต๊ะทำงาน 5 แท่งแล้ว ปกติแทบไม่ซื้อเลย แล้วก็มาเป็นแฟนคลับวงเกาหลี ก็สั่งซื้อซีดี ซื้อโฟโต้บุคไปเป็นพันๆ งือ
ปกติไม่เคยเป็นอะไรแบบนี้เลย จะซื้ออะไรแต่ละอย่างนี่คิดแล้วคิดอีก คิดจนไม่ซื้อ ปกติจะซื้อลิปนี่เลือกเป็นชั่วโมงๆ แต่นี่หยิบมาป้าย เออ สวยดี เดินไปจ่ายตัง ง่ายมาก
หมอบอกว่าจะเป็นเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจ อ่า
หมอเลยจะเพิ่มยาให้ แล้วถามว่าช่วงนี้มีปัญหากับน้ำหนักมั้ย ถ้ากินยาตัวนี้น้ำหนักอาจจะขึ้นนะ
ตอบหมอว่าปีนี้จะปล่อยน้ำหนักไปก่อน เพราะเรียนโทด้วย เลิกดึก มันต้องกิน แล้วก็ง่วงนอนมาก ต้องกินพวกชากาแฟทุกวันเลย สลับกันไปวันนึงกินลาเต้ อีกวันกินชาเขียวนม อีกวันกินชานม อ้วนแน่ๆ น้ำหนักขึ้นมาแล้ว
หมอถามว่ากินกาแฟอะไร กาแฟสดจะมีคาเฟอีนเยอะนะ แล้วคาเฟอีนจะทำให้หงุดหงิดง่าย
อ่าว ซวยเลย หรือว่านี่คือต้นตอของปัญหา
หมอบอกว่าถ้าจะกิน ให้กินกาแฟสำเร็จรูป เช่น เนสกาแฟดีกว่า คาเฟอีนจะน้อยกว่า เลยถามหมอว่าแล้วถ้าเป็นพวกชาขวดอย่างโออิชิหรือฟูจิล่ะ หมอบอกว่าอันนั้นก็ได้ คาเฟอีนจะน้อยกว่า แต่ให้ระวังน้ำตาลด้วย
เลยตัดสินใจแล้ว ว่าต่อไปจะกิน ฟูจิฉะฝาทอง
กลับมาที่ยา หมอบอกว่าถ้ากินยานี้ อาจจะทำให้อยากทานขนมเพิ่มขึ้น เห็นขนมแล้ว อุ๊ย น่าทานจังเลย อันนี้ก็ต้องระวังไว้ด้วย
เนื่องจากอาการไม่ค่อยดี หมอเลยถามว่าจะนัดกี่สัปดาห์ดี อย่างเร็วที่สุดคือ 3 สัปดาห์ หรือจะ 1 เดือน 2 เดือน
บอกหมอว่า 1 เดือนละกัน
จริงๆก็ขี้เกียจไปหาหมอนะ คนเยอะ รอนานมาก แต่อาการแบบนี้ ไปหาบ่อยๆน่าจะดีกว่า
หมอบอกว่าถ้าอาการไม่ดีขึ้น ต้องหยุดยาตัวเดิม แล้วปรับยาใหม่
สรุปคือฉันเป็น Bipolar type II disorder สินะ ช่วงนี้คงเป็น hypomania
ไปนั่งเสิร์ชหาโรคที่หมอบอกว่าเราเป็น hypomania บอกว่าเป็นอะไรซักอย่าง polar อ่อนๆ
Bipolar Disorder โรคอารมณ์แปรปรวน ชนิดสองขั้ว
โดยทั่วไปพบได้ประมาณ ร้อยละ 1-2 ของประชากรทั่วๆไป ที่มี โรคนี้อยู่ โดยมีลักษณะของอารมณ์ที่แปรปรวนขึ้นๆลงๆ ตรงกันข้ามกัน สองอย่างคือ ช่วงที่มีอารมณ์ซึมเศร้า (depressive episode) ซึงจะมีอาการเบื่อหน่ายท้อแท้ ไม่มีพลังในการทำงาน เสียสมาธิ และอาการอื่นๆและช่วงที่มีอารมณ์ครื้นเครง ร่าเริงเกินปกติ (manic episode) นอกจากนี้ยังมีอาการพูดมาก รู้สึกว่าตนเองมีพลังมาก ไม่หลับไม่นอน มีความต้องการทางเพศสูง มีโครงการมากมายและคิดว่าตนเองมีพละกำลังหรือมีอำนาจหรือมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อมีอการดังกล่าวสลับไปมาก็จะเรียกว่า Bipolar type I disorder แต่ถ้ามีอาการเด่นคืออาการของโรคซึมเศร้า และมีบางช่วงที่มีอาการ hypomania คือมีอาการร่าเริงใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย แต่ไม่รบกวนความสามารถในการทำงานมากนัก คืออาการไม่เด่นหรือรุนแรงเท่ากับ mania ก็จะเรียกว่า Bipolar type II disorder
ที่มา : https://www.facebook.com/note.php?note_id=246590635448704
โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) (2005-08-10) |
ผู้เขียน : รศ.นพ.มาโนช หล่อตระกูล |
ชื่อภาษาไทยของโรคนี้ชื่ออาจฟังดูแปลกๆ แต่ถ้าได้อ่านจบแล้ว ก็จะเห็นว่าลักษณะของโรคนี้เป็นแบบนั้นจริงๆ หรือหากมีใครอยากจะเสนอชื่อใหม่ที่คิดว่าน่าจะเข้าท่ากว่านี้ก็ยินดีนะครับ โรคอารมณ์สองขั้วเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ ผู้ที่เป็นจะมีอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน 2 แบบ แบบแรกมีลักษณะอารมณ์และพฤติกรรมออกเป็นแบบซึมเศร้า แบบที่สองมีลักษณะคึกคักพลุ่งพล่าน ซึ่งเรียกว่าเมเนีย (mania) จากภาพจะเห็นว่าผู้ที่เป็นจะอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปจากปกติเป็นช่วงๆ โดยเป็นแบบซึมเศร้าตามด้วยช่วงเวลาที่เป็นปกติดี จากนั้นอีกเป็นปีอาจเกิดอาการแบบเมเนียขึ้นมา บางคนอาจเริ่มต้นด้วยอาการแบบเมเนียก่อนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องตามด้วยอาการด้านตรงข้ามเสมอไป เช่น อาจมีอาการแบบ ซึมเศร้า - ปกติ ซึมเศร้า - เมเนีย เขามีอาการอย่างไร ผู้ที่เป็นจะมีอาการแสดงออกมาทั้งในด้านอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม โดยในแต่ละระยะจะมีอาการนานหลายสัปดาห์ จนอาจถึงหลายเดือนหากไม่ได้รับการรักษา ในระยะซึมเศร้า ผู้ที่เป็นจะรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด จากเดิมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ติดละคร หรือดูข่าว ก็ไม่สนใจติดตาม อะไรๆ ก็ไม่เพลินใจไปหมด คุณยายบางคนหลานๆ มาเยี่ยมจากต่างจังหวัดแทนที่จะดีใจกลับรู้สึกเฉยๆ บางคนจะมีอาการซึมเศร้า อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร้องไห้เป็นว่าเล่น บางคนจะหงุดหงิด ขวางหูขวางตาไปหมด ทนเสียงดังไม่ได้ ไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย อาการเบื่อเป็นมากจนแม้แต่อาหารการกินก็ไม่สนใจ บางคนน้ำหนักลดฮวบฮาบสัปดาห์ละ 2-3กก.ก็มี เขาจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้เป็นชั่วโมงๆ ความจำก็แย่ลง มักหลงๆ ลืมๆ เพราะใจลอย ตัดสินใจอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่มั่นใจไปเสียหมด เขาจะมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบไปหมด คิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น ไม่มีใครสนใจตนเอง ถ้าตายไปคงจะดีจะพ้นทุกข์เสียที หากญาติหรือคนใกล้ชิดเห็นเขามีท่าทีบ่นไม่รู้จะอยู่ไปทำไม หรือพูดทำนองฝากฝัง สั่งเสีย อย่ามองข้ามหรือต่อว่าเขาว่าอย่าคิดมาก แต่ให้สนใจพยายามพูดคุยกับเขา รับฟังสิ่งที่เขาเล่าให้มากๆ ถ้ารู้สึกไม่เข้าใจหรือมองแล้วไม่ค่อยดี ขอแนะนำให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาโดยเร็ว ในทางตรงกันข้าม ในระยะเมเนีย เขาจะมีอาการเปลี่ยนไปอีกขั้วหนึ่งเลย เขาจะมั่นใจตัวเองมาก รู้สึกว่าตัวเองเก่ง ความคิดไอเดียต่างๆ แล่นกระฉูด เวลาคิดอะไรจะมองข้ามไป 2-3 ช็อตจนคนตามไม่ทัน การพูดจาจะลื่นไหลพูดเก่ง คล่องแคล่ว มนุษยสัมพันธ์ดี เรียกว่าเจอใครก็เข้าไปทักไปคุย เห็นใครก็อยากจะช่วย ช่วงนี้เขาจะหน้าใหญ่ใจโต ใช้จ่ายเกินตัว ถ้าเป็นคุณตาคุณยายก็บริจาคเงินเข้าวัดจนลูกหลานระอา ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทก็จัดงานเลี้ยง แจกโบนัส มีโครงการโปรเจคต่างๆ มากมาย พลังของเขาจะมีเหลือเฟือ นอนดึกเพราะมีเรื่องให้ทำเยอะแยะไปหมด ตีสี่ก็ตื่นแล้ว ตื่นมาก็ทำโน่นทำนี่เลย ด้วยความที่เขาสนใจสิ่งต่างๆ มากมาย จึงทำให้เขาวอกแวกมาก ไม่สามารถอดทนทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ เขาทำงานเยอะ แต่ก็ไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ความยับยั้งชั่งใจตนเองมีน้อยมากเรียกว่าพอนึกอยากจะทำอะไรต้องทำทันที หากมีใครมาห้ามจะโกรธรุนแรง อาการในระยะนี้หากเป็นมากๆ จะพูดไม่หยุด เสียงดัง เอาแต่ใจตัวเอง โกรธรุนแรงถึงขั้นอาละวาดถ้ามีคนขัดขวาง อาการระยะซึมเศร้าจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มักเป็นหลังมีเรื่องกระทบกระเทือนใจ เช่น สอบตก เปลี่ยนงาน มีปัญหาครอบครัว แต่จะต่างจากปกติคือเขาจะเศร้าไม่เลิก งานการทำไม่ได้ ขาดงานบ่อยๆ มักเป็นนานเป็นเดือนๆ อาการระยะเมเนียมักเกิดขึ้นเร็ว และเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนภายใน 2-3 สัปดาห์อาการจะเต็มที่อารมณ์รุนแรง ก้าวร้าวจนญาติจะรับไม่ไหวต้องพามาโรงพยาบาล อาการในครั้งแรกๆ จะเกิดหลังมีเรื่องกดดัน แต่หากเป็นหลายๆ ครั้งก็มักเป็นขึ้นมาเองโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรมากระตุ้นเลย ข้อสังเกตประการหนึ่งคือคนที่อยู่ในระยะเมเนียจะไม่คิดว่าตัวเองผิดปกติ มองว่าช่วงนี้ตัวเองอารมณ์ดีหรือใครๆ ก็ขยันกันได้ ในขณะที่หากเป็นระยะซึมเศร้าคนที่เป็นจะพอบอกได้ว่าตนเองเปลี่ยนไปจากเดิม ในระยะซึมเศร้าหากคนใกล้ชิดสนใจมักสังเกตไม่ยากเพราะเขาจะซึมลงดูอมทุกข์ แต่อาการแบบเมเนียจะบอกยากโดยเฉพาะในระยะแรกๆ ที่อาการยังไม่มาก เพราะดูเหมือนเขาจะเป็นแค่คนขยันอารมณ์ดีเท่านั้นเอง แต่ถ้าสังเกตจริงๆ ก็จะเห็นว่าลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ตัวตนของเขา เขาจะดู เวอร์ กว่าปกติไปมาก ที่มา : //www.rcpsycht.org/detail_title.php?news_id=79
ส่วนยาที่คุณหมอจ่ายให้คือ Valproate 200 mg. (Depakin) ยานี้ใช้สำหรับ
ยานี้ใช้เพื่อควบคุมหรือรักษาการชักในผู้ป่วยโรคลมชัก (epilepsy) ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาภาวะ mania ในโรค Bipolar disorder ยานี้ใช้เพื่อป้องกันโรคปวดศีรษะไมเกรน (migraine) ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่นๆ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยจึงควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
วิธีใช้ยา ยานี้อยู่ในรูปแบบยาเม็ดชนิดปลดปล่อยที่ลำไส้ ใช้สำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละ 2-4 ครั้ง หรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร รับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที และควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง ควรรับประทานยาพร้อมอาหาร เนื่องจากยานี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ กลืนยาทั้งเม็ด ห้ามบด เคี้ยว หักแบ่งหรือทำให้เม็ดยาแตก ห้ามรับประทานยานี้มากกว่าหรือน้อยกว่า หรือบ่อยกว่าที่แพทย์สั่งให้ใช้ ไม่ควรหยุดใช้ยาเองทันที ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการหยุดใช้ยา ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้เครื่องจักร ยานี้อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ดังนั้นจึงไม่ควรลุกขึ้นยืนหรือนั่งลงอย่างรวดเร็ว การดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยานี้อาจทำให้มีอาการมึนงงหรือง่วงซึมมากขึ้น ที่มา : //www.yaandyou.net/index.php/component/drug/?nsetidT=4073&drugtype=t&drugname=SODIUM+VALPROATE+ENTERIC+COATED+TABLET+BP+200+MG |