โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 

Incredible India- Thali , the Famous Menu of india!!!

Namaste

14.00 a.m. 9 March 2008

เราตกลงใจที่จะพากันไปกินทาลิ อาหารประจำชาติอินเดียที่ร้านมยุระ ตอนแรกโทนี่กลัวว่าฉันจะไม่ชอบทาลิ แต่หารู้ไม่ว่า ฉันมันพวกชอบลองของ(กิน) ไปไหนก็ตามขอลอง(กิน)ไว้ก่อน ดีกว่ามานั่งเสียดายทีหลัง ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยนี่นา แต่ก่อนไปนั้นเรานั่งดูข่าว BBC กัน เป็นรายการ The Doha Debates ประมาณว่าถกกันเรื่องของมุสลิมเขา ฟังเข้าใจไม่หมดหรอกนะ (ถ้าเข้าใจหมด ฉันคงจะเซียนแน่แล้ว)
ระหว่างทางไปร้าน ฉันก็ได้ดูเมืองปูเน่ไปด้วย ปูเน่รึปูนา(สำหรับคนอังกฤษ) เป็นเมืองที่สงบสุขดี ไม่คับคั่งเหมือนมุมไบ เป็นเมืองแห่งการศึกษา ไม่ว่าด้านวิศวกรรม รึศิลปะ จะเห็นมหาวิทยาลัยและโรงเรียนอยู่ตลอดสองข้างทาง และยังมีพื้นที่ทางการทหาร และโรงพยาบาลมากมาย แต่กระนั้นหลุยส์ก็ยังพูดถึงการติดยาเสพติดของวัยรุ่นที่นี่ ที่มีเพิ่มขึ้นจากคำบอกเล่าของเพื่อนผู้เป็นเชฟ อยู่ในตัวเมือง ซึ่งฟังแล้วไม่น่าเชื่อสำหรับเธอในเมืองแห่งการศึกษาเช่นปูเน่
ช่วงนี้ฝนทิ้งช่วงแล้วบ้านเมืองจึงดูสกปรกไปหน่อย และก็แห้งมาก มองเห็นกองขยะได้ทั่วไปหมด ซึ่งปกติถ้าเป็นหน้าฝน มันจะเขียวสดใสไปหมด (และแน่นอน ขยะจะหายไป เนื่องจากถูกความเขียวกลบไปหมด พอหน้าร้อนก็โผล่มาด้วยกองที่ใหญ่กว่าเดิม ไม่ได้ถูกธรรมชาติย่อยไปแต่อย่างใด)
แล้วเราก็มาถึงร้านอาหาร ทาลิบุปเฟ่ กินไม่อั้น และไม่อั้นจริงๆ พี่แกจะเดินเสริฟตลอดเวลาแถมบางทีเห็นอาหารในถ้ายไหนพร่องไป เขาก็จะถือวิสาสะตักให้ทันที ซึ่งบางทีเห็นเขารี่มาปุ๊ป เราก็ต้องรีบยกมือเบรกขอดูก่อนว่าอะไรมา



การทานทาลิให้เข้าถึงนั้นต้องเปิปมือ และต้องมือขวาเท่านั้นนะ เพราะมือซ้ายเขาไว้ใช้.... นะสิ (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เหมือนเวลาที่อ่านแฮรี่ พอตเตอร์ไง... คนที่คุณก็รู้ว่าใคร!!!—ฮา) ก็เลยออกจะลำบากสักนิดนึงเวลาจะกินนาน(โรตีแขก)โดยที่ใช้มือข้างเดียวตัดแบ่ง บางทีก็เลยแอบใช้มือซ้ายบ้าง (ก็แบบว่า... ก่อนกินอาหารก็ล้างแล้วนิ) ซึ่งจะมีพนักงานเสริฟยกอาหารแต่ละกลุ่มมา เช่นถ้าเป็นแกง ก็จะเป็นแกงมาสามสี่ถ้วย จะตักอันไหนเขาก็จะหมุนถ้วยอย่างแคล่วคล่องว่องไว แล้วก็จากไปด้วยความรวดเร็วเหมือนเวลาขามา
ในถาดทาลิจะมีถ้วยเล็กๆ5ถ้วย ไว้ใส่แกงและซุปต่างๆ ดังนี้


1. Flower Vatana เป็นกะหล่ำดอกผัดกับถัวลันเตาและเครื่องเทศ
2. Paneer Pasanda เป็น ผักโขมกับชีส
3. Jaipuri Gatta เป็นอะไรไม่รู้ (ขออภัยด้วย เนื่องจากเจ้าตัวเขาก็อธิบายไม่ถูก จับได้แต่ว่าเป็นรากอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน)
4. Panchkuti Dal อันนี้คือ แกงถั่วจะมีรสเผ็ดนิดหน่อย
5. Gujarati Kadhi อันนี้เป็นแกงทำจากโยเกิร์ต จะหวานหน่อย เอาไว้แก้เลี่ยน
และก็จะมีอีกอย่างที่แขกชอบก็คือ Aloo Capsicum Dry จะตัดไว้ในถาด Aloo คือมันฝรั่ง ส่วน Capsicum คือพริกหวาน และก็ Dry ก็ผัดแห้งเจ้าค่า นอกจากนี้ก็มีเครื่องเคียงที่ทำจากโยเกิร์ตอีก
แล้วเขาก็จะเสริฟพวก นาน (ไม่ได้ปล่อยให้รอนานนะ แต่เป็นชื่อเรียกโรตีอีกแบบหนึ่งต่างหาก) แล้วก็ ซาโมซ่า—อันนี้ก็ยอกฮิต เช้าๆจะเห็นเยอะ ใส้มันฝรั่งบ้าง ราคาถูกแค่ 3 รูปีต่อชิ้น (อาหารเช้าสำหรับชาวแบ็กแพคบางคนก็จะเป็นซาโมซ่า 2 ชิ้น ราคา6 รูปี กับจ๋าย แก้วละ3รูปี รวมแล้ว ไม่เกิน10 รูปี ก็อิ่มได้สบายแฮ) แต่อันนี้ข้างในเป็นข้าว เพราะเป็นแบบจีน แล้วก็มีปาปาดาม อันนี้พวกแขกชอบกินกับเบียร์(เขาบอกมานะ) นอกจากนี้ก็มี Dahi Wada เป็นแป้งทอดเล็กแข็งๆ ปุรี—อันนี้ของโปรด เป็นแป้งทอดกรอบพอง ข้างในกรวง อร่อยมาก เผลอๆจะให้เขาเสริฟจนอาจกินไม่หมดเลยทีเดียว
ถ้าเราไม่ชอบพวกโรตี เขายังมีข้าวผัดด้วย และก็คิเชอรี เป็นข้าวต้ม ต้มกับดาลและผงขมิ้น พ่วงด้วยเครื่องเทศบางชนิด มักจะราดด้วยกี(เนยใสของแขก) จะออกเค็มๆนิดนึง อันนี้เขามักจะทำให้คนป่วยหรือว่าผู้พักฟื้อนกิน เพราะย่อยง่าย ดีกับกระเพาะอาหารและลำไส้ รึถ้าไม่ถูกใจจะเอาข้าวสวยธรรมดาเขาก็มี
นอกจากนี้เขาก็จะเสริฟนมเค็มๆ ซึ่งโทนี่บอกว่าดีกับระบบย่อยของเรา ป๋าแกก็เลยดื่มไปซะสองแก้วเลย
พอจ่ายเงินเสร็จเขาก็มีเครื่องเทศเคลือบน้ำตาล เพื่อไปช่วยกระเพาะอาหารให้ทำงานดี ไม่ปวดท้อง
แต่ก็เรียกว่าถ้ากินทั้งหมดนั่นได้ ฉันก็คงจะปวดท้องแน่นอน ขนาดนี่กินอย่างละนิดละหน่อยแล้ว ไม่ได้แตะถึงของหวานเลย ยังไม่วายอิ่มเป็นชูชกออกมา ที่นี่ราคาต่อหัว 200รูปี แต่ที่เคยกินที่ออรังกาบาด แค่ 85 รูปีเท่านั้นเอง
หลังจากนั้น หลุยส์ก็พาวนไปรอบอีกด้านของเมืองปูเน่ จริงๆวนไม่กี่รอบก็ทั่วแล้วหละ แต่หลุยส์เธอมีความสุขกับการชมเมืองเช่นกัน เลยเพลิดเพลินทั้งเกสและไกด์
หลุยส์เป็นคนน่ารัก ฉันเห็นเธอโบกมือให้คนทั่วเมือง ชาวบ้านก็โบกมือตอบ ท่าทางเธอป๊อปปูล่าอยู่ แต่พอถามกลับได้คำตอบว่า ก็ไม่รู้จักสักคน แต่เขาคงต้องดีใจแหละที่เราโบกมือให้ ไม่งั้นจะโบกตอบทำไม แถมบางวันก็นั่งนับว่าวันนี้มีคนไม่รู้จักยิ้มให้กี่คน เออ เอากะเธอสิ
หลังจากนั้นเราก็แอบมางีบกันที่บ้าน ก่อนที่ฉันจะตามหลุยส์ไปโบสถ์ในตอนเย็น ร้องเพลงเล่น เย็นๆใจ ส่วนป๋าโทนี่ขอบาย นอนอยู่กับบ้านดีกว่า (เพราะไปบ่อยแล้วน่ะ)
อย่านึกแปลกใจว่าทำไมถึงไปโบสถ์ ก็เป็นชาวพุทธนะ แต่ฉันกับโทนี่ต่างก็มีความเชื่อเดียวกันว่าเราทุกคนล้วนมีพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้นไม่มีการแบ่งแยกศาสนาแต่อย่างใด ใครจะทำอะไร ไปไหน ได้หมด ..... อาเมน...สาธุ....บลาๆๆๆ(ไม่มีแคลอรี่)
โอมมมมมม ขอสันติสุขจงบังเกิดแก่ท่าน รักเด็ก รักสัตว์ พิทักษ์โลก(สโลแกนใครเอ่ย คุ้นๆนะ)

Hari Om




 

Create Date : 10 มีนาคม 2551    
Last Update : 5 มิถุนายน 2551 8:22:38 น.
Counter : 815 Pageviews.  

Incredibe India--Pune the city of Education

Namaste Again

03.20 a.m.
9 มีนาคม 2551
ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง
เรื่องราวของรถไฟอินเดียที่ยอดนิยมที่สุดที่ทุกคนคงได้ฟังบ่อยครั้ง เป็นเรื่องความล่าช้าของรถไฟอินเดีย ที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งได้รับคำร้องเรียนเรื่องนี้ จึงต้องการพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่ พอถึงเวลาขบวนที่ท่านรออยู่ ท่านก็ออกไปยืนรอ และพบว่ารถกำลังเข้าเทียบท่าพอดี พลันก็นึกในใจว่า ไม่เห็นจะจริงเลย ก็มาตรงเวลาดีนี่ ขณะที่กำลังดีอกดีใจอยู่นั้นเอง ข้าราชการชั้นผู้น้อยประจำสถานีก็บอกว่า “ ยังครับท่าน ของท่านยังมาไม่ถึง อันนี้เป็นขบวนของเมื่อวาน ” ฮาๆ
แต่วันนี้ขบวนรถของเรา มาถึงก่อนเวลา 5 นาที!!!! เอ? หรือว่าเขาพัฒนาแล้ว???
อยากจะบอกว่าอย่าชะล่าใจนะคะ เพราะปูเน่อยู่ห่างจากมุมไบแค่ไม่กี่สถานีเอง รถไฟขบวนนี้ยังต้องวิ่งไปอีกวันกว่าๆทีเดียว
ด้วยความอดทนที่เมื่อคืนนั่งฟังแขกคุยกัน (โดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมวงด้วย)เจ้าหน้าที่ก็มาแจกหมอนและผ้าห่มให้หลังจากขบวนขยับออกจากสถานีได้ไม่นาน ฉันก็เริ่มต้นนอนทันที ปรากฎว่าแขกกลุ่มนั้นมันกรนก่อนฉันอีก!!! มารู้สึกตัวตอนแขกกลุ่มนั้นตื่น เพราะเขาต้องลงก่อนฉันสักสองสถานี ถึงแม้ว่าจะตั้งนาฬิกาปลุกแล้วก็ตาม แต่เพื่อความแน่ใจก็ลุกมาตรวจสอบเวลาสักนิดนึง เออ... สถานีนี้ก็สายไปประมาณห้านาที พอใกล้เวลาก็ว่าจะแปรงฟันสักหน่อย แต่ปรากฎว่าพอจะแปรง รถไฟก็เทียบท่าซะแล้ว ชะโงกหน้าออกไปถาม เขาก็ว่าปูเน่แล้ว ทำเอาเกือบลงจากรถไม่ทัน ดีนะว่าได้ที่นั่งหมายเลขหนึ่ง อยู่ตรงหน้าประตูพอดี
พอลงมาก็ลองมองหาเพื่อนหน่อย ก่อนจะเดินไปรอหน้าสถานีด้วยความหวั่นใจว่า เขาจะตื่นมารอฉันมั๊ยเนี่ย ตีสาม!!!
หลังจากเดินวนรอบสถานีไปหนึ่งรอบ บรรดาคนขับรถแท๊กซี่ก็จำหน้าได้ เพราะเวียนเข้ามาถามกันทุกคนว่าจะเอารถมั๊ย พอรอบที่สองเขาก็ยิ้มๆกัน ฉันก็ยิ้มด้วยและเดินต่อ ก็มีชายคนขับคนหนึ่งเข้าขวางไว้ (อย่าน้าว้อย!! สู้นะว้อย!!!) มาบอกว่า เพื่อนคุณเดินข้ามไปดูที่ชานชลา จึงให้ฉันน่ะหยุดเดินแล้วรอตรงข้างหน้าดีกว่า ฉันก็กลัวโดนอำ เลยถามไปว่ามากี่คน พอเห็นเขาชูสองนิ้ว ก็ชัวร์แน่ จึงหยุดรอ เพราะพวกเขามักจะไม่เชื่อกันหรอกเวลาบอกว่ารอเพื่อนอยู่น่ะ มักจะมองและเดินตามจนกว่าเราจะเลือกใครสักคนที่เดินเข้ามา เพราะคิดว่าฉันอยากจะต่อราคาค่ารถ
แล้วสาวร่างใหญ่เกินไซส์มาตรฐานอินเดียก็เดินมาในชุดซัลวาร์กามีสีชมพู ชุดประจำชาติอินเดีย (คือที่เกินน่ะความสูงนะ แต่ความกว้างได้มาตรฐานอินเดียเลย แถมยังล้ำหน้ากว่าด้วย) พร้อมกันหนุ่ม (อายุเยอะ)ชาวอินเดีย ฉันกับเพื่อนกอดกันด้วยความยินดี หลังจากที่เล่นซ่อนหา เดินกันเป็นวงกลมกลับไปกลับมาทั้งในและนอกสถานี เป็นเวลากว่าสิบนาที
ฉันกับหลุยส์กอดกันกลม (กลมของแท้ เพราะฉันงี้แทบจะจมเข้าไปในตัวหลุยส์เลย) แล้วก็ไต่ถามทุกข๋สุขของกันและกัน เลยไปถึงน้องเฌอด้วย หลุยส์เป็นพยาบาลชาวออสเตรเลีย ทำงานกาชาดสากล ย้ายไปย้ายมาบ่อยๆรอบโลก ส่วนโทนี่เป็นวิศวกรชาวอินเดีย ทั้งคู่เป็นคู่ที่น่ารักมากๆ(ไม่ได้ถามว่าเจอกันยังไงหรอกนะ) แม้ว่าจะไม่มีลูก(เพราะโทนี่แก่กว่าหลายปีอยู่)แต่พวกเขาก็มีความรักเผื่อแผ่แก่คนรอบข้างมากมาย
จากนั้นเราจึงนั่งรถโดยมีหลุยส์เป็นคนขับ (ไม่เคยเห็นโทนี่ขับเลยง่ะ รึว่าอายุเยอะแล้วไม่ขับกัน)
บ้านของหลุยส์(และโทนี่) น่ารักมาก จริงๆต้องเรียกว่าคอนโดมากกว่า แต่กว้างมาก มีหลายห้อง คือไม่รู้จะบอกว่ามันกี่ห้อง เพราะว่ามีทั้งห้องทำงานห้องครัว ห้องน้ำสามห้อง ห้องนอนสามห้อง และห้องนั่งเล่นแถมระเบียงก็กว้างมาก ไม่ได้เอาไว้แค่ตากผ้าอย่างของคอนโดไทย ที่แม้แมวจะอยากดิ้นตายยังทำไม่ได้เลย
หลุยส์ทำหน้าที่โชว์บ้านให้ดู แต่โทนี่ขอตัวไปนอนเพราะอยากจะตื่นมาวิ่งตอนหกโมงเหมือนปกติ(พระเจ้าจอร์จ โทนี่ยอดมาก) แต่เราก็คุยกันไม่นาน ต่างก็อยากจะนอนเต็มที ฉันจึงขอตัวไปอาบน้ำก่อนนอน และล้มตัวลงบนที่นอนอย่างอบอุ่นในความรักที่ทั้งสองคนมีให้แก่ฉัน สาว(เหลือ)น้อยผู้จากบ้านมาไกลราวสี่ชั่วโมงบิน

08.00 a.m.
ตื่นมาแต่เช้า เพราะว่าที่เมืองไทยก็ปาเข้าไปเก้าโมงแล้ว แม้หลุยส์จะบอกว่าให้นอนตามสบายเพราะไม่ได้นอนเกือบตลอดทาง แต่ฉันก็ยังแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพราะต้องการจะปรับตัวกับเวลา จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้หรอก ฉันเป็นคนนอนง่าย ตื่นง่าย ไม่เรื่องมาก มีเวลาให้นอนก็นอน ไม่มีก็ไม่นอน
ขณะเดินไปเข้าห้องน้ำ แอบมองเห็นหลุยส์ยังนอนแผ่อยู่บนเตียงในห้อง เลยมานั่งเขียนบันทึกให้สบายใจ ไม่รีบร้อนแต่อย่างใด แต่กลัวขี้เกียจเท่านั้นเอง เดี๋ยวจะพาลลืมเรื่องราวซะหมด ที่บ้านมีเน็ตความเร็วสูงด้วย แต่ต่อไม่ได้ คงจะต้องใส่รหัสละมั๊ง ว่าจะส่งเมล์หาพี่สาว เลยต้องรอไปก่อน
ก็เลยถือโอกาสค้นเอาของฝากออกมา ของฝากที่กินน้ำหนักไปหนึ่งโลเต็มๆ ข้าวสารหอมมะลิ!!!(ยังไม่เสก) พี่สาวได้ฟังก็บอกว่าบ้า บ้านเขาไม่มีข้าวรึไง มันก็มีอ่ะนะ แต่นี่น่ะ ข้าวสารเคลือบสมุนไพรนะ สี่สีสี่สรรพคุณ ไม่รู้จะชอบมั๊ย แต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไร จะเอาเสื้อผ้ามาก็กะไม่ถูกว่าไซส์หลุยส์จะใหญ่ขึ้นขนาดไหน ก็ได้ข้าวสารนี่แหละ ฉันยังอยากกินเลย แต่ให้กินทุกวันก็คงไม่ไหว ก็มันแพงนี่นา!!!

10.00 น.
อาหารเช้าแบบฝรั่งง่ายๆ พร้อมกับชาใส่นม ,Marcela และขิง อันนี้คือจ๋ายนั่นเอง ชาวอินเดียชอบชาชนิดนี้มาก เรียกว่าถ้าใครมาถึงอินเดียแล้วไม่ได้ทานชาอินเดียเนี่ยเรียกว่ายังมาไม่ถึง สำคัญมากพอๆกับทัชมาฮาลเลยนะเออ!! โดยถ้าหากทานถึงวันละสามแก้วก็แปลว่าเข้าถึงโดยแท้ (ใครไม่อยากเสียตังค์ในการเข้าชมทัชมาฮาลแพงๆ ลองทานชาแก้วละ 5 รึ3 รูปีดูซะหลายๆแก้วก่อนก็ได้—ฮา)
หลังจากนั้นก็มีแม่บ้านทำความสะอาดบ้าน โทนี่ที่ร่ำอยากจะไปเดินเล่นตั้งแต่ 6โมงเช้า ตื่นเมื่อ 9โมง (ฮาๆๆ) โทนี่ถูกใจของฝากมาก แต่แอบเหน็บนิดนึงว่า “ อ๋อ ที่ช่วยแบกขึ้นชั้นสองมาหนักๆเนี่ย ก็ของๆฉันเองเหรอ ” (ฮา)จากนั้นก็เป็นการนั่งคุยพร้อมกันไปด้วย เราผลัดกันเล่าเรื่องครอบครัวกัน ฉันได้ทีก็เลยคว้าเอาวีดีโอในเครื่องคอมมาเปิดให้ดู อย่าถามนะว่าอะไร ก็น้องเฌออีกตามเคย (ฮา) โทนี่ชอบมากที่เห็นเด็กๆได้ทำกิจกรรมกัน และชื่นชมน้องเฌอมาก ทำเอาแม่มันจมูกยื่นออกมาหลายเซ็น (แหม.. ถ้ามันไม่หดกลับเข้าไปก็ดีหรอก!!)
ฉันคุยถึงพ่อที่อายุมากแล้ว ต้องคอยดูแล หลุยส์ถามว่าอายุเท่าไหร่ พอบอกไปว่า 67 ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นหลุยส์กลั้นหัวเราะแล้วมองหน้าโทนี่ ฉันเลยต้องหันกลับไปบอกโทนี่ทันควันว่า ฉันไม่ได้หมายความว่าคุณแก่นะ (เอ?? ตกลงโทนี่อายุเท่าไหร่หว่า? ท่าทางต้องราวๆพ่อฉันแน่นอนเลย—ฮา) ส่วนแม่โทนี่นั้น อายุ90แล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงอยู่มาก เธอไม่มาอยู่ที่ปูเน่เพราะไม่ชอบอยู่คอนโด เธอชอบปลูกโน่นปลูกนี่ ทำอาหารให้คนอื่น และเหตุที่เธอยังคงแข็งแรงมาก โทนี่บอกว่าเธอปฏิบัติภักติโยคะ ซึ่งเป็นโยคะแบบที่จะร้องและสวดมนตราเท่านั้น ฉันเลยวินิจฉัยว่าคงเพราะเธอนั่งร้องเพลงนานๆโดยไม่ใส่ใจความเจ็บปวดต่างๆของร่างกาย จึงเหมือนเป็นการฝึกฝนร่างกายไปในตัว จึงทำให้ข้อต่อต่างๆตามร่างกายของเธอยังดีอยู่ หลุยส์ก็เห็นด้วยเพราะเธอเล่าว่า แม่ของโทนี่จะหน้าตาแจ่มใสมากเป็นพิเศษเวลาที่ได้สวดมนต์และร้องเพลง
ฉันกับโทนี่และหลุยส์ก็เปลี่ยนที่มานั่งเสวนากันถึงความเปลี่ยนแปลงของอินเดียในด้านต่างๆที่ระเบียง แสงแดดที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาทีละน้อยทำให้ทั้งสองต้องจัดการเอาบังตาลง ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แล้วหลังจากนั้นเราก็นอนกลิ้งกันที่ระเบียง (เพราะได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยโดยแม่บ้านชาวอินเดียผู้ช่ำชอง) บางครั้งฉันก็ทำตัวไม่ค่อยถูก เพราะความที่ต้องอยู่ระหว่างความเป็นตะวันตกกับตะวันออกซึ่งออกแนวสุดขั้ว แต่ดีที่โดยส่วนใหญ่โทนี่ใช้ชีวิตในอังกฤษ เลยเข้าถึงวัฒนธรรมตรงนั้นดีกว่าฉัน จึงรับได้กับท่าทางครึ่งๆกลางๆของฉัน หลุยส์อยากทำแกงเขียวหวานมาก เลยบอกให้ฉันช่วยสอน ฉันก็ตกปากรับคำเป็นอย่างดี(เอ่อ...ขอตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน สมน้ำหน้า แม่สอนไม่รู้จักจำ !!!) เหลือเวลาอีกวัน จะเมล์ไปถามใครทันมั๊ยหว่า??





 

Create Date : 10 มีนาคม 2551    
Last Update : 10 มีนาคม 2551 8:22:20 น.
Counter : 696 Pageviews.  

Incredible India--My Yoga Trip Started!!!

Namaste Everybody

8มี.ค. 2551 17.30
ประเทศไทย

การที่ต้องเดินทางกับสายการบินราคาถูก แถมยังไม่ได้มีไฟล์ททุกวันด้วยแล้ว ก็แน่นอนอยู่แล้วที่เครื่องก็จะต้องเต็มแน่เลย แต่ค่อนข้างจะผิดจากที่คิดไว้มากเลย เครื่องค่อนข้างดีทีเดียวและก็ใหญ่พอสมควร (สำหรับคนขนาดข้าพเจ้านะ) แต่ถึงกระนั้นก็เหอะ ก็ยังเห็นสาวแขกที่มีปัญหากับการยัดตัวเองลงที่นั่ง เนื่องจากขนาดที่มีปัญหาทั้งบนและล่าง ถึงกับต้องยกที่วางแขนขึ้นก่อน แล้วค่อยนั่งลงไป แล้วจึงล็อคตัวเองด้วยที่วางแขน ทำเอาเชฟตี้เบ็ลท์อายไปเลย เพราะแน่นหนากว่าอีก
ตอนผ่านเครื่องสแกนแขกบางคนก็มีปัญหาอีก เพราะเขาจะให้เอาของเหลวจำพวกครีมทั้งหลาย รวมไว้อยู่ในซองเดียว ขณะที่ฉันกำลังยัดข้าวของประดามีลงซอง ก็มีแขกคนหนึ่งหยิบเอาถุงซิบไปใส่มือถือซะงั้น เจ้าหน้าที่ก็พยายามอธิบายว่า ถุงเนี่ยเอาไว้ใส่ของเหลวเท่านั้น แล้วก็ดึงตะกร้าวางถุงกลับมา แล้วก็บ่นออกมาว่างบประมาณไทยนะ เออ เอากะเขาสิ แถมแขกคนนั้นก็มีสัมภาระเยอะเหลือเกิน พยายามเอารถเข็นเข้าไปด้วย เฮ้อเหนื่อยแทนเจ้าหน้าที่มากๆ
พอเดินขึ้นเครื่อง ที่นั่งฉันก็อยู่หลังซะเหลือเกิน มันก็ยังไม่เท่าไหร่หรอก แต่การมองไปทางไหนก็เห็นแต่แขกหัวดำนี่สิ ชะเอิงเงย ฉันสำรวจเลขตั๋วก็ดันได้ตรงกลางอีก ขนาบด้วยแขกซ้ายขวา แบบว่า.....ลืมทุกที เพราะมัวแต่คอยดุน้องเฌอที่มาส่งที่สนามบิน เลยลืมระบุที่นั่งไป (ต้องคอยเตือนตัวเองขากลับทุกครั้งไป) แต่ตาแขกคนที่ได้ตั๋วริมก็น่าร๊ากซ้ะ ให้ฉันย้ายไปนั่งติดหน้าต่างแทน เลยสบายแฮไป เสียอย่างเดียวตรงจะไปเข้าห้องน้ำนี่นะสิ
ตัวเครื่องก็ดีแล้ว แถมเก้าอี้ก็มีจอให้ทุกเก้าอี้ด้วย ที่น่ารักอีกอย่างคือ เขามีการพรีเซนท์เป็นการ์ตูนด้วย พวกที่เกี่ยวกับความปลอดภัยน่ะ ฉันเลยถือโอกาสถ่ายรูปซะเลย แขกคนข้างๆมันเห็นเข้า ก็แอบเม้าท์กะเพื่อนมันซะ อะนะ ก็น้องเฌอเขาสั่งให้ถ่ายทุกอย่างที่น่าสนใจนี่หว่า ฉันเองก็ดันเป็นแม่ที่อยู่ในกรอบของลูกทุกประการซะด้วย

8 March 2008 Thailand

The travelling with economy airway and have only 3 flights per week…so…sure!! It was fulled. But it was different than I thought. The airplane is good and big (for my size!!) but I still saw some girls who had problem to fit themselves in their seat. They had to take handrest up before sitting and then… locked themselves by handrest (not safety belt !!!) that made safety belt was so sad.

My seat was in the backside …that is fine. But when I saw around and saw only Indians!!...(sure I was going to India!!) I got the middle seat!! I always forgot because of Cher-cher, had to take care her when she sent me at the airport then…I forgot to tell that where I wanna sit!! But the Indian guy asked me to take his seat because he wanna sit by his friend. Very nice, very nice!! (the problem is only when I wanna go to toilet!!)

Airplane was good…I had my own screen…and presented security by cartoon too!!



แต่บริการนั้นค่อนข้างจะทำเอามึนไปหน่อย เพราะอาหารเขายกมาทีละสองถาด ไม่ได้มาเป็นรถ คงจะกลัวเกะกะมั้ง แถมกว่าจะมาเก็บถาดอาหารไป ก็ปาไปชั่วโมงสุดท้ายแล้ว เกือบอดเข้าห้องน้ำแน่ะ

บรรดาแขกๆกินเบียร์กันหนักมาก อยากจะบอกว่ามันแย่มาก แม้จะเป็นไฟล์ทที่ไม่สูบบุหรี่ แต่เหม็นเบียร์ง่ะ ( โดยเฉพาะตอนมันพร้อมใจเรอนี่ สุดๆเลย )


21.00 มุมไบ อินเดีย
ก่อนจะลงเครื่อง แขกก็ยังเป็นแขก ล้อแตะรันเวย์ปุ๊ปก็พร้อมใจกันลุกปั๊ป จนเจ้าหน้าที่ต้องกระโจนออกมาด้วยความเหนื่อยใจ และบอกให้นั่งลงก่อน แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงเตือนข้อความเข้า มาเป็นระยะๆ ทั้งที่เพิ่งเตือนไปหยกๆว่าอย่าเพิ่งเปิดเครื่อง

แขกก็เหมือนกันไทยตรงที่ มันมีมือถือแทบทุกคนเลย แถมตอนเดินลงมาขึ้นรถ ยังเห็นหนุ่มคนหนึ่งใช้มือถือหน้าตาเหมือนไอโพน แต่มันยกมาเขย่าๆซะงั้น ท่าทางจะเป็นเครื่องจีนที่ลอกไอโพนมา แต่เพิ่มฟังก์ชั่น พอเขย่าแล้วเปลี่ยนเพลง ( โอ้พระเจ้าจอร์จ อยากให้น้องสาวฉันได้เห็นจัง ฮาๆ )

But I didn’t get …why they served the meal… one by one …didn’t come with cart. Then they finished to serve meal a hour later!!

Even if it was non-smoking flight but I would like to say that it was very bad that Indians around me drank too much bier!! (specially when they belch!!)

9 p.m. Mumbai, India
Before landing...Indians are Indians when the wheels touched the runway. They stood up immediately!! The stewards had to ask them to sit again and again. Also the sound “ Peep..peep ”(for incoming SMS)…I was sure that captain warned about mobile already!!

23.19 on the train Mumbai


การแบกน้ำหนักร่วม 30โลก็ไม่หนุกเท่าไหร่ แต่เท่าที่พยายามลดน้ำหนัก (กระเป๋า)ไปแล้วนั้น ก็คงได้สุดๆแล้วหละ พอได้กระเป๋าปุ๊ปก็ต้องแลกเงิน ที่สนามบินมีหลายเคาน์เตอร์ บางเคาน์ทเตอร์ก็ไม่เปิดไฟ แต่จะเรียกลูกค้าโดยการกดเครื่องคิดเลขให้ดู พอใจก็แลก เคาน์เตอร์ที่เข้าไปเขากดให้ 39.75 Rs. แต่ที่เปิดไฟโชว์ที่ 39.60 Rs. ฉันเลยแลกเคาน์เตอร์นี้ แต่แล้ว แขกก็คือแขก คนกดเลขกะคนแลกมันคนละคนกัน มันดันให้มาแค่39.65 ก็เลยต้องโวยซะ บางทีถ้าเราไม่รอบคอบก็จะมีอย่างนี้แหละ มันเล่นทุกทาง ดีว่าฉันนับเงินตรงหน้าเขานะ ฉันเลยโวยได้ ก็เลยได้มาอีก 15 Rs. เอาไว้กินชาดีกว่า

การจะเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย เราก็ทำได้ทางเดียวคือ ออกเดินทางซะ สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา เอ้ย ออกไป ตอนแรกว่าจะหาคนแชร์ค่าแท็กซี่ด้วย แต่พอเข้าไปถามปรากฎว่าเขาได้ครบ4คนแล้ว ฉันเลยกลับมาที่เส้นทางเดิมของฉัน ก็คือ ไปสถานีอันเหริ แล้วต่อรถไฟ ซึ่งก็ถ้าต้องนั่งแท๊กซี่มันคงโดนหนักแน่นอน ฉันก็มองหาริ๊กชอว์แทน ซึ่งพวกนี้จะจอดอยู่ข้างนอกค่ะ แต่ก็ห่างออกไปแค่50เมตรเท่านั้นแหละ
และแล้วแขกก็เป็นแขก คนขับคนอื่นบอกว่า30-35รูปี แต่ไอ้คันที่เราขึ้นมันดันจะเอา50 เพราะมันว่ามันต้องรอนานในคิวอีก ฉันก็ดึงดันราคามาตรฐาน (ที่คนอื่นบอกและเราทึกทักเอาเอง) ไม่งั้นก็จะลง ไปๆมาๆเราเลยตกลงกันได้ที่40 รูปี ไม่งั้นมันก็ต้องไปต่อคิวใหม่ เสียเวลา

พอถึงสถานีมันก็ชี้แบบว่าหมดอารมณ์ ว่าอยู่นั่นไง จริงๆแล้วถ้าอยู่ที่กรุงเทพเนี่ย50ก็จะให้นะ เพราะอยู่ห่างไปพอควร แต่เนื่องจากตั้งปนิธานว่า มาเพื่อเอาชนะแขกเท่านั้น เลยต้องหาเรื่องต่อทุกอย่าง พอไปถึงก็มีชายหนุ่มน่ารักเข้ามาช่วย เพราะเขาเห็นเรามองหาอะไรสักอย่าง หน้าตาเหรอหรามาก และเขาเองก็ไม่ใช่คนมุมไบ แต่ว่ามาทำงาน อยู่ในบริษัทยาแห่งหนึ่ง เขาจึงเข้าใจท่าทางของบ้านนอกเข้ากรุงเป็นอันมาก แถมยังช่วยแบกหิ้วไอ้กระเป๋า20โลคนละข้างเดินขึ้นเดินลงอีกต่่างหาก

ถ้าเราไม่เก็บปากมากไปเราก็จะถึงเป้าหมายแน่นอน
และแล้วฉันก็มาถึงCST ท่ามกลางสาวๆที่น่ารักในตู้รถสำหรับสุภาพสตรีเท่านั้น พอจะลงก็หันมาถามว่าจะลงไหน น่ารักมากๆ คือเธอกลัวฉันลงผิดน่ะ
พอลงมาที่ชานชลา1 ฉันก็เห็นโต๊ะเจ้าหน้าที่เลยเข้าไปถามหาขบวนรถของฉัน ซึ่งน่าจะอยู่ที่ชานชลาแล้ว เขาก็บอกว่าชานชลาที่ 15 ฉันก็เดินจากอันแรกไปยังสุดท้าย (เพราะ 15มันสุดท้ายเลย)
และแล้ว แขกก็ยังเป็นแขก มันก็เข้ามาเมื่อฉันเดินถึงชาน15 ทำท่าทางใจดี เอาตั๋วที่เราพิมพ์ไปดู แล้วบอกให้ตามไป ซึ่งเราก็เห็นอยู่ว่าขบวนอยู่ไหน และเราก็รู้ว่าจุดประสงค์ของแขกคนนั้นคืออะไร สุดท้ายพอมาถึงตู้รถ มันก็บอกว่าให้มาสัก10รูปีก็ได้ แต่เรายืนยันไม่ให้ เนื่องจากเริ่มเกมในเมืองแขกแล้ว ไม่มีทางที่เราจะแพ้ง่ายๆแน่ ก็เล่นให้เราแบก30โลอยู่คนเดียว มันแค่นำมา ซึ่งฉันก็มาเองได้ ไม่เห็นต้องพึ่งมันเลยล่ะ ก็ดึงดันไม่ให้ซะ
เฮ้อ เหนื่อยว้อย!

และฉันก็มาถึงเมืองแขกด้วยการสั่ง "เอ๊กจ๋าย" ดื่มไปแก้วแรก ที่เดินมาขายในตู้รถ ในราคา5รูปี และนั่งฟังแขกกลุ่มที่นั่งติดกัน มันเสวนากันเสียงดัง อยากจะบอกมันเหลือเกิน
นี่มัน จะเที่ยงคืนแล้วนะว้อย!

Carrying 30 kg. it wasn’t funny!! Even if I tried to reduce the weight(my bagpack...not me!!) but it was still heavy. I exchanged some money at the airport. Even I got bad rate but I had to. They tried to showed me a very good rate but gave me in another rate(again..cheat!!) but I didn’t came here to be loser. I asked for my money… 15 Rs. more!! Then I could have chai at on the train.

I tried to find some one to share taxi to CST…but nobody. So I decided to find the rickshaw outside to Anheri station. He told me 50 but I said….40 Rs. Winner!!

When I was at the station, it was different when I was there last time so…one guy who works with the pharmacy company…help me to find my platform and brought me to the counter to by ticket also. Very nice, very nice. (he said because I looked like just came from country—fine!!!)

Then the guy at CST tried to help me to find my seat and asked me for money (again). But I gave him nothing because I carried 30 kg. by myself …and I could find my cabin…no need his help!!...sh..t I was so tried to fight with Indians!!!

Only one thing can make me feel better “ one chai pls ” and listened to some indians that still keep talking. I would like to tell them that “hey!! It is midnight!!”


Hari Om




 

Create Date : 10 มีนาคม 2551    
Last Update : 5 มิถุนายน 2551 13:39:31 น.
Counter : 536 Pageviews.  

และแล้วการเดินทางสู่อินเดียก็เริ่มต้น ...วิถีแห่งโยคีรออยู่ไม่ไกล ภาค 2

นมัสเตตอนเช้าค่ะ

ต้องรีบเขียนนะเนี่ยดี๋ยวลืมหมด
ตอนนี้ก็เข้าสู่การจองตั๋วเครื่องบิน ก็ค้นหาตั๋วราคาถูกกันไป ได้มาอยู่ที่12500บาท ของคาเธ่ย์แปซิฟิก
ของการบินไทยราคาตั้ง23000แน่ะ บางเจ้าบอก25000 โหดมาก รักประเทศไทยนะ แต่บินด้วยไม่ไหวละกา

ของแอร์อินเดียเนี่ยก็ต้องระมัดระวังกันหน่อยเพราะว่าเครื่องมักดีเลย์ หลายๆประเทศก็ถอดออกไปแล้วสำหรับสายการบินนี้ อย่างมะหานแอร์เนี่ยก็โดนหลายประเทศถอดออกจากยุโรปเพราะอะไรรู้มั๊ยคะ เพราะว่าเครื่องบินไม่มีกล่องดำค่ะ ไอ้กล่องบันทึกการบินเนี่ยแหละค่ะ เพราะราคาค่าตั๋วของเขาถูกมาก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันมั๊ยนะเนี่ย

ทีนี้ก็ถึงทีปัญหาหละ เพราะคราวที่แล้วน่ะ ไปถึงก็ไปเที่ยวมุมไบก่อนแล้วค่อยไปเรียน ก็เลยมีเวลาไปจองตั๋วรถไฟที่ห้องจองได้

แต่คราวนี้เวลาจำกัดค่ะ ไปถึงสองทุ่ม กะว่าจะขึ้นรถไฟ5ทุ่ม เพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่เมืองปูเน่ซะ2-3วันก่อน
ก็เลยต้องหาวิธีจองตั๋วค่ะ ตอนแรกโทรไปตามบริษัททัวร์ เขาก็บอกว่าไม่รับจอง เพราะบริษัททัวร์ส่วนใหญ่จะให้คนที่อยู่ที่โน่นจองตั๋วให้ แล้วเอาไปให้ที่สนามบินที่อินเดีย หรือว่าตามสถานที่ที่นัดกันไว้ ดังนั้นเขาก็ไม่สามารถจองให้เราได้เพราะว่าไปแค่คนเดียว ไม่คุ้มแน่ๆ

กรรมละสิ แต่เคยได้ยินเพื่อนที่เบลเยี่ยมมันบอกว่า มันจองตั๋วตั้งแต่ก่อนมาแล้ว
เอ.... ถ้างั้นต้องมีวิธีดิ

ก็เลยหาไปจนเจอ แต่ตอนแรกสับสนนิดหน่อยเพราะว่า ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งซะเหลือเกิน เลยเข้าใจผิดไปนิดนึง นึกว่าเขาไม่รับบัตรเครดิตสัญชาติต่างชาติ แต่พอเมล์ไปถามเขาก็ตอบกลับมา (เร็วมาก แค่ชั่วโมงเดียวเองก็ตอบมาแล้ว)

เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าใช้ได้หมด เราแค่ทำตามขั้นตอนไปเท่านั้นเอง

เราจึงเข้าไปที่เวปเขาที่ //www.irctc.co.in/ เวปจะหน้าตาเป็นแบบนี้



แต่ก่อนที่เราจะทำอะไร เราก็ต้องลงทะเบียนก่อนนะคะ

เสร็จแล้วก็จะได้ออกมาแบบนี้ ให้เราใส่รายละเอียดการเดินทาง เพื่อหารถไฟขบวนที่ต้องการค่ะ

จะได้ตารางข้างบนก่อนนะคะ พอเรากรอกรายละเอียดก็จะออกมาเป็นตารางด้านล่างด้วยว่า ในวันที่เราจะขึ้นรถไฟเนี่ยมีขบวนไหนบ้าง

แต่เราจะต้องรู้ชื่อสถานีนะคะ ซึ่งถ้าไม่รู้ เราก็ต้องรู้ชื่อเมืองที่เราจะไป พอเรากรอกไปแล้ว ก็ให้กดรูปรถไฟข้างๆอันเล็กๆ เพื่อหาชื่อของสถานีที่เราจะลง เพราะบางเมืองมีสถานีมากกว่า1สถานีนะคะ
เราก็ต้องศึกษามาให้ดีว่า เราจะลงตรงไหนให้ใกล้และสะดวกที่สุด

เพราะอย่างมุมไบไปนาสิกเนี่ย มันจะมีสถานีเริ่มต้นหลายสถานี บางขบวนเริ่มที่ Mumbai CSTหรือที่เรียกอีกชื่อว่า VT
บางขบวนก็จะเริ่มที่ DADAR ซึ่งขบวนที่เริ่มที่ VT ก็จะผ่าน DADAR เป็นสถานีถัดไป

แต่ที่น่าปวดหัวสุดคือสถานนีนี้ค่ะ LOKMANYA TILAK T ค่ะ
เพราะตอนแรกเนี่ยไม่รู้ค่ะ หาชื่อสถานีในแผนที่เมืองมุมไบไม่เจอ ไม่เชื่อลองหาดูสิ

ถ้าเดาๆเอาก็พอจะรู้ค่ะ แต่ตอนแรกงงมากๆ แต่หมวยคิดว่าทุกคนต้องเดาไปที่ Tilak Nagar ใช่มั๊ยคะ
มันต้องบอกแท๊กซี่ให้เขาไปที่ KURLA ค่ะ มันเป็นทางแยก ถ้าไป Tilak Nagar บางทีมันไม่จอดนะคะ ตกรถค่ะทีนี้ เพราะคนที่นั่นจะรู้จักกันในชื่อ KURLA บางทีเราจะไปเนี่ยต้องศึกษากันให้ดี เพราะชื่อถนนเปลี่ยนได้ตลอด บางทีเรารู้จักกันในชื่อใหม่ แต่คนอินเดียรู้แต่ชื่อเก่าค่ะ ทำเอามึน

เอ้า มาต่อกันเรื่องตั๋วดีกว่า นี่ถ้าให้เล่าต่อ สงสัยสามวันจะจบมั๊ยเนี่ย

ตามตารางนะคะ ก็จะมีเวลาค่ะ เราก็เลือกเวลาที่จะเดินทางและเวลาที่ไปถึงจุดหมายตามความเหมาะสมค่ะ
เลือกได้แล้ว เราก็ลองติ๊กไปที่ช่องกลมๆด้านหน้า จากนั้นถ้าเราเลือก ที่ Show Route มันก็จะมีเวลาและเส้นทางมาดังนี้ค่ะ

และถ้าเราเลือกไปที่ Get Fare ก็จะได้ดังนี้

อันนี้นี่ในตารางเราเลือกเป็นตั๋ว3Aไว้นะคะ เพราะถ้าเราเลือก2Aก็เป็นอีกราคานึง

แล้วไอ้ 1A 2A 3A อะไรเนี่ยมันต่างกันยังไง เออ
คือว่า มันก็เป็นแอร์เหมือนกันนะแหละ ต่างกันตรงจำนวนตนนั่งในแต่ละฟาก ก็เหมือนรถไฟบ้านเรานะคะ จะนั่งหันหน้าชนกัน ก็จะมีเตียงบนเตียงล่าง
ถ้า 2A ก็จะมีแค่ฟากละสองคน มีแค่เตียงบนกะล่าง แต่ถ้า 3A จะมีฟากละ3คน เตียงบนสอง เตียงล่างหนึ่ง ตอนกลางวันก็จะมานั่งฟากเดียวกันหมด พอสัก1-2ทุ่ม เขาก็จะมาเอาเตียงลงและแจกหมอน พอ6-7โมงเช้าก็จะมาเก็บหมอนไป ถ้าเราไปกันหลายคน นอนฟากเดียวกัน เราจะยังเอาเตียงกางต่อก็ได้ค่ะ แต่ถ้าหัวเดียวกะเทียมลีบแล้วดันได้เตียงบนละก้อ
ระวังแขกมันค้อนนะคะ

บางทีแขกเนี่ยก็น่าโมโห มันมากันเป็นครอบครัว มันจองตั๋วใบเดียว ผัวเมียนอนด้วยกัน ลูกมันมันก็มาฝากนอนกะลูกเรา เวรกรรม เราอุตส่าห์จ่ายตังค์ให้ลูกสบาย ต้องมาเบียดกะลูกคนอื่นอีก

เอ่อ มาต่อกันดีกว่า
พอทราบเวลาและราคา และเลือกจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็ทำการจองไปตามขั้นตอนนะคะ
ใช้บัตรเครดิตเนี่ยแหละคะจอง ใครไม่มีก็หาญาติยืมเอาละกัน แต่เขาจะชาร์จด้วยนะ ถ้าเป็น VISA/MASTER CARD จะชาร์จ 1.8% ถ้าเป็นCITI BANK ชาร์จ 2.8% ประมาณนี้
แต่ถ้าเทียบกะความสะดวกแล้วละก้อ คุ้มมมมมมมค่ามากๆ

ใครไม่เคยไปแย่งกะแขกเนี่ยไม่รู้หรอก

หมวยเคยไปทะเลาะกะแขกตอนจะซื้อตั๋วกลับจาก ฤๅษีเกศ ไปเดลีเพื่อขึ้นเครื่องกลับบ้าน
มันแซงค่ะท่านผู้ชม พวกนี้เนี่ยประมาณว่าเป็นพวกวิ่งตั๋วของเอเย่นต์ มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เบียดมาเรื่อย มันจะแซงหมวยคะ
ตอนแรกหมวยก็เอามือกันไว้ พอมาถึงเคาเตอร์ มันมาทันที เพราะเห็นเราเป็นผู้หญิงแถมยังต่างถิ่นอีก
แต่มีรึว่าหมวยจะยอม เรายืนรอตั้งเกือบชั่วโมง จนเพื่อนนึกว่าถูกแขกลากไปลงแขกซะแล้ว เรื่องอะไรจะยอมกันง่ายๆ ขนาดตั๋วหนังหมวยยังไม่ให้แซงเลย นี่ตั๋วรถไฟก็ห้ามไม่ได้หรอก
เลยโวยวายเสียงดังลั่นเลย ทั้งอังกฤษปนไทยเถียงกะมันจนมันถอยไปโดนเจ้าหน้าที่ไล่ไปอยู่ข้างหลังใหม่
สมน้ำหน้ามากๆ

นี่ขนาดแค่เรื่องตั๋วรถไฟนะเนี่ย มึนละกาขอไปพักก่อนละกันค่า

Hari Om Tat Sat
หมวยเองค่า่




 

Create Date : 18 มกราคม 2551    
Last Update : 18 มกราคม 2551 11:34:37 น.
Counter : 862 Pageviews.  

และแล้วการเดินทางสู่อินเดียก็เริ่มต้น ...วิถีแห่งโยคีรออยู่ไม่ไกล ภาค 1

นมัสเตค่ะ

หลังจากหายหน้าหายตาไปนาน ตอนนี้ก็กลับมาอีกครั้ง

ก็อย่างที่บอกละจ๊ะว่า กำลังจะไปเรียนต่อโยคะบำบัดที่อินเดีย ก็เลยเตรียมตัวอยู่อย่างขมักเขม้น

ก็อย่างนี้แหละ ดันชอบเดินทางเองเตรียมเอง หาเองซะทุกอย่าง ก็เลยอยากเอาตรงนี้มาเล่าให้เพื่อนๆฟัง เผื่อมีใครสนใจก็ลองดูได้

เริ่มต้นก็ไม่ยุ่งยากอะไร ก็จองคอร์สเรียนกันไป จริงๆกะไปเรียนตั้งแต่มกราคมแล้วหล่ะ แต่ดันจองช้าไป
ที่อารามเนี่ยเป็นที่นิยมมาก ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อยก็ 2-3เดือนแน่ะ

ถ้าเป็นคอร์สที่มีบ่อยก็ไม่เท่าไหร่ แต่คอร์สadvancedกับ Yoga therapyเนี่ย ปีนึงเขาจะมีแค่ 2หน
เราเองดันตัดสินใจช้าไป เผลอแป๊ปเดียวเต็มซะแล้ว ขนาดจองตั้งแต่เดือนตุลาคมนะเนี่ย

ก็เลยเหลือได้เรียนแค่Yoga Therapy แต่ก็กะว่าจะเป็นอาสาสมัครช่วยงานอยู่ที่นั่นต่ออีกหน่อย ไม่นานหรอกค่ะ 2เดือนกว่าเอง
กะเอาบรรลุธรรมขั้นอรหันต์กันไปเลย

แต่หนนี่เนี่ยไอ้ตัวเล็กไม่ได้ไปด้วย คงจะอดคิดถึงไม่ได้ ก็เลยเตรียมแผนการเอาไว้ว่าจะติดต่อกันยังไงให้ประหยัดและเจอกันได้บ่อยๆ แหมก็เดี๋ยวนี้โลกเราการสื่อสารมันง่ายนิดเดียว ก็เลยหาาาาาาาา ก็ลงตัวที่... เราจะเอาโน๊ตบุ๊คไปบวกกะโทรศัพท์ที่เป็นโมเด็มต่อเน็ตได้ด้วย

เอาหล่ะ แล้วไงละเนี่ย มันก็ต้องดูซิมของที่โน่นด้วยสิ เพราะถ้าเอาของเมืองไทยใช้ละก็ โดนค่าโทรบานตะไทแน่นอน แต่จำได้ว่าที่สนามบินเนี่ย เขามีซุ้มขายซิมการ์ดอยู่ เราก็จะไปซื้อเอาที่นั่นแหละ

เวลาซื้อซิมโทรศัพท์ในอินเดียเนี่ย ต้องดูด้วยนะว่าเราจะไปอยู่โซนไหน เพราะถ้าเราจะอยู่ตะวันตก แต่ดันไปซื้อซิมของภาคเหนือมาใช้ เวลาโทรมันก็จะแพงกว่ากันเยอะ แถมเสียค่ารับด้วยเวลามีคนโทรเข้า
เพราะประเทศอินเดียมันใหญ่มากๆนิ เวลาเดินทางกันทีก็เป็นวันๆ เลยเหมือนเราเดินทางไปต่างประเทศ แม้จะเป็นประเทศเดียวกันก็ต้องโรมมิ่งนะค้าาาาาา

นี่ก็เลยนั่งศึกษาหาข้อมูลว่าจะต้องตั้งข้อมูลในเครื่องยังไง เปิดใช้บริการอย่างไร ค่าบริการเท่าไหร่
โอยยยย มึน

แต่ค่าบริการGPRSของเขา เท่าที่ดูเนี่ยถูกนะคะ วันละ5รูปี รวมค่าธรรมเนียมก็ราวๆ 8-10 บาทต่อวัน เดือนนึงก็300บาทละค่าาาาา

จะได้ไว้ต่อหาลูกได้ทุกวัน นี่ก็สอนให้มีเมล์ไว้ใช้ จะได้ไว้คุยได้ มีกล้องมีมิกซ์ เสร็จสรรพ

เฮ้ออออ นี่แค่ภาคแรกนะเนี่ย เดี๋ยวไว้มาตามต่อกันภาคการเตรียมการเดินทางละกันจ้าาาาา

Hari Om
หมวยเองค่า




 

Create Date : 17 มกราคม 2551    
Last Update : 17 มกราคม 2551 18:35:50 น.
Counter : 721 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.