All Blog
*** อาหารลดเส้นเลือดขอด ***

วันนี้แม่ยี่หวามีอาหารลดอาการเส้นเลือดขอดมาฝากกันค่ะ


เมื่อวานนี้มีหลานสาวมาเยี่ยม ไม่ได้เจอกัน 10กว่าปี เป็นสาวสวยไปเสียแล้ว อีก 2เดือนก็จะจบผู้ช่วยพยาบาล มานั่งบ่นกับแม่ยี่หวาว่าอ้วน แต่แม่ยี่หวาดูแล้วเธออ้วนแต่ส่วนล่างแฮะ ได้ความว่าเดินและยืนทั้งวัน พอได้พักก็มักจะสรรหาของกินมากินแล้วก็นั่งๆนอนๆ อีกทั้งเริ่มมีเส้นเลือดขอดที่ขาพับหลังเข่า สัญญากันว่ามีเวลาไม่ต้องเข้าเวรเมื่อไหร่จะมาหาแม่ยี่หวา เพื่อให้แม่ยี่หวาสอนโยคะลดต้นขาให้ ส่วนเส้นเลือดขอดที่เพิ่งเริ่มต้นแม่ยี่หวาก็แนะนำให้แช่เท้าด้วยน้ำอุ่นใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาประคบบริเวณเส้นเลือดที่เริ่มโป่ง และให้นอนเอาขาพาดผนังเพื่อให้เลือดไหลกลับ แล้วก็เลยนึกถึงอาหารที่สามารถบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดได้ วันนี้เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง



เส้นเลือดขอด  เป็นอาการผิดปกติของเส้นเลือดดำที่ไหลเวียนไม่ดี(ในที่นี้แม่ยี่หวาจะไม่เขียนถึงรายละเอียดและปัจจัยในการเกิดเส้นเลือดขอดนะคะ) ทำให้เกิดอาการคั่งของเลือด ทำให้เส้นเลือดโป่งพอง มักจะเกิดขึ้นบริเวณขาและน่อง มีลักษณะคล้ายงูคดเคี้ยวอยู่บนขา รายที่เป็นมากมักมีอาการปวด จนถึงกับต้องผ่าตัด รายที่เป็นไม่มากสามารถใช้ถุงน่องชนิดพิเศษที่ช่วยพยุงกล้ามเนื้อเพื่อบรรเทาอาการได้ แม้ว่าอาการเส้นเลือดขอดจะไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่สำหรับสาวๆก็ทำให้เสียบุคลิกภาพ ขาดความมั่นใจได้ค่ะ



อาหารที่ช่วยป้องกันและลดอาการเส้นเลือดขอด


กระเทียม

กระเทียมมีสารช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการคั่งตัวของเลือด



ฝรั่ง ส้ม และกีวี

เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งวิตามินซีจะช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น ป้องกันเส้นเลือดขอดได้



ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี ไบโอฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยให้ผนังเส้นเลือดฝอยแข็งแรง ป้องกันเส้นเลือดขอดและทำให้เส้นเลือดขอดจางลง



ข้าวสาลี

มีสารอาหารสำคัญอย่างรูติน(rutin) ทำงานร่วมกับวิตามินซีและโฟเลต ช่วยให้หลอดเลือดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันเส้นเลือดฝอยแตก และช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น




น้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่นักวิจัยเชื่อกันว่าดีต่อหัวใจ และยังสามารถช่วยลดอาการเส้นเลือดขอดได้ด้วย เพราะมีวิตามินอีสูง และวิตามินอียังช่วยขยายหลอดเลือดฝอยไม่ให้เลือดแข็งตัว ช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น




ในความเป็นจริงโรคนี้ไม่มีทางป้องกันได้เต็มที่ แต่อาจลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงของโรคได้บ้างด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้ค่ะ


    หมั่นออกกำลังกาย


ควบคุมน้ำหนัก


ลดอาหารเค็ม ทานผักและผลไม้ให้มากๆ


หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่รัดเอวและขา หรือสวมใส่

รองเท้าส้นสูงมากๆและนานๆ


อย่านั่งหรือยืนนานๆควรเดินสลับบ่อยๆค่ะ


สาวๆคนไหนที่เริ่มมีอาการเส้นเลือดขอด หรือที่ยังไม่เป็นลองหามาทานกันดูและเริ่มต้นการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงกันดีกว่านะคะ เพราะตราบใดที่ยังมีรองเท้าส้นสูงอยู่คู่ผู้หญิงสาว เส้นเลือดขอดอาจมาเยือนเราในวันใดวันหนึ่งได้


ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์กูเกิ้ลดอตคอมค่ะ




Create Date : 02 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2555 9:32:27 น.
Counter : 8875 Pageviews.

0 comment
*** เคล็ดลับดูแลสุขภาพพื้นฐาน 12 ประการ ***

แม่ยี่หวามีพ่อบุญธรรมเป็นแพทย์แผนจีน(หมอฝังเข็ม) ซึ่งเคยจับแม่ยี่หวาฝังเข็มตั้งแต่หัวจรดเท้ามาแล้ว มีเพื่อนรักเป็นหมอจัดกระดูกชาวจีนที่ทำงานอยู่ในกองถ่ายหนังกำลังภายในที่ฮ่องกง มีหมอประจำที่ดูแลรักษาด้านกระดูกและกล้ามเนื้อปัจจุบันเป็นหมอกดจุด


นี่คือสาเหตุที่แม่ยี่หวาต้องเรียนรู้เรื่องราวของยาสมุนไพรไปด้วยบวกกับความสนใจส่วนตัวเป็นพื้นฐาน หลังจากนี้บล็อกของแม่ยี่หวาจะมีหลากหลายเรื่องน่ารู้มากขึ้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยาสมุนไพรที่ใช้บำบัดได้จริงใช้ง่ายและที่สำคัญไม่อันตราย สมุนไพรสำหรับความงาม โยคะหรือฤาษีดัดตน ที่สามารถใช้ในการบำบัดอาการปวดเมื่อยในส่วนต่างๆของร่างกายได้



วันนี้แม่ยี่หวาจะเขียนเรื่อง เคล็ดลับการดูแลสุขภาพพื้นฐานแบบง่ายๆ ค่ะ

เคล็ดลับนี้เป็นการดูแลสุขภาพง่ายๆของแพทย์แผนจีนนะคะแบ่งออกเป็น  12   ข้อค่ะ


1. หวีผมบ่อยๆ  ใช้นิ้วทั้ง 10 หรือใช้หวี หวีผมบ่อยๆ เพื่อช่วยให้ตาสว่าง และทำให้รากผมแข็งแรง


2. ถูใบหน้าบ่อยๆ ใช้ฝ่ามือ 2ข้างถูใบหน้าบ่อยๆให้เลือดมาหล่อเลี้ยงใบหน้า ทำให้ใบหน้าเปล่งปลั่ง และลบริ้วรอยเหี่ยวย่น


3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตา โดยการมองไกล มองใกล้ มองซ้าย มองขวา และมองขึ้นมองลง


4. ดึงหู ถูหู บีบหู ถูใบหูบ่อยๆ เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณใบหู ช่วยป้องกันการเกิดเสียงในหู หูตึง เวียนศีรษะ รวมทั้งเป็นการบำรุงตานเถียน ตำแหน่งที่เก็บพลังของร่างกายใต้สะดือประมาณ 3 ชุ่น ( 3นิ้ว )ซึ่งสัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู


5. หมั่นขบฟันเสมอๆ ช่วยให้ฟันแข็งแรง กระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อย


6. ดันเพดานปากด้านบนด้วยลิ้นบ่อยๆ ใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานปากบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เชื่อมพลังของเส้นลมปราณตูม่าย และเริ่นม่าย(เส้นลมปราณควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลังและส่วนหน้าของร่างกาย)และเป็นการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย ซึ่งเปลี่ยนเป็นสารจิงได้


7. ต้องกลืนน้ำลายบ่อยๆ ควรฝึกกลืนน้ำลายบ่อยๆ นอกจากเป็นการเคลื่อนไหวพลังบริเวณคอหอยแล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารด้วย


8. ขับถ่ายของเสียทุกวัน อุจจาระ และปัสสาวะต้องหมั่นขับทิ้ง อย่าสะสมไว้ในร่างกายนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดโรคของลำไส้และโรคทางเดินปัสสาวะ (การตกค้างของของเสียสัมพันธ์กับการดูดซึมสารพิษกลับสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายระบบ รวมถึงมะเร็งด้วย)


9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ ถูหรือนวดท้องตามเข็มนาฬิกา ช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียดีขึ้น ลดไขมันหน้าท้อง เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ป้องกันกระเพาะอาหารหย่อนยาน


10.ขมิบก้นบ่อยๆ   ขมิบก้นวันละ 200ครั้ง สามารถทำได้ทุกเวลา แม้ขณะทำงาน ยืน นั่ง นอน เป็นการป้องกันริดสีดวงทวาร และป้องกันอาการท้องผูกได้ เป็นการกระตุ้นเส้นลมปราณ ตูม่าย เริ่นม่าย และชงม่าย


11.เคลื่อนไหวข้อ ร่างกายเราถ้าอยู่ในท่าหนึ่งท่าใดนานๆโดยไม่เคลื่อนไหวหรือไม่ขยับข้อต่อของร่างกายนานๆ ทำให้เกิดโรคได้ง่าย เพราะเกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ ขาดความยืดหยุ่น ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย จึงต้องสร้างสมดุลของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ตรงกันข้ามโดยการเคลื่อนไหวข้อต่อต่างๆ(ภูมิปัญญาตะวันออกใช้วิชาชี่กง ฝึกไท้เก๊ก ฝึกโยคะนั่นเอง)


12.ถูผิวหนังบ่อยๆ   การใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆของร่างกาย(เหมือนถูตัวเวลาอาบน้ำ) ช่วยทำให้เลือดและพลังไหลเวียน กล้ามเนื้อ ผิวหนังมีความยืดหยุ่น และมีความเปล่งปลั่ง



ในศาสตร์แพทย์แผนจีนบันทึกไว้ว่าการปฏิบัติเดล็ดลับดูแลสุขภาพพื้นฐาน 12 ข้อเป็นประจำนอกจากจะปฏิบัติง่ายแล้ว ยังประหยัดเงินทอง ละรับรองว่าสุขภาพจะดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณหมอแพทย์แผนจีน  นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล ค่ะ




Create Date : 26 ตุลาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 18:56:35 น.
Counter : 1437 Pageviews.

1 comment
*** คุณผู้ชายอ้วนแบบไหนเสี่ยงตายมากกว่ากัน??? ***

วันนี้แม่ยี่หวาจะเขียนเรื่องอ้วนๆของคุณผู้ชายค่ะ จะได้เท่าเทียมกันตรงที่ว่าผู้หญิงไม่ได้เป็นเพศเดียวที่อ้วนแล้วเสี่ยงต่อโรคภัย คุณผู้ชายก็เสี่ยงค่ะ และมีแนวโน้มสูงกว่าผู้หญิงด้วยซ้ำ แต่ไม่ค่อยมีใครกระแนะกระแหนคุณผู้ชายกันสักเท่าไหร่เลย ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงเรานี่แหละค่ะที่มักจะถูกเรียกว่า อีอ้วน หรืออย่างน่าเอ็นดูก็ น้องอ้วนหรือน้องหมู


แต่รู้กันมั้ยค่ะความจริงแล้ว ระหว่างผู้หญิงอ้วนกับผู้ชายอ้วน ผู้ชายอ้วนมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงค่ะ เพราะ........


ผู้ชายส่วนใหญ่ ไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองอ้วนค่ะแม่ยี่หวาก็ไม่ได้เป็นคนพูดเองด้วยแต่หมอเป็นเป็นคนพูดค่ะ ซึ่งแม่ยี่หวาก็ยกมือเห็นด้วย ก็คนในครอบครัวแม่ยี่หวาเองก็เป็นอย่างนี้พี่ชายแม่ยี่หวา 2 คนไว้พุงเหมือนกันค่ะ แม่ยี่หวาเคยถาม ได้ความมาว่า


มีพุงแล้วดูภูมิฐานดี อ่าฮ้า มาแล้วคำฮิต แต่ไว้ได้ไม่นานหรอกค่ะ พี่ชายคนที่สองก็เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันเริ่มสูงหาหมอได้ยามาไว้กินเล่นหลายถุง ด้วยความกลัวตายเพราะลูกยังเล็ก เลยวิ่งไปออกกำลังกายด้วยการตีแบด ควบคุมอาหาร เดือนเดียวหมอก็ให้หยุดยา ผ่านไป  3  เดือน น้ำหนักกลับมาเท่าเดิมเหมือนตอนยังไม่ไว้พุง ส่วนอีกคนไม่ยอมลดค่ะกลัวความภูมิฐานจะหายไป ปัจจุบันพกยาหลายขนานไว้กินเล่น เพราะนอกจากความดันสูงแล้ว ตอนนี้ได้เบาหวานมาเป็นของแถมด้วย ฮ่าๆนี่ยังไม่รวมไอ้ที่กำลังจะตามมาแบบเป็นแพ็คเกจ แม่ยี่หวาก็ได้แต่พยายามพูด พูด และพูด ให้รู้ถึงอันตราย กับโรคที่จะตามมา แต่ก็เหนื่อยใจ



เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ


เป็นความจริงที่ผู้ชายมักจะไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองอ้วนพีมีพุง หรือน้ำหนักเกิน และไม่ค่อยยอมลดน้ำหนักทั้งๆที่ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันไว้ที่พุง(พุงหลาม) มากกว่าผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือน ซึ่งทำให้ผู้ชายเพิ่มโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน ระดับไขมันผิดปกติ โรคหัวใจและหลอดเลือด (หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตายหรือขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต) รวมถึงมะเร็งมากกว่าผู้หญิง


เมื่อพูดถึงผู้ชายอ้วน เคยสังเกตกันบ้างมั้ยค่ะว่าคนที่อ้วนบางคนอ้วนใหญ่ทั้งตัว แต่บางคนอ้วนเฉพาะพุง (อ้วนพีมีพุง หรืออีกทีที่เรียกพวกรอบเอวยาวกว่าปกติ) แต่ไม่ว่าจะอ้วนแบบไหนก็ล้วนแต่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้อายุเราสั้นลงทั้งนั้น หรือไม่ก็เจ็บป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น บรรดาสารพัดโรคที่แม่ยี่หวากล่าวไว้ข้างต้นมากกว่าคนที่มีดัชนีมวลกายและรอบเอวปกติ



จำกันได้มั้ยค่ะที่ช่วงหนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขเคยรณรงค์ให้ข้าราชการไทยลดน้ำหนัก โดยกำหนดรอบเอวของชายไทยและหญิงไทยเอาไว้ว่า


ผู้ชาย รอบเอวต้องไม่เกิน 90 เซนติเมตร (36 นิ้ว)

ผู้หญิงรอบเอวต้องไม่เกิน 80 เซนติเมตร (32 นิ้ว)


หรือจะพูดอีกทีก็จะพูดได้ว่ารอบเอวที่มีตัวเลขเกินมากๆเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโรคภัยทั้งหลาย พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเราอ้วนและมีรอบเอวยาวมากผิดปกติ (อ้วนพีมีพุง)  เราเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่อ้วนใหญ่ทั้งตัวค่ะ




ทีนี้ถ้าใครอยากรู้ว่าตัวเองเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง โรคหัวใจและหลอดเลือดหรือไม่ก็ลองวัดความยาวรอบเอวดูค่ะ ดูว่ายาวเกินครึ่งของความสูงของเราหรือไม่ ยิ่งยาวเกินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงมากเท่านั้น


ตัวอย่างเช่น ถ้าสูง 174 เซนติเมตร

เอวไม่ควรเกิน  87 เซนติเมตร หรือ (174  หาร 2)


ถ้าเกินกว่านี้เท่ากับเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด


เพราะฉะนั้นใครที่ไม่อยากเสี่ยงกับโรคที่แม่ยี่หวากล่าวมา ก็ต้องพยายามรักษารอบเอวเอาไว้ไม่ให้ใหญ่ (ยาว)เกินครึ่งของส่วนสูงนะคะ

แล้วถ้าคนสองคนที่มีส่วนสูงเท่ากัน(180 เซนติเมตร) น้ำหนักเท่ากัน (110  กิโลกรัม) ซึ่งเมื่อคำนวณค่าดัชนีมวลกายแล้วก็เท่ากัน (33.9) แต่คนหนึ่งอ้วนใหญ่ อีกคนอ้วนพีมีพุง โอกาสเสี่ยงของใครมากน้อยกว่ากัน???


คำตอบคือ  คนที่อ้วนพีมีพุงมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดมากกว่าค่ะ

ส่วนคนที่อ้วนใหญ่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงไตรกลีเซอไรด์สูงมากกว่าค่ะ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าผู้ชายอ้วนมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงอ้วน


จากสถิติของในปี  2552

คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ร้อยละ 55-68  เป็นผู้ชาย (อายุเฉลี่ย  62-68 ปี)

คนไทยที่เป็นอัมพาต ร้อยละ 52  เป็นผู้ชาย(อายุเฉลี่ย 62  ปี)


และ ที่สำคัญคือผู้ชายไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการลดน้ำหนักค่ะ หรือบางคนลดได้แล้ว ก็กลับมาอ้วนใหม่และนี่ก็คือปัญหาที่ต้องแก้ไขให้ผู้ชายหันมาใส่ใจในสุขภาพและสนใจกับความอ้วน(พุง) ของตัวเอง


ถ้าคุณผู้ชายคนไหนกำลังเพาะเลี้ยงไขมันอยู่ อย่าเสียดายเลยค่ะ เพราะไขมันที่พอกอยู่ที่พุงก็เหมือนกับพอกอยู่ที่หัวใจเรา โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองตีบจะเพิ่มขึ้นตามพุงที่ใหญ่ขึ้นค่ะ



สั่งลาพุง (ไขมัน)ก่อนที่พุงจะทำให้เราต้องสั่งลาจากคนที่เรารักดีกว่ามั๊ยคะ





ขอบคุณข้อมูลสถิติจากกรมอนามัยค่ะ

ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ Google.com




Create Date : 12 ตุลาคม 2555
Last Update : 12 ตุลาคม 2555 21:53:19 น.
Counter : 1503 Pageviews.

0 comment
*** ตารางเทียบ BMI (ค่าดัชนีมวลกาย) อย่างง่ายๆ ***

วันนี้แม่ยี่หวามีของฝากค่ะ เป็นตารางเทียบค่าดัชนีมวลกายสำหรับคนที่ขี้เกียจคำนวณค่ะ




ได้ค่าออกมาแล้ว ถ้าอ้วนก็รีบบอกลาไขมันกันดีกว่านะคะ




Create Date : 09 ตุลาคม 2555
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 20:09:12 น.
Counter : 7616 Pageviews.

0 comment
*** โรคที่มากับความอ้วน ***

เรารู้กันมานานแล้วว่า “ภาวะโภชนาการการเกิน” หรือ “โรคอ้วน”เป็นปัญหาทางสาธารณะสูขที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากคนไทยมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กตัวน้อยไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ บ้างก็หันไปลดความอ้วนกันด้วยวิธีต่างๆ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง โยโย่เอฟเฟ็คท์กันก็เยอะโดยเฉพาะบรรดาน้องๆสาวออฟฟิศทั้งหลาย ที่อยากหุ่นสวย เลยใช้วิธี “ทำ(กิน)ทุกอย่างเพื่อลดความอ้วน ยกเว้นการออกกำลังกาย”




แม่ยี่หวาไม่ได้มีเจตนาแขวะใครนะคะ แม่ยี่หวาเพียงแต่อยากมาบอกถึงอันตรายของความอ้วนค่ะ

จะบอกว่าแม่ยี่หวาเอาโรคภัยไข้เจ็บมาขู่ก็ได้เหมือนกันนะคะ อิอิ

แม่ยี่หวาแค่อยากให้คนไทยติดอันดับคนรักสุขภาพแบบพี่ยุ่นบ้างเท่านั้นเองค่ะ


เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอ้วน ความจริงมีหลายวิธีค่ะ แต่เท่าที่แม่ยี่หวาเห็นคุณๆใช้กันอยู่คือ

การหาค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งโดยรวมก็ใช้ได้เหมือนกัน


คราวนี้เรามาดูกันค่ะว่าเราอ้วนหรือยัง


ค่าดัชนีมวลกายคือ น้ำหนัก(กิโลกรัม)/ส่วนสูงยกกำลังสอง ค่าที่ออกมาคือดัชนีมวลกายของคุณค่ะ


ถ้าค่าดัชนีมวลกายที่คำนวณได้มีค่าน้อยกว่า 18.5

แสดงว่าคุณผอมไปหน่อยค่ะ (แม่ยี่หวาอยู่ในข่ายนี้ค่ะ)

ถ้าค่าดัชนีมวลกายที่คำนวณได้ มีค่าอยู่ระหว่าง 18.5-24.9

แสดงว่าคุณมีน้ำหนักปกติ หรือหุ่นกำลังดีแล้วค่ะ

ถ้าค่าดัชนีมวลกายที่คำนวณได้ มีค่าอยู่ระหว่าง 25-29.9

แสดงว่าคุณเริ่มตุ้ยนุ้ยแล้วค่ะ

ถ้าค่าดัชนีมวลกายที่คำนวณได้ มีค่าตั้งแต่ 30ขึ้นไป

แสดงว่าคุณเป็นโรคอ้วนแล้วล่ะค่ะ


ทีนี้เมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มอ้วนหรือที่มีพุงนำนมไปแล้ว ก็อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ

อย่าคิดว่าเมื่อไหนๆอ้วนแล้วก็ปล่อยให้อ้วนไปหรือคุณผู้ชายบางคนที่ชอบคิดว่ามีพุงหน่อยก็ดี

ดูภูมิฐานดี ฮ่าๆ




แม่ยี่หวาขอค้านนะคะว่าพุงฐานแบบนี้ไม่ดีแน่ๆค่ะ หรือใครบางคนที่คิดว่าความอ้วนไม่มีผลกระทบกับคุณ คุณชอบที่จะ “นอนอิ่ม กินอร่อย”คือมีความสุขแบบอ้วนๆต่อไป ไม่ดีแน่ๆค่ะเดี๋ยวจะสนุกกับการกินจนตายก่อนแก่ เพราะอ้วนแล้วอันตรายมากค่ะ มาดูกันว่าความอ้วนที่ว่าอันตรายนั้น อันตรายอย่างไรบ้าง


อันนี้คุณหมอเค้าว่ามานะคะ ไม่ใช่แม่ยี่หวาว่าเองค่ะ


ปัจจุบันความอ้วนถือเป็นโรคชนิดหนึ่ง เป็นโรคที่เป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงอีกมากมายหลายโรคค่ะ เช่น


1. โรคความดันโลหิตสูง คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนปกติถึง 2.5 เท่า และมีโอกาสตายจากโรคเส้นเลือดในสมองอุดตันมากกว่าคนปกติ 2 เท่า


2. โรคเบาหวาน ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดรุนแรงมากกว่าปัจจัยอื่นๆและมีโอกาสตายจากโรคนี้มากกว่าคนปกติถึง5 เท่า เพราะคนอ้วนมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน


3. โรคหลอดเลือดตีบ เช่นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ความอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนี้โดยตรงและยังเพิ่มความเสี่ยงทางอ้อมจากภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ เบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยค่ะ


4. โรคข้อเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า และยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคข้ออักเสบจากเกาต์ ซึ่งคนอ้วนจะมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนปกติ2.5 เท่าค่ะ


5. มะเร็งบางชนิด พบมากขึ้นในคนอ้วน จากการศึกษาของ AmericanCancer Society พบว่าน้ำหนักที่เกินมาตรฐานร้อยละ 40 โอกาสเสี่ยงจะมีอันตรายจากมะเร็งสูงถึง 1.33-1.55 เท่า และยังมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มากกว่าคนปกติถึงร้อยละ 55 ส่วนผู้ชายอ้วนก็มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าผู้ชายปกติถึงร้อยละ 33


6. การทำงานผิดปกติของตับ เนื่องจากไขมันสะสมที่ตับ ทำให้ตับอักเสบ


7. โรคทางเดินหายใจ ผลร้ายของความอ้วนมีผลต่อการหายใจ เช่น การหายใจผิดปกติ จนถึงการหยุดหายใจขณะนอนหลับ


8. ผลกระทบด้านจิตใจอื่นๆ ที่สาวๆ มักเป็นกันมาก เช่นความไม่พอใจในรูปร่างของตัวเองเกิดปมด้อยและความเครียด จนต้องหันมาลดความอ้วนด้วยการพึ่งยาลดความอ้วน ศัลยกรรม หรือพยายามอดอาหาร ซึ่งอาจมีอันตรายทั้งเกิดโรคหรือถึงชีวิตได้ค่ะ


แม่ยี่หวามีสถิติอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคซึ่งมีที่มาจากภาวะโภชนาการเกินหรือโรคอ้วนในปี 2546 (อัตราส่วนต่อประชากร 100,000 คน) ได้แก่

โรคหัวใจ 27.7 คน

โรคหลอดเลือดหัวใจ 29.1 คน

โรคความดันโลหิตสูง 5.4 คน

โรคเบาหวาน 10.6 คน

โรคมะเร็ง 78.9 คน


ยังมีอีกสารพัดโรคร้ายที่จะตามมากับความอ้วน เพราะฉะนั้นเรารีบมารักตัวกลัวอ้วนกันเถอะค่ะสถิติที่แม่ยี่หวาเอามาให้ดูกันเป็นสถิติย้อนหลังตั้ง 9 ปีที่แล้วนะคะยังน่ากลัวขนาดนี้

เดี๋ยวแม่ยี่หวาจะมาเขียนเรื่องอ้วน อ้วนของคุณผู้ชายบ้างดีกว่าค่ะ

เจอกันบล็อกหน้าค่ะ


    มาช่วยกันรักตัว กลัวอ้วนกันดีกว่านะคะ  จะได้ไม่ต้องป่วยค่ะ





ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ Google.com ค่ะ

และขอบคุณข้อมูลจากกรมอนามัยค่ะ




Create Date : 08 ตุลาคม 2555
Last Update : 8 ตุลาคม 2555 22:48:57 น.
Counter : 1768 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  

สาวเอยจะบอกให้
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



แม่ยี่หวาเป็น สว. คนหนึ่ง ที่เคยทุกข์ทรมานเนื่องจากสุขภาพที่ย่ำำแย่มาตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงวัยสาว เสียเวลาและเงินทองมากมาย
แล้ววันหนึ่งแม่ยี่หวาก็ุลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง มาเป็นนักกีฬาค่ะ วิ่ง วิ่งและวิ่ง หลังจากนั้นชีวิตก็เปลี่ยน เลิกกินยา เลิกป่วย แต่กว่าจะเป็นอย่างนี้ก็ต้องใช้เวลานะคะ
นอกจากออกกำลังกายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกคือ การใช้หลักโภชนาการ ในการดูแลสุขภาพควบคู่กันไปด้วยค่ะ
บล็อกที่เขียนส่วนหนึ่งเป็นการเล่าเรื่องชีวิตและประสบการณ์ของตัวเอง กับการใช้อาหารเป็นยา การใช้สมุนไพรในการดูแลตัวเองเบื้องต้น
หวังว่าจะมีคนเข้ามาอ่านและนำไปใช้บ้าง ไม่รังเกียจที่จะูถูกเรียกว่า พี่ ป้า หรือ ยาย ค่ะ
New Comments