*** การใช้ น้ำผึ้ง (蜂蜜 Fēngmì) ตามศาสตร์แพทย์แผนจีน ***

น้ำผึ้ง  (蜂蜜 Fēngmì)




คงไม่มีใครไม่รู้จักน้ำผึ้งกันนะคะ เพราะถ้าจะพูดไปคนไทยเรารู้จักใช้น้ำผึ้งกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ส่วนใหญ่ก็จะใช้ในการเข้ายา แม่ยี่หวาเป็นคนหนึ่งที่ใช้น้ำผึ้งค่อนข้างเปลือง สมัยเด็กๆเวลาที่มามี๊ของแม่ยี่หวาทำยาสมุนไพรแล้วต้องใช้น้ำผึ้งเป็นกระสายยา แม่ยี่หวาเป็นต้องเกาะขอบโต๊ะคอยกระลิ้มกระเหลี่ยเพื่อขอกินน้ำผึ้ง พอโตขึ้นก็กินกาแฟใส่น้ำผึ้ง ขนมปังทาน้ำผึ้ง เวลาอยากสวยก็น้ำผึ้ง ป่วยก็ใช้น้ำผึ้งอีกนั่นแหละ สรุปแล้วปีหนึ่งๆบ้านแม่ยี่หวาใช้น้ำผึ้งหลายลังอยู่ค่ะ




น้ำผึ้งดีอย่างไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง วันนี้แม่ยี่หวาจะเขียนเรื่องการใช้น้ำผึ้งแง่มุมของแพทย์แผนจีนก่อนค่ะ


ในคัมภีร์  เปิ่นเฉ่ากังมู่” (本草纲目) บันทึกคุณสมบัติของน้ำผึ้งทางการรักษาโรคและบำรุงร่างกายไว้ว่า


น้ำผึ้งมีสรรพคุณ 5 ประการ

1. ขับร้อน

2. บำรุงส่วนกลาง (กระเพาะอาหารและม้าม)

3. แก้ปวด

4. ขับพิษ รักษาแผล

5. แก้ไอ ลดความแห้ง ให้ความชุ่มชื่น


ฤทธิ์และรสกับการประยุกต์

น้ำผึ้งมีรสหวานมีฤทธิ์เป็นกลาง วิ่งเส้นลมปราณปอดม้ามลำไส้ใหญ่ เนื่องจากส่วนประกอบสำคัญร้อยละ 79 คือ ฟรักโทส และ กลูโคส  ทำให้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทันที  นอกจากนี้ยังมีกรดอะมีโน กรดไขมันในปริมาณน้อย  เอนไซม์หลายชนิด วิตามินบี เกลือแร่ และกรดกลูโคนิกร้อยละ 0.5 ซึ่งทำให้มีรสเปรี้ยวอยู่ด้วยกัน


สรรพคุณที่ระบุไว้ในตำราอาหารและยาจีน

บำรุงภาวะพร่องอ่อนแอ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง แผลในกระเพาะอาหาร วัณโรคปอด

ลดความแห้งของปอด ทำให้ชุ่มชื่น เหมาะสำหรับอาการไอแบบแห้งๆ ไม่มีเสมหะ ไอเรื้อรัง

น้ำผึ้งทำให้ชุ่มคอ อาจใช้ร่วมกับสมุนไพรซาเซิน (沙参)   เซิงตี้  (生地)

ช่วยระบายทำให้อุจจาระนิ่ม เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ หญิงหลังคลอด ผู้ป่วยพื้นจากโรคที่มีอาการท้องผูก

มีฤทธิ์สมานแผล เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กอักเสบ ผู้ป่วยที่ระบบย่อยอ่อนแอ ปวดท้องและมีแขนขาเย็น ลดการหดเกร็งเนื่องจากความเย็น

ขับพิษ-ทำลายพิษ สามารถลดพิษของสมุนไพรจีน ฟู่จื่อ (附子) อูโถว  (乌头) นอกจากนี้ยังใช้ทาแผลภายนอกที่เกิดจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ฝีมีหนอง สามารถฆ่าเชื้อและทำให้แผลหายเร็วขึ้น

ใช้ในด้านความงาม ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น และลดการอักเสบ

ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กเล็ก

ประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคตับ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วนและโรคความดันโลหิตสุง


*** ข้อห้ามและข้อควรระวังในการใช้น้ำผึ้ง ***


1. ผู้ป่วยเบาหวานห้ามกิน เนื่องจากน้ำผึ้งมีปริมาณกลูโคสและฟรักโทส ที่สามารถดูดซึมสู่ร่างกายทันที ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การหลั่งอินซุลินของตับอ่อนไม่เพียงพอจะทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น


2. ห้ามกินปริมาณมาก โดยเฉลี่ยกินวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 20 กรัม ในกรณีพิเศษ อาจกินเพิ่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 50 กรัมต่อวัน


3. คนที่ถ่ายเหลวหรือท้องเสียห้ามกิน เพราะจะทำให้ถ่ายมากขึ้น เนื่องจากน้ำผึ้งจะดูดน้ำทำให้ขับอุจจาระมากขึ้น


4. ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน หรือมีผิวหนังอักเสบเรื้อรัง  เนื่องจากภาวะความชื้นตกค้าง


5. ควรผสมน้ำอุ่นไม่เกิน 40 องศา ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัด เพราะจะทำลายคุณค่าของเอนไซม์ วิตามิน กรดอะมิโน และสารที่มีคุณค่า ในฤดูร้อนสามารถใช้น้ำเย็นชงดื่มได้ แต่ควรผสมน้ำขิงเล็กน้อย เพื่อป้องกันกระเพาะอาหารกระทบความเย็น


6. ไม่ควรกินร่วมกับเต้าหู้ เนื่องจากเต้าหู้มีรสหวาน เค็มและคุณสมบัติเย็น สรรพคุณขับร้อนกระจายเลือด เมื่อกินพร้อมกันทำให้ท้องเสียได้ง่าย อีกเหตุผลหนึ่งคือเอนไซม์จากน้ำผึ้งจะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ โปรตีนสารอินทรีย์ของเต้าหู้ทำให้คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้งด้อยไป


7. ไม่ควรกินพร้อมผักกุยช่าย เพราะกุยช่ายมีวิตามินซีมาก จะทำปฏิกิริยากับโลหะทองแดงและเหล็กในน้ำผึ้ง เกิดอ็อกซิเดชั่น ทำให้คุณค่าด้อยไป และน้ำผึ้งช่วยในการระบาย ส่วนกุยช่ายมีเส้นไยมาก เมื่อกินร่วมกันอาจทำให้ท้องเสียได้ง่าย


8. ไม่ควรกินร่วมกับหัวหอมและกระเทียม เพราะจะทำให้ฤทธิ์ของน้ำผึ้งด้อยลง



สรรพคุณของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งมีรสหวานมาก แต่ไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของโปรตีนและไขมันในปริมาณน้อย ในรูปของกรดอะมิโนและกรดไขมันที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที

น้ำผึ้งไม่ทำให้ฟันผุ เหมือนน้ำตาลหรือลูกกวาดทั่วไป แต่กลับทำให้การงอกของฟันดีขึ้น

มีบางรายงานเชื่อว่า น้ำผึ้งมีฤทธิ์ยับยั้งการก่อตัวของนิ่วในไตและนิ่วในถุงน้ำดี

มีฤทธิ์ต้านเชื้อโรค ต้านมะเร็ง และเป็นยาอายุวัฒนะ

ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร รักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น โรคบิด ลำไส้อักเสบ



ชนิดของน้ำผึ้ง

เนื่องจากน้ำผึ้งเกิดจากการสะสมน้ำจากเกสรดอกไม้ชนิดต่างๆกัน ทำให้ลักษณะน้ำผึ้งที่เกิดขึ้น มีคุณสมบัติแตกต่างกันไปด้วย ตัวอย่างเช่น


น้ำผึ้งจากเกสรดอกลำไย บำรุงเลือด บำรุงสมอง ช่วยความจำ ทำให้นอนหลับ


น้ำผึ้งจากเกสรดอกลิ้นจี่ ช่วยแก้กระหาย กระตุ้นน้ำลาย และบำรุงหัวใจและไต


น้ำผึ้งจากเกสรดอกเบญจมาศป่า ขับร้อน ขับไฟ ขับลมแก้พิษ


น้ำผึ้งจากเกสรอบเชยป่า ขับร้อนกระตุ้นความอยากอาหาร บำรุงม้าม บำรุงประสาท


น้ำผึ้งจากเกสรส้ม ลดบวม ขับพิษ แก้กระหายน้ำ



เวลาที่เหมาะสมในการกินน้ำผึ้ง


1. ก่อนอาหาร 1-11/2

ถ้าดื่มโดยผสมน้ำอุ่น จะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร และทำให้กรดในกระเพาะอาหารเจือจาง ลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ถ้าดื่มโดยผสมน้ำเย็น จะมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร รวมทั้งกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ช่วยการขับถ่าย


2. ดื่มหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง

เพราะการดื่มหลังอาหารทันที จะเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดให้สูงมาก ทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก อีกทั้งจะเป็นการกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้นอีก


3. ควรดื่มก่อนนอน

ซึ่งเหมาะสำหรับคนทีร่างกายไม่แข็งแรง และนอนหลับยาก


อ่านจบแล้วใครที่นอนไม่หลับ หรือหลับยากลองหาน้ำผึ้งสักแก้วมาทานดูนะคะ หลับแล้วก็ฝันดีด้วยค่ะ




ขอบคุณข้อมูลจากคุณหมอแพทย์แผนจีน นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล

และรูปภาพจากเว็บไซต์กูเกิ้ลดอตคอมค่ะ




Create Date : 29 ตุลาคม 2555
Last Update : 29 ตุลาคม 2555 20:40:44 น.
Counter : 14907 Pageviews.

3 comments
  
ขอบคุณคับ...พอดีต้องการข้อมูลเกี่ยวกับน้ำผึ้งพอดี
โดย: biocellulose วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:22:26:58 น.
  
ขอบคุณมากค่า ที่ติดตามอ่าน
ดีใจที่ได้แบ่งปันความรู้และข้อมูลค่ะ
โดย: สาวเอยจะบอกให้ วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:10:23:40 น.
  
ถามอ่านยู่น่าาาา ขอบคุนมากๆ เลยยย


แม่ท้อง
โดย: น้องเทพโคตรน่ารัก วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:11:25:14 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สาวเอยจะบอกให้
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



แม่ยี่หวาเป็น สว. คนหนึ่ง ที่เคยทุกข์ทรมานเนื่องจากสุขภาพที่ย่ำำแย่มาตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงวัยสาว เสียเวลาและเงินทองมากมาย
แล้ววันหนึ่งแม่ยี่หวาก็ุลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง มาเป็นนักกีฬาค่ะ วิ่ง วิ่งและวิ่ง หลังจากนั้นชีวิตก็เปลี่ยน เลิกกินยา เลิกป่วย แต่กว่าจะเป็นอย่างนี้ก็ต้องใช้เวลานะคะ
นอกจากออกกำลังกายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกคือ การใช้หลักโภชนาการ ในการดูแลสุขภาพควบคู่กันไปด้วยค่ะ
บล็อกที่เขียนส่วนหนึ่งเป็นการเล่าเรื่องชีวิตและประสบการณ์ของตัวเอง กับการใช้อาหารเป็นยา การใช้สมุนไพรในการดูแลตัวเองเบื้องต้น
หวังว่าจะมีคนเข้ามาอ่านและนำไปใช้บ้าง ไม่รังเกียจที่จะูถูกเรียกว่า พี่ ป้า หรือ ยาย ค่ะ
New Comments