Group Blog
 
All blogs
 
แอ่วน่าน

วันหยุดที่ผ่านมามาดๆ ได้รับคำชวนจากเพื่อนๆๆ ว่าแกไปเที่ยวน่านไหม (บ้านแฟนเขาอยู่น่าน) และเพื่อนอีกคนก็อยากไปนักไปหนา ก็เลยตกลงปลงใจว่า โอเช ไปแอ่วน่านกันโล๊ดดด ตกลงปลงใจก็ได้เพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 4 ราย รวมฉันด้วยนะ อิอิ

เราออกเดินทางกันจาก กทม ตอนตี 2 เพื่อจะไปถึง อ.ปัว จ.น่าน ก่อนมืด เพราะเพื่อนที่ไปรออยู่ก่อนบอกว่าเราจะขึ้นไปนอนกันบนดอยภูคา เพื่อที่เช้าวันใหม่จะได้แวะเที่ยวกันแบบชิวๆ ไม่รีบไม่ร้อน ^__^

ประมาณ 7 โมงเช้า เราก็เดินทางมาถึง จ.แพร่ ก็แวะหาอะไรรองท้องกันซะหน่อย (กองทัพต้องเดินด้วยท้องค่ะ)

ลูกทัวร์หลับกันตลอดทาง ตื่นมาก็โซ้ยแหลกเลยนะ สนใจกันหน่อย แดะ


และแล้วเราก็มาถึง อ.เมือง จ.น่าน ในเวลา 11.45 น. และชะแว๊บแอบไปไหว้พระธาตุแช่แห้ง (สำหรับคนเกิดปีกระต่ายโดยเฉพาะ แต่ฉันเกิดปีหมาอะ)


สวยใช่เปล่า


พระธาตุจร้า รอบๆ พระธาตูมีแต่กระต่ายเต็มไปหมดเลยละ


พระประธานค่ะ

พอแวะถ่ายภาพกันจนหน่ำใจพวกเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยัง ณ ที่หมายคือ อ.ปัว ถึงก็ราวๆ 15.30 น. เพื่อนออกมารับตรงปากทางและพาขับรถไปยังบ้าน เพื่อ อาบน้ำ กินข้าว ข้นเต้นท์ และเสบียง และเวลา 16.30 น. พวกเราก็ขึ้นดอยภูคากันแย้ว


ทางขึ้นดอยแคบและก็ชันมากๆ ค่ะ ตื่นเต้นไปอีกแบบ ฮ่าๆๆๆ


พวกเรามาถึงแย้วจร้า


ก่อนเข้าอุทยานก็ต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละ 40 บาทนะค่ะ


ถึงแล้วจร้าลานดูดาว คืนนี้เราจะกางเต้นท์นอนกันที่นี้ อิอิ


ช่วยกันกางเต้นท์หน่อยเร็วๆๆ อิอิ


เสร็จและ ไวปานวอกเลยมะ อิอิ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกซะหน่อย


พระอาทิตย์จะตกเขาแล้ว หุหุ


เสบียง คิ๊กๆๆ หนาวๆๆ อุ่นๆๆ


ยิ่งมืดยิ่งหนาว แต่ก็เห็นดาวนะ อิอิ


วิธีการคลายหนาว ฮ่าๆๆๆๆ และแล้วค่ำคืนที่หนาวเหน็บ แถมเม็ดฝนที่โปร่ยปรายมาตอนยามสอง ก็ทำให้ฉันตื่นและกระดึบตัวไปแย้งผ้าห่มของเพื่อนเกศ ฮ่าๆๆ ก็มันหนาวอ่ะ


และแล้วฉันก้ผ่านค่ำคืนอันหนาวเหน็บมาได้ อุณหภูมิตอนเช้าวัดได้ 16 องศา เพื่อนมันบอกว่ายังไม่หนาวจริงๆ อ่า ฉันยังยืนเอาผ้าห่มพันตัวอยู่เลย นี้ยังไม่หนาวอีกเหรอเนี๊ยะ


อีกเดี๋ยวพวกเราจะไปชมวิวกัน แต่ตอนนี้หนาวออกท่าออกทางกันหน่อย ร่างกายจะได้อบอุ่น อิอิ


ยิ่งสูงยิ่งหนาว ฮ่าๆๆ หมอกหนาตึบ


เย้ๆๆ ถึงแล้วจุดชมวิว แต่มองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากหมอกและเงาไม้ ฮ่าๆๆๆ


ภูคาอินเลิฟ คริๆๆ


หมอกเริ่มจางแล้ว เย้ๆๆๆ


อมหมอกเย็นๆ มาฝากจร้า ฮ่าๆๆๆ


ลงจากดอยก้แวะชมงานปีใหม่มง และก็แต่งตัวเป็นมงซะเลย อิอิ ขอบอกว่าเหมือนมากจนมีนักท่องเที่ยวคนอื่นมาขอถ่ายภาพด้วยเลย ฮ่าๆๆๆ


พออกจากหมู่บ้านมง พวกเราก็แวะเข้าบ้านเพื่อน เพื่อขนเต้นท์ ที่นอน ลงจากรถ และพักผ่อนสักครู่ ก่อนที่จะไปเล่นน้ำที่น้ำตกศิลาเพชร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อน (ประมาณ 1 กม) และก็กลับมาอาบน้ำ ที่บ้านเพื่อทำพิธี


พีธีบายศรีศสู่ขวัญค่ะ เพื่อนบอกว่าต้องทำทุกครั้งที่มา ประมาณครึ่งชั่วโมง เหน็บกินเล็กน้อย แต่ก็อบอุ่นดีค่ะ พอเสร็จพิธีเพื่อนๆ ตัวดีก้ไปนั่งจกไก่กันมือเป็นระวิง ส่วนฉันนะบาย ขอนอนซักงี๊บ เดี๋ยวจะต้องขับรถพาลูกทัวร์ไปถนนคนเดินต่อ จ๊กไก่เผื่อด้วยละกันนะ

พอทุ่มกว่าๆ ก็ขับรถไปถนนคนเดินแต่เสียดายก่อนที่เราจะมาฝนตกหนักมากทำให้ร้านค้าในวันนั้นเหลือน้อยเต็มที แต่ก้พอมีให้แวะชม เลยได้อิ่มกับขนมจีนน้ำเงี๊ยวกะเพื่อนเกศ ส่วนที่เหลือไปกินก๋วยเตี๋ยวกะละมังกัน กลับถึงบ้านก็สามทุ่มก่าๆ (ได้กระดง กะข้าวเหนียวดำมา 1 ถุง พร้อมด้วยเสื้อแอ่วน่าน มา 1 ตัว อิอิ) นอนก่อนนะ


ออกจากบ้านเพื่อนก็ราวๆ 9 โมง เพื่อนเดินทางกลับ กทม เพื่อนบอกว่าระหว่างกลับอยากถ่ายภาพหลักกิโลเมตรที่ 0 แต่มันอยู่ตรงทางแยกเลยจอดไม่ได้ ขับๆ ไปเหลือบเห็นหลัก กม ที่ 1 เลยจอดให้เพื่อนชักภาพมาซะ เอาน่าไงก็แค่ 1 อิอิ


ขากลับเพื่อนพาแวะเข้าเมืองน่านเพื่อชมภาพฝาผนัง กระซิบรักบรรลือโลก ณ วัดภูมิทร์ เพื่อนบอกว่าดังมากๆ ต้องมาดู เราไม่มีคู่เลยต้องกระซิบกะเพื่อนเกศที่ไม่มีคู่เช่นกัน ฮ่าๆๆๆ ในวัดมีไกด์ตัวน้อยๆ คอยให้ความรู้ด้วยนะค่ะ ยังไงก้อย่าลืมใช้บริการนะค่ะ


หลังจากแวะชม และไหว้พระกันแล้วเราก็จะไปสักการะเสาหลักเมือง ระหว่างทางก็เหลือไปเห็นวัดอีกฝัง เพื่อไม่ให้เสียเวลาก้ถ่ายภาพหมู่ซะหน่อย อิอิ


ถึงแล้วจร้า แหมๆ สวยไหมละ


หลังจากออกจากน่าน เราก็ขับผ่านดงอะไรไม่ทราบได้ แต่ดอกเหลื่องอร่ามอยู่ริมทางช่วงอุตรดิตถ์ เราก้แวะรถถ่ายภาพกันก่อน (แต่รถเพื่อนอีกคันก็ขับหายไปลิบๆ แบบว่าฉันไม่เห็นว่าพวกแกจอด แต่ไม่เป็นไรจิบๆ เดี๋ยวเราก็ตามทัน) เราใช้เวลาประมาณ20 นาที ในการชื่นชมและเก็บภาพ จากนั้นเราก้เหยียบเป็นร้อยผ่านโค้ง เพื่อกวดรถเพื่อนอีกคัน (ณ จุดนี้พวกเราต้องต๊กกะจาย เมื่อมีทางเบียงข้างหน้าแต่รถบรรทุกบังไว้ เกือบหลุดโค้งซะแล้ว แต่พวกเราก้รอดมาได้ ฮ่าๆๆ คุณพระคุ้มครอง) ลืมบอกไปว่าทางช่วงอุตรดิตถ์ตอนนี้มีการก่อสร้างขยายช่องทางค่ะ ไงก็ขับระวังๆ กันหน่อยนะค่ะ

และแล้วเราก็ขับรถมาจนทันรถเพื่อนคันหน้าตรงปากทางเข้าพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ แต่เพื่อนๆ บนรถบ่นเป็นเสียงเดียวว่าเริ่มจะเมารถซะแล้ว (จะไม่ให้เมาได้ไง ก้โค้งละร้อยอะ ฮ่าๆๆ แต่คนขับไม่เมานะ) ถึงแล้วเราก้ไปถ่ายภาพกัน แต่เพื่อนที่เป็นเจ้าบ้านไม่มาเพราะลูกงอแง


กำลังจะขึ้นไปแล้วจร้า


เปลี่ยนเครื่องทรงกันหน่อยเพื่อความเรียบร้อย และให้ความเคารพสถานที่กันหน่อย


สวยใช่เป่า ถ้าว่าก็ไปเที่ยวกันเนาะ หมดค่าน้ำมันรถคนละพันเอง ค่ากินก็คนละ 500 ส่วนค่าอื่นๆ ก็แล้วแต่ท่าน ฮ่าๆๆ กลับถึง กทม โดยสวัสดิภาพตอน 22.30 น. แวะส่งเพื่อนที่ อนุเสาวรีย์ (ทันรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายแน่นอน ฮ่าๆๆๆ)

อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อำเภอปัว จ.น่าน

ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "ป่าต้นน้ำ ป่าดึกดำบรรพ์ปลายทางหิมาลัย ขุนเขาใต้ทะเล" อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีพื้นที่ประมาณ 1,680 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ ได้แก่ ท่าวังผา ปัว เชียงกลาง ทุ่งช้าง บ่อเกลือ สันติสุข และแม่จริม เทือกเขาดอยภูคาประกอบด้วยแนวภูเขาสูงสลับซับซ้อน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของปลายเทือกเขาหิมาลัย โดยมียอดภูคาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดน่าน สูงถึง 1,980 เมตร

ดอยภูคา เป็นต้นแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัว บริเวณนี้เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อน ก่อนจะเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินสองผืนใต้ทะเลเข้าหากัน ทำให้แผ่นดินโก่งตัวขึ้น น้ำทะเลใต้ดินระเหยไปเหลือเพียงสินแร่เกลือ ดังที่พบในเขตอำเภอบ่อเกลือ และการค้นพบสุสานหอยทะเลอายุประมาณ 200 ล้านปี บนดอยภูแวที่บ้านค้างฮ่อ ตำบลสะกาด อำเภอปัว มีลักษณะเป็นหอยแครงสองฝา ดร.จงพันธ์ จงลักษณ์มณี นักธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี สรุปว่า เป็นซากหอยที่มี ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า พาลีโอคาร์ดิต้า สปีชี่ (Paleocardita Species) อายุ 195-205 ล้านปี จัดว่าอยู่ในยุคไทรแอสซิก (Triassic) ตอนปลาย

ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ประกอบด้วยป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ทุ่งหญ้า และ ป่าสนธรรมชาติ เป็นแหล่งของพันธุ์ไม้หายากใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ ชมพูภูคา (Bretschneidera sinesis Hemsl.) ในเขตป่าดิบเป็นแหล่งต้นเต่าร้างยักษ์ ปาล์มดึกดำบรรพ์ เมเปิ้ลใบ 5 แฉก ต่างจากเมเปิ้ลที่อื่นซึ่งมี 3 แฉก และยังเป็นแหล่งนกเฉพาะถิ่นที่หายากสองชนิด คือ นกมุ่นรกคอแดง และนกพงใหญ่พันธุ์อินเดีย สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่

ถ้ำผาแดง, ถ้ำผาผึ้ง เป็นถ้ำที่มีความสวยงามและยาวมากที่สุดในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา (บ้านมณีพฤกษ์) อ.ทุ่งช้าง ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และยังมีน้ำตกและลำธารขนาดใหญ่ภายในถ้ำอีกด้วย นอกจากนี้ที่บ้านมณีพฤกษ์นี้ยังสามารถชมดอกชมพูภูคาซึ่งจะบานในราวเดือนกุมภาพันธ์ได้ด้วย

ถ้ำผาฆ้อง เป็นถ้ำขนาดกลางบริเวณปากถ้ำจะมีขนาดเล็ก ภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อย และลำธารไหลผ่าน แต่ช่วงฤดูฝนไม่สามารถเข้าชมได้ เนื่องจากอาจมีน้ำท่วมในถ้ำอยู่ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร และต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2 กม.

น้ำตกต้นตอง เป็นน้ำตกหินปูนมี 3 ชั้น อยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา บนโตรกผามีพืชชุ่มน้ำ เช่นตะไคร่น้ำ เฟิร์นเกาะเขียวขจี หากในหน้าน้ำหลากน้ำในน้ำตกจะขุ่นแดง ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 3 กม. ทางเข้าอยู่ที่บ้านป่าเต๋ย และเดินเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร (ไป-กลับ 2 กม.) ต้องผ่านพื้นที่ทำไร่ของชาวบ้าน ลักษณะทางเดินลาดชันมาก

น้ำตกศิลาเพชร น้ำตกลงมาจากหน้าผาหลายชั้นลดหลั่นกันไป เหมาะกับการเล่นน้ำ น้ำตกศิลาเพชรอยู่ที่บ้านป่าตอง ตำบลศิลาเพชร ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 71 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 1080 สายน่าน-ปัว ก่อนถึงอำเภอปัว ตรงหลักกิโลเมตรที่ 41-42 มีทางแยกขวามือเข้าทางหลวงหมายเลข 1170 ไปประมาณ 10 กิโลเมตร

น้ำตกภูฟ้า อยู่ในอ.แม่จริม การเดินทางเข้าไปยากลำบากจะต้องเดินเท้าประมาณ 2 วัน

น้ำตกตาดหลวง บ้านทุ่งเฮ้า อ.ปัว และเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลาพลวง

ล่องแก่งน้ำว้าตอนกลาง ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางล่องแก่งระดับ 3-5 ประมาณ 20 กว่าแก่ง เป็นสุดยอดแห่งความตื่นเต้นสนุกสนานช่วงเวลาที่เหมาะกับการล่องแก่งอยู่ระหว่างเดือน ส.ค.-ธ.ค.

ยอดดอยภูแว เป็นยอดดอยที่มีวามสูงจากระดับน้ำทะเล 1,837 เมตร มีลักษณะโดดเด่นเป็นทุ่งหญ้าบนดอย อีกทั้งยังมีลานหินและหน้าผาสูงชันอีกด้วย และมีพรรณไม้เฉพาะถิ่นและพรรณไม้หายาก เช่น ค้อ กุหลาบพันปี ฯลฯ ในช่วงฤดูหนาว(พ.ย.-ก.พ.)นั้นจะมีความสวยงามมาก

การเดินทาง
โดยรถยนต์จากที่ทำการอุทยานฯ ไปถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยภูคาที่ 9 (บ้านด่าน) ระยะทางประมาณ 63 กม. และเดินทางขึ้นยอดดอยภูแวประมาณ 8 กม. และมีลูกหาบไว้บริการ

สุสานหอย ซึ่งเป็นหอยทะเลอายุประมาณ 218 ล้านปี พบในบริเวณบ้านค้างฮ่อ อ.ทุ่งช้าง

เส้นทางศึกษาธรรมชาติชมพูภูคา ดอยภูคานับเป็นบ้านแห่งสุดท้ายของต้นชมพูภูคาพันธุ์ไม้หิมาลัย ดร.ธวัชชัย สันติสุข ผู้เชี่ยวชาญพฤกษศาสตร์ป่าไม้ กรมป่าไม้ เป็นผู้สำรวจพบเป็นครั้งแรกในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ชมพูภูคาจะผลิดอกตามปลายกิ่งเป็นช่อสีชมพูยาว 30-35 เซนติเมตร เมื่อบานจะทำให้ช่อดอกเป็นพุ่มสวยงาม ชมพูภูคาเป็นพันธุ์ไม้ที่เคยมีการสำรวจพบตามหุบเขาแถบมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางเหนือของเวียดนาม จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบพืชชนิดนี้อีก พื้นที่ป่าดิบเขาดอยภูคาจึงอาจเป็นแหล่งกำเนิดสุดท้ายของชมพูภูคา ซึ่งเป็นไม้หายากใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งในโลก จุดชมต้นชมพูภูคาที่เข้าถึงง่ายที่สุดจะอยู่ริมถนนห่างจากที่ทำการไป 5 กิโลเมตร

อุทยานฯได้จัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้ 2 วงรอบ รอบเล็ก 1.2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 2 ชั่วโมง รอบใหญ่ 4.3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 4 ชั่วโมง ระหว่างเส้นทางจะพบ ป่าสนสามใบ เป็นป่าปลูกทดแทนป่าเดิมซึ่งถูกทำลาย ป่ากล้วย มักพบใกล้แหล่งน้ำ กล้วยที่โตเต็มที่สามารถเก็บน้ำตามลำต้นได้ถึง 10-15 ลิตร ป่าดึกดำบรรพ์ที่มีต้นเต่าร้างยักษ์, ต้นชมพูภูคา, นางพญาเสือโคร่ง พบในเขตป่าดิบเขา สูงจากระดับน้ำทะเล 800-1,800 เมตร เปลือกมีกลิ่นหอมคล้ายการบูน มีสรรพคุณเป็นยา ดอยดงหญ้าหวาย เดิมบริเวณนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน การเคลื่อนตัวของแผ่นดินใต้ทะเลสองผืนจนเกิดการโก่งตัวเป็นสภาพดอยในปัจจุบัน

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว
คือ ช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ อุณหภูมิ 15-27 องสาเซลเซียส และฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนซึ่งมีอากาศเย็นสบาย

สิ่งอำนวยความสะดวก
ในบริเวณอุทยานแห่งชาติดอยภูคา สถานที่สำหรับตั้งเต็นท์พักแรม บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และลานดูดาวซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ได้ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ตามถนนสายปัว-บ่อเกลือ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรในบริเวณพื้นที่กางเต็นท์ทั้ง 2 แห่งนี้มีห้องน้ำ ห้องสุขาไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว จองบ้านพักที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760 ป่าไม้จังหวัดน่าน โทร. 0 5471 0815 หรือ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โทร. 0 1224 0789, 0 5470 1000 ตู้ปณ . 8 ตำบลภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน 55120 หรือสำรองที่พักด้วยตนเองที่ //www.dnp.go.th

การเดินทาง
จากจังหวัดน่าน โดยทางรถยนต์ไปตามทางหลวงหมายเลข 1080 ถึงอำเภอปัว ระยะทาง 60 กิโลเมตรแยกไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-บ่อเกลือ) ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ระยะทาง 25 กิโลเมตร

ผู้ที่เดินทางโดยรถโดยสารประจำทางสามารถใช้บริการรถสองแถวสีน้ำเงินสายปัว-บ่อเกลือ ซึ่งผ่านหน้าอุทยานฯ วิ่งบริการระหว่างเวลา 07.30-14.00 น. ท่ารถอยู่บริเวณสามแยกปัว-บ่อเกลือ

ที่มา //www.tat.or.th/



Create Date : 16 ธันวาคม 2553
Last Update : 16 ธันวาคม 2553 2:20:29 น. 7 comments
Counter : 2578 Pageviews.

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...




โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:10:02:03 น.  

 
ตามมาเที่ยว เมืองน่าน ครับ


โดย: Kavanich96 วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:15:00:57 น.  

 
ลั้ลลาๆๆๆ กันเต็มที่เลยอ่ะ

อยากไปสัมผัสหมอก แบบนี้แหละชอบๆๆ











โดย: bigcat@nek วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:20:48:27 น.  

 
อิจฉา ได้ไปเที่ยวกัน

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: พระจันทร์สัญจร วันที่: 19 ธันวาคม 2553 เวลา:16:20:38 น.  

 
กำลังคิดว่าปีใหม่นี้จะไปอยู่เหมือนกัน ขอบคุณที่ไปเม้นท์นะคะ


โดย: nompiaw.kongnoo วันที่: 24 ธันวาคม 2553 เวลา:15:46:08 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: พระจันทร์สัญจร วันที่: 26 ธันวาคม 2553 เวลา:17:16:50 น.  

 


โดย: nokkatua วันที่: 31 ธันวาคม 2553 เวลา:23:04:07 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ปลาซิวน้อยในนาข้าวหอมมะลิ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยิ้มวันละนิดชีวิตยืนยาวค่ะ




Friends' blogs
[Add ปลาซิวน้อยในนาข้าวหอมมะลิ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.