ข่าวสารการเงิน หุ้น เศรษฐกิจ และการลงทุน ติดตามได้ที่ Facebook.com/ThaiMoneyNews

xemmy.bloggang.com

กรุณาเลือกหัวข้อที่ต้องการ => ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี เรื่อง Hot น่ารู้ ออมเงินที่ไหนดี ยานยนต์อัพเดท กลเม็ดเคล็ดลับ DIY-ทำเองก็ได้ง่ายจัง
Group Blog
 
All Blogs
 

ธนาคารทิสโก้ เปิดขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ครั้งที่ 2/2555 อัตราดอกเบี้ยที่ 4.6% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน วันที่ 17 -18 ธ.ค. 2555

นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าสายงานธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr. Picha Ratanatam, Head of Wealth Management, TISCO Bank Plc.) กล่าวว่า เปิดเผยว่า ธนาคารทิสโก้เสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2555 อายุ 10 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2565 โดยนำเสนออัตราดอกเบี้ยที่ 4.6% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ให้แก่นักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน จองซื้อขั้นต่ำที่ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยจะเสนอขายในวงเงินไม่เกิน 1 พันล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองสำหรับเสนอขายเพิ่มเติมอีกไม่เกิน 1 พันล้านบาท รวมมูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขายทั้งสิ้นไม่เกิน 2 พันล้านบาท เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 17 -18 ธ.ค. 2555 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย โดยผู้ออกหุ้นกู้สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ดังกล่าวได้ก่อนครบกำหนด หลังครบอายุ 5 ปี หรือตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ระบุไว้

โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารทิสโก้ที่เสนอขายในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “A-” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารทิสโก้ที่ระดับ “A” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันของธนาคารที่ระดับ “A” และ “A-” ตามลำดับด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Positive” หรือ “บวก” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถของคณะผู้บริหาร การมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี และการดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการมีสินทรัพย์คุณภาพดีและความสามารถในการรักษาระดับกำไรไว้ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถในการรักษาจุดแข็งของธนาคาร การมีฐานทุนที่แข็งแกร่งมากขึ้น และการรักษาเสถียรภาพของแหล่งเงินทุนไว้ได้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

“การนำเสนอหุ้นกู้ธนาคารทิสโก้ในครั้งนี้เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หลังจากที่ธนาคารประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้ทั้งหุ้นกู้ด้อยสิทธิและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นกู้ที่ธนาคารทิสโก้นำเสนอนั้นให้อัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ และเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งการแข่งขันในตลาดเงินฝากด้วยการนำเสนออัตราดอกเบี้ยสูงจะเบาบางลง ดังนั้น การนำเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก”

ทั้งนี้หุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารทิสโก้ จะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 17-18 ธ.ค. 55 โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมหรือขอหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด โทร 02 633 6555 หรือที่ธนาคารทิสโก้ โทร 02 633 6000 กด 2 กด 0

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน





 

Create Date : 13 ธันวาคม 2555    
Last Update : 13 ธันวาคม 2555 8:49:27 น.
Counter : 1384 Pageviews.  

บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 กำหนดราคาขายหุ้น IPO 1.90 บาท เปิดให้จองซื้อ 12-14 ธ.ค. 55

นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ในรูปแบบร้านค้าปลีก และธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิง เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นจำนวน 80 ล้านหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยได้แต่งตั้งบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ก่อนที่จะเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ต่อไป

ทั้งนี้ บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์และธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิง โดยกลุ่มธุรกิจสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ จะจำหน่ายสินค้าประเภทภาพยนตร์ เพลง ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดีและซีดี รวมถึงสินค้าประเภทสิ่งพิมพ์ เช่นหนังสือพิมพ์ นิตยสารรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน และพ็อกเก็ตบุ๊ค ภายใต้ช่องทางขายร้านค้าปลีกของบริษัทฯ และร้านค้าร่วมบริการที่อยู่ในห้างค้าปลีกที่มีมากกว่า 1,100 สาขาทั่วประเทศ ขณะที่ธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิง เป็นการดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท ดีเอ็นเอ เรฟโวลูชั่น จำกัด ที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% ของทุนชำระแล้วที่มีมูลค่า 20 ล้านบาท

“ธุรกิจสื่อโฮมเอนเตอร์เม้นท์ถือเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 6,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยราคาแผ่นและเครื่องเล่นวีซีดี ดีวีดีและบลูเรย์ที่ปรับตัวลดลง ทำให้เกิดความต้องการบริโภคและการเข้าถึงสื่อโฮมเอนเตอร์เม้นท์ในกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อสินค้าภาพยนตร์และเพลงที่ถูกลิขสิทธิ์ไปรับชมหรือฟังภายในบ้านเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย” นายสามารถ กล่าว

ด้าน นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 120 ล้านบาทหรือคิดเป็น 240 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯจะเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขาย เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ

“บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 เป็นหนึ่งในผู้นำในการดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ในรูปแบบร้านค้าปลีกที่มีช่องทางขายเป็นเบอร์ 2 ของตลาด รองจากร้าน 7-11 ด้วยจุดจำหน่ายกว่า 1,100 สาขาที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ได้มากขึ้น เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่นิยมซื้อสินค้าที่ถูกลิขสิทธิ์มากกว่า ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราขยายตัวต่อเนื่องในอนาคตต่อไป” นายวรชาติกล่าว

สำหรับ บมจ.ดีเอ็นเอ 2002 ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ในรูปแบบร้านค้าปลีก โดยวางจำหน่ายสินค้าประเภทภาพยนตร์ เพลง ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดีและซีดี รวมถึงสินค้าประเภสิ่งพิมพ์ เช่นหนังสือพิมพ์ นิตยสารรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน และพ็อกเก็ตบุ๊ค ภายใต้ช่องทางขายร้านค้าปลีกของบริษัทฯ และร้านค้าร่วมบริการอยู่ในห้างค้าปลีกที่มีมากกว่า 1,100 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำในการดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ในรูปแบบร้านค้าปลีกที่มีช่องทางขายเป็นเบอร์ 2 ของตลาดโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 6,000 ล้านบาท

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน





 

Create Date : 12 ธันวาคม 2555    
Last Update : 12 ธันวาคม 2555 10:19:39 น.
Counter : 1321 Pageviews.  

บลจ.เอ็มเอฟซี เปิดขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซีสปอท 33S ซีรี่ส์ 2 (SPOT33S2) วันที่ 11-25 ธันวาคม 2555

นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จการบริหารกองทุน Target Fund ที่มีผลงานโดดเด่นมาตลอด โดยล่าสุดได้บริหารกองทุนเปิด SPOT7S5 ถึงเป้าหมายผลตอบแทน 7%  โดยได้ดำเนินการเลิกกองทุนเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม และบริหารกองทุนเปิด SPOT55 เพียงเดือนเศษได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย เตรียมจ่ายเงินผลตอบแทนครั้งที่ 1 ให้ผู้ถือหน่วยลงทุน 5% ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้  เอ็มเอฟซีจึงได้เปิดขาย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีสปอท 33S ซีรี่ส์ 2 (SPOT33S2) ทาร์เก็ตฟันด์ที่มีกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นหลักทรัพย์ในประเทศ โดยตั้งเป้าหมายผลตอบแทนร้อยละ 3 สองครั้งรวมเป็นร้อยละ 6  ภายใน 5 เดือนเป็นกองทุนต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนในช่วงระยะเวลานี้   ซึ่งกองทุนดังกล่าวเหมาะสำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง  

กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีสปอท 33 ซีรี่ส์ 2 (SPOT33S2) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ในประเทศ และตั้งเป้าหมายผลตอบแทนร้อยละ 3  สองครั้ง ภายใน 5 เดือน โดยภายใน 5 เดือนแรกหากกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.35 บาทขึ้นไป กองทุนเปิด SPOT33S2  จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในอัตราร้อยละ 3 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับคืนผลตอบแทนครั้งที่ 1 ในอัตราร้อยละ 3 ก่อน และบริษัทจัดการจะทำการบริหารเงินลงทุนเดิมเพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นต่อจนเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุนตามเป้าหมายเพื่อรับผลตอบแทนอีกร้อยละ 3 ต่อไป

กลยุทธ์ของกองทุนเปิด SPOT33S 2  จะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยมีการบริหารกองทุนแบบ Active ซึ่งผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนตามสภาวการณ์ตลาดได้ทันท่วงทีทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้ และสามารถลงทุนในตราสารอนุพันธ์ โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures  โดยเอ็มเอฟซีคาดว่ามีปัจจัยสนับสนุนที่ดีต่อโอกาสการลงทุนของกองทุนเปิด SPOT33S2  ให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้แก่ เศรษฐกิจโลกซึ่งคาดว่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในปีหน้า ประกอบกับนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ส่งผลให้คาดว่าจะมีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนมายังสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า  นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยที่ยังคงขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐ โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.5-5.0% ในปีหน้า และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 18% ในปีนี้ และ 17% .ในปีหน้า นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลงทุนจากการขยายตัวของกำไรที่สูงเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค

นักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนเปิด SPOT33S2 สามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 10,000 บาท โดยติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง หรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 หรือที่ หรือสาขาเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ โทร. 02-835-3055-57  หรือพบกันในงาน Thailand Smart Money  ที่ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิร์ลด์  วันที่ 13-16 ธันวาคมนี้

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2555    
Last Update : 11 ธันวาคม 2555 11:41:22 น.
Counter : 1145 Pageviews.  

บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ เตรียมเสนอขายหุ้น IPO พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เร็วๆนี้

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพซฯ ได้แต่งตั้งบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 600 ล้านหุ้น เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้น IPO และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนได้ประมาณกลางปีหน้า 2556 โดยปัจจุบัน PACE มีทุนจดทะเบียน 2,054 ล้านบาท ราคา PAR หุ้นละ 1 บาท มีทุนชำระแล้ว 1,454 ล้านบาท

“วัตถุประสงค์ในการ IPO ครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ระดมได้ไปใช้เพื่อการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ของบริษัท บางส่วนจะใช้จ่ายค่าที่ดินสำหรับโครงการที่หัวหิน และที่ดินถนนหลังสวน โครงการที่หัวหินจะเป็นโครงการบ้านพักตากอากาศแบบ Tropical Resort จำนวน 120 หลังบนที่ดินประมาณ 120 ไร่ จะเริ่มเปิดขายโครงการต้นปี 56 นี้ อีกโครงการ จะเป็นโครงการ condominium Super Luxury ประมาณ 25,000 ตารางเมตร บนถนนหลังสวนติดสวนลุมพินี ที่หาไม่ได้อีกแล้ว” นายสรพจน์กล่าวเพิ่ม

ทั้งนี้ การเพิ่มทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มสถานะทางด้านการเงินให้กับบริษัทฯ และบริษัทย่อยให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีก จากปัจจุบันที่บริษัทมีพันธมิตรร่วมทุนคือบริษัท อินดัสเทรียล บิลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดหรือไอบีซี ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 90,000 ล้านบาท) ทั่วยุโรป 

โดยตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่ผ่านมา เพซฯ มีความมุ่งมั่นและเดินหน้าพัฒนาโครงการลงทุนที่พักอาศัย จนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ของประเทศ โดยโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์กลุ่มไฮเอนด์ของเพซฯ ทุกแห่ง ประสบความสำเร็จทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในคุณภาพตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง และทีมบริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์ ทำให้เพซฯ ผลิตโครงการคุณภาพที่เข้าใจความต้องการลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงการเป็นที่อยู่อาศัยที่มีคุณค่าและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า เพซฯ เป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมากตามทิศทางอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยการที่เพซฯ เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญเพื่อสร้างฐานการเงินให้แข็งแกร่ง พร้อมเติบโตไปอย่างมั่นคงและท้าทายกับโครงการใหม่ๆ ของบริษัทในอนาคต

“ผมในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เราคาดว่า บริษัท เพซฯ จะสามารถดำเนินการตามขั้นตอนของสำนักงาน กลต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหากเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เราคาดว่า เพซฯ จะสามารถเสนอขายหุ้น IPO และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนได้ประมาณกลางปีหน้า 2556 ศกนี้ และเพซฯ น่าจะเป็นหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อีกบริษัทหนึ่งที่นักลงทุนให้การยอมรับในความโดดเด่นของโครงการและการตอบรับของลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ในระดับไฮเอนด์ซึ่งถือว่ามีผู้เล่นที่จำกัดมาก” ดร. ก้องเกียรติ กล่าวเพิ่มเติม





 

Create Date : 10 ธันวาคม 2555    
Last Update : 10 ธันวาคม 2555 10:42:58 น.
Counter : 1266 Pageviews.  

บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 12 ธันวาคม 2555

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มบริการ หมวดพาณิชย์ ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ โดย BEAUTY เป็นผู้จำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามประเภทเครื่องสำอาง และบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ผ่านการคัดสรรอย่างดีทั้งในด้านวัตถุดิบและรูปลักษณ์เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค BEAUTY ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม 3 ประเภทได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Make-up) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin care) และอุปกรณ์เสริม (Accessories) ภายใต้แนวคิด 3 รูปแบบได้แก่ บิวตี้ บุฟเฟต์ (BEAUTY BUFFET) บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) และเมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE) โดยแต่ละแนวคิดจะมีความแตกต่างกันในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจำหน่าย และตำแหน่งทางการตลาด เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน BEAUTY มีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 217.5 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 82.5 ล้านหุ้น แบ่งเป็นการเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปจำนวน 80 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อผู้บริหาร และพนักงานจำนวน 2.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 8 บาท เมื่อวันที่ 29 - 30 พฤศจิกายน และวันที่ 3 ธันวาคม 2555 คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 660 ล้านบาท โดยมี บมจ. หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BEAUTY เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในกิจการของบริษัท ส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดียิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินให้บริษัทพร้อมสำหรับการแข่งขัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปขยายสาขา รวมทั้งนำไปลงทุนเพื่อปรับปรุงระบบการดำเนินงานภายใน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต

หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BEAUTY 3 รายแรกได้แก่ กลุ่มนายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ถือหุ้น 70.83% นายปรัชญา เลวัน ถือหุ้น 1.67% และ นางสาวกันธิมา พรศรีนิยม ถือหุ้น 0.48% ราคา IPO ของ BEAUTY ในราคาหุ้นละ 8.00 บาท ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 16.25 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง คือ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 - ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ซึ่งเท่ากับ 147.68 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 300 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิเท่ากับ 0.49 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และสำรองตามกฎหมาย

ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ //www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ //www.beautycommunity.co.th และที่เว็บไซต์ //www.set.or.th

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน





 

Create Date : 09 ธันวาคม 2555    
Last Update : 9 ธันวาคม 2555 11:03:50 น.
Counter : 1614 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  

xemmy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




Friends' blogs
[Add xemmy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.