ข่าวสารการเงิน หุ้น เศรษฐกิจ และการลงทุน ติดตามได้ที่ Facebook.com/ThaiMoneyNews

xemmy.bloggang.com

กรุณาเลือกหัวข้อที่ต้องการ => ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี เรื่อง Hot น่ารู้ ออมเงินที่ไหนดี ยานยนต์อัพเดท กลเม็ดเคล็ดลับ DIY-ทำเองก็ได้ง่ายจัง
Group Blog
 
All Blogs
 

บมจ. แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 25 ธันวาคม 2555

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 25 ธันวาคม 2555 โดย ARROW ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อร้อยสายไฟฟ้า ท่อลม ท่อระบายอากาศ ท่อก่อสร้าง และท่อประปา ตลอดจนข้อต่อต่างๆ โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ผู้ติดตั้งงานระบบไฟฟ้า และประปาสำหรับโครงการมาตรฐาน กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการทำการตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย และผู้รับเหมาโครงการ บริษัทได้รับความไว้วางใจจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยผลงานที่สำคัญ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม ศูนย์ราชการกรุงเทพฯ แจ้งวัฒนะ โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ 

ARROW มีทุนชำระแล้ว 200 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 150 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อผู้บริหารและพนักงานของบริษัท 5 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 45 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 17-19 ธันวาคม 2555 ในราคาหุ้นละ 5.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 275 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ ARROW เปิดเผยว่า บริษัทต้องการรักษาความเป็นผู้นำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กร้อยสายไฟฟ้าของประเทศไทย และมีแผนการขยายธุรกิจรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างและโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี จึงระดมทุนเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานใหม่ ซื้อเครื่องจักรสำหรับขยายกำลังการผลิต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ARROW 3 รายแรก ได้แก่ กลุ่มนายเลิศชัย วงค์ชัยสิทธิ์ ถือหุ้น 57.42% กลุ่มนายภาณุพงศ์ วิจิตรทองเรือง ถือหุ้น 7.23% และ กลุ่มนางประคอง นามนันทสิทธิ์ ถือหุ้น 7.15% ราคา IPO ของ ARROW ในราคาหุ้นละ 5.50 บาท ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ประมาณ 12.12 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลังคือ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 – ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ซึ่งเท่ากับ 90.74 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เรียกชำระแล้วภายหลังการเสนอขายต่อประชาชนในครั้งนี้ (Fully diluted) ซึ่งเท่ากับ 200 ล้านหุ้น ซึ่งได้เท่ากับ 0.4537 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่นๆ ตามที่บริษัทกำหนด 

ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ //www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ //www.arrowpipe.com และที่เว็บไซต์ //www.mai.or.th




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2555    
Last Update : 22 ธันวาคม 2555 21:49:40 น.
Counter : 1593 Pageviews.  

สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปี 56 ที่ 1,471 จุด

สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุน ปี 2556 โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ เปิดเผยว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2556 ไว้ที่เฉลี่ย 1,471 จุด โดยปัจจัยบวกสำคัญมาจากการประเมินว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวสูงในปีหน้า การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลปี 2556 ลงเหลือ 20% การลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศลงอีก โดยที่สหรัฐจะแก้ปัญหาหน้าผาการคลังได้ทัน และต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นไทย 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 56 ที่เฉลี่ย 4.6% ในขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 56 จะเติบโตเฉลี่ย 15.2% ราคาทองคำสิ้นปี 56 จะขึ้นไปอยู่ที่ 26,732 บาทต่อบาททองคำ และคาดว่านักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศรวมพอร์ตโบรกเกอร์จะซื้อสุทธิในช่วงปี 2556 รวมกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์เห็นว่า ภาครัฐควรเร่งลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและโครงการขนาดใหญ่ ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ ลดอัตราดอกเบี้ยช่วงนี้ถึงปี 56 ลงอีก 0.25-0.50% และควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2555    
Last Update : 21 ธันวาคม 2555 11:02:37 น.
Counter : 1190 Pageviews.  

บมจ.ดีเอ็นเอ 2002 (DNA) เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 21 ธันวาคม 55

บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 (DNA) พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 21 ธันวาคมนี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,216 ล้านบาท  เป็นบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ลำดับที่ 9  ใน mai ปีนี้

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 (DNA) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 โดย DNA ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ ประเภทภาพยนตร์ เพลง ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดี และซีดี รวมถึงสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และพ็อกเก็ตบุ๊ค ผ่านร้านค้าปลีกกลุ่มบริษัท และร้านค้าร่วมบริการในโมเดิร์นเทรดมากกว่า 1,432 สาขาทั่วประเทศ  

DNA มีทุนชำระแล้ว 160 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 480 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 160 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 12-14 ธันวาคม 2555 ในราคาหุ้นละ 1.90 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 304 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 เปิดเผยว่า “รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทได้นำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้กับบริษัท และช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัททั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดให้มากขึ้นในอนาคต”

หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DNA 3 รายแรก ได้แก่ กลุ่มคุณสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา และครอบครัว ถือหุ้น 38.06% คุณศิริศักดิ์ ปิยทัสสีกุล ถือหุ้น 23.44% และ คุณอารียา ยอดทองดี ถือหุ้น 2.03% ราคา IPO ของ DNA ในราคาหุ้นละ 1.90 บาท ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 26.30 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 - ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555) เท่ากับ 46.24 ล้านบาทหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully diluted) ซึ่งเท่ากับ 640 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.07 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองต่าง ๆ ทั้งหมด




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2555    
Last Update : 20 ธันวาคม 2555 11:11:29 น.
Counter : 1006 Pageviews.  

ตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม จัด "มหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้ายด้วย LTF-RMF" 20-23 ธ.ค. 55

โครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม จัด "มหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้ายด้วย LTF-RMF" 20-23 ธ.ค. นี้ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ รวมเอา LTF-RMF 150 กองทุน และกองทุนรวมประเภทอื่นรวมกว่า 1,300 กองทุนมาให้เลือกลงทุน พร้อมรับคำปรึกษาการลงทุนจาก 18 บลจ. ชั้นนำในงาน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน 

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวมเป็นโครงการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 โดยมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจและรณรงค์ให้ผู้ออมและผู้ลงทุนได้ใช้ประโยชน์จากการลงทุนในกองทุนรวมอย่างเต็มที่ โดยมีการให้ความรู้ผ่านสื่อประเภทต่างๆ การอบรมสัมมนา และกิจกรรม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้งผ่านสื่อประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสานโอกาสการลงทุนให้แก่ผู้ออมและผู้ลงทุน ซึ่งจะเห็นว่าจำนวนผู้ลงทุนในกองทุนรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 2.9 ล้านบัญชี ในปี 2554 เป็น 3.3 ล้านบัญชี ในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้น 13.8% 

"มหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้ายด้วย LTF-RMF" ในปีนี้จะมีกองทุน LTF และ RMF กว่า 150 กองทุน จาก 18 บลจ. ชั้นนำ และกองทุนรวมประเภทอื่นที่มีนโยบายที่หลากหลายรวมกว่า 1,300 กองทุนมาให้ผู้ร่วมงานได้เลือกลงทุน คาดว่างานในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับเพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ลงทุนมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งไม่เพียงลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ยังเป็นการกระจายความเสี่ยง เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนอีกด้วย” ดร. ภากรกล่าว 

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า “LTF และ RMF ได้กลายมาเป็นเครื่องมือลงทุนที่สำคัญที่สร้างความมั่นใจในวัยเกษียณ และสร้างความฝันของหลายๆ คนให้เป็นจริงได้ และปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่กองทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลงทุนที่ได้ทะยอยลงทุนหรือลงทุนอัตโนมัติมาทุกเดือนโดยสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ลงทุน แม้จะเสียดายแต่ก็อย่าได้ทิ้งสิทธิในปีนี้ ไปพบกับพวกเราเกือบทุก บลจ. ได้ในงาน และอาจลองสอบถามวิธีทะยอยลงทุนแบบอัตโนมัติเผื่อใช้ในปีหน้าด้วย”

"มหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้ายด้วย LTF-RMF" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 ธันวาคม 2555 เวลา 10.00-20.00 น. ที่ชั้น 1 โซนอีเดน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งนอกจากกองทุนรวมหลากหลายให้เลือกลงทุนแล้ว ยังมีบริการวางแผนการลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญจาก บลจ. ชั้นนำ คำนวณภาษีด้วยโปรแกรมง่ายๆ รู้ผลทันที รับโผกองทุนเด่น พร้อมพบโปรโมชั่นส่งท้ายปีสำหรับผู้ลงทุนภายในงาน ผู้สนใจสอบถามได้ที่ SET Call Center 0 2229 2222 และ //www.thaimutualfundnews.com หรือ Mobile Application "SETactivity"




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2555    
Last Update : 19 ธันวาคม 2555 10:23:05 น.
Counter : 1120 Pageviews.  

ครม.เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา โดยปรับขั้นอัตราภาษีให้ถี่ขึ้นเพื่อความเป็นธรรม

นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยปรับขั้นอัตราภาษีให้ถี่ขึ้นเป็น 7 ขั้น จากเดิม 5 ขั้น และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอัตราสูงสุดเหลือ 35% จากเดิม 37% นอกจากนี้ ยังปรับปรุงการยื่นเสียภาษีบุคคลธรรมดา ให้แยกระหว่างสามี และภรรยาได้

สำหรับลำดับขั้นเงินได้สุทธิ และอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ ครม.อนุมัติในครั้งนี้แบ่งเป็น 7 ขั้น เริ่มจาก
เงินได้สุทธิ 0-300,000 บาท อัตราภาษี 5%,
เงินได้สุทธิ 300,001 ถึง 500,000 บาท อัตราภาษี 10%, 
เงินได้สุทธิ 500,001 ถึง 750,000 บาท อัตราภาษี 15%, 
เงินได้สุทธิ 750,001 ถึง 1,000,000 บาท อัตราภาษี 20%
เงินได้สุทธิ 1,000,001 ถึง 2,000,000 บาท อัตราภาษี 25%, 
เงินได้สุทธิ 2,000,001 ถึง 4,000,000 บาท อัตราภาษี 30% และ
เงินได้สุทธิ 4,000,001 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35% 
ส่วนผู้มีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท กระทรวงการคลังจะออกพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีไว้เช่นเดิม

ด้าน นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. ว่า การแก้ไขกฎหมายเรื่องการแยกยื่นภาษีระหว่างสามีภรรยาจะมีการออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อเร่งดำเนินการให้ทันการยื่นแบบเสียภาษีในต้นปี 56 สำหรับปีภาษีปัจจุบัน แต่การปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา จะมีการออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ) เพื่อให้ทันใช้บังคับกับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 56 ที่จะต้องยื่นเสียภาษีในปี 57

สำหรับมาตรการฯ นี้คาดว่าจะกระทบรายได้รัฐในปีงบประมาณ 56 ราว 25,000 ล้านบาท




 

Create Date : 18 ธันวาคม 2555    
Last Update : 18 ธันวาคม 2555 19:30:28 น.
Counter : 1926 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  

xemmy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




Friends' blogs
[Add xemmy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.