WishRich
Group Blog
 
All Blogs
 

ความเชื่อทั่วไปที่เกี่ยวกับการ เสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกาย

ความเชื่อทั่วไปที่เกี่ยวกับการ
เสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกาย


   ในการออก
กำลังกายมีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปมากมายดังจะนำเสนอถึงความเชื่อและข้อ
เท็จจริงดังต่อไปนี้

ความเชื่อที่ 1 หากท่านออกกำลังกายโดย
ใช้เครื่องออกกำลังกายชนิดพิเศษ
ท่านจะสามารถเผาผลาญพลังงานแคลอรี่ได้มากกว่าการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ
ในเวลาที่เท่าๆกัน  ในความเป็นจริงแล้ว
ปริมาณพลังงานแคลอรี่ที่สูญเสียไปนั้น มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ
ความพยายามในการประกอบกิจกรรมนั้นๆ  ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากเราพยายามมาก
หมายถึง เราต้องออกแรงมากกว่าปกติ
ก็เท่ากับว่าปริมาณพลังงานแคลอรี่ที่สูญเสียไปนั้นมากขึ้นตามไปด้วย
แต่หากเราพยายามน้อย แรงที่เราใช้ก็น้อย
ทำให้ปริมาณพลังงานแคลอรี่ที่สูญเสีย มีปริมาณที่น้อยลงด้วย
มันจึงไม่สำคัญว่า ท่านจะออกกำลังกาย โดยใช้เครื่องออกกำลังกายชนิดพิเศษ
จะวิ่ง จะเดิน หรือเล่นกีฬาชนิดต่าง ๆ
แต่มันสำคัญอยู่ที่ว่ายิ่งท่านออกกำลังกายหนักมากเท่าใด
ปริมาณพลังงานแคลอรี่ก็จะถูกเผาผลาญมากขึ้นเท่านั้น 

ความเชื่อที่ 2
การออกกำลังกายแบบ เวทเทรนนิง ด้วยอุปกรณ์แบบ free weights (Dumbbells และ
Barbells) จะได้ผลดีกว่าการออกกำลังด้วยเครื่องออกกำลังกายทั่วไป  (Weight
Training Exercise หมายถึง
การออกกำลังกายที่เราต้องการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น
โดยใช้อุปกรณ์เป็นแรงต้านที่มีน้ำหนักต่าง ๆ กันออกไป เช่น
การยกก้อนน้ำหนัก (Dumbbells หรือ Handheld Weights) การใช้เครื่องมือพวก
Weight Training Machine ที่เราพบเห็นในศูนย์ออกกำลังกายต่าง ๆ
หรือในบางบ้านที่สนใจการสร้างเสริมความแข็งแรงสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อ
ในบางกรณีอาจมีการใช้ยางยืดที่มีความตึงตัวที่แตกต่างกัน (Resistance
Rubber Band) ก็ถือว่าเป็น Weight Training Exercise ได้เหมือนกัน)
ในความเป็นจริงแล้ว
หากท่านต้องการที่จะออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกาย
เพิ่มความกระชับของกล้ามเนื้อและลดน้ำหนักนั้น
มันไม่สำคัญเลยว่าท่านจะออกกำลังกายโดยวิธีไหน  อย่างไร 
ขอเพียงให้การออกกำลังกายชนิดนั้นๆ
มีความเหมาะสมกับตัวท่านและท่านก็สามารถที่จะออกกำลังกายนั้นได้อย่างสม่ำ
เสมอ

Free weights กับ Weight machines แบบไหนผลดีกว่ากัน?
 
      คงอาจจะมีข้อสงสัยในเรื่องของการออกกำลังกายแบบ Weight Training
ว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีให้เลือกอยู่มากมาย
อย่างไหนถึงจะเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
หรืออาจจะสงสัยว่าควรจะเลือกใช้อุปกรณ์ชนิดใด แบบใดถึงจะได้ผลดีที่สุด
โดยเฉพาะอุปกรณ์ระหว่าง Free weights กับ Weight machines
ตามความเป็นจริงแล้วไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนชี้ชัดออกมาได้ว่าอุปกรณ์
ชนิดไหนจะดีกว่ากัน ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ประสงค์
หรือเป้าหมายที่สำคัญในการออกกำลังกายว่าต้องการผลอย่างไร
และขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ
อย่างในการที่จะเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมในแต่ละคนไป 

Free
Weights

ส่วนของ Free weights จะประกอบไปด้วย Dumbbells และ
Barbells เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการออกกำลังกาย พูดถึง dumbbells
จะมีความหนักเบาให้เลือกมากมายหลายขนาดเริ่มต้นตั้งแต่อันละ 1 กิโลกรัม
ไปจนถึงมากกว่า 50 กิโลกรัมก็มี ในการเลือกใช้ dumbbells
ที่เหมาะสมอาจจะต้องเลือกดูน้ำหนักที่พอเหมาะไม่หนักมากจนเกินไป
เพราะต้องการควบคุมการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องด้วย
สำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายแบบ weight training มาก่อน หรือในกลุ่มของ
คนที่เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ ไม่ควรเริ่มออกกำลังกายด้วยอุปกรณ์ประเภท free
weights นี้ เพราะจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่าย
เมื่อเทียบกับการออกกำลังกายโดยใช้ weight machines
แต่สำหรับคนที่เคยออกกำลังกายมาบ้างแล้ว (ตั้งแต่ Intermediate ไปจนถึง
Advance)
ควรค่อยๆเริ่มจากน้ำหนักที่สามารถออกแรงยกได้และสามารถบังคับให้อยู่ในท่า
ทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
หรืออาจจะต้องมีครูฝึกคอยแนะนำท่าทางที่ถูกต้อง
และคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

Weight Machines
ส่วน
ของ Weight machines มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบ
ซึ่งในแต่ละเครื่องจะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ
เฉพาะส่วนที่แตกต่างกันออกไป เช่น เครื่องบริหารร่างกายในส่วนของหน้าอก
ท้อง หลัง ขา หัวไหล่ และแขน เป็นต้น โดย weight machines จะมีข้อจำกัดคือ
แต่ละเครื่องก็จะบริหารกล้ามเนื้อได้เพียงส่วนเดียว เช่น
เครื่องบริหารกล้ามเนื้อสะโพกต้นขาด้านนอก
ก็จะใช้บริหารร่างกายส่วนนี้ได้เพียงมัดเดียว
ในขณะที่กล้ามเนื้อส่วนอื่นของร่างกายไม่มีการทำงาน
ถ้าต้องการบริหารกล้ามเนื้อในส่วนของสะโพกต้นขาด้านในจะต้องมีการเปลี่ยน
เครื่องในการบริหารร่างกายต่อไป รวมไปถึงอุปกรณ์มีราคาสูง
ใช้พื้นที่ค่อนข้างมากในการวางเครื่องแต่ละตัว ซึ่งจะแตกต่างกับ dumbbells
ที่มีราคาถูก ไม่ต้องการพื้นที่มากในการจัดเก็บอุปกรณ์ 
 ข้อได้เปรียบของการออกกำลังกายแบบ weight machines
นี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะเหมาะกับกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกาย
เพราะปลอดภัยสูง ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือน free weights
โดยที่สอบถามถึงวิธีการใช้จากครูฝึกในครั้งแรกแล้วหลังจากนั้นก็สามารถ
บริหารร่างกายได้เอง

ความเชื่อที่ 3
มียาที่สามารถทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วได้
มันอาจจะมีความเป็นไปได้
ที่จะมียาที่สามารถทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว
น้ำหนักของเรา มักจะลดลงได้ช้ากว่าที่เราต้องการเสมอ
และการที่จะทำให้น้ำหนักของเราลดลงอย่างรวดเร็วได้เพียงนั้น
จะมีความเสี่ยงและอันตรายสูงมาก
ดังนั้นหากเราออกกำลังกายและรู้จักควบคุมอาหารอย่างสม่ำเสมอ
น้ำหนักก็สามารถลดลงเองได้
โดยที่เราไม่ต้องไปพึ่งพาวิธีการลดน้ำหนักหรือเครื่องออกกำลังกายที่แปลก ๆ
เลย

ความ
เชื่อที่ 4
ท่านไม่ควรที่จะออกกำลังกายด้วยวิธี Weight
training จนกว่าน้ำหนักของท่านจะลดลงได้ตามที่ท่านต้องการแล้ว
เพราะการออกกำลังกายด้วยวิธีนี้จะทำให้น้ำหนักท่านลดลงช้า Weight training
จำเป็นสำหรับการลดน้ำหนัก
เพราะมันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย
ดังนั้นหากท่านคิดที่จะลดน้ำหนัก ท่านควรจะเริ่มด้วยการออกกำลังแบบ Weight
training เป็นอย่างแรก

ความเชื่อที่ 5
หากท่านออกกำลังกายตอนท้องว่าง ไขมันของท่านจะถูกเผาผลาญไปมากขึ้นกว่าเดิม
การออกกำลังกายตอนท้องว่างหรือไม่นั้น
ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักของเราเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร
และอาจจะทำให้ท่านไม่มีแรงที่จะอกกำลังกายอีกด้วย
เพราะฉะนั้นก่อนที่ท่านจะออกกำลังกาย ท่านก็ควรที่จะดื่มน้ำผลไม้สัก 1
แก้วเป็นอย่างน้อยก่อน




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 18:23:14 น.
Counter : 353 Pageviews.  

วิธีการจัดการทางด้านโภชนาการที่ง่ายที่สุด

วิธีการจัดการทางด้านโภชนาการที่
ง่ายที่สุด

1 การรับประทานเพื่อเป้าหมายของท่านเอง
 -
หากท่านต้องการที่จะลดน้ำหนัก
ให้ท่านรับประทานน้อยกว่าที่ร่างกายท่านต้องการ 30%
-
หากท่านต้องการที่จะเพิ่มน้ำหนัก
ให้ท่านรับประทานมากกว่าที่ร่างกายท่านต้องการ15%
โดยใช้ BMI Calculator
เป็นเกณฑ์ (BMI Calculator หรือโปรแกรมคำนวณค่า
ดัชนีชี้ค่าความอ้วนเป็นเกณฑ์ประเมินว่าอ้วนหรือไม่ โดยคำนวณค่าดัชนีมวลกาย
(Body Mass Index) คือ เอา น้ำหนักตัว (หน่วย กก.) หารด้วย ส่วนสูง (หน่วย
เมตร) ยกกำลังสอง จะได้ค่า ๆ
หนึ่งออกมาเพื่อเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เพื่อประเมินว่าร่างการ
ของท่านอยู่  ณ ระดับใด)

2
การรับประทานเพื่อความคงที่ของน้ำหนัก

-
ต้องรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารทั้ง3ชนิด อย่างน้อยสารละ30%
(โปรตีน/คาร์โบไอเดรต/ไขมัน) อีก10%ให้รับประทานตามใจชอบ

3
รับประทานอาหารให้ถูกต้อง

- โปรตีน แบบไม่ติดมันหรือธรรมดา
เช่น ไก่ ไก่งวง ไข่ขาว หางนม
 - คาร์โบไฮเดรต
ให้เลือกรับประทานผักและผลไม้เป็นอาหารหลักและควรจะอยู่ในอาหารทุกๆมื้อ
ระหว่างที่ท่านกำลังควบคุมอาหาร
- ไขมัน ให้รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
และควรเลือกแบบที่ไขมันต่ำเท่านั้น เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันพืช เป็นต้น

4
รับประทานบ่อยๆ 4-6 มื้อต่อวั

-
ในแต่ละมื้อควรจะมีโปรตีนที่สมบูรณ์เพียงพอ
-ในแต่ละมื้อควรจะมีคาร์โบ
ไฮเดรตอย่างน้อย 1 ชนิด ระหว่างผักและผลไม้

5 การดื่มน้ำ
-
ผู้หญิงที่ออกกำลังกาย ควรจะดื่มน้ำอย่างน้อย ครึ่งแกลลอนถึง 1 แกลลอน
ต่อวัน
- ผู้ชายที่ออกกำลังกาย ควรจะดื่มน้ำอย่างน้อย 1 ถึง 1
แกลลอนครึ่ง ต่อวัน


โปรตีน 101
โปรตีนเป็น
สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและร่างกายต้องการทุกวัน
เพื่อไปใช้ทำหน้าที่ที่หลากหลาย ดังนี้
-   ทำหน้าที่สร้าง ซ่อมแซม
และดูแลรักษา เซลล์และเนื้อเยื่อต่างของมนุษย์ เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ
และอวัยวะต่างๆในร่างกาย เป็นต้น
-   ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์และฮอร์โมน
ชนิดต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในส่วนต่างๆของร่างกาย
โดยที่ตัวเอนไซม์จะเป็นตัวทำให้เกิดปฎิกริยาเคมีต่างๆในร่างกาย
ส่วนตัวฮอร์โมนจะมีหน้าที่ส่งสัญญาณให้เอนไซม์ต่างๆเริ่มและหยุดการทำงาน
ตามที่ร่างการต้องการ
-    ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกัน
ป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เช่น แบคทีเรีย,ไวรัสเป็นต้น
-   ทำ
หน้าที่ควบคุมปริมาณของเหลวในร่างกาย
-   ควบคุมความเป็นกรด-เบสของร่าง
กาย โดยปกติแล้วร่างกายของเราจะสร้างกรดและเบสอยู่ตลอดเวลา
เพื่อทำให้เลือดยังคงเป็นกลางอยู่
ในขณะที่รับของเสียมาจากส่วนต่างทั่วทั้งร่างกายเรา โดยที่มีโปรตีน
(พลาสม่าโปรตีน)เป็นตัวสั่งการว่าควรเพิ่ม-ลด ความเป็นกรดและเบสอย่างไร
เพื่อให้เลือดยังคงเป็นกลางอยู่
-   นอกเหนือจากประโยชน์ทางข้างต้นแล้ว
ในกรณีที่ร่างกายขาดไขมันและคาร์โบไฮเดรตโปรตีนยังสามารถให้พลังงานแก่ร่าง
กายได้อีกด้วย (4 แคลอรี่/กรัม)
แต่ถ้าท่านรับประทานทานแคลอรี่มากกว่าที่ร่างกายของท่านต้องการแล้ว
ส่วนที่เหลือก็จะถูกเก็บอยู่ในรูปของไขมันในร่างกาย

ที่มา
ของโปรตีน


เนื้อสัตว์ เนื้อปลา สัตว์ปีก ไข่ นม ชีส
โยเกริต ถั่วเหลือง เป็นอาหารที่อุดมไปด้วย
กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตทั้ง 9 ชนิด
และด้วยเหตุนี้เองพวกมันเลยถูกจัดว่าเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์

พืชที่ให้
โปรตีน พืชที่มีลักษณะเป็นฝัก เช่นพืชตระกูลถั่ว เป็นต้น
พืชที่ให้ผลผลิตเป็นเมล็ด เช่น
ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง
และธัญพืชชนิดต่าง เป็นต้น
โปรตีนที่ได้จากพืชจัดว่าเป็นโปรตีนชนิดที่ไม่สมบูรณ์ เพราะ
มีกรอดอะมิโนที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตไม่ครบทั้ง 9 ชนิด

แต่สำหรับคน
ที่อยากรับประทานโปรตีนชนิดที่สมบูรณ์แต่ไม่อยากรับประทานเนื้อสัตว์นั้น
มีความเป็นไปได้ เนื่องจากโปรตีนในผักแต่ละชนิดนั้นสามารถเชื่อมต่อกัน
จนกลายเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้
นี่เป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการที่เราจะควบคุมอาหารโดยที่ไม่ต้องรับ
ประทานเนื้อสัตว์และยังได้รับโปรตีนที่จำเป็นแบบครบถ้วน

Cheat
Days วันแห่งอิสระภาพ


วิธีการให้อิสระตามใจ
ปรารถนา

ในแต่ละสัปดาห์ ท่านอาจจะมีสัก
1วันที่ไม่ต้องควบคุมอาหารก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น
ทุกๆวันเสาร์ท่าน
สามารถที่จะทานอาหารที่ท่านชอบได้เลยตามต้องการ

ขั้นตอนการ
ทำงานของร่างกายต่อวิธีนี้

ร่างกายของเรานั้นมีการดูแลเพื่อให้
เกิดความสมดุลเสมอ จะเห็นได้จากว่า บางคนมีน้ำหนักที่คงที่อยู่ตลอด
ยากที่จะขยับขึ้นหรือลง นี่คงเป็นสาเหตุที่ว่า
ทำไมบางคนที่งดควบคุมอาหารชั่วคราว  แต่ยังมีน้ำหนักที่คงที่อยู่
คืออาจจะขยับสูงขึ้น แต่เมื่อกลับมาควบคุมอาหารดังเดิม
ก็จะกลับมาเท่าเดิมในระยะเวลาเพียงไม่นาน
นั่นก็เป็นเพราะที่น้ำหนักเท่านั้นเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย
ร่างกายของท่านต้องการแค่การปรับตัว
เพื่อที่จะกลับมามีรู้สึกดีอีกครั้งหนึ่ง
แต่วิธีนี้จะได้ผลเฉพาะกับคนที่ควบคุมอาหารเป็นปกติอยู่แล้ว
ไม่ใช่สำหรับคนที่ตั้งใจควบคุมอาหารเพื่อที่จะลดน้ำหนักภายในระยะเวลาที่
กำหนดไว้

คำ
เตือน

   
วิธีมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่มีปริมาณแคลอรี่ไม่พอ
เนื่องจากร่างกายจะเข้าใจว่าอยู่ในช่วงเวลาของการอดอาหาร
และจะเก็บสารอาหารทุกชนิดที่รับประทานเข้าไปไว้ในรูปของไขมันมั้งหมด
เพื่อดึงมาใช้เป็นพลังงานในภายหลัง
     มันไม่เกี่ยวกันว่า
ท่านจะรับประทานมากน้อยแค่ไหน
แต่มันขึ้นอยู่กับว่าท่านรับประทานอะไรมากกว่า, ยิ่งกินมาก น้ำหนัก
ยิ่งลดมาก
ข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วและคิดว่ามันไร้สาระมาก
แต่มันกลับใช้ได้จริงสำหรับพวกที่ไม่ยอมทานอาหาร เพื่อที่จะลดน้ำหนัก
   
 เมื่อสลับกลับมารับประทานแบบ 6-7 มื้อต่อวัน
น้ำหนักก็เริ่มลดลงหลังจากผ่านไปได้ 6 สัปดาห์
และการที่จะเลิกรับประทานแบบนี้ก็ง่ายด้วย 
เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายรู้สึกดีและสามารถปรับตัวได้แล้ว
และการเผาผลาญอาหารในร่างกายก็ทำงานอยู่ตลอดวัน
ทำให้เวลารับประทานอะไรเข้าไปก็สามารถเผาผลาญได้อย่างง่ายดาย

สรุป
 
   เราควรจะควบคุมอาหาร
เลือกรับประทานแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นเวลาประมาณ 3- 4 อาทิตย์
จากนั้นให้กลับมารับประทานอาหารตามเดิม (หรือเริ่มCheat Days)
ร่างกายอาจจะใช้เวลาปรับตัวบ้าง แต่หลังจากนั้น 
ท่านก็จะมีความรู้สึกหิวและอยากอาหารอยู่ตลอดเวลา
ก็ให้ท่านกลับมาควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด 
โดยท่านจะต้องพยายามตอบสนองต่อความอยากของท่าน ในระดับที่คงที่คือ
รับประทานเมื่อรู้สึกหิว ในปริมาณที่ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป ในแต่ละมื้อ
ให้เท่าๆกัน  และเมื่อร่างกายของท่านปรับตัวได้แล้ว
ความอยากอาหารนั้นก็จะหมดไป
และท่านก็จะรู้สึกดีเมื่อท่านได้รับประทานอาหารในแต่ละมื้อนั้น
เนื่องจากในช่วงของการปรับตัวนั้น ร่างกายจะมีความรู้สึกหิวและอยากอาหารมาก
และเมื่อได้รับประทานอะไรเข้าไป ก็จะทำให้รู้สึกดีขึ้น
และคลายความอยากลงไปได้  ดังนั้น
เมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้วจึงทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้นในการที่จะรับ
ประทานอาหารในแต่ละมื้อ






 

Create Date : 29 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 18:19:31 น.
Counter : 363 Pageviews.  

140 เหตุผลว่า เหตุใดน้ำตาลจึงเป็นตัวทำลายสุขภาพของท่าน

90.   การรับประทานน้ำตาลซูโคสในปริมาณที่สูง
ของผู้ที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบทำให้เพิ่มภาวะของการแข็งตัว
ของเกร็ดเลือด
91.   การรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่สูงนำไปสู่การเกิดโรค
มะเร็งระบบท่อน้ำดี
92.   น้ำตาลเป็นอาหารของมะเร็ง
93.   การบริโภค
น้ำตาลในปริมาณสูงในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นวัยรุ่นมีความสัมพันธ์กับการเพิ่ม
ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เด็กแรกคลอดจะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์
เป็นสองเท่า
94.   การบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงเป็นสาเหตุของการนำไปสู่
การลดลงของระยะเวลาในการตั้งครรภ์ในหมู่สตรีวัยรุ่น
95.   น้ำตาลมีส่วน
ทำให้เกิดการชะลอในการเดินทางของอาหารในระบบทางเดินอาหาร
96.   น้ำตาล
เพิ่มความเข้มข้นของกรดน้ำดีในอุจาระและเพิ่มเอนไซม์ในแบคทีเรียในบริเวณลำ
ไส้ใหญ่
97.   น้ำตาลเพิ่มฮอร์โมนเอสตาไดออล
(เป็นฮอร์โมนแอสโตรเจนชนิดรังไข่ที่พบในเพศหญิง) ในผู้ชาย
98.   น้ำตาล
จะรวมตัวกับฟอสเฟสและทำลายเอนไซม์ 
ซึ่งจะทำให้กระบวนการของการย่อยอาหารมีความลำบากมากขึ้น
99.   น้ำตาลทำ
ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในถุงน้ำดี
100.   น้ำตาลเป็นสาร
เสพติดชนิดหนึ่ง
101.   น้ำตาลสามารถออกฤทธิ์ทำให้มึนเมาได้คล้ายกับแอล
กอฮอลล์
102.   น้ำตาลส่งผลให้อาการก่อนมีประจำเดือน (หรือ เรียกว่า
Premenstrual syndrome     (PMS)โดยมีอาการที่ไม่สบายกาย หงุดหงิด
อารมณ์ไม่แจ่มใส มีสิวขึ้น เป็นต้น ก่อนการมีประจำเดือน)
มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าปรกติ
103.   น้ำตาลมีผลกระทบต่อปริมาณคาร์บอน
ไดออกไซด์ที่ทารกแรกคลอดสร้างขึ้นหลังจากการใช้ออกซิเจนไป
104.   การลด
ปริมาณการบริโภคน้ำตาลลงจะสามารถช่วยเพิ่มความมั่นคงทางอารมณ์ได้
105.   ร่าง
กายจะเปลี่ยนรูปของน้ำตาลไปเป็นไขมันในกระแสเลือด ได้ 2-5 เท่า
มากกว่าขณะที่เป็นแป้ง
106.   การดูดซึมของน้ำตาลที่รวดเร็วช่วยให้ร่าง
กายคนเรารับประทานอาหารได้มากกว่าปรกติ
107.   น้ำตาลทำให้โรคสมาธิสั้น
ในเด็กมีอาการแย่ลงมากกว่าเดิม
108.   น้ำตาลมีผลเสียต่อองค์ประกอบของ
สารน้ำอิเล็กโทรไลต์ในกระเพาะปัสสาวะ
(หากสารน้ำและเกลือในร่างกายมีความผิดปรกติก็ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
ได้)
109.   น้ำตาลสามารถชะลอความสามารถในการทำงานของต่อมหมวกไต
110.   น้ำตาล
มีอิทธิพลแฝงต่อการเกิดกระบวนการเผาผลาญที่ผิดปรกติได้ในบุคคลที่มีสุขภาพดี
ทั่วไปและก่อให้เกิดโรคความเสื่อมเรื้อรังได้
111.   I.Vs 
หรือการให้สารอาหารทางเส้นหลอดเลือดของน้ำที่มีน้ำตาลผสมอยู่นั้นสามารถ
ยับยั้งออกซิเจนมิให้ไปเลี้ยงสมองได้
112.   การที่ร่างกายได้รับซูโครส
ปริมาณที่สูงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงตัวสำคัญในการก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้
113.   น้ำตาล
เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคโปลิโอ
114.   การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลใน
ปริมาณที่สูงอาจก่อให้เกิดโรคลมบ้าหมู (อาการที่คนไข้ชักอย่างฉับพลัน)
115.   น้ำตาล
เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูงในคนที่มีรูปร่างอ้วน
116.   ในส่วนของ
“หออภิบาลผู้ป่วยหนัก” หรือหน่วย “ICU” นั้นจะมีการกำหนด
มาตรฐานของระดับน้ำตาลเพื่อรักษาสวัสดิภาพของผู้ป่วยไว้
117.   น้ำตาลทำ
ให้เกิดการตายของเซลล์
118.   น้ำตาลทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น
119.   ใน
สถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อเด็ก ๆ
ได้รับการเพิ่มปริมาณการบริโภคน้ำตาล พบว่า ร้อยละ  44
จะกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม
120.   น้ำตาลนำไปสู่การเกิด
โรคมะเร็งในต่อมลูกหมาก
121.   น้ำตาลทำให้ทารกประสบภาวการณ์ขาดน้ำใน
ทารกแรกเกิด
122.   น้ำตาลทำให้เกิดการเพิ่มของฮอร์โมนเอสตาดิออล
(estradiol เป็นฮอร์โมนแอสโตรเจนชนิดรังไข่ในเพศหญิง) ในชายหนุ่ม
123.   น้ำตาล
ทำให้ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย
124.   การบริโภคน้ำตาลทรายขาวใน
ปริมาณมากมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคจิตเภท (กลุ่มความผิดปกติทางจิต
มีความผิดปกติทางความคิด มีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เชิงบวกเช่น ประสาทหลอน
หูแว่ว หลงผิด มีพฤติกรรมท่าทางแปลก ๆ เช่น หัวเราะสลับร้องไห้ เป็นต้น
ส่วนเชิงลบ เช่น ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ  นั่งนิ่งไม่สนใจอะไร เป็นต้น)
125.   น้ำตาล
สามารถทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของระดับของ homocysteine ในกระแสเลือด
(homocysteine เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีอะตอมของกำมะถันเป็นองค์ประกอบ
พบในร่างกายของมนุษย์ โดยเกิดจากกระบวนการเมแทบอลิซึมของกรดอะมิโน
เมทไธโอนิน(Methionine) โดย homocysteine เป็นสารกึ่งกลางในการเปลี่ยนจาก
methionine ไปเป็นกรดอะมิโนอีกชนิดหนึ่งคือ cysteine โดยในภาวะปกติ
homocysteie เป็นผลิตผลที่ไม่มีพิษภัยต่อระบบการทำงานของร่างกาย
แต่กลับพบว่าเมื่อระดับ Homocysteine
ในเลือดสูงขึ้นเกินกว่าค่าปกติจะเป็นพิษต่อผนังเซลล์หลอดเลือดโดยจะไปทำลาย
ผนังด้านในของหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดขนาดเล็ก เช่น หลอดเลือดหัวใจ
หลอดเลือดที่อยู่ในสมอง
และหลอดเลือดที่ไตจะมีผลทำให้หลอดเลือดที่กล่าวถึงมีโอกาสตีบและอุดตันได้
เช่นถ้ามีการอุดตันที่หลอดเลือดเล็ก ๆ ในสมองก็จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอัมพฤกษ์ -
อัมพาตได้) แก้ไขด้วยการออกกำลังกาย งดอาหารที่มีไขมันและ
รับประทานอาหารที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระ)
126.   อาหารที่มีรสหวานจะ
เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในทรวงอก
127.   น้ำตาลก่อให้เกิด
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในลำไส้เล็ก
128.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของ
การเกิดโรคมะเร็งกล่องเสียง
129.   น้ำตาลส่งผลให้เกิดการสะสมของเกลือ
และการสะสมของน้ำในร่างกายทำให้เกิดอาการบวมน้ำ
130.   น้ำตาลก่อให้เกิด
การสูญเสียความทรงจำในระดับที่ไม่รุนแรงมากนัก
131.   บุคคลที่บริโภค
น้ำตาลในปริมาณมากเป็นเวลา 10 ปี
จะส่งผลให้การดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นในร่างกายลดลงโดยตรง
132.   น้ำตาล
สามารถเพิ่มปริมาณของอาหารที่เราบริโภคเข้าไป
133.   อัตราการเจริญเติบ
โตของทารกแรกเกิด 6 เดือน ถึง 2 ขวบ
เปิดเผยให้เห็นถึงปริมาณการบริโภคน้ำตาล น้ำเชื่อมซูโครสที่มีปริมาณมาก
134.   น้ำตาล
เป็นสาเหตุของอาการท้องผูก
135.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของเส้นเลือดขอด
136.   น้ำตาล
เป็นสาเหตุของความเสื่อมของสมองในภาวะเสี่ยงก่อนเป็นเบาหวานและโรคเบาหวานใน
สตรี
137.   น้ำตาลสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะ
อาหาร
138.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของการเกิดโรค metabolic syndrome
หรือโรคอ้วนลงพุง
(เป็นกลุ่มโรคที่ประกอบด้วยความผิดปกติที่มักพบร่วมกันได้แก่ โรคอ้วนลงพุง
ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและระดับไขมันในเลือดที่ผิดปกติ
และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่2
และการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือด)
139.   การรับประทานน้ำตาลใน
สตรีมีครรภ์ทำให้เกิดการเพิ่มความผิดปรกติของท่อระบบประสาท
(ความผิดปรกตินี้เป็นความพิการแต่กำเนิดที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ
ของการตั้งครรภ์ คือตั้งแต่ วันที่ 20-28 (สัปดาห์ที่ 3-4)
หลังจากที่มีการปฏิสนธิของไข่และอสุจิ ในระยะนี้
ตัวอ่อนจะมีเนื้อเยื่อซึ่งแบ่งออกเป็นสามชั้น
เนื้อเยื่อชั้นนอกจะแบ่งตัวเพื่อสร้างระบบประสาทและสมอง
โดยปกติแล้วเนื้อเยื่อชั้นนอกนี้
จะแบ่งเซลล์ยกตัวขึ้นเพื่อม้วนกลับสร้างให้เป็นท่อของระบบประสาท (Neural
Tube) ขึ้นมาก่อน ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นกระดูกสันหลังและไขสันหลังต่อไป
ส่วนบริเวณปลายของท่อนี้จะต้องปิดเข้าหากันเพื่อเป็นศีรษะ
และก็จะมีการสร้างสมองและกะโหลกศีรษะต่อไป แต่ในกรณีของ Anencephaly
ก็คือมีความล้มเหลว ของการปิดบริเวณส่วนปลายของท่อนี้
ดังนั้นจึงไม่สามารถพัฒนาการสร้างส่วนของกะโหลกศีรษะ และสมองให้สมบูรณ์ได้)
140.   น้ำตาล
เป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดโรคหอบหืด
141.   การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก
ทำให้เกิดโอกาสการเป็นโรคลำไส้แปรปรวน (เป็นการทำงานผิดปกติของลำไส้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน มักจะมีอาการปวดท้อง
อาจปวดตรงกลางหรือปวดบริเวณท้องน้อย
โดยทั่วไปจะปวดท้องน้อยด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา
ลักษณะอาการปวดมักจะปวดแบบเกร็ง มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด
อาการจะไม่สัมพันธ์กับอาหาร นอกจากนี้จะมีอาการท้องโตขึ้นเหมือนมีลมในท้อง
อาจมีอาการเรอหรือผายลมมากขึ้น และมีอาการถ่ายไม่ปกติ บางรายมีอาการท้องผูก
บางรายท้องเสีย หรือในบางรายอาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเสียก็ได้
ผู้ป่วยบางรายอาจมีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด
หรือมีอาการปวดเบ่งแต่เมื่อถ่ายอุจจาระแล้วอาการดีขึ้น
มักมีอุจจาระเป็นมูกร่วมด้วยได้ อาการต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็น ๆ หาย ๆ
มีอาการมากน้อยสลับกันได้ จะมีอาการเกิน 3 เดือน ในระยะเวลา 1 ปี)
ได้มากขึ้น
142.   น้ำตาลอาจมีผลต่อสมองส่วนที่ควบคุมความพึงพอใจ
และภาคภูมิใจในตนเอง
143.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของมะเร้งทวารหนัก
144.   น้ำตาล
เป็นสาเหตุของมะเร็งเยื่อบุผนังมดลูก









 

Create Date : 29 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 18:17:18 น.
Counter : 372 Pageviews.  

140 เหตุผลว่า เหตุใดน้ำตาลจึงเป็นตัวทำลายสุขภาพของท่าน

45.   น้ำตาลทำให้เกิดการยับยั้งการดูดซึมของโปรตีน
46.   น้ำตาลเป็น
สาเหตุของการแพ้อาหาร
47.   น้ำตาลทำให้เป็นโรคอ้วน
48.   น้ำตาลทำ
ให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษในสตรีมีครรภ์
49.   น้ำตาลทำให้เกิดโรคผิวหนัง
อักเสบในเด็ก
50.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
51.   น้ำตาลทำให้เกิดการชำรุดภายในโครงสร้างของสารพันธุกรรม หรือ DNA
52.   น้ำตาล
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีน
53.   น้ำตาลทำให้ผิวหนัง
เกิดรอยเหี่ยวย่นและเกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างของคอลลาเจน
54.   น้ำตาล
เป็นสาเหตุของการเกิดต้อกระจก
55.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของการเกิดโรคถุงลม
โป่งพอง
56.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
57.   น้ำตาล
สามารถทำให้เกิดภาวะ low density lipoprotein หรือ LDL สูงขึ้น
(มีส่วนประกอบของ โคเลสเตอรอล ในปริมาณสูงถึงร้อยละ 45 ร่างกายสร้าง
ทำหน้าที่ขนส่ง โคเลสเตอรอล จากตับไปยังผนังหลอดเลือด เนื้อเยื่อไขมัน
และกล้ามเนื้อทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นถ้าสูงเป็นระยะเวลานาน
จะเกิดการคั่งและเกาะตามหลอดเลือดทำให้เกิดการอุดตันได้
จึงจัดเป็นไขมันชนิดร้าย)
58.   การรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่มาก ๆ
ทำให้เกิดการลดลงของการรักษาดุลยภาพของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
59.   น้ำตาล
ลดประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์ให้ต่ำลง
60.   การรับประทานน้ำตาลใน
ปริมาณที่สูงจะทำให้เกิดโรคพาคินสันได้
61.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของการ
เปลี่ยนแปลงแบบถาวรในการทำงานของโปรตีนในร่างกาย
62.   น้ำตาลทำให้เกิด
การเพิ่มขนาดของตับโดยทำให้เซลล์ตับมีการแบ่งตัว
63.   น้ำตาลทำให้เกิด
การเพิ่มปริมาณไขมันในตับ
64.   น้ำตาลทำให้ไตมีการเพิ่มขนาดขึ้นและก่อ
ให้เกิดโรคาพยาธิต่าง ๆ กับไต
65.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของการที่ตับอ่อน
ถูกทำลาย
66.   น้ำตาลเพิ่มการเก็บรักษาของเหลวในร่างกายทำให้เกิดอาการ
บวมน้ำ
67.   น้ำตาลเป็นตัวที่ยับยั้งการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ตัวสำคัญ
68.   น้ำตาล
เป็นสาเหตุของภาวะสายตาสั้น
69.   น้ำตาลทำให้เยื่อบุในเส้นเลือดฝอย
เสื่อม
70.   น้ำตาลทำให้เกิดภาวะเส้นเอ็นเปราะ
71.   น้ำตาลเป็น
สาเหตุของการเกิดอาการปวดศีรษะ รวมไปถึงไมเกรน
72.   น้ำตาลทำให้เกิดโรค
มะเร็งตับในผู้หญิงได้
73.   น้ำตาลมีผลกระทบต่อระดับผลการเรียบนของเด็ก
ๆ ในเชิงลบและเป็นสาเหตุของการเกิดความผิดปรกติของสมองในกระบวนการเรียนรู้
(Learning Disorder)
74.   น้ำตาลทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของคลื่นสมองบาง
ชนิด ได้แก่ delta, alpha, theta
75.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของภาวะซึม
เศร้า
76.   น้ำตาลเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร
77.   น้ำตาล
เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะที่อาหารไม่ย่อย
78.   น้ำตาลสามารถเพิ่มความ
เสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์ได้
79.   น้ำตาลสามารถเพิ่มระดับกลูโคสในการ
ทดสอบความทนทานของน้ำตาลกลูโคส (เป็นวิธีการหนึ่งในการตรวจหาเบาหวาน)
มากกว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
80.   น้ำตาลสามารถเพิ่มการตอบ
สนองต่ออินซูลินในบุคคลที่มีการบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ
บุคคลที่บริโภคน้ำตาลในปริมาณน้อย
81.   บุคคลที่บริโภคน้ำตาลทรายขาว
บริสุทธิ์ในปริมาณมาก ๆ  ทำให้ความสามรถในการเรียนรู้ลดลงได้
82.   น้ำตาล
ทำให้โปรตีนในเลือด อัลบูมิน (albumin
เป็นรูปแบบของโปรตีนส่วนใหญ่ที่พบในเลือด
ถูกสร้างโดยตับจากกรดอะมิโนที่ได้รับจากอาหาร) และไลโพโปรตีน
ลดประสิทธิภาพในการในการจัดการกับไขมันและคลอเรสตอรอลในร่างกาย
83.   น้ำตาล
ทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมได้
84.   น้ำตาลทำให้เกิดภาวการณ์แข็งตัวของ
เกร็ดเลือด
85.   น้ำตาลทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมน
เนื่องจากฮอร์โมนบางชนิดจะกลายเป็นฮอร์โมนที่ไม่มีการตอบสนองและบางฮอร์โมน
ก็กลายเป็นฮอร์โมนที่ไวต่อการตอบสนอง
86.   น้ำตาลทำให้เกิดนิ่วในไตและ
ทางเดินปัสสาวะ
87.   น้ำตาลทำให้สมองส่วนไฮโปธาลามัส ((Hypothalamus)
มีการทำงานประสานกันระหว่างระบบประสาท somatic
ระบบประสาทอัตโนมัติและระบบต่อมไร้ท่อ  โดยมีศูนย์ควบคุมต่างๆ  ได้แก่ 
ศูนย์ควบคุมกรทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ  ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิ 
ศูนย์ควบคุมสมดุลน้ำ  ศูนย์ควบคุมการกิน พฤติกรรมและการแสดงออก 
ระดับความรู้สึกตัว และสร้างฮอร์โมน  2  ชนิด) 
มีความไวต่อการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ มากขึ้น
88.   น้ำตาลทำให้เกิด
อาการหน้ามืดได้
89.   น้ำตาลเทียมสูงทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและภาวะที่
เซลล์ถูกทำลายด้วยสารอนุมูลอิสระอันเป็นที่มาของความเสื่อมเรื้อรังกว่า 70
ชนิด




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 18:10:41 น.
Counter : 346 Pageviews.  

เหตุใดน้ำตาลจึงเป็นตัวทำลายสุขภาพของท่าน

เหตุผล จำนวน 140 เหตุผลว่า เหตุใดน้ำตาลจึงเป็นตัวทำลายสุขภาพของท่าน
1.   น้ำตาล
สามารถยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้
2.   น้ำตาลทำให้การทำงานที่
สัมพันธ์กันของแร่ธาตุในร่างกายผิดปรกติได้
3.   น้ำตาลสามารถทำให้เกิด
อาการสมาธิสั้น ความวิตกกังวล การไม่มีสมาธิ
และการมีอารมณ์ฉุนเฉียวในเด็กได้
4.   น้ำตาลสามารถทำให้เกิดการเพิ่ม
ขึ้นของไตรกลีเซอไรด์
(สารอาหารประเภทไขมันที่ได้จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
และจากการสร้างขึ้นเองในร่างกายโดยตับและลำไส้เล็ก
เป็นตัวสร้างไตรกลีเซอไรด์ 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลลรี่
ไตรกลีเซอไรด์ละลายอยู่ในเลือดได้โดยรวมตัวกับโปรตีน
ดูดซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย
บางส่วนถูกสะสมไว้ที่เนื้อเยื่อไขมัน ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว
และมีอาการร่วมคือ ตับโต ม้าม) อย่างมีนัยสำคัญ
5.   น้ำตาลลด
ประสิทธิภาพของการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย
6.   น้ำตาลเป็น
สาเหตุของการสูญเสียความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อและหน้าที่
ยิ่งท่านรับประทานน้ำตาลมากเพียงใด
ร่างกายของท่านก็จะยิ่งสูญเสียความยืดหยุ่นและระบบการทำงานมากขึ้น
7.   น้ำตาล
ทำให้ความหนาแน่นของ lipoproteins 
(เป็นไขมันธรรมดาที่อยู่รวมกับกรดอะมิโนหรือโปรตีนพบในเยื่อหุ้มเซลล์
ในระบบหมุนเวียนเลือดสาร lipoprotein
จะหุ้มคลอเรสตอรอลเพื่อทำหน้าที่ขนส่งไปตามกระแสโลหิตสู่ยังเซลล์ต่าง ๆ
ทั่วร่างกายเพื่อนำไปใช้งาน)ลดลงต่ำ
8.   น้ำตาลทำให้ร่างกายขาด
Chromium
9.   น้ำตาลทำให้เป็นมะเร็งในรังไข่ได้
10.   น้ำตาลทำให้
ระดับน้ำตาลกลูโคสเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
11.   น้ำตาลทำให้ร่างกายขาด
ธาตุทองแดง (copper)
12.   น้ำตาลยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและ
แมกนีเซียม
13.   น้ำตาลทำให้การมองลดประสิทธิภาพลง
14.   น้ำตาล
เพิ่มระดับสารเคมีในสมอง พวกสาร dopamine, serotonin, และ nor epinephrine
ซึ่งเป็นอันตรายต่อการส่งสัญญาณของระบบประสาท
15.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของ
การเกิด hypoglycemia หรือภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
16.   น้ำตาลทำให้
เกิดกรดในระบบย่อยอาหาร
17.   น้ำตาลทำให้เกิดการเพิ่มสูงของระดับ
adrenaline ในร่างกายเด็กอย่างรวดเร็ว
(เพราะการเพิ่มอะดรีนารีลส่วนเกินนี้จะทำให้หัวใจไวต่อการเกิดปฏิกิริยาต่อ
อะดรีนารีน ผลที่ตามมาก็คือ
อัตราการเต้นของหัวใจด้านต่ำจะมีอัตราที่สูงขึ้น)
18.   น้ำตาลทำให้เกิด
กระบวนการย่อยและดูดซึมอาหารเสียไปในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคในลำไส้
19.   น้ำตาล
ทำให้เกิดริ้วรอย
20.   น้ำตาลนำไปสู่การเกิดอาการแอลกอฮอล์ลิสซึม
21.   น้ำตาล
ทำให้ฟันผุ
22.   น้ำตาลทำให้เป็นโรคอ้วน
23.   การรับประทานน้ำตาลใน
ปริมาณสูงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบทางเดินอาหารอักเสบ
หรือโรคลำไส้อักเสบและโรคแผลอักเสบในลำไส้ใหญ่
24.   น้ำตาลสามารถทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงในบุคคลที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลในลำไส้เล็ก
ส่วนตัน
25.   น้ำตาลสามารถทำให้เกิดโรคข้ออักเสบได้
26.   น้ำตาล
สามารถทำให้เกิดโรคหืดได้
27.   น้ำตาลยับยั้งการควบคุมการเกิดโรคการติด
เชื้อจากยีสต์ในร่างกาย
28.   น้ำตาลทำให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดี
29.   น้ำตาล
ทำให้เกิดโรคหัวใจ
30.   น้ำตาลทำให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ
31.   น้ำตาล
ทำให้เกิดโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
32.   น้ำตาลทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร
33.   น้ำตาล
ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดขอด
34.   น้ำตาลสามารถทำให้ระดับกลูโคสและ
อินซูลินสูงขึ้นในกลุ่มผู้ใช้ยาคุมกำเนิด
35.   น้ำตาลนำไปสู่การเกิดโรค
ปริทันต์
36.   น้ำตาลทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
37.   น้ำตาลทำให้เกิด
ภาวะน้ำลายเปลี่ยนเป็นกรดและเกิดการอักเสบในร่างกาย
38.   น้ำตาลทำให้
เกิดการลดลงของระดับอินซูลิน
39.   น้ำตาลทำให้เกิดการลดลงของไวตามินอี
ในเลือด
40.   น้ำตาลทำให้เกิดการลดลงของ growth ฮอร์โมน
41.   น้ำตาล
ทำให้เกิดการเพิ่มของคอเรสเตอรอล
42.   น้ำตาลเพิ่มค่าความดันโลหิตตัวบน
(หรือเรียกอย่างหนึ่งว่า systolic blood pressure
มีค่าสูงเป็นค่าที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจห้องล่างบีบตัว
เพราะปกติแล้วหัวใจเป็นศูนย์กลางสูบฉีดโลหิตโดยวงจรหมุนเวียนโลหิตเป็น
แบบวงจรปิด  การบีบตัวของหัวใจเพื่อดันให้โลหิตไหลผ่านเส้นโลหิต
จะเกิดมีแรงต้านของหลอดโลหิตต่อการไหลของโลหิต เรียกว่าความดันโลหิต (Blood
pressure) ซึ่งมี 2 ค่า
คือค่าความดันโลหิตตัวบนและตัวล่างซึ่งจะมีค่าต่ำกว่าเกิดขณะหัวใจห้องล่าง
คลายตัว)
43.   น้ำตาลเป็นสาเหตุของการเกิดอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นใน
เด็กทำให้ทำกิจกรรมได้น้อยลง
44.   การรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่สูงจะ
เพิ่มโอกาสการเกิดภาวะ Glycation (หรือเรียกว่า non-enzymatic
glycosylation) คือ การที่มีน้ำตาลเช่น ฟรุกโตส ,กลูโคส
มายึดติดกับโมเลกุลของโปรตีน หรือไขมัน โดยไม่ต้องอาศัย enzyme มาช่วย 
กลูโคสบางส่วนจะเกิดการรวมตัวกันกับ Hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง เกิดเป็น
Glycated Hemoglobin ซึ่งส่วนนี้ ที่จะไปถึงผิวของเรา และบางที เชื้อ
P.Acne ก็จะได้น้ำตาลในเม็ดเลือดชนิดนี้ เป็นอาหาร
ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของความชรา)




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 18:07:50 น.
Counter : 2387 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

WishRich
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานครับ
Friends' blogs
[Add WishRich's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.