WishRich
Group Blog
 
All Blogs
 

กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี Paphiopedilum

กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี Paphiopedilum//www.panmai.com/Orchid/Paph/paph_hd.jpg


           
กล้วยไม้รองเท้านารี (Lady’s Slipper) เป็นกล้วยไม้สกุล Paphiopedilum
มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกหลายชื่อ เช่น รองเท้านาง รองเท้าแตะนารี หรือ
บุหงากะสุต
ในภาษามาเลเซีย อันหมายถึงรองเท้าของสตรี เนื่องจากกลีบดอก
หรือที่เรียกว่า
“กระเป๋า” มีรูปร่างคล้ายกับรองเท้าของสตรีและรองเท้าไม้ของชาวเนเธอแลนด์

กระเป๋าของรองเท้านารีมีรูปร่างลักษณะและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์

           
กล้วยไม้รองเท้านารี มีแหล่งกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่น
และเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตั้งแต่อินเดีย ฟิลิปปินส์ พม่า มาเลเซีย
และในประเทศไทยซึ่งพบกล้วยไม้รองเท้านารีขึ้นอยู่ในป่าทั่วๆ
ไป บางชนิดเกาะอาศัยอยู่ตามต้นไม้
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดินหรือซอกหินที่มีต้นไม้ใบหญ้า
เน่าตายทับถมกัน
เจริญงอกงามในที่โปร่ง ไม่ชอบที่รกทึบ แสงแดดส่องถึง

           
รองเท้านารี เป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอเช่นเดียวกับ หวาย คัทลียา
และซิมบิเดียม
ต้นที่แท้จริงเรียกว่า ไรโซม (เหง้า)
ต้นหนึ่งหรือกอหนึ่งจะประกอบด้วยต้นย่อยหลายต้น
รากออกเป็นกระจุกที่โคนต้นและมักจะทอดไปทางด้านราบมากกว่าหยั่งลึกลงไป
หน่อใหม่จะแตกจากตาที่โคนต้นเก่า มีลำต้นสั้นมาก แต่ไม่มีลำลูกกล้วย
ใบมีขนาดรูปร่างต่างกันไป
บางชนิดมีใบยาว บางชนิดใบตั้งชูขึ้น บางชนิดใบทอดขนานกับพื้น
บางชนิดใบมีลาย
บางชนิดใบไม่มีลายแต่เป็นสีเดียวเรียบๆ การออกดอกจะออกที่ยอด
มีทั้งชนิดออกดอกเป็นดอกเดี่ยว
และออกดอกเป็นช่อ กลีบดอกชั้นนอกกลีบบนมีขนาดใหญ่สะดุดตา
ส่วนกลีบชั้นนอกคู่ล่างจะเชื่อมติดกันและมีขนาดเล็กลงจนส่วนปากบังมิดหรือ
เกือบมิด
กลีบคู่ในซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกางออกไปทั้ง 2 ข้างซ้ายขวาของดอก
ส่วนกลีบในกลีบที่
3 จะเปลี่ยนเป็น “กระเปาะ” คล้ายรูปรองเท้า
กระเปาะนี้มีหน้าที่รับน้ำฝนตกลงไปเพื่อชะล้างเกสรตัวผู้ไปตัดกับแผ่นเกสร
ตัวเมีย
กล้วยไม้สกุลนี้จะมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน
แต่จะมีเส้าเกสรแตกต่างจากกล้วยไม้ทั่วๆ
ไป คือ ที่ปลายสุดของเส้าเกสร แทนที่จะเป็นอับเรณูกลับเป็นแผ่นบางๆ
ซึ่งทางพฤกษาศาสตร์ถือเป็นเกสรที่เปลี่ยนรูปร่างไปใช้การไม่ได้
เรียกส่วนนี้ว่า “สตามิโนด” สำหรับเกสรตัวผู้ที่ใช้การได้มีอยู่ 2 ชุด
โดยจะอยู่ถัดต่ำลงมาทั้ง 2 ข้างของเส้าเกสรข้างละ 1 ชุด
ในแต่ละชุดจะมีอับเรณูลักษณะเป็นก้อนแข็งอยู่
2 อัน
ถัดต่ำลงมาจากส่วนนี้อีกจะเป็นยอดเกสรตัวเมียซึ่งเป็นแอ่งลึกลงไปยึดติดกับ
เส้าเกสร
(ปกติส่วนนี้จะถูกหูกระเป๋าโอบหุ้มเอาไว้จนมิด)
ภายในมีน้ำเมือกเหนียวสำหรับยืดเกสรตัวผู้ที่ตกลงไปในแอ่ง
รังไข่อยู่ตรงส่วนของก้านดอก ภายในรังไข่ยังไม่มีการพัฒนาเป็นไข่อ่อน
จนกระทั่งผสมเกสรแล้วจึงเกิดไข่อ่อนในรังไข่

รังไข่จะกลายเป็นฝักเมื่อฝักแก่จะแตกเมล็ดสามารถเจริญงอกงามเป็นต้นใหม่ได้

           
โดยธรรมชาติของกล้วยไม้สกุลรองเท้านารีทุกชนิด เมื่อออกดอกแล้วก็จะตายไป
แต่ก่อนตายจะแตกหน่อทดแทน ซึ่งหน่อนี้ก็จะเจริญงอกงามเป็นต้นใหม่ต่อไป
ชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้รองเท้านารี ที่สำรวจพบ ได้แก่




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2553    
Last Update : 28 มิถุนายน 2553 15:18:50 น.
Counter : 378 Pageviews.  

ชวนชม

//www.panmai.com/DesertRose/DesertRose_SH.jpg
 
ชวนชม
เป็นพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกสวยงามสะดุดตา
มีรูปทรงของต้นและกิ่งก้านที่สวยงามและอ่อนช้อยนุ่มนวล
เป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแห้งแล้งจนได้รับสมญาว่า Desert
Rose หรือ "กุหลาบทะเลทราย"
นอกจากนี้ชวนชมยังเป็นชื่อที่มีความไพเราะเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของคนไทย

แม้แต่ชาวจีนซึ่งเรียกชวนชมว่า "ปู้กุ้ยฮวย" หรือ
ดอกไม้แห่งความร่ำรวยก็ยังมีความหมายไปในทางสิริมงคลเช่นกัน

           

ชวนชมมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน
ชื่อ
P. Forskal
ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกาแถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่าราวปี
พ.ศ.2305
แต่กลุ่มนักพฤกษศาสตร์ในสมัยนั้นเชื่อว่าไม้ดอกที่พบเป็นเพียงลั่นทมพันธุ์
ใหม่
และในราวปี พ.ศ.2357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ ( Josef August
Schultes )
นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชวนชมกับลั่นทม

จนเป็นที่ยอมรับว่า ชวนชมคือดอกไม้ชนิดใหม่

            

สำหรับในประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีผู้นำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยง
ตั้งแต่เมื่อใด
แต่จากหลักฐานพอสันนิษฐานได้ว่า
มีการนำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า
70 ปีแล้ว โดยผ่านทางราชสำนักหลังการเสด็จประพาสต่างประเทศ
เพราะมีการพบเห็นชวนชมปลูกอยู่ในเขตพระราชวังและวังเจ้านายทั่วไป
จากการสืบค้นของ อาจารย์วิชัย อภัยสุวรรณ (ผู้เขียนหนังสือ
"ไม้ดอกและประวัติไม้ดอกเมืองไทย")
ทราบว่า อย่างน้อยที่สุดคนไทยรู้จักเล่นชวนชมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6
โดยพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระมเหสีองค์ที่ 2
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้ทรงนำพันธุ์ชวนชมเข้าไปปลูกในพระตำหนักลักษมี
วิลาศ
แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าทรงนำต้นชวนชมมาจากแหล่งใด แต่ที่ปรากฏแน่ชัดคือ
พระองค์ประทานชื่อดอกไม้นี้ว่า "ชวนชม"





 

Create Date : 28 มิถุนายน 2553    
Last Update : 28 มิถุนายน 2553 15:01:53 น.
Counter : 355 Pageviews.  

ดินญี่ปุ่น ใหม่











































































































































































































































































































 


ดินญี่ปุ่น



 

 

 

 

 

             
ตามคำขอครับ สูตรดินญี่ปุ่นสูตรใหม่ล่าสุด
ปรับปรุงโดยทีมงานอาชีพ.คอม 
หากใครทดลองทำแล้วได้ผลเป็นอย่างไร

อยากให้ปรับปรุงคุณสมบัติให้ดีขึ้นอย่างไรก็ติดต่อแจ้งให้ทีมงานทราบได้เลย
ครับ

 

 

 

 

 

สูตร

 

 

 

1.

กาว *(ผสมเรียบร้อยแล้ว)

49.23

กรัม

 

 

 

2.

แป้งอเนกประสงค์

6.84

กรัม

 

3.

กระดาษทิชชู (ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ)

1.20

กรัม

 

4.

น้ำมันพืช

5.13

กรัม

 

5.

Talcum

(ใช้แป้งเด็กแทนได้)

37.60

กรัม

 

 

 

 

 

สูตรกาว*

 

 

 

1.

แป้งข้าวเจ้า

30.26

กรัม

 

 

 

2.

น้ำ

67.74

กรัม

 

3.

Sorbate
(สารกันบูด)

2.0

กรัม

 

 

 

 

 

วิธีทำกาว

 

 

1. นำน้ำใส่ภาชนะเติมสารกันบูดลงไป คนให้เข้ากัน

 

 

2. ใส่แป้งข้าวเจ้าลงไปกวนให้เข้ากัน

 

 

3. นำไปตั้งไฟอ่อนๆมากๆ ค่อยๆ กวน เพื่อให้แป้งสุกและเข้ากันกับน้ำ
(พอหนืดเป็นเนื้อกาวก็ใช้ได้แล้ว)

 

 

4. ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นเพื่อเตรียมไว้ผสมดินต่อไป

 

 

 

 

 

วิธีทำ

 












































 

1.

นำกาวที่เตรียมไว้มาผสมกับ  แป้งอเนกประสงค์,
Talcum
และน้ำมันพืช
นวดให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

 

2.

เมื่อนวดเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว นำทิชชูที่เตรียมไว้ใส่ลงไป
นวดต่อให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกันให้มากที่สุด

3.

ถ้าใครอยากให้ดินเป็นสีอะไรก็สามารถผสมสีในขั้นตอนนี้ได้
รวมทั้งเติมน้ำหอมให้มีกลิ่นหอมด้วยครับ

4.

หลังจากนวดจนดินเนียนเป็นเนื้อเดียวกันให้มากที่สุดแล้ว
ก็นำไปใช้ได้เลยครับ 
ถ้าใช้ไม่หมดก็นำไปใส่ถุงพลาสติกไว้ปิดให้แน่นอย่าให้อากาศเข้า
ห้ามแช่ตู้เย็นนะครับ จะเก็บไว้ได้ประมาณ 1 อาทิตย์

 

 


 

 

 

หมายเหตุ

 

 

 

 

 

เนื่องจากแป้งสาลีแต่ละยี่ห้อคุณภาพไม่เหมือนกันดังนั้น
หากผสมดินเสร็จแล้ว
ถ้าดินแฉะให้เติมแป้งเข้าไปมากขึ้น  แต่ถ้าเนื้อดิน
แห้งเกินไปให้ก็เติมน้ำมากขึ้น...




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2553    
Last Update : 28 มิถุนายน 2553 10:13:53 น.
Counter : 411 Pageviews.  

เริ่มต้นการปั้น ด้วยดินญี่ปุ่น

//img.thzhost.com/i/ld/roughsketch.jpg


จากการศึกษาในครั้งที่แล้ว >>
คลิกที่นี่<<<
 หลังจากได้ศึกษาอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในการ
ปั้น...ว่าจะเลือกอะไรมาปั้นดี (จริงๆก็มีคิดไว้ในใจอยู่แล้วอะนะ)
พระเอกของงานนี้ก็คือ "ดินญี่ปุ่น" นะคะ



เพราะ ดินญี่ปุ่นเหมาะกับการปั่นระดับง่ายๆ ราคาไม่แพงมาก หาซื้อง่าย
แถมยังมีที่เหลือจากการเอาปั้นเล่นทำโน่นนี่ไว้ แต่เด๋วก่อน เรามาศึกษา
ดินญี่ปุ่น กันให้ดีกว่านี้ดีมั๊ย (รู้เค้ารู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100
ครั้งนะเออ...ไม่หรอก เพราะช่วงนี้อากาศชื้นมากกลับดินจะไม่แห้งอะสิ = =")



หลังจากไป Search Google รื้อๆค้นๆ
ก็เห็นมีคนเอาวิธีการทำดินญี่ปุ่นมาบอกไว้ด้วย ขอยกมา 1 สูตรละกันนะ



ส่วนผสม

1 แป้งมัน 50 กรัม      

2 แป้งสาลี 500 กรัม  

3 กาวลาเท็กซ์ 470 กรัม  

4 สารกันบูด  3 ช้อนชา   

5 น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ  

6 สีโปสเตอร์ หลายๆสี  

7 น้ำหอมกลิ่นที่ชอบ



วิธีทำ

1 เทกาวลงในภาชนะ ร่อนแป้งทั้งสองชนิดลงไป นวดให้เข้ากัน   

2 เติมน้ำส้มสายชู สารกันบูด นวดให้เข้ากัน 

3 ใส่สี น้ำหอม นวดให้เข้ากัน



หลังจากตกลงใจแล้วว่า จะใช้อะไรมาปั้นดี เราก็มาขั้นตอนต่อไปเลยดีกว่า
เรื่องจะปั้นอะไรดี นี่ใช้เวลาคิดน้อยมากๆ เพราะ เรามีสิ่งในดวงใจอยู่แล้ว
อิอิ



ขั้นตอนต่อไป คือ Rough Sketch
(ร่างแบบหยาบๆก่อนเวลาลงมือทำจริงจะได้สบายๆ...ลำบากตอนแรกแต่สบายตอนหลัง
...แน่ใจแล้วรึว่าจะสบาย 55+)



ไหนๆก็ปั้นแล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะเอาไปทำประโยชน์ได้ ประจวบเหมาะว่า
น้ามีน้องน้อยๆได้ 2 เดือนแล้ว (เย้...แต่กว่าจะเสร็จไม่รู้เมื่อไหร่เนอะ)



งานนี้ เพื่อน้าเหมียว(หรือน้าแก้ว)และ น้องเบล
ที่จะได้สมาชิกเพิ่มใหม่ในครอบครัว (เอาทุกอย่างมาเรียบเรียง
ให้ได้ความหมาย อือหือออ...ร่างเสร็จแล้วก็แอบภูมิใจ นี่เราคิดมากไปเป่านิ)



ช่วงนี้ฝนตกไม่เหมาะกับการปั้นเลย แต่จากที่ได้ลองร่างคร่าวๆแล้ว สงสัยว่า
งานนี้จะต้องทำโครงข้างในก่อนไม่งั้นหางอาจจะหักก่อนได้ ชักคิดหนัก
แบบอาจจะมีเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ ยึดอันนี้ไปก่อนดีกว่า ^^






 

Create Date : 28 มิถุนายน 2553    
Last Update : 28 มิถุนายน 2553 10:16:34 น.
Counter : 663 Pageviews.  

ร่วม "ให้" กันมากขึ้น

//www.healthcorners.com/2007/coffee_web/pic/coffee_2010-06-17-093850.jpg

เพราะเรื่องราวของ "การให้"
มักนำความรู้สึกดีๆ จากใครคนหนึ่งสู่ใครอีกคนได้เสมอ
แง่มุมของการส่งต่อจึงมักถูกถ่ายทอดให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง 


โดยเฉพาะในห้วงเวลา "วิกฤตเมืองไทย" ที่ผ่านมา กระแส "น้ำใจ"
จากคนไทยที่มีให้แก่กันก็ช่วยสร้าง "ปรากฏการณ์"
เรียกรอยยิ้มกลับคืนมาสู่เมืองกรุงอีกครั้ง


แคมเปญช่วยชาติ ที่ทยอยออกมากันคนละไม้คนละมือ  ทั้งจากกลุ่มบุคคล
และองค์กรต่างๆ โครงการพัฒนาดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งออกมาช่วยประกอบชิ้นส่วนความรู้สึกอันแตกร้าวให้กลับ
มาโดยเร็ว


โครงการ "ให้...กันมากขึ้น" ที่ทางโครงการพัฒนาดอยตุงฯ จัดขึ้นนั้นเป็นการมอบ "ต้นไม้น้อย"
(ต้นกาแฟ) กว่า 3,000 ต้น
แก่ผู้ที่สนใจนำกลับไปปลูกประดับบ้านตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฏาคม 2553
รวมทั้ง "การให้" กับผู้ที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ และบริการของดอยตุง


เนาวรัตน์ กีรติเกษมสุข ผู้จัดการส่วนการตลาด
โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เล่าถึงแนวคิด แคมเปญล่าสุดที่ดอยตุงนำมาใช้นั้นเกิดมาจากสถานการณ์ปัจจุบันผูกโยง
เข้ากับพระราชดำรัสของสมเด็จย่าจนกลายเป็นโครงการดังกล่าว


"จากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ทำให้คนไทย รู้สึก ไม่สบายใจ ห่อเหี่ยวใจ
เราจึง ริเริ่มทำสิ่งเล็กน้อยที่จะช่วยให้คนไทยทุกคนรู้สึกดีขึ้น
โดยได้น้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จย่าในเรื่องการ “ให้”
ไม่ว่าจะเป็นการให้น้ำใจ ให้อภัย ให้ความช่วยเหลือ และให้โอกาส
มาเป็นแนวความคิด ว่า ทุกคนควรจะหันหน้าเข้ามาหากัน
อะไรจะเริ่มต้นได้ดีกว่า การให้ จึงได้จัดโครงการ “ให้” กันมากขึ้น
ซื่งแม้สิ่งที่ทำนี้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่จุดประสงค์คือการเป็นจุดเริ่มต้น
จุดประกายให้ คิดถึงและให้คนอื่นๆมากขึ้น เพราะเราเชื่อว่า ถ้าเราเริ่ม
“ให้” คนรอบข้างก่อน ก็จะเกิดการ ”ให้” กลับ
และสังคมของเราก็จะมีความสุขและความสามัคคี โดยชาวดอยตุงผู้ซึ่งได้รับ”การให้”จากพระองค์ท่าน
ขอมอบสิ่งที่แทนความรู้สึก ที่ดีๆ ความปรารถนาดีแก่คนเมือง"


เธออธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายของต้นกาแฟน้อย 3,000
ต้นที่แจกอยู่ตามร้านดอยตุงทั่วประเทศนั้น
แทนเรื่องราวของการให้ชีวิตใหม่กับคนดอยตุง ที่ครั้งหนึ่งต้องหาเลี้ยงชีวิตอย่างลำบาก
มีแต่ความท้อแท้


"คนที่ต้องยังชีพด้วยการ ปลูกฝิ่น ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
ถือได้ว่า ต้นกาแฟน้อยเสมือนเป็นตัวแทนของคนดอยตุงที่ขอมอบความสุขเพื่อให้คนไทยได้มีรอยยิ้มและ
ความสดชื่นมากขึ้น"


นอกจากนี้ ทางดอยตุงเองยังได้ใช้คอนเซปต์ “ให้”
มาประยุกต์เป็นแนวทางในการทำตลาดในช่วงนี้
โดยครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการของ “ดอยตุง” ในราคาลดพิเศษ 3 รูปแบบ คือ ให้...ความสุข
เมื่อพักที่ดอยตุงลอด์จและเกรทเธอร์แม่โขงลอด์จ  ลด
50%ค่าห้องพัก ให้...ความกระชุ่มกระชวย ด้วยเครื่องดื่มดอยตุง 1 แก้ว เมื่อซื้อเครื่องดื่มครบ 10 แก้ว
และให้... ความมีชีวิตชีวา กับสินค้าหัตถกรรม ลดสูงสุด 50%
และไม้ประดับเฉพาะรุ่นในราคาพิเศษ


โดยเนาวรัตน์ยืนยันว่า
รายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของ “ดอยตุง
ที่ทำขึ้นมานั้นจะให้คืนกลับไปพัฒนาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านและสิ่ง
แวดล้อมบนดอยตุงให้โครงสร้างของ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
แข็งแรงมั่นคงขึ้น


"เพราะเราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมก่อให้ประชาชนคนไทยทั่วไป
เห็นความสำคัญของการเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ซึ่งวันนี้
ถ้าเราคิดถึงและให้คนอื่นมากขึ้น ถ้าเราเริ่ม “ให้” คนรอบข้างก่อน
ก็จะเกิดการ ”ให้” กลับ
และสังคมของเราก็จะมีความสุขและความสามัคคีเหมือนเดิม


ส่วนโครงการต่อยอดกับตัวดอยตุงในอนาคต เธอเผยว่า ดอยตุงจะมีกิจกรรมต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “ให้”
กันมากขึ้น เช่น ที่แฟชั่นฮอล์ด ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ ดอยตุงจะให้ “เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ที่มีสีสวย
ใช้ประโยชน์ได้นาน ปลูกและดูแลง่าย ชื่อมีความหมายที่ดีคือ..ความคงทน
อันเปรียบเสมือนการทำความดี ที่จะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงดงาม...ไม่รู้โรย”
แก่ประชาชนทั่วไป 500 คนแรกที่มารับในงาน
รวมทั้งให้ส่วนลดพิเศษกับลูกค้าที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการของดอยตุง ในงานอีกด้วย
และกิจกรรมที่จังหวัดเชียงรายซึ่งชาวเชียงรายจะพร้อมใจกันจัดงาน
เนื่องในวันครบรอบวันสวรรคตของสมเด็จย่า ในวันที่ 18
กรกฏาคมที่จะถึงนี้อีกด้วย


"เพราะจุดยืนของแบรนด์ดอยตุงคือการเป็นผู้สืบสานการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสังคม
ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จย่า แบรนด์ดอยตุงทำ ”ธุรกิจเพื่อสังคม”
เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนบนดอยตุงให้ดีขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน
รายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆของ “ดอยตุง
จะถูกนำกลับไปพัฒนาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านและสิ่งแวดล้อมบนดอยตุง
ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกมาสู่ทั้งคนเมืองและโลกใบนี้"
ผู้จัดการส่วนการตลาดย้ำแนวทาง


การทำแบรนด์ที่ตอบโจทย์ “เรื่องราวของดอยตุง” ผ่านการพัฒนาคน
คุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการในแบบของดอยตุง และการสื่อให้คนได้รับรู้อย่างกว้างขวาง
เพื่อให้เกิดความ เชื่อมั่น ศรัทธา และภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมใน
“การพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน”นั้น
ไม่เพียงจะเป็นการนำเรื่องราวของสถานการณ์มาเชื่อมโยงให้เข้ากับความดีงาม
และคุณค่าของน้ำใจที่เป็นรากฐานส่วนหนึ่งของสังคมไทยแล้ว







 

Create Date : 26 มิถุนายน 2553    
Last Update : 26 มิถุนายน 2553 17:42:53 น.
Counter : 404 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

WishRich
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานครับ
Friends' blogs
[Add WishRich's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.