เพราะเรื่องราวของ "การให้"
มักนำความรู้สึกดีๆ จากใครคนหนึ่งสู่ใครอีกคนได้เสมอ
แง่มุมของการส่งต่อจึงมักถูกถ่ายทอดให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
โดยเฉพาะในห้วงเวลา "วิกฤตเมืองไทย" ที่ผ่านมา กระแส "น้ำใจ"
จากคนไทยที่มีให้แก่กันก็ช่วยสร้าง "ปรากฏการณ์"
เรียกรอยยิ้มกลับคืนมาสู่เมืองกรุงอีกครั้ง
แคมเปญช่วยชาติ ที่ทยอยออกมากันคนละไม้คนละมือ ทั้งจากกลุ่มบุคคล
และองค์กรต่างๆ โครงการพัฒนาดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งออกมาช่วยประกอบชิ้นส่วนความรู้สึกอันแตกร้าวให้กลับ
มาโดยเร็ว
โครงการ "ให้...กันมากขึ้น" ที่ทางโครงการพัฒนาดอยตุงฯ จัดขึ้นนั้นเป็นการมอบ "ต้นไม้น้อย"
(ต้นกาแฟ) กว่า 3,000 ต้น
แก่ผู้ที่สนใจนำกลับไปปลูกประดับบ้านตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฏาคม 2553
รวมทั้ง "การให้" กับผู้ที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ และบริการของดอยตุง
เนาวรัตน์ กีรติเกษมสุข ผู้จัดการส่วนการตลาด
โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เล่าถึงแนวคิด แคมเปญล่าสุดที่ดอยตุงนำมาใช้นั้นเกิดมาจากสถานการณ์ปัจจุบันผูกโยง
เข้ากับพระราชดำรัสของสมเด็จย่าจนกลายเป็นโครงการดังกล่าว
"จากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ทำให้คนไทย รู้สึก ไม่สบายใจ ห่อเหี่ยวใจ
เราจึง ริเริ่มทำสิ่งเล็กน้อยที่จะช่วยให้คนไทยทุกคนรู้สึกดีขึ้น
โดยได้น้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จย่าในเรื่องการ “ให้”
ไม่ว่าจะเป็นการให้น้ำใจ ให้อภัย ให้ความช่วยเหลือ และให้โอกาส
มาเป็นแนวความคิด ว่า ทุกคนควรจะหันหน้าเข้ามาหากัน
อะไรจะเริ่มต้นได้ดีกว่า การให้ จึงได้จัดโครงการ “ให้” กันมากขึ้น
ซื่งแม้สิ่งที่ทำนี้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่จุดประสงค์คือการเป็นจุดเริ่มต้น
จุดประกายให้ คิดถึงและให้คนอื่นๆมากขึ้น เพราะเราเชื่อว่า ถ้าเราเริ่ม
“ให้” คนรอบข้างก่อน ก็จะเกิดการ ”ให้” กลับ
และสังคมของเราก็จะมีความสุขและความสามัคคี โดยชาวดอยตุงผู้ซึ่งได้รับ”การให้”จากพระองค์ท่าน
ขอมอบสิ่งที่แทนความรู้สึก ที่ดีๆ ความปรารถนาดีแก่คนเมือง"
เธออธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายของต้นกาแฟน้อย 3,000
ต้นที่แจกอยู่ตามร้านดอยตุงทั่วประเทศนั้น
แทนเรื่องราวของการให้ชีวิตใหม่กับคนดอยตุง ที่ครั้งหนึ่งต้องหาเลี้ยงชีวิตอย่างลำบาก
มีแต่ความท้อแท้
"คนที่ต้องยังชีพด้วยการ ปลูกฝิ่น ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
ถือได้ว่า ต้นกาแฟน้อยเสมือนเป็นตัวแทนของคนดอยตุงที่ขอมอบความสุขเพื่อให้คนไทยได้มีรอยยิ้มและ
ความสดชื่นมากขึ้น"
นอกจากนี้ ทางดอยตุงเองยังได้ใช้คอนเซปต์ “ให้”
มาประยุกต์เป็นแนวทางในการทำตลาดในช่วงนี้
โดยครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการของ “ดอยตุง” ในราคาลดพิเศษ 3 รูปแบบ คือ ให้...ความสุข
เมื่อพักที่ดอยตุงลอด์จและเกรทเธอร์แม่โขงลอด์จ ลด
50%ค่าห้องพัก ให้...ความกระชุ่มกระชวย ด้วยเครื่องดื่มดอยตุง 1 แก้ว เมื่อซื้อเครื่องดื่มครบ 10 แก้ว
และให้... ความมีชีวิตชีวา กับสินค้าหัตถกรรม ลดสูงสุด 50%
และไม้ประดับเฉพาะรุ่นในราคาพิเศษ
โดยเนาวรัตน์ยืนยันว่า
รายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของ “ดอยตุง”
ที่ทำขึ้นมานั้นจะให้คืนกลับไปพัฒนาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านและสิ่ง
แวดล้อมบนดอยตุงให้โครงสร้างของ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
แข็งแรงมั่นคงขึ้น
"เพราะเราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมก่อให้ประชาชนคนไทยทั่วไป
เห็นความสำคัญของการเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ซึ่งวันนี้
ถ้าเราคิดถึงและให้คนอื่นมากขึ้น ถ้าเราเริ่ม “ให้” คนรอบข้างก่อน
ก็จะเกิดการ ”ให้” กลับ
และสังคมของเราก็จะมีความสุขและความสามัคคีเหมือนเดิม
ส่วนโครงการต่อยอดกับตัวดอยตุงในอนาคต เธอเผยว่า ดอยตุงจะมีกิจกรรมต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “ให้”
กันมากขึ้น เช่น ที่แฟชั่นฮอล์ด ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ ดอยตุงจะให้ “เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ที่มีสีสวย
ใช้ประโยชน์ได้นาน ปลูกและดูแลง่าย ชื่อมีความหมายที่ดีคือ..ความคงทน
อันเปรียบเสมือนการทำความดี ที่จะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงดงาม...ไม่รู้โรย”
แก่ประชาชนทั่วไป 500 คนแรกที่มารับในงาน
รวมทั้งให้ส่วนลดพิเศษกับลูกค้าที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการของดอยตุง ในงานอีกด้วย
และกิจกรรมที่จังหวัดเชียงรายซึ่งชาวเชียงรายจะพร้อมใจกันจัดงาน
เนื่องในวันครบรอบวันสวรรคตของสมเด็จย่า ในวันที่ 18
กรกฏาคมที่จะถึงนี้อีกด้วย
"เพราะจุดยืนของแบรนด์ดอยตุงคือการเป็นผู้สืบสานการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสังคม
ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จย่า แบรนด์ดอยตุงทำ ”ธุรกิจเพื่อสังคม”
เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนบนดอยตุงให้ดีขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน
รายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆของ “ดอยตุง”
จะถูกนำกลับไปพัฒนาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านและสิ่งแวดล้อมบนดอยตุง
ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกมาสู่ทั้งคนเมืองและโลกใบนี้"
ผู้จัดการส่วนการตลาดย้ำแนวทาง
การทำแบรนด์ที่ตอบโจทย์ “เรื่องราวของดอยตุง” ผ่านการพัฒนาคน
คุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการในแบบของดอยตุง และการสื่อให้คนได้รับรู้อย่างกว้างขวาง
เพื่อให้เกิดความ เชื่อมั่น ศรัทธา และภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมใน
“การพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน”นั้น
ไม่เพียงจะเป็นการนำเรื่องราวของสถานการณ์มาเชื่อมโยงให้เข้ากับความดีงาม
และคุณค่าของน้ำใจที่เป็นรากฐานส่วนหนึ่งของสังคมไทยแล้ว