|
การดูแลบำรุงรักษาและใช้งานแบตเตอรี่1
ที่จริงคำว่าแบตเตอรี่กินความหมายกว้างมาก ในที่นี้ขอจำกัดอยู่แต่แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์เท่านั้นและก็เป็นแบบเดียวกัน หมด (ถ้าไม่นับแบตเตอรี่แบบแห้งรุ่น พิเศษที่ใช้กับรถที่มีปัญหาเรื่องเนื้อที่และประกอบจากต่างประเทศ) นั่นก็คือแบตเตอรี่ที่ทำงานโดยอาศัยตะกั่ว และน้ำกรด (LEAD-ACID BAT-TERY) คำ LEAD นี่เป็นคำนาม ซึ่งแปลว่าตะกั่ว หรือสารตะกั่ว ออกเสียงว่าเลดนะครับ ไม่ใช่ลีดที่เป็นคำกริยา คำว่าไร้สารตะกั่ว ก็ต้องอ่านว่า เลดฟรี ไม่ใช่ ลีดฟรี แบบที่เรียกกัน เพราะการจะติดเครื่องยนต์ให้สำเร็จนั้น นอกจากระบบทุกอย่างจะต้องทำงานพร้อมเพรียงกันแล้ว ยังมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ด้วย คือต้องถูกหมุนด้วยความเร็วพอสมควร มันจึงจะติด เพราะต้องมีการดูดและอัดอากาศ หรืออากาศผสมเชื้อเพลิงจึงจะเริ่มทำงานได้ หน้าที่รองลงมาของแบตเตอรี่ คือการ จ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่างๆ ทำงานได้ แม้จะไม่ได้ติดเครื่องยนต์ เช่น เวลาอยากฟังเพลง หรือเปิดไฟอ่านหนังสือหรือเปิดไฟหรี่ให้ผู้อื่นเห็นขณะจอด เพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้ยังเป็นทั้งตัวหน่วงยามที่แรงเคลื่อนไฟฟ้าของระบบสูงเกินควร และเป็นตัวหนุนในยามที่แรงเคลื่อนไฟฟ้าจาก อัลเทอร์เนเตอร์ (ที่ช่างชอบเรียกว่า "ได ชาร์จ") ต่ำเกินไป หรือไม่ทำงานเลย และหน้าที่สุดท้าย คือคอยจ่ายกระแสไฟฟ้าให้หน่วยความจำต่างๆ ของรถ รวมทั้งระบบกันขโมยด้วย ส่วนตำแหน่งของแบตเตอรี่ ซึ่งผู้ผลิตรถแต่ละรุ่นเลือกมาให้นั้น ผมว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นอย่าไปย้ายที่กันเองครับ โรงงานรถยนต์จะมีเหตุผลในการเลือกตำแหน่งหลายเหตุผลด้วยกัน ที่สำคัญที่สุดคือการคำนึงถึงการกระจายน้ำหนักให้สมดุล เช่น การวางเครื่องยนต์และอุปกรณ์อื่นๆ ไปแล้ว จุดศูนย์ถ่วงรวมของรถค่อนข้างไปทางด้านขวา เขาก็จะหาที่วางแบตเตอรี่ทางด้านซ้าย หรือถ้าเน้นน้ำหนักลงที่ล้อให้เท่าๆ กัน หรือยอมให้ด้านหน้า หนักกว่าเล็กน้อย ก็จะเอา แบตเตอรีไปไว้ในที่เก็บของท้ายรถ
รองลงมาคือระยะระหว่างแบตเตอรีและสตาร์ทเตอร์ (มอเตอร์) ไม่ควรห่างกันมาก เพราะจะต้องใช้สายไฟยาว ซึ่งมีความต้านทานสูง กระแสไฟฟ้าไหลได้น้อย เปลืองเงิน และเพิ่มน้ำหนักโดยไม่จำเป็นด้วย นอกจากนี้ยังต้องดูความสะดวกด้วยเจ้าของรถและช่างซ่อมต้องเข้าถึงได้ง่าย เมื่อต้องการตรวจระดับน้ำกรดและเติมน้ำกลั่น แล้วก็ต้องอยู่ในที่ๆ ฝุ่นและน้ำไม่เล็ดลอดเข้าไป ทำให้น้ำกรดและเติมน้ำกลั่นสกปรก เจอที่เหมาะๆ ดังกล่าวมาแล้ว แต่ไปอยู่บนท่อร่วมไอเสีย ก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ เพราะแบตเตอรี่ที่ร้อนจัดจะเสื่อมสภาพเร็วมากส่วนมากจะพยายามเอาไว้ด้านหน้า ซึ่งมีลมปะทะระบายความร้อนได้ดีขณะรถแล่นและข้อสุดท้ายคือต้องไม่อยู่ที่ๆ มีความสั่นสะเทือนตลอดเวลา หรือถูกกระแทกแรงๆ บ่อย เพราะโครงสร้าง ภายในจะทนไม่ไหว และอายุจะสั้นลงมาก
ระดับของแบตเตอรี่ หรือ BATTERY RATING คือความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้าออกมาให้เราใช้งานในช่วงเวลาหนึ่งมีวิธี บอกหลายวิธีด้วยกันครับ ที่เก่าแก่ที่สุด และนิยมกันมากที่สุดทั่วโลก เพราะง่ายสำหรับผู้ใช้รถในการทำความเข้าใจทั้งๆ ที่ค่อนข้างล้าสมัย ก็คือบอกเป็นความจุของแบตเตอรี ว่า "จุ" ประจุไฟฟ้าเท่าใด โดยใช้หน่วยแอมแปร์ชั่วโมง หรือ AH ซึ่งก็คือผลคูณระหว่างกระแสไฟฟ้า ซึ่งมีหน่วยเป็นแอมแปร์ กับเวลาซึ่งใช้หน่วยเป็นชั่วโมง ในตำรารุ่นเก่าจะใช้เวลาที่ทดสอบ 10 ชั่วโมง แต่มาตรฐานใหม่ใช้เวลาในการทดสอบ 20 ชั่วโมงครับ
การพ่วงแบตเตอรี่
ปัญหาการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากอายุการใช้งาน หรือการขาดการเอาใจใส่ของผู้ใช้รถ ซึ่งหน้าที่ของแบตเตอรี่คือการ จ่ายกระแสไฟไปยังระบบต่างๆ ของตัวรถ ดังนั้นเมื่อแบตเตอรี่ไม่มีกระแสไฟเพียงพอ รถก็จะสตาร์ทไม่ติด ซึ่งวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าที่นิยมทำกันก็คือ การจั๊มแบตเตอรี่ หรือที่หลาย คนเรียกว่าการพ่วงแบตฯ ซึ่งหมายถึงการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ที่มีไฟเข้ากับแบตเตอรี่ที่ไฟหมดในรถยนต์ เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วถอดสายพ่วงออก ไม่ใช่การเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ ลูกใหม่ที่มีไฟเต็ม การพ่วงแบตเตอรี่ มักทำเมื่อแบตเตอรี่มีไฟไม่พอในการสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งอาจเกิดจากการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่หรือระบบการชาร์จไฟบกพร่อง ซึ่งสังเกตได้จากสัญญาณไฟเตือนรูปแบตเตอรี่บนแผงหน้าปัดถ้าในแบตเตอรี่มี กระแสไฟฟ้าเพียงพอ สำหรับระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ เช่นระบบหัวฉีด ปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ จะไม่มีรูปแบตเตอรี่แสดง
ถ้าเป็นรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาที่สามารถเข็นได้ โดยใส่เกียร์ 2 เหยียบคลัตช์จมสุด เมื่อเข็นได้ความเร็วที่เหมาะสมแล้ว จึงถอนคลัตช์พร้อมกดคันเร่ง เพื่อเร่งการชาร์จเข้าสู่แบตเตอรี่ แต่ถ้าไม่มีคนช่วยเข็นหรือไม่มีพื้นที่ให้เข็นหรือเป็นรถยนต์เกียร์ อัตโนมัติ ต้องใช้การพ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์อีกคัน หรือยกแบตเตอรี่มาพ่วงด้วยสายพ่วง ซึ่งต้องทำด้วยความระมัดระวัง ห้ามสลับขั้วเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรและเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์ได้ โดยเฉพาะเครื่องยนต์หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์
สายพ่วงแบตเตอรี่จะมีด้วยกัน 2 เส้น ใช้สีต่างกันเพื่อป้องกันการสับสน โดยส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ และสีแดง ความยาวประมาณ 1-2 เมตร มีตัวหนีบทำด้วยโลหะอยู่ที่ปลายสายทุกเส้น สีของสายพ่วงที่แตกต่างกัน เพื่อป้องกันการสับสนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงสายสีแดงเข้ากับขั้วบวก (+) เสมอไป จะใช้พ่วงเข้ากับขั้วลบ (-) ก็ได้ ถ้าไม่สับสน การซื้อสายพ่วงแบตเตอรี่ ควรเลือกตัวไส้ในที่เป็นสื่อนำไฟฟ้ามีขนาดใหญ่ ไม่ใช่ดูเพียงขนาดภายนอก เพราะอาจใหญ่เฉพาะฉนวนแต่ไส้ในเล็กก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลเสียคือ ถ้าใช้พ่วงแบตเตอรี่ที่มีแอมป์สูงๆ อาจทำให้สายพ่วงร้อนจนไหม้หรือละลายได้ ส่วนฉนวนภายนอกก็เลือกดูที่มีความเหนียวและยืดหยุ่น และตัวหนีบควรทำด้วยโลหะที่มีความหนาพอควร และสามารถหนีบได้อย่างแน่นหนา
Create Date : 27 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 20:43:13 น. |
|
0 comments
|
Counter : 207 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|