WishRich
Group Blog
 
All Blogs
 
บ้านไหนอยาก "เลิกกาแฟ" เริ่มไม่ยากอย่างที่คิด

//www.healthcorners.com/2007/coffee_web/pic/coffee_2010-04-23-062422.jpg


ขึ้นชื่อว่า "กาแฟ"
เชื่อว่าเป็นของว่างที่ทุกบ้านต้องมีติดบ้าน
เพราะนอกเหนือจากความหอมของกาแฟแล้ว
ยังช่วยให้สมาชิกในบ้านที่ทำงานหนักในตอนกลางคืน
ผ่านช่วงเวลาอันแสนง่วงนอนไปได้ด้วยดี แต่ในทางกลับกัน ถ้ากินอย่างไม่ระวัง
อาจทำให้เกิดภาวะติดคาเฟอีน ส่งผลต่อสุขภาพผู้ดื่มเองได้

       

       
กับเรื่องนี้ "นพ.สิ
รวิชญ์ เดชธรรม"
แพทย์จากรพ.สมิติเวช ศรีราชา
ให้ความรู้ว่า ในทางการแพทย์ได้กำหนดให้มีอาการที่เรียกว่า "ภาวะติดคาเฟอีน" (Caffeine dependence)
เช่นเดียวกับสารเสพติดอย่างสุรา ซึ่งภาวะดังกล่าว
ถูกกำหนดอยู่ในคู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช ที่เรียกว่า DSM-IV
เนื่องจากคาเฟอีน
เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางโดยมีสูตรโครงสร้างคล้ายสารสื่อ
ประสาทที่ชื่อว่า อะดีโนซีน (Adenosine) ทำให้สมองมีสารโดปามีน (Dopamine)
และซีโรโตนิน (Serotonin) เพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้มีฤทธิ์ทำให้สมองตื่นตัว และทำงานหนักขึ้น

       

       "ความรู้สึกพึงพอใจจากการดื่มกาแฟ
หลังจากดื่มกาแฟแล้ว คาเฟอีนจะเข้าสู่กระแสเลือด และเข้าสู่สมองภายใน 45
นาที และมีฤทธิ์อยู่ประมาณ 3-5 ชั่วโมง
คาเฟอีนจะผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่เรียกว่าการเมตาบอลิสม์ที่
ตับ ดังนั้น ผู้ที่ควรจะต้องเลิกดื่มกาแฟ ก็คือ ผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ
เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักเกินไป ขณะที่ เด็ก
และสตรีมีครรภ์ก็ควรงดดื่มกาแฟด้วยเช่นกัน
เพราะการที่สมองถูกกระตุ้นด้วยคาเฟอีน
จะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องพัฒนาการของสมอง"

       


       นอกจากนี้ คาเฟอีน ยังทำให้เกิดการแท้งบุตรได้
ขณะเดียวกันยังกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะจึงควรงดการได้รับคาเฟอีน ทั้งจากชา กาแฟ โกโก้
ช็อกโกแลต

       

       สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ
คาเฟอีนจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหัวใจเต้นเร็วขึ้น
นั่นแปลว่าหัวใจทำงานหนักขึ้น ตลอดจนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น
เร่งการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก
และยังมีผลต่อสภาพจิตใจในผู้ที่มีความวิตกกังวลอีกด้วย

       

       *** อยากเลิกกาแฟ ไม่ยากอย่างที่คิด

       

       สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพียงวันละไม่เกิน 1 แก้ว
การเลิกกาแฟนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับผู้ที่ติดคาเฟอีน (caffeine
dependence) การเลิกกาแฟอาจจะเป็นเรื่องยากสักนิด แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก
เกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าท่านติดคาเฟอีนหรือไม่นั้น พิจารณาจากหลักเกณฑ์ 3 ใน 4
ข้อต่อไปนี้ คือ

       

       1. มีการใช้คาเฟอีน หรือดื่มกาแฟอยู่ แม้จะมีความรู้ว่า
กาแฟมีผลทำให้เกิดอาการทางร่างกายหรือจิตใจที่มีอยู่เรื้อรังหรือกำเริบ

       

       2. มีความต้องการได้รับคาเฟอีน หรือดื่มกาแฟอยู่ตลอด
โดยไม่สามารถลดปริมาณลงได้

       

       3. มีภาวะถอนคาเฟอีน (Caffeine withdrawal)
หรืออาการลงแดงกาแฟนั่นเอง ซึ่งอาการสำคัญก็คือ วันไหนไม่ได้ดื่มกาแฟ
จะเกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนมาก ปวดศีรษะ และอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใน 24
ชั่วโมงหลังจากได้รับคาเฟอีนหรือดื่มกาแฟครั้งสุดท้าย
และจะมีอาการมากที่สุด ใน 2-4 วันแรก โดยมากภาวะถอนคาเฟอีน
มักจะพบได้ในคนที่ดื่มกาแฟเกิน 2 แก้วต่อวัน หรือได้รับคาเฟอีนอย่างน้อย
100 มิลลิกรัมต่อวัน

       

       4. มีภาวะดื้อคาเฟอีน (caffeine tolerance) กล่าวคือ
ปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จึงจะทำให้รู้สึกสดชื่นเท่าเดิม

       

       *** สำหรับเทคนิคการเลิกดื่มกาแฟ
โดยเฉพาะในคนที่มีอาการติดคาเฟอีน
คุณหมอได้แนะนำวิธีการเบื้องต้นดังต่อไปนี้

       


       1. ให้ลดปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันลง เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 4
แก้วให้ลดลงเหลือ 3 แก้ว แต่หากจำเป็นต้องดื่มแก้วที่ 4
ให้ชงด้วยกาแฟสกัดคาเฟอีน (Decaffeinated)
จนกระทั่งร่างกายเริ่มชินก็ให้ลดปริมาณลงอีก

       

       2. สำรวจว่า นอกจากกาแฟแล้ว
ท่านยังได้รับคาเฟอีนจากอาหารชนิดใดอีกบ้าง เช่น ชา โกโก้ ช็อกโกแลต
ซีเรียลรสโกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น
จากนั้นให้ลดการบริโภคทุกอย่างร่วมกับการลดปริมาณกาแฟที่ดื่มในแต่ละวัน
หรือเลิกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้

       

       3. นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอในตอนกลางคืน อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง

       

       4. ดื่มน้ำสะอาดวันละประมาณ 1-2 ลิตร และการรับประทานวิตามินบีรวม
ซึ่งจะช่วยทุเลาอาการอ่อนเพลีย

       

       5. การออกกำลังกาย จะช่วยให้สมองเพิ่มซีโรโตนิน (serotonin)
และโดปามีน (dopamine) ได้เช่นเดียวกันกับการได้รับคาเฟอีน

       

       6. งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่

       

       7. รับประทานอาหารเช้า
เพราะระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เพียงพอจะช่วยให้สมองและร่างกายทำงานได้โดย
ไม่อ่อนเพลีย

       

       8. หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ
และควรหลีกเลี่ยงการไปร้านกาแฟ

       

       9. หากมีอาการปวดศีรษะระหว่างงดกาแฟ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอล
หรือแอสไพรินได้ ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดไมเกรนซึ่งมีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่

       

       10. หากมีอาการหงุดหงิด ใจสั่น อาจจะใช้วิธีอาบน้ำเย็นช่วย

       

       เทคนิคทั้ง 10 ข้อนี้ นพ.สิรวิชญ์ บอกว่า ประยุกต์จากความรู้ทางวิชาการ
และจากประสบการณ์การแนะนำผู้มาตรวจสุขภาพ
รวมถึงประสบการณ์ของตัวเองในการลดปริมาณการดื่มกาแฟ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้ผู้อ่านทุกบ้าน ลดปริมาณการดื่มกาแฟได้
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการเลิกดื่มกาแฟก็คือ
ความตั้งใจและความมุ่งมั่น ของท่านผู้อ่านเอง ขอให้โชคดีนะครับ






Create Date : 26 มิถุนายน 2553
Last Update : 26 มิถุนายน 2553 17:55:49 น. 0 comments
Counter : 336 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

WishRich
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานครับ
Friends' blogs
[Add WishRich's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.