|
บ้านไหนอยาก "เลิกกาแฟ" เริ่มไม่ยากอย่างที่คิด
ขึ้นชื่อว่า "กาแฟ" เชื่อว่าเป็นของว่างที่ทุกบ้านต้องมีติดบ้าน เพราะนอกเหนือจากความหอมของกาแฟแล้ว ยังช่วยให้สมาชิกในบ้านที่ทำงานหนักในตอนกลางคืน ผ่านช่วงเวลาอันแสนง่วงนอนไปได้ด้วยดี แต่ในทางกลับกัน ถ้ากินอย่างไม่ระวัง อาจทำให้เกิดภาวะติดคาเฟอีน ส่งผลต่อสุขภาพผู้ดื่มเองได้
กับเรื่องนี้ "นพ.สิ รวิชญ์ เดชธรรม" แพทย์จากรพ.สมิติเวช ศรีราชา ให้ความรู้ว่า ในทางการแพทย์ได้กำหนดให้มีอาการที่เรียกว่า "ภาวะติดคาเฟอีน" (Caffeine dependence) เช่นเดียวกับสารเสพติดอย่างสุรา ซึ่งภาวะดังกล่าว ถูกกำหนดอยู่ในคู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช ที่เรียกว่า DSM-IV เนื่องจากคาเฟอีน เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางโดยมีสูตรโครงสร้างคล้ายสารสื่อ ประสาทที่ชื่อว่า อะดีโนซีน (Adenosine) ทำให้สมองมีสารโดปามีน (Dopamine) และซีโรโตนิน (Serotonin) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้มีฤทธิ์ทำให้สมองตื่นตัว และทำงานหนักขึ้น
"ความรู้สึกพึงพอใจจากการดื่มกาแฟ หลังจากดื่มกาแฟแล้ว คาเฟอีนจะเข้าสู่กระแสเลือด และเข้าสู่สมองภายใน 45 นาที และมีฤทธิ์อยู่ประมาณ 3-5 ชั่วโมง คาเฟอีนจะผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่เรียกว่าการเมตาบอลิสม์ที่ ตับ ดังนั้น ผู้ที่ควรจะต้องเลิกดื่มกาแฟ ก็คือ ผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักเกินไป ขณะที่ เด็ก และสตรีมีครรภ์ก็ควรงดดื่มกาแฟด้วยเช่นกัน เพราะการที่สมองถูกกระตุ้นด้วยคาเฟอีน จะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องพัฒนาการของสมอง"
นอกจากนี้ คาเฟอีน ยังทำให้เกิดการแท้งบุตรได้ ขณะเดียวกันยังกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะจึงควรงดการได้รับคาเฟอีน ทั้งจากชา กาแฟ โกโก้ ช็อกโกแลต
สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ คาเฟอีนจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหัวใจเต้นเร็วขึ้น นั่นแปลว่าหัวใจทำงานหนักขึ้น ตลอดจนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เร่งการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก และยังมีผลต่อสภาพจิตใจในผู้ที่มีความวิตกกังวลอีกด้วย
*** อยากเลิกกาแฟ ไม่ยากอย่างที่คิด
สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพียงวันละไม่เกิน 1 แก้ว การเลิกกาแฟนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับผู้ที่ติดคาเฟอีน (caffeine dependence) การเลิกกาแฟอาจจะเป็นเรื่องยากสักนิด แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก เกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าท่านติดคาเฟอีนหรือไม่นั้น พิจารณาจากหลักเกณฑ์ 3 ใน 4 ข้อต่อไปนี้ คือ
1. มีการใช้คาเฟอีน หรือดื่มกาแฟอยู่ แม้จะมีความรู้ว่า กาแฟมีผลทำให้เกิดอาการทางร่างกายหรือจิตใจที่มีอยู่เรื้อรังหรือกำเริบ
2. มีความต้องการได้รับคาเฟอีน หรือดื่มกาแฟอยู่ตลอด โดยไม่สามารถลดปริมาณลงได้
3. มีภาวะถอนคาเฟอีน (Caffeine withdrawal) หรืออาการลงแดงกาแฟนั่นเอง ซึ่งอาการสำคัญก็คือ วันไหนไม่ได้ดื่มกาแฟ จะเกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนมาก ปวดศีรษะ และอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับคาเฟอีนหรือดื่มกาแฟครั้งสุดท้าย และจะมีอาการมากที่สุด ใน 2-4 วันแรก โดยมากภาวะถอนคาเฟอีน มักจะพบได้ในคนที่ดื่มกาแฟเกิน 2 แก้วต่อวัน หรือได้รับคาเฟอีนอย่างน้อย 100 มิลลิกรัมต่อวัน
4. มีภาวะดื้อคาเฟอีน (caffeine tolerance) กล่าวคือ ปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงจะทำให้รู้สึกสดชื่นเท่าเดิม
*** สำหรับเทคนิคการเลิกดื่มกาแฟ โดยเฉพาะในคนที่มีอาการติดคาเฟอีน คุณหมอได้แนะนำวิธีการเบื้องต้นดังต่อไปนี้
1. ให้ลดปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันลง เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 4 แก้วให้ลดลงเหลือ 3 แก้ว แต่หากจำเป็นต้องดื่มแก้วที่ 4 ให้ชงด้วยกาแฟสกัดคาเฟอีน (Decaffeinated) จนกระทั่งร่างกายเริ่มชินก็ให้ลดปริมาณลงอีก
2. สำรวจว่า นอกจากกาแฟแล้ว ท่านยังได้รับคาเฟอีนจากอาหารชนิดใดอีกบ้าง เช่น ชา โกโก้ ช็อกโกแลต ซีเรียลรสโกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น จากนั้นให้ลดการบริโภคทุกอย่างร่วมกับการลดปริมาณกาแฟที่ดื่มในแต่ละวัน หรือเลิกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้
3. นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอในตอนกลางคืน อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
4. ดื่มน้ำสะอาดวันละประมาณ 1-2 ลิตร และการรับประทานวิตามินบีรวม ซึ่งจะช่วยทุเลาอาการอ่อนเพลีย
5. การออกกำลังกาย จะช่วยให้สมองเพิ่มซีโรโตนิน (serotonin) และโดปามีน (dopamine) ได้เช่นเดียวกันกับการได้รับคาเฟอีน
6. งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
7. รับประทานอาหารเช้า เพราะระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เพียงพอจะช่วยให้สมองและร่างกายทำงานได้โดย ไม่อ่อนเพลีย
8. หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ และควรหลีกเลี่ยงการไปร้านกาแฟ
9. หากมีอาการปวดศีรษะระหว่างงดกาแฟ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอล หรือแอสไพรินได้ ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดไมเกรนซึ่งมีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่
10. หากมีอาการหงุดหงิด ใจสั่น อาจจะใช้วิธีอาบน้ำเย็นช่วย
เทคนิคทั้ง 10 ข้อนี้ นพ.สิรวิชญ์ บอกว่า ประยุกต์จากความรู้ทางวิชาการ และจากประสบการณ์การแนะนำผู้มาตรวจสุขภาพ รวมถึงประสบการณ์ของตัวเองในการลดปริมาณการดื่มกาแฟ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้ผู้อ่านทุกบ้าน ลดปริมาณการดื่มกาแฟได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการเลิกดื่มกาแฟก็คือ ความตั้งใจและความมุ่งมั่น ของท่านผู้อ่านเอง ขอให้โชคดีนะครับ
Create Date : 26 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 26 มิถุนายน 2553 17:55:49 น. |
|
0 comments
|
Counter : 336 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|