ME MY MIND : เรื่องราวธรรมดาของมนุษย์โลก สิ่งที่อยากบ่น ข้อความที่อยากระบาย บทความที่เคยเขียน เรื่องที่เกิดขึ้นจริง คำถาม ข้อคิด มุมมองการใช้ชีวิต การกิน การเที่ยว เมนูอาหาร การทำกับข้าว หมา แมว เรื่องที่กำลังสนใจ อะไรก็แล้วแต่ที่วนเวียนอยู่รอบตัวผู้หญิงคนหนึ่ง คือเนื้อหาในบล็อกๆนี้ :)
|
|||
ครอบครัวที่น่ารัก
ในวันที่ไม่มีใครก็มีครอบครัว ครอบครัวที่คอยช่วยเหลือเราเสมอ เมื่อเราล้มก็ดึงให้เราลุกขึ้น หรือไม่อย่างนั้น ก็ไม่เคยซ้ำเติม ไม่เคยกดเราให้จมลง ครอบครัวที่มีแต่ความรักที่จริงใจมอบให้เรา ไม่เคยหวังผลประโยชน์อะไร และมันก็เป็นอีกหนึ่งในหน้าที่ของเราที่จะกลับไปดูแลเขาเหล่านั้น ครอบครัวที่เป็นหน่วยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในสังคม กลับไปดูแลครอบครัว ดูแลคนที่เรารักให้มีความสุข ถึงวันหนึ่งจะไม่มีครอบครัวแล้ว แต่เราก็ยังจะเหลือความรักของครอบครัวไปตลอด สิงห์ : บอดี้การ์ดสี่ขา พี่หมาสุดคูล
เช้าวันนี้อากาศเย็นสบาย อาจจะหนาวไปสักหน่อยสำหรับผู้คนภาคเหนือและภาคอีสาน แต่สำหรับคนภาคกลางอย่างเรา อากาศแบบนี้เป็นอากาศที่ชวนนอนทำให้ไม่อยากลุกออกจากเตียง ท้องฟ้าข้างนอกก็โปร่งตา ลมพัดมาเย็นสดชื่น บรรยากาศชวนให้นึกถึงเรื่องราวเก่าๆในอดีต โดยเฉพาะช่วงที่เรายังเป็นเด็ก ช่วงที่ต้องตื่นแต่เช้าอาบน้ำไปโรงเรียน จำได้ว่าบรรยากาศตอนเช้าๆก็เย็นๆเหมือนกับวันนี้ ตอนเราเด็กๆ เรามีหมาอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่าเจ้าสิงห์ ไม่รู้ว่าเรากับสิงห์ใครเกิดก่อนกัน น่าจะเป็นเราที่เกิดก่อนนะ แต่ก็เรียกเจ้าสิงห์ว่าพี่สิงห์อยู่ตลอด ไม่รู้ทำไม เหมือนให้เกียรติมันล่ะมั้ง เด็กๆเราคงจะไม่มีเหตุผลอะไรมากมายหรอก น่าจะเรียกไปตามความรู้สึก เราไม่ได้คิดว่าหมาเป็นสัตว์เลี้ยงด้วยซ้ำ คิดว่าเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเรา ไม่รู้ว่าพี่สิงห์มาจากไหน มาเมื่อไหร่ ใครตั้งชื่อนี้ให้ แต่เท่าที่จำได้เราก็มีภาพหมาตัวสีส้มๆที่ชื่อว่าพี่สิงห์คอยเป็นเพื่อนเล่นตอนเด็กๆอยู่เสมอ พี่สิงห์เป็นหมาพันธฺุ์อะไรเราก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่สิงห์เป็นหมาตัวสีส้มๆ ขนค่อนข้างยาวนะ ยาวกว่าพวกหมาพันธุ์ไทยทั่วไป ยาวประมาณหมาบางแก้วน่าจะได้ น่าตาขรึมๆ คูลๆ แต่ดูใจดีสำหรับเรา ขนาดตัวไม่ใหญ่มาก ตัวโตพอดีๆ ตัวเท่าๆพวกหมาบางแก้วเหมือนกันแต่คิดว่าน่าจะตัวเล็กกว่านิดนึง พี่สิงห์มีนิสัยชอบอยู่บ้าน ชอบนอนตรงพื้นกระเบื้องที่ศาลพระภูมิ อาจจะเพราะทำเลดี ใครไปใครมาพี่สิงห์เห็นหมด และก็อาจจะเป็นเพราะพื้นเย็นนอนสบายพี่สิงห์จึงมักจะนอนอยู่ตรงนั้นเสมอ ถ้าไม่นอนตรงนั้นก็จะมานอนตรงหน้าประตูขึ้นบ้าน ไม่รู้พี่สิงห์มีเพื่อนหมาตัวอื่นบ้างรึเปล่า น่าจะมีนะ แต่ส่วนใหญ่คงจะไม่ค่อยออกไปสุงสิง คงชอบอยู่บ้านมากกว่า พี่สิงห์น่าจะเป็นหมาคูลๆ กินง่าย อยู่ง่าย จำไม่ได้ว่าพี่สิงห์เป็นหมาเลือกกิน น่าจะให้กินอะไรก็กินหมด พี่สิงห์เป็นหมาที่น่าเกรงขามสำหรับคนอื่น แต่สำหรับคนในครอบครัวเราพี่สิงห์เป็นหมาที่น่ารัก แล้วก็พึ่งพาได้ เวลาออกจากบ้านพ่อกับแม่ชอบพูดว่า "เฝ้าบ้านนะสิงห์" พี่สิงห์ก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี พอเรากลับบ้าน เราก็จะเจอพี่สิงห์คอยเฝ้าบ้านและรอเราที่ปากทางเข้าบ้านอยู่เสมอ พี่สิงห์ไม่ใช่หมาเกเร ไม่เคยไปวิ่งไล่รถที่ขับผ่านไปมาที่ถนนหลังบ้านเหมือนหมาตัวอื่นๆ แต่ถ้ามีรถที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาในบ้านพี่สิงห์จะคอยเห่าคอยไล่ออกไปตลอด และจะหยุดก็ต่อเมื่อคนในบ้านออกมาห้ามให้หยุด แต่ก็อาจจะไม่ใช่ทุกคนในบ้านที่่พี่สิงห์เชื่อล่ะมั้ง วีรกรรมของพี่สิงห์ครั้งหนึ่งที่จำได้ไม่ลืมก็คือย้อนไปเมื่อตอนที่เรากับน้องยังเด็กมากๆ ไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไร น่าจะเป็นวันที่พี่ช่วยมาทำงานที่บ้านเราวันแรก พี่ช่วยเป็นพี่ที่ช่วยเลี้ยงเรากับน้องตอนเด็กๆ เป็นญาติทางฝ่ายพ่อ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศดี น่าจะเย็นๆเหมือนวันนี้ล่ะ พอพี่ช่วยมาถึงบ้าน พ่อก็ให้เรากับน้องลงไปรับพี่ช่วยที่ปากทางเข้าบ้าน จำได้ว่าวันนั้นพี่สิงห์ไม่เห่าเลยนะ ระหว่างที่เรากับน้องกำลังเดินไปรับพี่ช่วย พี่สิงห์ก็เดินตามมา เราจำไม่ได้ว่าพูดกับพี่สิงห์หรือเปล่าว่าให้ดีกับพี่ช่วย แต่ก็จำได้ว่าคอยดู คอยระวังไม่ให้พี่สิงห์เข้าไปใกล้พี่ช่วย พอเรากับน้องเดินไปถึงก็พาพี่ช่วยเดินเข้ามาในเขตบ้าน เหตุการณ์ก็ดูปกติ เรากับน้องก็เลยเดินนำหน้าพี่ช่วยขึ้นบ้าน โดยที่ลืมนึกถึงพี่สิงห์ไปเลยเพราะคิดว่าก็น่าจะไม่มีอะไรแล้ว แต่ปรากฏว่าพี่สิงห์เดินเข้าไปกัดพี่ช่วยจากด้านหลัง เดินไปตอนไหนก็ไม่รู้ เข้าไปกัดที่ขาแต่โชคดีที่เขี้ยวไม่เข้าเนื้อ เรากับน้องก็ตกใจมาก สุดท้ายพ่อก็เดินออกมาดูเพราะพี่ช่วยร้องตกใจ แม่บอกว่าสงสัยพี่สิงห์จะหวงเรากับน้อง ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ตอนนั้นเรากับน้องน่าจะ 10 กว่าขวบได้ พี่สิงห์คงรู้สึกว่าต้องปกป้องล่ะมั้ง พอเราโตขึ้นต้องไปเรียนมัธยมที่โรงเรียนในเมือง ที่จริงโรงเรียนก็ไม่ไกลจากบ้านเรามากนะ แต่พ่อกับแม่ให้ขึ้นรถประจำ ทำให้เราต้องตื่นแต่เช้าแล้วเดินไปรอรถที่หน้าปากซอยทุกวันเพราะรถไม่ได้เข้ามารับที่บ้าน ทุกๆเช้าเราก็จะเดินออกไปรอรถคนเดียว เพราะระยะทางก็ไม่ได้ไกลมากพ่อกับแม่จึงไม่ได้ออกไปส่ง แล้วแถวบ้านเราก็ค่อนข้างชนบททุกคนในหมู่บ้านก็รู้จักกันหมดจึงไม่ได้อันตรายอะไร แต่ถึงอย่างนั้นพี่สิงห์ก็เดินออกไปส่งเราทุกเช้า แล้วก็จะยืนรอรถประจำเป็นเพื่อนเราจนกว่ารถจะมาเสมอ จำไม่ได้เลยว่ามีวันไหนที่พี่สิงห์ไม่เดินออกไปส่ง ขนาดเราบอกไม่ให้เดินตามมาเพราะกลัวจะมีหมาที่อื่นมารังแก หรือบางทีก็กลัวพวกรถที่ขับไวๆจะมาชน พี่สิงห์ก็ยังเดินตามมา บางวันก็เดินนำหน้าด้วยซ้ำ หรือบางวันไม่ได้เดินออกมาพร้อมเราก็ยังเดินตามมาทีหลัง เดินมารอเป็นเพื่อนเราจนกว่ารถประจำจะมา บางวันที่รถมาสายรอนานมาก พี่สิงห์ก็ไม่เคยบ่น รอเป็นเพื่อนเราเสมอ เวลาเรายืนรอรถประจำ พี่สิงห์ก็จะยืนแถวๆนั้น หรือนอนบนพุ่มหญ้าไม่ไกลจากเรามาก พอเราขึ้นรถประจำปิดประตูเรียบร้อย พี่สิงห์ถึงจะเดินกลับบ้าน เรายังจำสายตานั้นได้ดี เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นสายตาพี่สิงห์ที่มองตามเราขึ้นรถ สายตาที่ซื่อสัตย์ สายตาที่เต็มไปด้วยความรัก พอเราเริ่มโตขึ้น พี่สิงห์ก็แก่ลงเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะแก่สักแค่ไหน ก็ยังเดินไปส่งเราทุกวัน ห้ามยังไงก็ไปอยู่ดี พี่ๆน้องๆบนรถประจำก็รู้จักพี่สิงห์กันเกือบทุกคน เพราะเห็นมาส่งเราทุกวันตลอดเวลาหลายปี พี่สิงห์ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้เราอย่างดีที่สุดจนวันสุดท้าย พี่สิงห์ตายอย่างสงบใต้บันไดทางขึ้นบ้าน ก่อนจะตายพี่สิงห์ไม่ค่อยกินข้าว พี่สิงห์น่าจะจากไปเพราะแก่มากแล้ว ครอบครัวเราขุดหลุมฝังพี่สิงห์ไว้ที่ริมคลอง หวังว่าพี่สิงห์จะไปสู่ภพภูมิที่ดี จนถึงวันนี้เวลาก็ผ่านมานานมาก แต่เมื่อนึกถึงพี่สิงห์ทีไรก็จะนึกถึงแต่ช่วงเวลาดีๆ ช่วงเวลาที่น่าจดจำ และมันก็คงจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ดังนั้นหนึ่งในภาพที่เรานึกถึงเมื่อพูดถึงช่วงชีวิตวัยเด็กก็คือภาพของพี่สิงห์นี่ล่ะ โชคดีที่เรามีพี่สิงห์เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว สำหรับเราแล้วพี่สิงห์เป็นหมาที่คูลที่สุดที่เราเคยรู้จักมาเลย รักพี่สิงห์นะ ช็อคโกแลต
ชีวิตคนเราก็เหมือนช็อคโกแลตที่เพื่อนซื้อมาฝากจากต่างประเทศ เราไม่อาจรู้ได้เลยว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง จะหวาน... จะขม... จะหวานๆขมๆ... เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย นอกจากที่จะได้ลองมัน ฉะนั้นอย่าเสียเวลาเดาเลย พอได้ลองเดี๋ยวก็รู้เอง และไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร สุดท้ายก็ละลายหายไปในปากอยู่ดี ชีวิตก็คล้ายแบบนี้ ถึงมันจะขมสุดๆ หรือหวานสุดๆเดี๋ยวมันก็ละลายไป รอรับรสชาติใหม่ๆที่จะเข้ามา เส้นทางสู่ฝันอันเลือนราง
เส้นทางความฝันที่เราตั้งไว้ มันได้มีเพียงแค่เส้นตรงเส้นเดียวที่มุ่งไป หลายครั้งที่เราเลี้ยวออกนอกเส้นทาง แวะพักบ้าง วิ่งเป็นเส้นวนบ้าง มันอาจจะเป็นเพราะว่าบางครั้งเราก็สับสน หรืออาจจะเจอสิ่งที่น่าสนใจอย่างอื่นบ้าง แต่ทุกครั้งเมื่อกลับมาถามตัวเองว่า "เป้าหมายยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม" หากคำตอบยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ เมื่อนั้นเราก็พยายามหันหัว แบนเส้นทางกลับสู่เส้นทางหลักอีกครั้ง แต่ถ้าคำตอบของคำถามที่ว่า "เป้าหมายของเรายังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม" คือไม่ใช่ เราก็แค่จำเป็นต้องค้นหาเส้นทางใหม่ที่จะนำพาเราไปสู่ความฝันหรือเป้าหมายใหม่นี้ให้เจอ ไม่มีคำว่า "เสียเวลา" ในการใช้ชีวิตจริงๆหรอก เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เราแค่เอาคำว่า "เสียเวลา" มาหลอกตัวเอง เพราะเราแค่กลัวที่จะยอมรับว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่าถูก วันนี้มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด เราแค่กลัวที่จะเริ่มใหม่กับสิ่งที่เราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะดีจริงๆหรือเปล่า ฉันเดินออกมาไกลเหลือเกินจากเส้นทางหลักที่ฉันเคยตั้งไว้ แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้เลี้ยวออกมายืนอยู่ตรงนี้ ฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และได้แต่หวังว่าฉันคงจะได้กลับไปในเส้นทางหลักที่ฉันจากมาในอีกไม่นานนี้ ในการเดินทางของฉัน มีคืนวันที่ฉันมีความสุข มีคืนวันที่ฉันร้องไห้ มีคืนวันที่ฉันหัวเราะ มีหลายคืนวันที่น่าจดจำ แต่หลายๆคืนวันก็อยากจะลืมเสียจริงๆ แต่ไม่หรอก ฉันจะพยายามจดจำทุกคืนวัน ทุกเรื่องราว ทุกผู้คนที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางของฉัน เพราะทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างนั้น หล่อหลอมให้ฉันเป็นฉันทุกวันนี้ ต้องขอบคุณจริงๆ 22.9.58 ท้องฟ้าที่หม่นหมอง
สรุปว่าฉันก็ไม่ได้คำตอบอะไรให้กับชีวิตฉันในตอนนี้ ฉันก็ยังคงเป็นทุกข์และสับสน แต่มันก็ดูจะน้อยลงเมื่อฉันได้นั่งมองท้องฟ้า รอเวลาให้ท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้ง 23.9.58 |
สมาชิกหมายเลข 3088897
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |