space
space
space
space

1 กักตัวอยู่ที่บ้าน
โควิด 19 ไวรัส เปลี่ยนชีวิต

1 กักตัวอยู่ที่บ้าน

เพราะการระบาดของโควิด 19 ทำให้ช่วงนี้ผมมีเวลาว่างมากมายเหลือเกิน ต้องหยุดงานกักตัวอยู่กับบ้านเฉยๆ ออกไปไหนก็ไม่ได้ รู้สึกเบื่อจนต้องหากิจกรรมทำเริ่มจากตั้งเป้าหมายว่าจะวิ่งออกกำลังกายและตั้งเป้าหมายทำ 10 กิโลเมตรแรกให้ได้ก่อนที่จะชราภาพมากกว่านี้

ผมจึงเริ่มตื่นวิ่งออกกำลังตั้งแต่เช้ามืด แต่การวิ่งก็เป็นอะไรที่น่าเบื่อ เหนื่อย ปวดเมื่อย และใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากร่างกายและจิตใจไม่คุ้นชิน อายุมากขึ้นและห่างเหินจากการวิ่งมานานมาก ยามว่างจากกิจกรรมผมก็นั่งดู NETFLIX บ้าง ยูทูป บ้างวนๆไป เพื่อให้หายเบื่อ แต่ความเบื่อก็ยังกลับวนเวียนไปๆมาๆพาหงุดหงิดงุ่นง่านใจอยู่นั่นเอง

จนวันหนึ่งผมก็ลองเปลี่ยนโหมดตัวเอง เข้าหาการพัฒนาตนเองเพื่อหวังเบี่ยงเบน โดยหยิบหนังสือแนวพัฒนาตนเองจากห้องหนังสือ ที่เคยอ่านแล้วทั้งนั้นกลับมาทบทวนอ่านอีก จบไปหลายเล่ม แล้วก็เริ่มหันไปจับหนังสือธรรมะ เริ่มจากหนังสือแนวทางของหลวงพ่อเทียนซึ่งเก็บเอาไว้สองเล่ม อ่านแล้วอ่านอีก ซึ่งในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็อ่านกลับไปกลับมา นับเป็นสิบๆรอบ แต่ความลังเลสงสัยก็ยังมีในใจเหมือนเดิม คืออ่านแล้วพยายามคิดตาม คิดแล้วก็หาคำตอบให้กับใจตนเองไม่ได้

ครั้นอ่านของหลวงพ่อเทียนจบก็ไปหยิบเอาหนังสือ “คุยกันฉันทธรรม” ซึ่งเป็นหนังสือแนวชีวะประวัติของหลวงพ่อวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง ซึ่งเก็บไว้หลายปีเช่นกัน เล่มนี้ก็อ่านแล้วอ่านอีกเช่นกัน และเป็นเล่มที่ถูกจริตกับผมมากที่สุด อ่านแล้วคล้อยตาม ขีดเส้นใต้สีแดงเน้นหัวข้อใจความที่โดนใจไว้มากมาย แต่ก็ไม่เคยได้ฝึกตามอย่างจริงจังเสียที ตามด้วยหนังสือหลวงพ่อทูล เล่มนี้ผมก็ชอบมาก เพราะเนื้อหาแนวการสอนธรรมะของท่าน เหมือนจะขัดกันกับหลักการของหลวงพ่อเทียน (ถ้าอ่านอย่างผิวเผิน ไม่พิจารณาด้วยปัญญาอย่างแยบคาย) ด้วยการอ่านหนังสือแนวธรรมะที่ถูกจริตและถูกเวลานี่เอง ทำให้ผมเกิดสมาธิ และความตั้งใจมั่น ที่จะเอาชนะความเบื่อ และคิดจะเอาชนะใจตัวเองให้ได้

จบจากการอ่านหนังสือธรรมะ ผมก็เปลี่ยนมาดู ยูทูป ช่องธรรมะ ต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายดูวนไปทั้งวัน ว่างเมื่อไรก็ดู ดูไปก็เกิดคำถามในใจมากมายเหมือนเดิม ยุคนี้มีคนออกมาสอนธรรมะกันมากขึ้น หลากหลายแนวทาง หลากหลายความเห็น เป็นเรื่องเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนบ้าง เป็นเรื่องแหวกแนวออกไปบ้าง คราใดที่ไม่เห็นด้วยก็นึกแย้งในใจ แต่ก็ถือว่าดีเพราะทำให้มุมมองทางธรรมะของผมกว้างขึ้น แต่เมื่อยิ่งดูมากขึ้นๆ ยิ่งเหมือนฟุ้งซ่านจับหลักไม่ถูก รู้สึกเครียด และเบื่อขึ้นมาเหมือนเดิม

จนคืนหนึ่ง ผมเกิดรู้สึกสับสน กระวนกระวายว้าวุ่นใจกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก พยายามล้มตัวข่มตานอนราวห้าทุ่มหลังจากดูทีวีมาตั้งแต่หัวค่ำ มารู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก ก็เลยลุกจากที่นอนลงมาข้างล่าง หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มน้ำแก้วใหญ่ แล้วมองนาฬิกาบอกเวลาตีสาม

ผมรู้สึกว่ามีความกลัวขึ้นมาในใจโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้เหมือนกันว่ากลัวอะไร คิดไปต่างๆนาๆ แล้วจู่ๆความคิดแว๊ปหนึ่งถึงหลักอาณาปาณสติเกิดขึ้นมาในใจ ผมจึงตั้งใจเดินไปปิดไฟ นั่งทำอาณาปาณสติอยู่ที่ห้องรับแขกชั้นล่างแบบมืดๆ เงียบๆ อยู่คนเดียว สูดลมหายใจเข้าออก ยาวๆ อยู่สามสี่ครั้ง แล้วปล่อยให้หายใจเป็นปกติ

ผมนั่งรู้สึกอยู่กับลมหายใจตัวเองอยูราวสามสิบนาที ก็ทดลองเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นเดินช้าๆ กลับไป กลับใน ในห้องรับแขกนั่นเอง ผมเดินอยู่ราวสามสิบนาที ก็กลับไปนั่งทำสมาธิตามลมหายใจเหมือนเดิม จากนั้นกลับมาลุกเดินกลับไปมาเหมือนเดิม จนนาฬิกาบอกเวลาตีห้า ผมจึงล้มตัวลงนอนที่โซฟาห้องรับแขกนั่นเอง และหลับไปจนกระทั่งรู้สึกตัวอีกทีตอนเจ็ดโมงเช้า

ผมลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัว ทำอาหารเช้าแบบง่ายกินเอง ระหว่างนั่งกินอาหารเช้าก็นั่งคิดทบทวนตัวเองว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงตื่นขึ้นกลางดึกแล้วรู้สึกหวาดกลัวโดยไม่มีสาเหตุขึ้นมาเฉยๆ แล้วพอนั่งสมาธิ เดินจงกลมอยู่ราวสองชั่วโมงอาการดังกล่าวก็ค่อยๆคลายลงและหายไปเอง จนหลับต่อไปได้อีกสองชั่วโมง คิดทบทวนกลับไปกลับไปมา คิดเทียบเคียงกับแนวทางคำสอนต่างๆในหนังสือธรรมะที่ถูกจริต ก็รู้สึกเหมือนจะได้คำตอบในใจขึ้นมาว่า นี่แหละอานิสงค์ของการมีสติรู้ตัวในอารมณ์เดียวจนเป็นสมาธิ ความกลัว ความฟุ้งซ่านในใจจึงดับไป

วันนี้ผมจึงตั้งสติ มีดำริในใจใหม่ว่านับจากวันนี้ ผมจะตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ตามแนวทางที่คิดว่าถูกต้องตรงกับจริตของตัวเอง ผมกลับไปนั่งดู ยูทูป รายการธรรมะ เช่นเดิม แต่ตั้งใจว่าจะดูแบบพยายามทำความเข้าใจให้ได้ว่าผู้บรรยายคิดอะไร ทำไมถึงบรรยายแบบนั้น ไม่เข้าแทรกแซงหรือมีความเห็นแย้ง เหมือนที่ผมเคยทำมาก่อนหน้านั้น ผมลองทำตัวเองให้เป็นคนใหม่แบบนี้อยู่หลายวัน รู้สึกดีขึ้นมาก คือ ไม่มีความตึงเครียด สามารถนั่งดูการบรรยายธรรม ได้เกือบตลอดทั้งวัน

รายการใดๆที่ผู้บรรยายคนเดิม บรรยายแบบซ้ำๆเหมือนเดิมเดิมแม้จะต่างวาระก็จะดูผ่านๆ เมื่อดูมากๆเข้าก็จับความได้ว่า ผู้บรรยายธรรมะในเมืองไทย ทั้งพระ และฆารวาส ต่างก็มีเอกลักษณ์ และแนวทางเฉพาะตัว แตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง ทั้งในหลักธรรมคำสอน และสำนวนภาษา แต่ก็ล้วนมุ่งมาตรปรารถนาให้ทุกคนเข้าใจในคำสอนทางพุทธศานา เพื่อน้อมนำมาใช้กับชีวิตให้เหมาะให้สมกับสถานะของแต่ละบุคคล เพื่อความสุข เพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นที่สุดของพุทธศาสนา

เพื่อให้ตัวเองก้าวผ่านช่วงเวลากักตัวอันแสนน่าเบื่อนี้ ผมจึงเริ่มตั้งโปรแกรมชีวิตใหม่ วันไหนพักผ่อนนอนหลับได้เต็มที่ จะลุกขึ้นวิ่งออกกำลังกายแต่เช้า ตีสี่บ้าง ตีห้าบ้าง และในขณะวิ่งผมก็นำเอาหลักการเจริญสติปฐาณสี่เข้ามารู้สึกในร่างกาย เช่น ลมหายใจเข้าออก น้ำหนักสัมผัสเท้ากระทบพื้น แขวนที่แกว่งไกว ลมที่กระทบผิวกาย ความร้อนที่เกิดขึ้นในร่างกาย เม็ดเหงื่อที่ไหลออกตามเนื้อตามตัว ฯลฯ วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในทุกๆครั้ง ก็พบว่าในแต่ละครั้ง ผมวิ่งได้นานขึ้นเรื่อยๆ จนผมสามารถทำระยะได้ 3 กม. 4 กม. และ 5 กม. ในที่สุด โดยที่ไม่เจ็บเข่า เจ็บน่อง หรือปวดเมื่อยเหมือนเคย จนกระทั่งผมสามารถผมวิ่งออกกำลังในระยะ 5 กม.ได้อย่างสบายๆ โดยผมเรียกการวิ่งของตัวเองว่า “วิ่งเจริญสติ” และแล้วผมก็คิดอยากที่จะทำสถิติการวิ่งขึ้นใหม่

เช้าวันหนึ่งผมตื่นสายไปหน่อยราวหกโมงครึ่ง แต่ไม่อยากจะเสียความตั้งใจที่จะวิ่งทำสถิติใหม่ จึงแต่งตัวชุดกีฬาออกไปวิ่งเช่นเคย เมื่อครบ 5 กม.ผมรู้สึกเหนื่อย และร้อนมากกว่าทุกวัน จิตใจก็ไม่สงบ แต่ก็ฝืนใจวิ่งและอยากจะรู้ว่าใจจะยอมแพ้สำหรับการวิ่งในเช้าวันนี้เมื่อไร ยิ่งสายแดดยิ่งแรง อากาศก็ไม่สดชื่นเหมือนการวิ่งตอนเช้ามืดที่พระอาทิตย์ยังไม่ส่องแสง และแล้วใจผมก็บอกยอมแพ้ที่ระยะ 7.2 กม.
ก็ยังดีผมคิดในใจ


Create Date : 05 เมษายน 2563
Last Update : 6 เมษายน 2563 14:23:44 น. 0 comments
Counter : 173 Pageviews.

สมาชิกหมายเลข 5829850
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 5829850's blog to your web]
space
space
space
space
space