|
เรื่องราวตอนที่ไปตกหลุมรักหนุ่มออสซี่
2 ปีแรกที่มาทำงานที่เมลเบอร์น มีนายที่แสนจะใจดี น่ารัก คุยสนุก ทำงานก็เก่ง อายุเท่าจอยเลย นายคนที่ว่านี้ชื่อคริสค่ะ ตอนแรกจอยก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดว่าโชคดีที่มีนายดีอย่างนี้ ชีวิตทำงานก็มีความสุขดี ปีนึงผ่านไป พอเลิกกับสามีเก่าก็ตั้งใจว่าจะอยู่เพลิดเพลินกับชีวิตโสดซักพัก พักนึงนั้นไม่นานเลยค่ะ 6 เดือนเอง แบบว่าเป็นคนขี้เหงา ต๊อแต๊อ่ะนะ พอเป็นโสดซักพัก ก็ดันไปตกหลุมรักนายคนนี้นี่แหละ แต่สาบานได้ว่าเค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่จอยเลิกกับสามีเก่าเลยแม้แต่นิด จอยเป็นคนซื่อสัตย์ค่ะ แต่ด้วยความที่เป็นนายกะลูกน้องกัน อันจะจีบนายก็อาจจะไม่เหมาะสม ก็ได้แต่คุยกับเค้าที่ทำงานไปวันๆ ชวนคุยนอกเรื่องไปเรื่อย หลอกถามนู่นถามนี่ คนนี้ก็ซื่อบื้อค่ะ ไม่เอะใจอะไรเลย เค้าไม่รู้ว่าจอยโสดแล้วด้วยแหล่ะ ตอนจอยลางานไปเที่ยวฮาวายก็อุตส่าห์ส่งเมลมาหา เริ่มต้นก็ทำเป็นถามว่าเรื่องงานเป็นไงบ้าง หลังจากนั้นก็นอกเรื่องงานไปนู่น เธอก็ตอบเมลมาแบบเป็นกันเอง นอกเรื่องไปนู่นเหมือนกัน ทำให้เรามีความหวัง ช่วงที่จอยเที่ยวอยู่ นายก็ถูกส่งไปทำงานที่ไทย 1 อาทิตย์เป็นครั้งแรกที่เค้าไปไทยค่ะ พอกลับมาเจอกันที่เมลเบอร์น เค้าก็ประทับใจประเทศไทยมากโดยเฉพาะอาหารไทย เค้าก็มาโม้กับจอยใหญ่เลย แล้วก็บอกว่าเค้าหัดทำต้มยำกุ้งอยู่ เริ่มร่ายให้จอยฟังว่าใส่ตะใคร้ แล้วก็ใส่ขิง จอยก็เบรคเอี๊ยดเลยว่า บ้าป่าวใส่ขิงอ่ะ ข่าโว้ย ข่า ไม่ใช่ขิง ในใจก็อยากเสนอตัวสอนทำอาหารไทยให้ แต่ก็มิกล้าค่ะ อาย อีกอย่างฝีมือเราก็ใช่ย่อย ไม่มีปัญญาไปสอนใครหรอก แต่ก็ไม่หยุดแค่นั้น ไม่เสนอตัวไปสอนแต่ไปซื้อน้ำพริกเผามาให้ บอกว่าให้ลองใส่ไปในต้มยำซิ ทำขนาดนั้น ม้านก็ยังไม่รู้ตัว
มีวันนึงทำงานเลิกค่ำ เหลือกันอยู่ 2 คนในออฟฟิศ แล้วก็เดินไปที่จอดรถด้วยกัน ก็หลอกถามนู่นถามนี่
จอย: คริส คุณเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่เหรอ คริส: ไม่ได้เช่า ซื้อแล้ว ผ่อนหมดละด้วย อพาร์ตเมนต์ผมมี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ (โม้ซะ) จอย: โอ อยู่กะแฟนเหรอ คริส: ป่าว อยู่คนเดียว ผมไม่มีแฟนอ่ะ จอย: (เป็นเกย์ป่าววะ) อ่าว ไม่อยากมีเหรอ หรือหาไม่ได้ (อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วนี่นา) คริส: อยากมี แต่ยังหาไม่เจอ จอย: เลือกมากป่าวเนี่ย ชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะ (แน่ะ ลื่นมั้ย) คริส: ไม่ได้เลือกมากเลย ขอแค่เป็นคนไม่เรื่องมาก แล้วเป็นคนที่ดูแลตัวเอง (หมายถึงดูแลสุขภาพ) ก็พอแล้ว จอย: (คิดในใจ) เอ แปลกเนอะ ทำไมยังไม่มีแฟน เอ หรือมีอะไรประหลาด
โอ้ ถึงรถพอดี เธอชิงกู๊ดไนท์ ซียูทูมอโร่ ก่อนเลย จอยก็เลยจำใจขึ้นรถขับกลับบ้าน ยังอยากคุยต่ออยู่เลย เฮ้อ เจ๊าะๆแจ๊ะๆไม่มีอะไรคืบหน้าอยู่อีกเกือบ 2 เดือน และแล้ววันของเราก็มาถึง
วันนั้นบริษัทแจกตั๋วให้ไปดู AFL 4 ใบ เพื่อนในแผนก 2 คนจับฉลากได้คนละ 2 ใบ แต่เค้าไม่อยากไปดูเพราะไม่ใช่ทีมที่เค้าชอบเค้าเลยให้พวกเรามา ก็มีจอย ไมเคิล คริส แล้วก็ลิซ่า เป็นครั้งแรกที่ได้ไปดูฟุตตี้สดๆ จอยนั่งรถไฟเข้าไปเพราะกะจะกินเบียร์ ระหว่างที่ดูก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งก็ไม่ได้นั่งด้วยกัน มี 2 มารขวางกันอยู่ อิอิ ดูบอลไปกินเบียร์ไป พอบอลจบประมาณ 4 ทุ่มครึ่งก็ชวนกันไปดื่มต่อ ลิซ่าขอตัวกลับก่อน เพื่อนอีกคนมันโทรมาบอกว่าจะมาสมทบ เราสามคนก็รอแล้วรอเล่า รอไปกินเบียร์ไป เบียร์มั่งเหล้ามั่ง เล่าเรื่องเลิกกับสามีเก่าให้ไมเคิลกะคริสฟัง เค้าก็แสดงความเสียใจ เราก็ด้วยความเมา บอกว่าไม่ต้องแสดงความเสียใจ แสดงความดีใจดีกว่า เพราะเราคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีและเข้มแข็งที่สุดที่เคยมีมา จากนั้นก็ดื่มซะเพลิน ไอ้เพื่อนคนนั้นโทรมาบอกว่าไม่มาละ เมาอยู่ที่อื่นมาไม่ไหว รู้ตัวอีกทีตีหนึ่งครึ่งแล้ว ไมเคิลถามว่า จอยกลับไงเนี่ย จอยบอกไม่รู้ดิ รถไฟหมดแล้ว แท๊กซี่ก็ไม่กล้านั่งหรอก ทั้งสาวทั้งสวยขนาดนี้เนี่ย กลัวแท๊กซี่ห้ามใจไม่อยู่อ่า ไมเคิลก็ไม่ได้รู้ว่าจอยชอบคริสนะ แต่ไม่รู้ทำไม มันเสนอมาว่า ถ้าไม่รังเกียจก็ไปนอนบ้านคริสสิ เดินไปแค่ 10 นาทีเอง แล้วตอนเช้ายูค่อยกลับบ้าน ให้คริสไปส่งก็ได้ คริสก็คงคิดว่าตัวเองเป็นนายที่ดีมั้ง ก็เออๆออๆ ใช่ๆ ไอมีสองห้องนอน (กรูรู้แล้ว เคยบอกแล้วไง) ยกให้ห้องนึงแล้วเดี๋ยวไอไปส่งตอนเช้าหลังจากที่หายเมาไง โถ โอกาสมันมาถึงขนาดนี้ ไม่คว้าไว้ได้ไงเนอะ เมาด้วยอ่ะ เลยหน้าด้าน
รูปนี้ถ่ายตอนดูฟุตตี้ค่ะ จากซ้ายไปขวา ลิซ่า ไมเคิล แล้วก็คริส คนน่ารักของจอยเอง
จากนั้นจอยกับคริสก็บ๊ายบายไมเคิลแล้วเริ่มออกเดิน ระหว่างทางคริสก็ชวนแวะอีกร้านนึง (เอ๊ะ ยังไง) ดื่มต่อแล้วก็คุยกันสนุกมาก ชักเมาเยอะละ ไปกันเถอะ พอออกจากร้านเดินไปได้ซักพักหน้าก็เริ่มด้านถึงจุดที่ต้านไม่อยู่แล้ว ก็บอกคริสไปว่าชอบ
คริส: แต่เรายังต้องทำงานด้วยกันอยู่นะ จอย: ก็รู้ แล้วชอบจอยมั้ยล่ะ คริส: จอยก็น่ารักดีอ่ะ จอย: (ม้วน 3 ตลบ) จะไม่ลองคบกันดูเหรอ ไม่ลองก็ไม่รู้นะ ไม่แน่นะ เราอาจจะเป็นเนื้อคู่กันก็ได้ คริส: ก็อาจจะอ่ะนะ แต่จะคบกันได้ไง ในเมื่อจะต้องทำงานด้วยกันอ่ะ
จากนั้นก็เดินผ่าน Fitzroy Garden โรแมนติกซะไม่มีอ่ะ แต่ตี 3 นั่นก็มองอะไรไม่เห็นแล้วอ่ะนะ จอยก็เดินเอามือกอดอก (โอ้โห มารยาหญิงกี่เล่มเกวียนก็ควักเอามาใช้) คริสถามว่าหนาวเหรอ อีนางเอกก็บอกว่า อืมหนาวนิดหน่อย อีพระเอกจะไม่ยอมรับรักกรูแล้วถอดเสื้อหนาวมาให้ทำไม อีนางเอกก็ไม่ยื่นมือมารับ ส่งสัญญาณบอกว่าใส่ให้หน่อยดิ พอเธอเอาเสื้อหนาวโอบไหล่มาใส่ให้ อีนางหน้าด้านคนนี้ก็ไปกอดเค้าเฉยเลย จุ๊บๆด้วย (ให้อภัยคนเมาด้วยนะคะ ปกติไม่เคยทำแบบนี้) ทุเรศจริงๆเลยเรา พอถึงบ้านเค้า เค้าก็ส่งเราเข้านอนแล้วก็มานั่งคุยด้วย เล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง เล่าอะไรหลายๆอย่างให้ฟังแล้วบอกว่า เค้าไม่รู้ว่าทำไมเค้าถึงเล่าเรื่องต่างๆให้จอยฟัง เรื่องที่เค้าเล่า เค้าไม่เคยบอกใครมาก่อน อ่าว จะไม่รับรักแล้วมาพูดให้ความหวังแบบนี้ทำไม จอยก็เมาหลับไป ไม่ได้รักนวลสงวนตัวเลย รู้สึกตัวตื่นมาตอนเช้า คริสนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี พอสติมา หน้าก็บาง ออกมาขอโทษเค้า เค้าก็พูดเหมือนเดิมว่าไม่ใช่ว่ารังเกียจ ไม่ใช่ว่าไม่อยากลองคบ แต่ทำงานด้วยกันมันคบกันลำบาก จอยก็จ๋อยๆ บอกว่าเข้าใจแล้วค่ะ แล้วเค้าก็พาไปส่งกลับบ้าน
ทั้งเสาร์อาทิตย์ก็คิดวนไปเวียนมา อดคิดถึงเค้าไม่ได้ หัวใจมันตุ๊มๆต่อมๆตลอดเลย พอวันจันทร์มาทำงาน ก็เขินซะ คริสก็ทำเป็นเฉยๆ แต่ก็เดินมาป้วนเปี้ยนแถวที่เรานั่งบ่อยๆ ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ความอายหายไป เลยส่งเมสเสจไปหาเค้า ถามว่า
จอย: ถ้าคุณไม่ใช่นายเรา ถ้าเราไม่ได้ทำงานด้วยกัน คุณจะลองคบกับเรามั้ย คริส: เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่ควรมาคุยกันด้วย text message ควรจะคุยกันต่อหน้า จอย: (เอ๊ะ อยากเจอกรูเหรอเนี่ย) ต่อหน้าที่ทำงานหรือนอกที่ทำงานล่ะ อิอิ คริส: บอกว่านอกที่ทำงานดีกว่า จอย: พรุ่งนี้เลยมั้ย คริส: นี่มางานแต่งงานเพื่อน แล้วจะกลับถึงเมลเบอร์นพรุ่งนี้บ่ายๆ ถึงแล้วจะโทรไปหานะ
จอยดีใจมาก พอวันถัดมา คริสโทรมา จอยมาหาเค้าที่บ้าน เค้าก็ถามว่า ไหนบอกเค้ามาซิ ว่ามันจะเวิร์คได้ไง ทำงานด้วยกันแล้วก็คบกันเนี่ย จอยก็กล่อมเค้าสุดๆบอกว่า วันธรรมดาก็เป็นนายกับลูกน้อง วันเสาร์อาทิตย์ก็เป็นแฟนกันไง แล้วถ้าซักพักมันไม่เวิร์คขึ้นมา เราก็กลับมาเป็นแค่เพื่อนกันเหมือนเดิม โตๆกันแล้ว ไม่มีปัญหาหรอก กล่อมอยู่นาน เธอก็ยอม อิอิ จอยก็ยิ้มไม่หุบเลย วันนั้นเราก็เดินไปกินอาหารไทยด้วยกัน จูงมือกันด้วย (ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั้ยคะ ว่าจอยยื่นมือไปจูงเค้าอ่ะ)
แอบคบกันอยู่เกือบปี คริสก็ได้ย้ายงานไปอยู่แผนกอื่น ก็ค่อยยังชั่วหน่อย คบกันสะดวกขึ้นเยอะ ตอนนี้จะสามปีแล้วค่ะ ยังรักเค้าเหมือนเดิม แต่จะออกโหดๆหน่อย เค้าขึ้เล่น บางทีก็เล่นเยอะเกินไปจอยต้องคอยดุ คริสก็ดีกับจอยมาก สองคนติดกันหนึบเลย ข้อดีของคริสก็คือ เค้าชอบทำอาหารให้จอยกิน สบายเลยเรา เรื่องงานบ้านคริสก็ถูกจอยเอาเปรียบ คริสรับภาระหนักเช่นขัดห้องน้ำ ทำสวน ดูดฝุ่น ถูพื้น ล้างรถ ส่วนจอยซักผ้ารีดผ้าค่ะ คริสบอกว่า เทียบกับวันแรกจอยรักเค้าน้อยลงเมื่อก่อนจอยไม่โหดกับเค้าแต่เดี๋ยวนี้โหดบ่อยๆ แต่เค้ารักจอยเพิ่มขึ้นทุกวัน (สงสัยจะหลอกด่า) พาคริสไปเที่ยวบ้านที่เชียงใหม่ หลานๆก็รักน้าคริสมากกว่าน้าจอย เพราะน้าคริสใจดี น้าจอยดุ จ๋อยเลยเรา
ในอดีต จอยเคยมีความรักที่เราเป็นฝ่ายยอม และวิ่งตามเค้าอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้รู้แล้วว่าความรักที่ดีๆมันเป็นยังไง ไม่เสียใจเลยกับความรักที่เคยไม่ประสบความสำเร็จ แล้วก็ดีใจที่ไม่ยอมทนอยู่ในความรักที่ไม่ดี ดีใจที่ชีวิตมาในทางนี้ เพราะถ้าไม่ได้มาทางนี้ ถ้าไม่ได้แต่งงานกับคนญี่ปุ่น ก็คงไม่ได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่น แล้วก็คงไม่ได้มาทำงานที่ออสเตรเลีย แล้วก็คงไม่ได้มาเจอคริส เส้นทางมันอาจจะอ้อมๆ ขรุขระ โหดร้าย เจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ถ้าที่ปลายทางคือคนที่จะอยู่กับเราและจะทำให้เรามีความสุขไปตลอดชีวิต มันก็คุ้มใช่มั้ยคะ
Create Date : 14 กรกฎาคม 2554 | | |
Last Update : 16 สิงหาคม 2554 19:24:04 น. |
Counter : 3198 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ทางเดินแห่งรัก จากไทยไปญี่ปุ่นแล้วมาลงเอยที่เมลเบอร์น
การได้เจอใครสักคน ที่เค้ารักเราหมดหัวใจแล้วเราก็รักเค้าหมดหัวใจเช่นกันนั้นถือเป็นความโชคดี คนที่อยากจะอยู่กับเราตลอดไป คนที่รักเราในแบบที่เราเป็น ไม่อยากให้เราเปลี่ยนอะไร รักเราไม่ว่าเราจะทำตัวงี่เง่าแค่ไหน จอยเจอเค้าแล้วค่ะ แต่กว่าจะได้เจอ ก็ผิดหวังกับความรักมาเยอะ แต่ถ้าไม่ได้ผิดหวังมาก่อน ก็คงไม่ได้มาพบเจอเค้าหรอกค่ะ ถือว่าฟ้าลิขิตมาแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกเสียใจเสียดายเวลากับเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นในอดีตเพราะมันเป็นเส้นทางที่ทำให้จอยมาเจอกับคนที่คิดว่าเป็น Soul Mate เป็นคนที่เราถูกใจมากๆ และกลายเป็นคนที่ดีกับเราและทำให้เรามีความสุขมากในวันนี้
ตอนจอยมาเมลเบอร์นเมื่อเดือน ก.ค. ปี 2007 จอยมากับอดีตสามีคนญี่ปุ่น แต่งงานกับเค้ามาได้ 3 ปีมีปัญหากันมาตลอด เค้าชอบโกรธ โกรธแล้วไม่พูดด้วย บางที 2 อาทิตย์ บางทีก็นานกว่านั้น เจอกับเค้าตอนทำงานด้วยกันที่ไทย ก่อนแต่งงานเค้าก็เป็นอย่างงั้นแหละ แต่คิดว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น พอเค้าย้ายกลับญี่ปุ่น เค้าก็ชวนไปด้วย ชวนแต่งงาน จอยก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่ารักเค้าอยากอยู่กับเค้าก็เลยแต่ง ไม่ได้คิดหรอกว่าจะอยู่กับคนๆนี้ได้ตลอดชีวิตหรือป่าว สามปีที่แต่งงานกับเค้า เค้าโกรธไม่พูดกับเราไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของเวลาที่อยู่ร่วมกัน ตอนอยู่ญี่ปุ่นจอยก็ทำงานบริษัท หาเงินได้เอง ไม่ได้ต้องให้เค้าเลี้ยง เวลาเค้าโกรธ ก็ชอบบอกให้จอยกลับเมืองไทย ทำอะไรต่างๆนาๆเพื่อให้เรารู้สึกผิด ทำอาหารให้เค้าก็ไม่กิน มีครั้งนึงโกรธแล้วไม่พูดกับจอย 2 เดือน แต่สุดท้ายก็ไม่บอกว่าโกรธเรื่องอะไร
ปลายปี 2006 แม่เค้าตรวจเจอว่าเป็นมะเร็ง หมอบอกว่าอยู่ได้อีก 6-12 เดือน เค้าลาออกจากงานเพื่อจะย้ายไปอยู่ใกล้ๆแม่ เค้าก็บอกให้จอยลาออกด้วย ตอนนั้นก็ไม่ได้เสียดายอะไร เพราะคิดว่าชาตินี้คงอยู่ญี่ปุ่นตลอดไปไม่ได้ จริงๆแล้วจอยชอบญี่ปุ่นนะ แต่ไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนท้องถิ่นไปได้ คงเป็นได้แค่คนต่างชาติที่มาอาศัยอยู่เท่านั้น เพราะนิสัยเราไม่ค่อยไปทางเดียวกับวัฒนธรรมเค้าเอาซะเลย อยากไปลองอยู่ประเทศอื่นดูบ้าง
ตอนที่ทำงานที่ญี่ปุ่น นายของจอยเค้าเป็นคนออสเตรเลียที่ถูกส่งมาทำงานที่ญึ่ปุ่น 3 ปี ตอนจอยลาออก เคยบอกนายไว้ว่าอยากไปอยู่ประเทศอื่น จอยลาออกไปได้ไม่กี่เดือน นายเก่าเค้ารู้มาว่ามีงานที่ต้องการคนมีประสบการณ์แบบที่เรามีที่บริษัทเดิมนี่แหล่ะ ที่เมลเบอร์น เค้าเลยโทรมาถามว่าสนใจจะไปมั้ย แต่เป็น contract ปีต่อปีนะ จอยก็อยากไป เลยชวนอดีตสามีมาด้วย ก่อนมาเปิดใจพูดกับเค้าว่า จอยไม่ชอบให้เค้าโกรธ เค้าโกรธบ่อยเกินไป โกรธทีละนานเกินไป จอยไม่มีความสุข ขอให้เค้าเปลี่ยนเป็นว่า ถ้าโกรธหรือไม่พอใจอะไร ขอให้พูดกัน เคลียร์กัน เค้าไม่ค่อยแฮ๊ปปี้เท่าไหร่แต่ก็บอกว่าเค้าจะพยายาม
พอมาถึงเมลเบอร์น เกือบปีผ่านไปเค้าก็ยังโกรธจอยอยู่เหมือนเดิม โกรธนานเหมือนเดิม จอยก็ทนไม่ไหวแล้ว ก็บอกเค้าว่าไม่สามารถมีชีวิตอยู่แบบนี้ได้อีกแล้ว ขอเลิกกับเค้า ขอหย่ากับเค้ากลางปี 2008 พอสิ้นปี 2008 เค้าก็ย้ายออกไป ที่ออสเตรเลียนี่ ต้องแยกกันอยู่อย่างน้อย 12 เดือน ถึงจะจดทะเบียนหย่าได้ แต่เค้ากลับไปเยี่ยมบ้านที่ญี่ปุ่น จอยก็เลยรวบรวมเอกสารให้เค้าไปทำเรื่องหย่าที่ญี่ปุ่น แล้วชีวิตแต่งงานก็จบลง
เรื่องที่เค้าโกรธเป็นสาเหตุหลักในการเลิกกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเดียว ชีวิตแต่งงานวนเวียนอยู่รอบๆชีวิตเค้า ชีวิตจอยไม่มีความหมาย เค้าไม่สนใจจะมาสนิทกับครอบครัวเรา เวลาจอยกลับไทยก็มาเชียงใหม่กับเราแค่ 3-4 วัน แล้วก็ไม่ยอมพักที่บ้าน ขอไปพักที่โรงแรม ที่ญี่ปุ่น เสาร์อาทิตย์ก็ทำแค่สิ่งที่เค้าชอบ ถ้าจอยอยากไปช้อปปิ้งเราก็ต้องไปคนเดียว งานบ้านก็ไม่ช่วยทำ เราทำอยู่คนเดียว ไม่ได้เยอะอะไรมากมายเพราะอยู่อพาร์ตเมนต์ แต่ทั้งสองคนทำงาน Full time จอยไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆขอเงินเค้ากินนี่นา หลายๆอย่างมันสะสมมาหลายปี ในที่สุด ก็เหมือนในหัวจอยมันมีหลอดไฟสว่างขึ้นมาบอกว่า เลิกเหอะถ้าอยากมีความสุข
การแต่งงานและการหย่าทำให้จอยเข้าใจตัวเองขึ้นเยอะว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร ชีวิตแต่งงานหรือชีวิตกับใครสักคนที่ดีๆมันควรจะเป็นยังไง เข้าใจว่าตัวเองน่าจะไปได้ดีกับคนแบบไหน เข้าใจว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ไม่เยอะเพราะฉะนั้นถ้าเค้าไม่ดีกับเราวันนี้ก็อย่าคาดหวังว่าเค้าจะดีขึ้นมากมาย พอตัดใจเลิกกับเค้าได้ รู้สึกโล่งใจมาก กลับมาเป็นคนโสด ทำงานไปวันๆ เสาร์อาทิตย์ก็ไปหาเพื่อน แต่เรามันเป็นพวกโสดได้ไม่นานอ่ะคะ ก็มองซ้ายมองขวาจนได้เรื่องหวานๆเข้ามาให้ชุ่มชื่นซาบซ่านหัวใจ เดี๋ยวไว้มาเล่าต่อตอนหน้านะคะ
Create Date : 09 กรกฎาคม 2554 | | |
Last Update : 5 สิงหาคม 2554 19:43:56 น. |
Counter : 616 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|