W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 

October 2008 @France: 1st day: Bordeaux sightseeing

กว่าจะได้เริ่มเรื่องท่องเที่ยวจริงๆ ก็ปาไปบล็อคที่สามแล้ว เชื่อหรือยังคะว่าเราเป็นพวกเพ้อเจ้อชอบเขียนอะไรยาวๆจริงๆอย่างที่เคยเกริ่นไว้ ^^

เรามีเวลาอยู่ที่เืมือง Bordeaux นี้ประมาณสามคืนสามวันกว่าๆนะคะ แต่ได้เดินเที่ยวจริงอยู่สองวัน(วันนึงโดด conference ออกมาเพราะหัวข้อวันนั้นไม่ค่อยเกี่ยวกับงานเราเท่าไหร่) ที่เหลือวันนึงเข้าพรีเซนต์ที่งานอยู่ที่ conference ทั้งวัน และอีกวันรีบไปสนามบินเพื่อเดินทางเข้าปารีสค่ะ

จริงๆเมืองนี้ highlight อยู่ที่การไปชิมไวน์ค่ะ(เพราะเค้าดังทางด้านนี้) ในโปรแกรมของทาง conference ก็มีพาไปทัวร์ชิมไวน์และกิน dinner ร้านเก่าแก่ของเมืองด้วย(Chateau Giscours) แต่อย่างที่บอกเราไม่ดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ แถมทัวร์ที่ว่าไปทีหกชั่วโมงกลับเที่ยงคืนโน่น เราเลยไม่้ไปค่ะ (เสียดายอยู่เหมือนกันค่ะ ว่าอดกินอาหารฝรั่งเศสแบบ full course เลยฟรีอีกต่างหากเพราะรวมอยู่ในค่าลงทะเบียน conference แล้ว)

จากตรงนี้จะค่อยๆเล่าทีละวัน ต่อจากตอนก่อน หลังจากเช็คอินโรงแรมเก็บของที่ห้องเรียบร้อยแล้วนะคะ

-------------------------------------------------------------------------------------------


**** 1st day in France and 1st day in Bordeaux


ถึงตอนนี้ก็เก็บของเรียบร้อยมีเวลาทั้งวันให้เที่ยวได้ค่ะ แต่ก่อนอื่นจะออกไปเที่ยวไปถ่ายรูปก็ขอแปลงโฉมซะก่อน เพราะนั่งเครื่องกว่าจะมาถึงนี่สภาพ so before มากๆค่ะถ่ายรูปออกมานี่คงไม่แม้แต่คิดจะกลับไปดูอีก เริ่มด้วยอาบน้ำซะหน่อย ทาครีม แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางที่คัดเลือกมาแล้วว่างานไหนงานนั้นไม่เคยพลาด(เผอิญไม่ได้เกิดมาโชคดีพอที่จะตื่นปุ๊บสวยปั๊บเลยน่ะค่ะ) รวบผมขึ้นซะหน่อยเพื่อประหยัดเวลาการสระไดร์ สุดท้ายก็เปลี่ยนชุด ใส่โค้ตกันหนาว ถุงน่องดำ และบู๊ตยาวส้นสูงสีดำคู่เก่ง(ยอมหอบหิ้วบู๊ตยาวมา กะว่ากันหนาวได้และถ่ายรูปออกมาจะได้สวยๆ แต่ก็แลกกับพื้นที่ในกระเป๋าและการต้องเดินตะลอนๆบนส้นสูงไปแทน)


--- Make-up is Magic (ส่วนนี้สำหรับคนรักสวยรักงามนะคะ) ---

เวลามาเที่ยว เราก็จะเน้นถ่ายรูปใช่ไหมคะ แล้วใครล่ะจะอยากให้รูปที่ระลึกออกมาดูไม่ดี(ยกเว้นถ้าไปทะเล เล่นน้ำ อาจแต่งหน้าไม่ได้) เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นโดยเฉพาะมาเที่ยวนี้ค่าตั๋วแพงใช่ย่อย(แม้จะไม่ได้จ่ายเองก็ตาม) ให้มาเองคงไม่มาดังนั้นรูปที่ระลึกนี่สำคัญมากๆอยากให้ออกมาสวยที่สุด(เท่าที่หน้าตาจะอำนวย) แต่มาเที่ยวจะให้แบกเครื่องสำอางและ accessory มาเผื่อพร้อมรองรับได้ทุกสถานการณ์น้ำหนักจะไม่พอเอา(แถมตอนตุเลงๆแบกขึ้นรถไฟที่ปารีส สภาพคงดูไม่จืดแน่ๆ) ก็เลยเลือกๆมาเฉพาะที่(เราเห็นว่า)จำเป็น adaptใช้ได้สะดวก และมั่นใจแล้วว่ามันดีมาล่ะค่ะ(พวกที่อยู่ระหว่างการทดลอง ขอไม่เสี่ยงเอามาทดลองเวลาไปเที่ยวค่ะ เพราะพลาดทีนี่ฟ้องอยู่ในรูปไปตลอดแก้ตัวไม่ได้แล้ว)

สำหรับเรานั้นจะเน้นอันดับหนึ่งเลยว่าหน้าต้องเนียน ไม่ดูมัน ไม่ดูโทรม (อย่างน้อยก็ให้โทรมน้อยที่สุด) ที่เราใช้มาตลอดเวลาเดินทาง(และได้รูปสวยๆกลับไป) คือ smashbox เบสม่วง -> cle de peau Liquid foundation(เราผิวแห้งค่ะ) -> concealer ปิดแพนด้า(เผอิญว่าเราเป็นญาติกับแพนด้าอย่างเหนียวแน่นน่ะค่ะ) -> แป้งฝุ่น la mer (อันนี้เผอิญขอแบ่งน้องมาเป็นกระปุกเล็กๆเลยพกเดินทางง่ายกว่าอันอื่น) ส่วนพวก shading, highlight, finishing powder เราคิดว่าไม่จำเป็นมากถึงกับต้องแบกข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วย (แต่ถ้ามีที่เหลือก็ขอ highlight ติดมาอันเพราะเราขาดแคลนดั้งพอควร) ในสี่ตัวข้างบนที่พูดถึงนี้ key สำคัญเลยของเรา คือ รองพื้นค่ะ แต่หมายถึงเฉพาะยี่ห้อนี้นะคะเพราะมันถูกกับหน้าและผิวเราช่วย boost ให้หน้าปกติดูเด้งขึ้น และทำให้หน้าที่โทรมดูดีขึ้นได้ค่ะ (ยิ่งถ้าวันไหนหน้าดีอยู่แล้วใช้อันนี้ีอีกนี่ ส่องกระจกทีเคลิ้มไปเลยค่ะ 555) ใครเล่นห้องแป้งอาจคุ้นๆว่าเห็นเราเชียร์รองพื้นยี่ห้อนี้บ่อยๆแต่ก็ไม่ได้เป็นม้านะคะ ดีกับเราไม่ดีกับคนอื่นเยอะแยะไปค่ะ


สำหรับ point make-up เราเอาแค่กรีดอายไลเนอร์สีธรรมชาติ(ดำหรือน้ำตาลเข้ม)ปกติ เลือกเอาอันที่เราคิดว่าติดหนึบ ติดทนที่สุดมาเลยกะว่าเขียนทีเดียวไม่ต้องมาเติมกันอีก สำหรับเราคือ in2it หรือไม่ก็ l'oreal (สีดำรุ่นจิ้มจุ่มทั้งคู่) พกอายไลเนอร์แบบดินสอ shu uemura drawing pencil สีน้ำตาลเข้มอีกแท่งไว้ถมอินเนอร์และเขียนขอบตาล่างนิดหน่อย ไม่เล่นสีอะไรที่ตามากค่ะเสียเวลาแต่ขอลง eyelid base ของ LM หน่อยนึง(จำเป็นสำหรับเราคนเดียวนะคะ เพราะเราหนังตามั้นมันค่ะอะไรก็เอาไม่อยู่มีตัวนี้อันเดียวที่ลองมาแล้วพอช่วยได้) อย่างมากสุดถ้าจะเอา eyeshadow มาก็สีครีมลงเป็นเบสที่เปลือกตา และสีดำคัดเบ้าตาสักหน่อย ดัดขนตา ปัดมาสคาร่า(เอาที่ปัดทีเดียวอยู่ทั้งวัน หลังๆเราจะใช้มาจอลิก้าน่ะค่ะ) เขียนคิ้วที่แหว่งๆ(ถ้าคิ้วไม่แหว่งไม่โกร๋นก็ไม่เขียนล่ะค่ะงานนี้) จริงๆปกติเราจะปัดมาสคาร่าย้อมสีคิ้วด้วยแต่หนนี้ดันลืมเอามาค่ะก็คิ้วดำๆไป


บลัชออนเอามาอันเดียวค่ะแต่กะให้ใช้ได้ทุกงาน เราเอาบลัชแข็งแบบตลับของ Jill stuart ที่มีแบ่งสี่สีมา วันพรีเซนต์ทางการก็วนๆแค่ตรงสีอ่อนๆ วันเที่ยวก็วนทุกสีให้แก้มชมพูๆ แต่จริงๆบลัชออนเราว่าไม่ปัดก็ไม่ต่างกันมาก เพราะเวลาถ่ายรูปมาจะเห็นสีแก้มชัดก็ต้องปัดเข้มๆเท่านั้นล่ะค่ะ ปัดอ่อนๆปกติจะเห็นด้วยตาแต่ไม่เห็นด้วยเลนส์เท่าไหร่ยิ่งกลางแสงธรรมชาติด้วยแล้ว เราเน้นให้ปากดูมีสีหน่อยและไม่แห้งมากกว่า ก็พกลิปมันซิลิโคนหนึ่งหลอดและลิปสติกสีธรรมดาๆอีกแท่ง (เราเป็นคนไม่นิยมการแต่งปากซีดๆค่ะ) แต่ถ้าใครถนัดพวก tint หรือตระกูล multiple ก็อันเดียวได้ทั้งแก้มทั้งปากเลย สะดวกดีค่ะ แต่เผอิญเราไม่มีสักอันเลย ตบท้ายขอพกกระดาษซับมันกับแป้งผสมรองพื้น(ของแซมเปิ้ลได้มาฟรี)ไว้เติมแบบเร่งด่วนระหว่างวัน(ประมาณว่าซับๆตบๆเสร็จ ขอเหลือบกระจกแค่สามวิก็พอค่ะ เสร็จแล้ว)


อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้คือผมค่ะ ไปเที่ยวยาวๆโอกาสจะแวะห้องน้ำรวบผม หวีผม รัดผมใหม่ก็น้อยใช่ไหมคะ แถมวันไหนฝนตกลมพัดหัวกระเจิดกระเจิงอีก เราเตรียมการโดยการไปยืดผมหน้าที่ร้านค่ะเท่านี้ผมด้านนี้ก็หายห่วงไปได้(ยืดมาสักพักแล้วนะคะไม่ใช่จะมานี่เลยเพิ่งยืด) ส่วนผมด้านหลังที่เหลือทั้งหมดก็ใช้คลิปสองตัวนี้ในรูปจัดการค่ะ

หน้าตาก็ดูเป็นคลิปธรรมดาใช่ไหมคะ แต่ขอบอกว่ามันไม่ธรรมดานะ เราซื้อมาด้วยความบังเอิญจากห้างโตคิวที่ชิบุยะ เห็นเค้ากำลังสาธิตการทำผมอยู่ เจ้าคลิปอันนี้นี่พลังยึดสุดยอดค่ะตัวเดียวสามารถม้วนเก็บผมเราได้อยู่ทั้งหัวเลยค่ะ แต่ใช้สองตัวจะเซฟกว่าและเล่นได้หลายทรงด้วยค่ะ ทรงสิ้นคิดของเราวันไหนขี้เกียจสระผมหรือหัวยุ่งหรืออากาศร้อนมากๆ คือ รวบผมทั้งหมดเหลือผมกรอบหน้านิดหน่อย บิดผมเป็นเกลียวให้แน่น ดึงให้เป๋มาด้านซ้ายแล้วหนีบคลิปสองตัวนี้เข้าที่ตรงมวยค่ะ หนีบแบบไม่ต้องใช้ฝีมือกันเลยก็อยู่ค่ะ แค่นี้ก็ไม่เห็นหัวยุ่งๆ ไม่มีผมมาระคอให้เกะกะ แถมผมเป๋ข้างนี่ทำให้ดูหน้าหวานๆขึ้นอีกด้วยนะคะ มาคราวนี้เอาแบบเซฟเลยเอาคู่สีน้ำตาลมาไม่เอาแบบสีสันหรือพวกมีตุ้งติ้งห้อยค่ะ


--- Continue travelling ---

ว่าจะไม่นอกเรื่องแล้วก็นอกไปจนได้ค่ะ อดไม่ได้ประสาคนอ่านห้องโต๊ะเครื่องแป้งเกือบทุกวันมาสามปีกว่าแล้ว(ตั้งแต่ยังเป็นห้องย่อยในสวนลุม) เอาเป็นว่าแต่งตัวพร้อมแล้วก็ออกไปข้างนอกเลยค่ะ ก่อนออกก็ขอแผนที่จาก reception และถามเรื่องย่านร้านอาหารต่างๆมาให้เรียบร้อย(หิวข้าวแล้วค่ะ) ใกล้เที่ยงแล้วมีแดดเลยไม่หนาวเท่าตอนเช้า ท้องฟ้างี้สีฟ้าใสปิ๊งเชียวค่ะ(ตลอดทริปนี้ มีวันนี้วันเดียวล่ะค่ะที่ได้เจอแดดที่เหลือครึ้มฟ้าครึ้มฝนเกือบตลอดเลย T_T)

ด้วยเหตุว่าไม่ใช่เมืองหลวงอะไรๆก็ดูกว้างขวางโล่งตา ไม่ค่อยมีตึกอัดกันแน่นเท่าไหร่ เดินไปบล็อคนึงก็เจอต้นไม้หรือสวนย่อมๆทีนึงค่ะ ร่มรื่นมากๆ ตึกต่างๆก็เน้นแนวอนุรักษ์นิยมได้อารมณ์ยุโรปเก่าๆมากค่ะ เดินๆไปก็ต้องคอยข้ามรางรถไฟบ่อยๆไม่มีที่กั้นไม่มีไฟเขียวไฟแดงนะคะ มองซ้ายมองขวากันเองว่าไม่มีรถ รถไฟ(รถราง?)ที่ว่านี้น่ะรูปร่างเป็นรถหัวจรวด(รึเปล่า?)ดูใหม่เอี่ยมอ่อง วิ่งเอื่อยๆสะท้อนแสงแดดวิบๆสวนผ่านไปมาเป็นระยะๆค่ะ (อารมณ์วิ่งช้าหน่อยค่อยๆอวดโฉมไปเรื่อยๆเหมือนเป็นของประดับเมืองเคลื่อนที่ได้เลยค่ะ เราว่าดูเหมาะกว่าไว้ให้คนนั่งชมเมืองมากกว่าเน้นไว้เพื่อการเดินทางอีกนะคะ)


ตอนเรานั่งรถเข้าโรงแรมคนยังน้อยอยู่เลยแต่ออกมาอีกทีตรงที่เป็นทางเดินเลียบแม่น้ำนี่คนเพียบเลยค่ะ ยิ่งเดินคนยิ่งเยอะขึ้นเยอะขึ้น ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งครอบครัวเพื่อนฝูงมากันเต็มไปหมดเลย แรกสุดตั้งใจหาร้านอาหารก่อนค่ะ แต่กว่าจะถึงย่านที่ทางโรงแรมแนะนำ(จริงๆก็ไม่ไกลค่ะ แป๊บเดียวก็เดินถึง)มาก็แวะเถลไถลถ่ายรูปไปหลายที่เหมือนกัน ถนนที่นี่ทุกๆครั้งที่มีทางแยกจะมีป้ายปักบอกชื่อถนนหรือไม่ก็เป็นแผ่นป้ายเหล็กแปะไว้ที่มุมตึกตลอดว่าด้านไหนคือถนนชื่ออะไร ขนาดจอมหลงอย่างเรายังเดินได้ไม่หลงเลยค่ะ(ตราบใดที่ยังไม่ทำแผนที่หาย)

เดินๆไปก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าวันอาทิตย์ทั้งทีทำไมร้าน(อาหาร)หลายๆร้านขึ้นป้ายว่าปิดแฮะ เจอคล้ายๆที่จัดงานสวนสนุก(คล้ายพวกงานวัดที่ไทยมั้งคะ มีร้านเล่นเกมส์เยอะแยะ)ก็ปิดเงียบเครื่องไม่เดินไม่มีคน ทั้งที่วันอาทิตย์มันน่าจะเป็นวันที่คนมากินมาเล่นมากที่สุดนี่นา ร้านอาหารที่เปิดๆส่วนใหญ่เห็นเป็น cafe แนวๆแซนด์วิช สลัด แถมเมนูฝรั่งเศสเป็นพรืด อ่านไม่ออก รูปก็ไม่มี แล้วแต่ละร้านคนเยอะทั้งนั้นตอนเที่ยงๆแบบนี้ เรายังไม่อยากไปแบ๊ะๆใบ้ๆตอนร้านเค้ายุ่งๆคนเยอะๆก็เลยได้แต่ผ่านไปก่อนยังไม่กิน พยามยามมองหาพวกร้าน fastfood แนวๆ McDonald KFC อะไรทำนองนี้เหมือนกันนะคะ เพราะสั่งง่ายจิ้มเบอร์เอาก็เสร็จ แล้วอาหารก็พอรู้ๆอยู่แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่เดินยังไงก็ยังหาไม่เจอสักร้านเลยค่ะ


ทางผ่านผ่าน Tourism information centerพอดีก็มองหาไว้เลยว่าตรงไหนที่เราต้องขึ้นรถ jet bus กลับสนามบิน แต่หาไม่เจอค่ะ เจอแต่สถานีทีขึ้นรถไฟหัวจรวดวิ่งสวยไปสวยมานั่นอย่างเดียว เลยต้องเข้าไปถามข้างในเค้าก็จิ้มแผนที่มาให้ ก็ออกมาเดินเข้าถนนที่เค้าบอกด้านหน้ามีรถไฟขบวนเล็กๆสีแดงๆอยู่น่าจะมีไว้ให้นักท่องเที่ยว(แต่ก็จอดเงียบอีกแล้ว เอ๊ะ ยังไงกันนักท่องเที่ยวออกจะเดินกันขวักไขว่ กลับไม่เปิดให้บริการซะงั้น) เดินๆไปถ่ายรูปไปจนสุดทะลุถนนอีกด้านแล้วก็หาไม่เจออยู่ดี ไหนแฮะป้ายรถบัส ต้องเดินย้อนกลับมา นี่ถ้าไม่บังเอิญเห็นคาตาว่ารถ jet bus มาจอดตรงนั้นพอดีไม่มีทางหาป้ายเจอแน่ค่ะ ดูสิคะป้ายแค่นี้(ที่วงไว้สีแดง)ต้องไปส่องกันใกล้ๆถึงจะเห็นเขียนว่า airport อยู่เกือบต้นถนนเลยตรงข้ามขบวนรถสีแดงนั่นเอง เดินผ่านมาสองสามรอบแล้วแต่นึกว่าป้ายห้ามจอดรถธรรมดาซะอีก


ยังไงก็แล้วแต่หาป้ายรถบัสเจอ แถมเห็นรถมาจอดกับตาแล้วก็วางใจได้ว่าขากลับสนามบินไม่มีปัญหาแล้วทีนี้ จากจุดตรงข้ามกับ tourism information center ตะกี้ (ตรงปากซอยที่มีรถไฟสีแดงๆนั่นล่ะค่ะ) ถ้ามองไปทางขวาผ่านลานหินก็จะเห็นลานกว้างมากค่ะ ที่ตรงข้ามโรงแรม The Regent พอดีเป๊ะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่เรา(บังเอิญ)เดินมาเจอค่ะ ได้ลงในโบชัวร์เป็นหนึ่งในสิบสถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำของเมืองนี้ค่ะ Grand Theatre นั่นเอง


ตึกใหญ่เป็นสง่าเด่นอยู่หน้าลานกว้างเลยล่ะค่ะ เสาด้านหน้าทรงกรีก(หรือโรมันคะ?)ต้นใหญ่สูงปรี๊ดแต่ละต้นมีรูปปั้นท่าทางต่างๆกันอยู่ตรงกันที่ตรงด้านบน มองไปตึกขาวๆตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าๆก็สวยดีค่ะ ด้านในเหมือนว่าจะเข้าชมได้แต่อย่างว่าเราเป็นพวกชะโงกทัวร์ค่ะดูแต่ด้านนอกก็พอแล้ว ที่ด้านหน้านอกจากเป็นลานกว้างๆอย่างที่เห็นก็มีรางรถไฟ(เจ้ารถรางวิ่งเอื่อยๆนั่นล่ะค่ะ)ผ่าน ไปจอดป้ายอยู่ตรงช่วงหักศอกหน้าโรงละครนี่ล่ะค่ะถ้าไม่อยากเดินก็นั่งรถรางนี่ได้ เราคิดว่ามันคงวนรอบเมืองครบทุกสถานที่ดังๆค่ะ ถ้าซื้อบัตรวันหรือบัตรเหมาสามวันก็ขึ้นลงรถรางรสบัสได้ไม่จำกัดค่ะ (ไม่รวมรถบัสไปสนามบินนะคะ) แต่ความเห็นส่วนตัวเราว่าเดินเอาก็ได้ค่ะแต่ละที่ไม่ได้เดินไกลกันมากเท่าไหร่ เดินถึงกันได้เกือบหมดเลย ในโบชัวร์ของเค้าเองยังเขียนเลยว่าเที่ยว Bordeaux ใน 60 นาที (ประมาณว่านั่งรถไฟแดงๆที่ใช้ท่องเที่ยวเมืองของเค้า วนไปประมาณชั่วโมงนึงก็ผ่านเกือบครบทุกสถานที่แนะนำแล้วน่ะค่ะ)


ถ่ายรูปไปนิดหน่อยก็เดินต่อค่ะหิวแล้ว(Grand theatre นี่เดี๋ยวจะเดินผ่านอีกหลายหนค่ะ) ยังหาอะไรกินไม่ได้เลย ร้านไหนๆก็แน่นไปซะหมด เดินเลี้ยวซ้ายที่ Grand Theatre กลับถนนใหญ่เลียบริมแม่น้ำอีกที เดินไปยังไม่ทันเท่าไหร่เลยเจอจุดที่คาดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังอีกแล้ว(เบอร์4)


คนเยอะแยะถ่ายรูปกันใหญ่ทั้งจากถนนฝั่งเดียวกันและถ่ายจากถนนฝั่งตรงข้าม ได้ไงล่ะเราก็ต้องเอามั่งค่ะ จุดนี้เรียกว่า Place de la Bourse ค่ะเป็นลานหินมีตึกทรงยุโรป(ดูเก่าแก่อีกแล้ว)ล้อมเป็นวง(เกือบ)กลม ที่ตรงกลางลานมีน้ำพุอันเบ้อเร่อเลยค่ะ highlight ของที่นี่เราว่าคือน้ำพุนี่ล่ะค่ะ ไม่รู้ประวัติความเป็นมาอะไรเหมือนกันค่ะเพราะอ่านฝรั่งเศสไม่ออก(งวดนี้มาเที่ยวเมืองนี้แบบไปตายเอาดาบหน้าเลยค่ะ ไม่มีหามาก่อนเลย) รู้แต่ที่เตะตาเรามากๆคือ ทำไมน้ำมันต้องเป็นสีแดงด้วยล่ะเนี่ย? เดาเอาง่ายๆว่าคงตั้งใจสื่อถึงไวน์ที่เป็นของดังของเมืองนี้นั่นเอง อีกอย่างที่สงสัยคือ ทำไมรูปปั้นต้องห่มผ้าสีชมพูด้วย? อันนี้เพิ่งมาสงสัยทีหลังเพราะไปเจอบ่อน้ำพุอื่นที่นี่ก็ห่มผ้าสีชมพูอีก แต่ในโบชัวร์ท่องเที่ยวไม่เห็นห่มเลย หรือว่าจะห่มให้เฉพาะหน้าหนาว???


ถ่ายตรงนี้เสร็จก็หิวไม่ไหวแล้วค่ะ ตรอกที่ทางโรงแรมแนะนำมาก็อยู่แถบๆนี้เองล่ะค่ะ ประมาณว่าจุดท่องเที่ยวดังร้านก็เยอะ เดินไปๆมาๆหาอะไรที่มันไม่ใช่แซนด์วิชและร้านดูไม่ปลอดคนจนวังเวงเกินไปนัก ก็ได้เป็นร้านนี้ล่ะค่ะ(เบอร์1) อาหารมื้อแรกที่ฝรั่งเศสคือ ร้านอาหารจีน -"- มีคนดูแลผู้ชาย(น่าจะคนจีน)คนเดียวพูดอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พอใบ้ๆแบ๊ะๆกันได้เข้าใจ ข้าวสวยกับไก่ผัดเห็ดอะไรสักอย่าง ตอนดูชื่อในเมนู(มีภาษาอังกฤษแต่ไม่มีภาพ)ฟังดูดีนะคะ (เห็ดที่ชื่อฟังแล้วนึกถึง สุนัขพันธุ์ที่พระนางมารีอังตัวเน็ตเลี้ยงน่ะค่ะ) แต่เห็นของจริงแล้วนึกถึงร้านอาหารตามสั่งที่เมืองไทยทันทีเลย กินแล้วยิ่งนึกถึงเมนูข้าวราดหน้าไก่ที่สีฟ้า(แต่นี่ไก่แข็งๆหน่อยสงสัยจะเนื้อหน้าอก) แต่ก็เอาน่ะค่ะหิวแล้วอะไรก็กินทั้งนั้นล่ะ ดีกว่าแซนด์วิชละกันแถมทำมาร้อนๆเลย สนนราคาก็แค่ 8.50 euro เองไม่ได้แพงเว่อร์เหมือนที่ได้ยินคนขู่ให้ฟังหลายคนก่อนมา (ตอนนั้นยังไม่สำนึกค่ะว่ามื้อนี้จะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในทริปนี้แล้ว T_T) ระหว่างเรานั่งกินลูกสาวเจ้าของร้านก็คอยมาเล่นกับเราที่โต๊ะเป็นระยะๆ(เจ้าของร้านผู้หญิงกับลูกสาว ดูคล๊ายคล้ายคนไทย เหล่อยู่หลายหนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลองถามดู) ตอนเราออกไปก็บ๊ายบาย(ภาษาฝรั่งเศส)ให้ด้วย ^^

ออกจากร้านไปก็กลับเข้าลานน้ำพุเดิมค่ะ หาจังหวะเนียนๆที่คนน้อยหน่อยหันหน้ากล้องเข้ามาถ่ายรูปตัวเองไว้มั่ง เดี๋ยวจะไม่มีหลักฐานว่ามาแล้วจริงๆ :P แล้วก็เดินลงต่อไปทางถนนใหญ่เลียบแม่น้ำค่ะ (ภาพบนเบอร์2) แต่เดินๆไปก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ เริ่มชินแล้วว่าตึกมันก็ทรงโบราณแบบเดียวกันเรียงกันทั้งถนนนั่นแหล่ะ ก็เลยหันหัวกลับมาทางเดิม(ทางกลับโรงแรม) ผ่านลานน้ำพุเจ้าเก่าอีกรอบค่ะ (ภาพบนเบอร์3)

ตอนเดินขาลงเดินถนนด้านฝั่งน้ำพุเลยไม่ทันเห็น พอขากลับเดินมาฝั่งตรงข้ามถึงเห็นค่ะว่าตรงข้ามลานน้ำพุตะกี้มีลานอะไรไม่รู้มีน้ำเอ่อๆสูงไม่กี่นิ้วอยู่ คนงี้เพียบเชียวค่ะยืนบ้างนั่งบ้างอยู่รอบๆบ่อน้ำประหลาดๆนี่ เด็กๆนี่ยิ่งชอบใจถอดรองเท้าไปเดินเล่นลุยน้ำกันใหญ่เลย(น่ารักดีเลยแอบถ่ายรูปมา) เราก็เอามั่งค่ะยืนเก้ๆกังๆถ่ายซ้ายถ่ายขวาเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นล่ะ จริงๆคือถ่ายรูปเสร็จนานแล้วล่ะค่ะ แต่กำลังเล็งอยู่ค่ะว่าจะขอใครให้ช่วยถ่ายรูปให้ดีไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่มีรูปตัวเอง(แบบที่ไม่ใช่หน้าตัวเองบังไปแล้วครึ่งภาพ)กลับไปเลย

สุดท้ายก็ไปขอให้คุณป้าคนฝรั่งเศสที่มากันสองคนช่วยถ่ายให้ อาศัยเดินเข้าไปหายื่นชี้กล้องแล้วชี้ตัวเองก็เข้าใจกันค่ะว่าเราจะขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ คุณป้าก็ช่วยถ่ายให้อย่างดีค่ะกล้องเราซะอีกที่แบตจะหมดเลยเกเรหน้าจอดับอัตโนมัติอยู่เรื่อย ถ่ายเสร็จคุณป้าก็ยังถือกล้องอยู่ค่ะ เหมือนรอๆอะไรอยู่เราก็ไม่เข้าใจก็รอด้วย(ก็กล้องเราอยู่กะเค้าอ่ะค่ะ) สักพักก็สังเกตว่าน้ำในบ่อเนี่ยมันหายไปเกือบหมดแล้ว แล้วจู่ๆก็มีควันพุ่งมาทั่วบ่อเลยค่ะ เป็นนาทีทองของคนจะถ่ายรูปเลยทีเดียวค่ะ คุณป้ารีบให้เราเข้าไปถ่ายรูปก็ได้รูปช็อตควันมาเหมือนกัน แล้วพอควันจางหายไปน้ำก็จะรื้นขึ้นมาอีกค่ะ เป็นวงเวียนไป ควันมา->ควันหาย->น้ำขึ้น->น้ำลด ก็ขอบคุณคุณป้าไปแล้วก็ได้ฤกษ์หยุดเดินป้วนเปี้ยนรอบบ่อนี้ซะทีค่ะ


ตรงฝั่งถนนที่เลียบแม่น้ำนี่คนเยอะมากๆเลย มากันเป็นครอบครัวบ้าง มากับเพื่อนๆเป็นกลุ่มๆบ้าง นักท่องเที่ยวเองก็ไม่น้อยค่ะ กล้องสารพัดยี่ห้อเห็นเต็มไปหมดเลย คนเยอะๆดูคึกคักดีเราก็เลยเดินต่อไปทางด้านฝั่งที่เลียบแม่น้ำนี่ล่ะค่ะ แดดส่องมากำลังดีไม่ค่อยหนาวมาก(แต่ใส่โค้ตอยู่นะคะ) เดินๆไปนี่เขียวขจีตลอดทางเลยค่ะ มีปลูกโน่นปลูกนี่สีสวยๆเป็นแถวๆ(บางแถวดูเหมือนกะหล่ำปลีนะคะเนี่ย ยังนึกอยู่เลยว่านั่นเป็นแปลงผักสวนครัวหรือเปล่าหนอ) สังเกตคนรอบข้างก็ดูแฮปปี้กันทั้งนั้นเลยค่ะ

คู่รักเดินจูงมือกัน โอบเอวกัน นั่งอิงแอบซบพิงไหล่จุ๊บกัน ยิ้มให้กันท่าทางมีความสุขทุกคู่(อิจฉาอ่ะค่ะ คนมาคนเดียวเหงาเลยนะเนี่ย) พ่อแม่ก็เดินจูงมือลูกบ้าง ถือกล้องวีดีโอถ่ายรูปลูกๆที่กำลังวิ่งเล่นกันบ้าง สาวๆกลุ่มใหญ่ก็เดินคุยหัวเราะกันสนุกสนาน(เสียดายว่าฟังไม่ออก) มีนักดนตรีมาร้องเพลงอยู่คนเดียวให้คนผ่านไปผ่านมาฟัง(ซึ่งก็ฟังกันบ้างไม่ฟังบ้าง) เดินๆไปก็ระวังคนเล่นสเก๊ตและจักรยานที่วิ่งผ่านมาด้วย สรุปว่าบรรยากาศสดใสดีมากค่ะ มีโคมไฟหน้าตาแปลกๆเป็นระยะๆด้วยถ้าเปิดไฟตอนกลางคืนน่าจะสวย(แต่เสียดายว่าไม่ได้ออกมาดูสักวัน หลับคาเตียงตั้งแต่สองทุ่มทุกวัน)


เดินต่อมาเรื่อยๆใกล้ถึงโรงแรมแล้วค่ะ มองไปเห็นสวนสนุกที่ปิดอยู่ตอนขามามีเสียงดนตรีเสียงเครื่องเล่นดังมาแสดงว่าคงเปิดแล้ว(กว่าจะเปิดได้ นึกว่าจะปิดไปตลอดวันอาทิตย์ซะอีก) ก็เลยเดินข้ามถนนผ่านร่มต้นไม้สองฝั่งที่ยาวทอดไปตลอดถนนเล็กๆ(อยากถ่ายรูปกับซุ้มต้นไม้นี้มากๆแต่ไม่มีคนถ่ายให้อ่ะค่ะ T_T ) แล้วก็ไปสำรวจ(ดูอยู่ข้างนอก)สวนสนุกซะหน่อยเห็นรถไฟปีนขึ้นถึงจุดสูงสุดพอดีเลยแชะมาหนึ่งรูป (คล้ายๆไวกิ้งนะคะเราว่า รางครึ่งวงกลม ค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปสูงสุดแล้วก็ปล่อยลงมาให้รถไหลไปมา ซ้ายๆขวาๆอยู่บนรางนั่นล่ะค่ะ) ดูแล้วเห็นส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันน่าสนุกดีค่ะ แต่เราไม่เล่นแน่ๆ ทั้งชีวิตเล่นไวกิ้งหนเดียวตอนอยู่บนเครื่องนี่เกร็งและกลัวจนพูดอะไรไม่ออกเสียงไม่มี หลับตาปี๋เอาหน้าซบไหล่น้องสาวลูกเดียวค่ะ ลงมาได้นี่เดินแทบไม่ตรงทาง มึนหัวจะอ๊วกไปเป็นชั่วโมงๆเลย


คราวนี้ก็กลับมาที่โรงแรม ที่ซุกหัวนอนเราแล้วล่ะค่ะ อ่านเน็ตมาเยอะบอกว่าทางยุโรปเนี่ยถ้าอยากดื่มน้ำไม่แพงให้ไปซื้อน้ำตามซุปเปอร์มาตุนไว้ ตลอดทางที่เดินมาเราก็มองหาอยู่ตลอดนะคะแต่ไม่มีร้านไหนที่เปิดอยู่ มีหน้าตาเหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตเลยสักร้าน ก็เลยต้องกลับมาถามที่โรงแรมนี่ล่ะค่ะ คำตอบที่ได้คือ วันอาทิตย์ร้านส่วนใหญ่รวมทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่เปิดทำงานค่ะ ตอนแรกนึกว่าตัวเองฟังผิด เฮ้ย มีด้วยเหรอร้านเปิดวันธรรมดาแต่ปิดวันอาทิตย์ ก็ตลอดมาอยู่ที่ไทยรู้กันว่าร้านอาหารร้านซุปเปอร์เนี่ยทำยอดเยอะสุดก็เสาร์อาทิตย์นี่แหล่ะ


โชคร้ายว่าหนนี้ฟังไม่ผิดค่ะ คนฝรั่งเศสเค้าหยุดกันวันอาทิตย์จริงๆเพื่อให้คนได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวอะไรก็ว่าไป ถ้าในปารีสอาจยังมีที่เปิดดึกๆบ้างแต่ในเมืองด้านนอกแบบนี้ปิดเกลี้ยงค่ะ ก็ไขปริศนาที่สงสัยมาตั้งแต่เช้าได้แล้วล่ะค่ะว่าทำไมเดินๆไปนี่ ไอ้นู่นก็ปิด ไอ้นั่นก็ไม่เปิดบริการ อ๋อ เพราะงี้นี่เอง เราก็เลยพลอยอดได้น้ำดื่มไปด้วย ครึ่งลิตรขวดละ 3 euro ของทางโรงแรมก็ดื่มไม่ลงค่ะ ก็เลยนอนมันซะเลยกะว่าเก็บท้องไปกินบุฟเฟ่ต์โรงแรมมื้อเช้าแทน ข้างนอกหนาวแต่ในโรงแรมอุ่นมากก็เลยเปิดแอร์หน่อยแล้วซุกผ้าห่มหลับไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ก็เป็นอันหมดแล้วค่ะวันแรกของเราในฝรั่งเศส




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2551 14:35:24 น.
Counter : 1630 Pageviews.  

October 2008 @France: Flight to Bordeaux & Airport shuttle bus & Hotel review

จากตอนก่อนที่เล่าที่มาที่ไปของทริปนี้ การขอวีซ่าและเอกสารที่จำเป็น(สำหรับคนอยู่ญี่ปุ่นนะคะ) และ sponsor ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายหลักของเราแล้ว จะเริ่มเล่าถึงการเดินทางแล้วค่ะ ยาวหน่อยนะคะคนเพิ่งเคยไปฝรั่งเศสครั้งแรก

ปล. เราเรียนเอกอยู่ที่ญี่ปุ่นนะคะ ดังนั้นหลายๆหนก็อาจยกอะไรที่ญี่ปุ่นมาเป็นข้อเปรียบเทียบกันบ้าง


**** Air France FROM Narita Airport TO Charles de Gaulle airport TO Bordeaux Merignac airport

เอาล่ะค่ะ เข้าเรื่องกันสักทีวันเดินทางเลือกเดินทางไฟลท์กลางคืนค่ะ กะว่าจะได้นอนตื่นไปเลยทีเดียว เนื่องจากจัดกระเป๋าไม่ทันเลยไม่ได้ใช้บริการแมวดำส่งกระเป๋าไปสนามบินนาริตะเหมือนปกติ ต้องถูลู่ถูกังกระเป๋าไปเอง ล้อกระเป๋าก็จะพังอยู่รอมร่อลากลำบากมาก แถมของที่ห้อยติดตัวก็ใช่ย่อย นอกจากกระเป๋าสะพายข้างใบเขื่องที่ไหล่ก็ยังมีทั้งกระเป๋าโน้ตบุค ทั้งกระบอกโปสเตอร์ที่ยาวจนยัดลงกระเป๋าเดินทางไม่ได้ และโค้ทเผื่อหนาว(มาก)อีกตัวที่ยัดไม่ลงเช่นกัน(เราสมบัติบ้าเยอะค่ะ)เลยต้องถือเอา เดินๆไปกระเป๋าก็สะดุดบ้าง โน่นหล่นบ้าง นี่หล่นบ้าง อนาถซะไม่มี สุดท้ายก็เลยแวะร้านร้อยเยนใกล้ๆซื้อถุงพลาสติกสีฟ้า(ในรูปด้านล่างเบอร์ 2) เพื่อรวมสมบัติทั้งหลายเข้าด้วยกันค่ะ


ขั้นตอนที่สนามบินนาริตะนั้นไม่มีปัญหาอะไร ผ่านฉลุยค่ะ เสียก็แต่ว่าอุตส่าห์มาก่อนตั้งสองชั่วโมงครึ่งแต่ก็มีแต่ที่นั่งตรงกลางเหลือ คิดหนักเลยตอนนั้นว่าถ้าคนข้างๆหลับลึกขึ้นมาจะเลอะ(ปจด)ไหมเนี่ยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เดินตรงดิ่งไปหาดิวตี้ฟรีทันทีเพราะ concealer ใกล้จะหมดกะมาซื้อใหม่ของ shu uemura ที่นี่ ปรากฏว่าที่ terminal1 ไม่มียี่ห้อนี้อ่ะค่ะก็โชคดีว่าไอ้ที่เหลือๆอยู่พอใช้ไปได้จนจบทริป

ระหว่างที่ต่อแถวขึ้นเครื่องนี่รู้สึกได้เลยถึงคลื่นสายตาที่มองมาที่ถุงร้อยเยนของเรา พอลองมองไปรอบๆก็เห็นล่ะค่ะว่าแต่ละคนเค้ามีกระเป๋าสำหรับเอาของขึ้นเครื่องมาเป็นทางการกันทั้งนั้น ถึงจะไม่ได้สวยหรูดูดีแบรนด์เนมแต่ที่เป็นถุงกร๊อบแกร๊บ สีแปร๋น แถมมีกระบอกอะไรโผล่มาแบบของเรานี่ไม่มีเลยจริงๆ ด้วยความหน้าบางแต่ก็ยังขี้เกียจหอบหิ้วของแต่ละชิ้นเลยได้แต่คิดในใจไว้ว่า ไว้รอให้ลงเครื่องก่อนเถอะจะเก็บถุงนี่โดยด่วนเลย หนหน้าจะไม่เอาไอ้ถุงนี่มาเดินถือขึ้นเครื่องอีกแล้ว อายเค้าอ่ะค่ะ

ขึ้นเครื่องได้ก็ตั้งท่านอนก่อนเลยค่ะ ด้านซ้ายสองคนเป็นคู่รักวัยรุ่นคนญี่ปุ่น ด้านขวาเป็นคนญี่ปุ่นผู้ชายท่าทางเหมือนจะมาคนเดียว(มั้ง) อาหารมีเสริฟสองมื้อ มื้อแรกเป็นจานร้อน(แน่นอนว่าเราเลือกปลาค่ะ) อีกมื้อก่อนถึงเป็นคล้ายๆอาหารเช้า จานปลาและสลัดแซลมอน กับครัวซองนั้นโอเคสำหรับเราค่ะอร่อยดี แต่แฮมกับชีสทั้งหลายนั่นไม่ชอบเลยค่ะบอกตรงๆ ไม่ชอบทานอาหารเย็นเท่าไหร่ก็เลยกินได้ไม่หมดตามธรรมเนียม สจ๊วตที่บริการอยู่แถวเรานั้นเป็นคนฝรั่งเศสผู้ชายผมขาวจั๊วะเลยค่ะ แต่ friendly มากๆค่ะยิ้มแย้มตลอดเวลาไม่ว่าจะพูดอะไร ขอบอกว่ากินขาดแอร์โฮสเตสเลยค่ะงานนี้ เม้าส์สาวญี่ปุ่นข้างๆนิดนึง ก่อนเครื่องจะลงเค้าหยิบ mask มา mask หน้าด้วยค่ะ แอบมองด้วยหางตาอยู่ว่าโหถึงขนาดพกติดตัวมาเลยนะเนี่ย เชื่อแล้่วว่าสาวญี่ปุ่นห่วงสวยมากจริงๆ


เวลาประมาณตีสามครึ่ง (ตามเวลาท้องถิ่นที่ฝรั่งเศส ช้ากว่าญี่ปุ่น 8hr) ถึงสนามบิน CDG ค่ะ แ่่น่นอนว่าสิ่งแรกที่เราทำพอลงจากเครื่องคือเก็บเจ้าถุงร้อยเยนเข้ากระเป๋าให้พ้นๆไปซะ ช่วงก่อนจะผ่าน immigration เค้ามีขอดูจดหมาย Invitation letter ด้วยควรเตรียมติดตัวไว้ให้พร้อมนะคะ เราไม่เคยต่อเครื่องอะไรอย่างนี้หรอกค่ะ แต่อาศัยว่าตามๆคนอื่นเค้าไป เห็นเค้ามุงอะไรก็มุงตาม (ถ้าไม่มุงก็คงไม่เห็นล่ะค่ะว่าไฟลท์ต่อของเราเนี่ยต้องเดินไปทาง terminal ไหน gate อะไร) สนามบินนี้ก็ป้ายต่างๆชัดเจนทีเดียวค่อยๆเดินตามไปไม่มีหลงค่ะ


ยิ่งเดินไปอะไรๆก็ยิ่งมืดและร้างขึ้นเรื่อยๆ พอไปถึง terminal 2D ปลายทางของเรานี่มืดสนิทเลยค่ะ มีแต่คนหาซอกหามุมนั่งหลับกันเป็นแถวๆ ร้านรวงอะไรไม่ต้องพูดถึงไม่มีสักร้าน ก็กระทั่งทางเข้า terminal ยังปิดมืดเลยอ่ะค่ะ จากที่คิดว่าจะได้เดินเล่น duty free ก็เลยแห้วไปด้วยประการฉะนี้ T_T (ก็ขนาดจะเข้าห้องน้ำยังหาไม่ได้เลย ต้องเดินย้อนกลับไปเข้าอีกไกล) ก็ได้แต่หาเก้าอี้มุมเหมาะๆนั่งกอดคอมพิวเตอร์หลับรอเวลา

กว่าจะได้เวลาเปิด terminal ก็หลับไปหลายตื่น(แต่ไม่สนิทสักตื่น) เล่นเกมส์ไพ่ในคอมแพ้ไปไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว (ก็เกมส์ solitaire แหล่ะค่ะไม่ได้เล่นนาน เล่นแบบไพ่สามใบกี่ทีๆก็เจอทางตันต้อง deal ใหม่ตลอดเลย) ก็เดินมึนๆเข้า terminal จัดการกดตั๋วที่เครื่องเช็คอินเลย แต่ได้เข้า terminal แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดีค่ะ ดีอย่างเดียวว่าได้แปรงฟันเข้าห้องน้ำซะหน่อย แต่ก็ไปนั่งหลับรอหน้า gate ที่ไร้ผู้คนเช่นเคยไม่มีร้าน duty free อันไหนเปิดสักร้านเลย หิวก็ไม่มีอะไรให้กินอีกตะหาก


ความรู้ใหม่จากทริปนี้คือ เพิ่งรู้ว่าสนามบินก็มีการปิดด้วยนะเนี่ย ก่อนนี้คิดมาตลอดว่าสนามบินและร้านรวงต่างๆจะเปิดตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังมีเครื่องบินขึ้นลงอยู่ (เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นที่สนามบินนี้ที่เดียวคะ?)

ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่องค่ะ เป็นไฟลท์ในประเทศ(บินแค่ไม่ถึงสองชั่วโมง)ก็เลยเครื่องเล็กๆ ไม่มีทีวีให้ดู ที่นั่งค่อนข้างว่างมาก เลยวางของ หรือลุกไปถ่ายรูปวิวนอกหน้าต่างได้สบายเลยงานนี้ มีน้ำและขนมปังครัวซองต่างๆมาให้กิน ก็คลายหิวไปได้บ้าง (อยากบอกว่าสจ๊วตไฟลท์นี้ หนุ่มๆหน้าตาดี๊ดีค่ะ คมเข้มเชียว แถม friendlyอีกแล้ว)


อ่ะค่ะ ไม่พูดมาก ไม่ทันได้หลับก็ถึงแล้วค่ะ Bordeaux เมืองที่ดังมากๆเรื่องไวน์ (แต่เราไม่ดื่มแอลกอฮอล์อ่ะค่ะ มาเสียเที่ยวมากๆ) ดังแค่ไหนก็เห็นได้ตั้งแต่สายพานรอกระเป๋าล่ะค่ะมีขวดไวน์ขวดเบ้อเร่อตั้งเด่นเชียว ระหว่างรอกระเป๋าเราก็ยืนถ่ายรูปไปเรื่อยๆค่ะ (แต่คนอื่นไม่เห็นมีใครถ่ายเลยแฮะ) ได้กระเป๋าก็เดินออกเลย ยังงงๆอยู่ว่านี่เราได้ผ่าน immigration หรือเปล่าเนี่ยหรือว่าเค้าไม่มี immigration ที่เมืองนี้กันเนี่ย


ออกจากสนามบินตอนแปดโมงกว่าๆ(เช้า) หนาวพอตัวเลยค่ะหายใจทีนี่ออกมาเป็นควันๆเลย เสื้อคลุมที่หอบหิ้วมาก็ได้ใช้ทันทีเลย


**** Jet bus from Bordeaux Merignac airport TO Mercure accor hotel

จากการศึกษาจาก internet วิธีที่น่าจะถูกกว่าแท็กซี่จากสนามบินนี้คือการขึ้น Jet bus ค่ะ เพราะระบบรถไฟในเมืองนี้ยังค่อนข้างจำกัดอยู่ในแถบตัวเมืองไม่มีออกมาถึงสนามบิน ออกจากสนามบินแล้วก็จะเห็นที่นั่งรอรถบัสเลยค่ะ (ออกทาง exit7) เนื่องจากเราหาข้อมูลจากเน็ตมาแล้วว่ารถนี้จอดสถานีอะไรบ้าง และเราต้องลงสถานีไหนก็เลยไม่ทันดูป้ายให้ละเอียดเลยเป็นเรื่องให้เสียเงินเพิ่มทีหลังค่ะ(เรื่องอะไรนั้นอ่านต่อไปจะรู้ค่ะ)


ใครมีสัมภาระก็ยัดเข้าใต้ท้องรถไป(จริงๆ มีผู้ชายผิวหมึกใส่สูทที่รอรถด้วยกันช่วยยกกระเป๋าเรายัดเข้าท้องรถให้ค่ะ) แล้วเดินขึ้นจ่ายเงิน 7 euro ให้คนขับ แล้วก็เลือกที่นั่งว่างตามใจเลยค่ะ จุดที่เราจะลงคือ Office de tourisme ซึ่งก็เกือบจะสุดทางอยู่แล้ว ก็นั่งไปถ่ายรูปวิวด้านนอกไปตามประสาคนไม่เคยมาฝรั่งเศส คิดว่าเดี๋ยวพอถึงป้ายเค้าก็จอดเองล่ะ แล้วถึงเราจะอ่านฝรั่งเศสไม่ออกแต่ถ้าเห็นป้ายก็รู้น่ะว่าต้องลงป้ายไหน (ติดมาจากระบบรถบัสที่ญี่ปุ่นว่า รถจะวิ่งด้วยเส้นทางเดิมๆผ่านทุกป้ายน่ะค่ะ) นั่งชิวๆไปเรื่อยๆไม่ได้รู้ตัวเลยค่ะว่าพลาดไปแล้ว เริ่มสำนึกได้ตอนมีคนลง ก็งงๆอยู่ว่าเฮ้ยทำไมเค้ารู้แฮะว่าต้องลงตรงนั้น คนขับก็ไม่มีพูดอะไรว่าถึงไหนแล้ว มองไปด้านนอกก็ไม่เห็นมีป้ายบอกเลยว่าตรงนั้นคือป้ายไหน ชักลุกลี้ลุกลนค่ะว่าเลยป้ายเรามาหรือยังเนี่ยแล้วจะรู้ได้ไงว่าตรงที่เราจะลงน่ะมันตรงไหน

มองซ้ายมองขวาหาตัวช่วยสักพัก ก็ตัดสินใจถามคนผู้ชายที่นั่งใกล้ๆ โชคดีว่าเค้าพูดอังกฤษคล่องเชียว(แต่ไม่ใช่คนฝรั่งเศส) เค้าเลยช่วยไปถามคนขับให้(ถามภาษาฝรั่งเศสนะคะ) ผลปรากฏคือ Jet bus นี้ขาออกจากสนามบินถ้าเราจะลงตรงไหนต้องบอกคนขับ ไม่งั้นเค้าจะอุปมาว่าเราไปลงปลายทาง (Gare St-Jean/Railway station) เราไม่ได้ลงปลายทางแต่ไม่ได้บอกเค้า เค้าก็เลยขับมาทางที่ไม่ผ่านจุดที่เราอยากจะลงค่ะ ซวยเลยงานนี้ (ย้อนไปดูในป้ายรถบัสที่สนามบินก็เขียนอังกฤษไว้ว่า Stop on request แต่ไม่ทันสังเกต น่าเขกหัวตัวเองจริงๆ)

ทีแรกเค้าก็แนะนำมาว่าให้เรานั่งต่อไปเพราะขาจาก Gare St-Jean กลับไปสนามบินเค้าจะต้องจอดทุกป้าย เดี๋ยวเราค่อยลงตอนนั้นก็ได้ แต่ไปๆมาๆเค้าแนะนำใหม่ว่าให้เรานั่ง taxi จากจุดปลายทางย้อนไปเลยจะดีกว่า(แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เราไม่ได้ถามเองค่ะ ก็พูดฝรั่งเศสไม่ได้นี่นา) ก็เลยได้ลงกันหมดคันรถที่สถานีปลายทางนี้เอง ก็ได้ผู้ชายคนเดิม(เสื้อแดงในภาพน่ะค่ะ)พาไปจุดเรียกแท็กซี่แล้วก็ถามราคาพร้อมบอกปลายทางให้คนขับแท็กซี่ให้เสร็จเลย เค้าบอกว่าเค้าว่างๆอยู่เพราะกว่ารถไฟเค้าจะมาก็อีกนาน เราก็ได้แต่ขอบคุณๆไป (แล้วก็ขอถ่ายภาพมาเป็นที่ระลึกหนึ่งใบ) นั่งแท็กซี่ไปใช้เวลาไม่นานค่ะ(แต่ก็โดนไป 12 euro ตามมิเตอร์ ค่าความไม่รอบคอบของตัวเอง) ระหว่างก็ถ่ายรูปข้างทาง สำรวจไว้ว่าเดี๋ยวจะออกมาเดินเที่ยวตรงไหน ตลอดทางฟ้าใสเชียว ถนนก็รถไม่เยอะ เห็นตึกทรงยุโรปเก่าๆสวยๆข้างทางเรียงรายเต็มไปหมด (ขับเลียบแม่น้ำด้วยน่ะค่ะ) แป๊บเดียวก็ถึงโรงแรมแล้วอันนี้ล่ะค่ะใกล้งาน conference โรงแรม Mercure accor hotel



**** Mercure accor hotels (Bordeaux cite mondiale centre de congres)

รีวิวโรงแรมสักหน่อยนะคะ โรงแรมนี้โคกับทาง conference ดังนั้นก็เลยได้ค่าที่พักราคาพิเศษ เหลือคืนละ 102 euro + 1.10 euro (tax) ก็ตกคืนละ 103.10 euro ค่ะส่วนอาหารเช้านั้นเป็นบุฟเฟ่ต์จ่ายแยกมื้อละ 14.00 euro กินที่วันก็จ่ายเท่านั้น (ทีแรกไม่รู้ค่ะ นึกว่าเป็นเซ็ตชาร์จรวมมาแล้ว ไม่งั้นไม่กินหรอกค่ะไม่คุ้มเอามากๆ ไม่อร่อยอีกด้วย)

ไปถึงโรงแรมเพิ่งสิบโมงเช้าเองค่ะ เช็คอินที่เคาเตอร์พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้และเค้ามีลิสต์รายชื่อแขกที่จองห้องผ่านทาง conference เตรียมไว้อยู่แล้วเลยง่ายเลยค่ะ จริงๆเวลาเช็คอินคือบ่ายสองแต่ก็ได้การ์ดเข้าห้องมาทันที ก็จัดการลากกระเป๋าขึ้นห้องเอง ภายในห้องนี่ขอบอกว่าผิดคาดมากๆค่ะ ฟังใครๆมาเยอะว่าโรงแรมที่ฝรั่งเศสนี่แคบและแพงมากๆ ขนาดคืนละร้อยยูโรยังได้แค่โรงแรมสามดาวแค่พออยู่ได้เท่านั้นแหล่ะ แบบมีไว้เพื่อซุกหัวนอนอย่างเดียวจริงๆอย่าไปคาดหวังอย่างอื่น

แต่ห้องที่เราได้นี่เราว่าใหญ่เลยล่ะค่ะ เปิดประตูมามีห้องส่วนแรกแคบๆเป็นห้องส้วมแยก กับตู้เสื้อผ้า และที่วางรองเท้าหน้าทางเข้า เปิดประตูไปอีกส่วนถึงเป็นส่วนห้องนอนตามภาพเลยค่ะ ถึงไม่ใหญ่เท่าโรงแรมที่ conference ที่ไต้หวันหนก่อน(แต่อันนั้นนี่ใหญ่เว่อร์ค่ะ อยู่คนเดียวแท้ๆ)แต่เราว่าก็ใหญ่มากแล้วค่ะสำหรับอยู่คนเดียว (ดูๆไปใหญ่กว่าห้องเราที่ญี่ปุ่นอีก)


เตียงนี่นอนคนเดียวดิ้นยังไงก็ไม่ตกเตียงค่ะ ข้างเตียงก็มีที่เหลือเดินตามสบาย (พอตั้งขาตั้งกล้องถ่ายรูปอีกต่างหาก :P ) ทีวีจอLCDยังดีมีช่องCNNภาษาอังกฤษที่ฟังรู้เรื่องอยู่ช่องนึง โต๊ะก็กว้างดีค่ะ และที่สำคัญโรงแรมนี้มีแอร์ติดค่ะ แต่ก่อนเคยคิดว่าแอร์เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของโรงแรมทั่วโลก(ตอนไปอเมริกาก็เห็นมีทุกแห่ง) มาเจอที่ฝรั่งเศสเลยรู้ว่าไม่ใช่ค่ะ โรงแรมส่วนใหญ่ที่นี่ไม่มีแอร์หรือฮีตเตอร์ติดมาเลย ถามคนฝรั่งเศสมาหลายคนเค้าบอกว่าปกติอากาศมันไม่เปลี่ยนต่างกันมาก(นานๆทีก็ทนๆร้อนทนๆหนาวเอา)แอร์เลยเป็นการลงทุนที่ไม่จำเป็นค่ะ ส่วน internet นั้นมีสัญญาณ wireless ทั่วโรงแรมแต่ต้องจ่ายเงินค่ะถึงจะใช้ได้ ไม่มีจุดไหนที่จะให้เราต่อเน็ตฟรีเลยค่ะ (แน่นอนว่าเราไม่ยอมจ่ายค่ะ ไปต่อเน็ตฟรีในงาน conference ดีกว่า)

เวลาเหลือเฟือก็เลยเดินเปิดโน่นนี่ไปเรื่อย แล้วก็ไปเจอตู้ล็อคกุญแจในภาพด้านบนที่วงแดงๆไว้ขวาสุดค่ะ เห็นมีกุญแจก็นึกว่าตู้เซฟ ยังนึกอยู่ว่า โหตู้ใหญ่นะเนี่ยแถมอยู่ที่แปลกๆ(ปกติมันน่าจะอยู่ในตู้เสื้อผ้านี่คะ) แต่หมุนออกมากลับกลายเป็นตู้เย็นไปซะได้ ยังข้องใจไม่หายเลยค่ะ เค้ากะให้เราใช้ตู้เย็นเป็นตู้เซฟ หรือว่าอะไรเหรอคะ ถึงต้องมีกุญแจล็อคตู้เย็นด้วย (แต่ที่แน่ๆ ทุกอย่างในตู้คิดเงินหมด น้ำแร่ครึ่งลิตร 3 euro ค่ะไม่มีฟรีเป็น compliment มาให้สักขวด)

มาที่ห้องน้ำบ้างก็กว้างขวางใช้ได้ค่ะ กระจกบานเบ้อเร่อมีที่ว่างด้านข้างให้เรากระจายเครื่องสำอางแต่งหน้าได้ตามสบายเลย และที่สำคัญมีไดร์เป่าผมให้พร้อมค่ะถึงจะรูปร่างเหมือนเครื่องดูดฝุ่นไปหน่อยก็ตาม (ไดร์เป่าผมนี่ของที่เราขาดไม่ได้เลยค่ะ ไม่มีแล้วจะขาดใจตายเอา ) แต่ไดร์อันนี้เจอคนเป่าผมนานๆแบบเรานี่ร้อนจี๋จนจับไม่ได้ ต้องเอาผ้าเช็ดตัวมาห่อเลยค่ะ


โดยสรุปแล้วเป็นโรงแรมที่ีดีและสวยเลยทีเดียวนะคะ ห้องกว้างขวาง(โดยเฉพาะถ้าเทียบกับโรงแรมถัดไปที่เราไปพักในปารีส) สะอาด บริการดีทุกอย่าง พนักงานที่ reception ก็ช่วยเหลืออย่างดีค่ะไม่ว่าเราจะถามอะไรก็ช่วยแนะนำให้หมด (ถามเค้าหมดตั้งแต่ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต ยันวิธีการเปิดแอร์ในห้องค่ะ มีรูปประกอบด้านล่าง เราเห็นแล้วงงค่ะ หน้าตาน่าจะเป็นที่เปิดแอร์แต่ไม่รู้ว่าควรหมุนยังไงเป็นแอร์ ยังไงเป็นฮีตเตอร์ค่ะ เพื่อความชัวร์ก็ถามเค้าเลย) โลเกชั่นก็ดีค่ะ เดินนิดเดียวก็เป็นย่าน downtown และย่านท่องเที่ยวเลยถือว่าอยู่ในแถบเจริญของเมืองเลยล่ะค่ะ ข้อเสียคือ หนึ่งอาหารเช้าแพงแต่ไม่อร่อยเลย และไม่มี internet ฟรีให้ใช้ (โรงแรมที่เคยพักที่อเมริกา อย่างน้อยถ้ามานั่งเล่นที่ล็อบบี้ก็ต่อเน็ตได้ฟรีน่ะค่ะ)





บล็อคนี้ชักยาวแล้วขอหยุดเท่านี้นะคะ ตอนหน้าจะไปเที่ยวภายในเมือง Bordeaux แล้วค่ะ (แต่ก็ไปไม่กี่ที่เองนะคะ) ต้องรีบปั่นบล็อคนี้ช่วงยังไม่หายหวัด(ตอนที่ใครๆก็พากันไล่ให้กลับบ้านไปนอนพักผ่อน)เพราะหายแล้วต้องกลับไปปั่นวิจัยเหมือนเดิมอู้ไม่ได้แล้วค่ะ




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2551 14:09:58 น.
Counter : 1063 Pageviews.  

October 2008 @France: Introduction & Preparation

มาแล้วค่ะสำหรับอันแรกที่อยากจะมาเล่า(บ่น) ลำดับของบล็อคอาจจะออกแนวย้อนอดีตไปสักนิดนะคะ ประมาณว่าไปทีหลังแต่เอามาเขียนก่อน เพราะว่ามันยังจำได้แม่นอยู่น่ะค่ะ ส่วนอันที่ผ่านไปแล้วไว้ค่อยไล่ย้อนเขียนทีหลังละกัน

เมื่อวานเพิ่งเขียนไปหยกๆว่าไม่มีเวลามาเขียนแต่มาวันนี้อัพบล็อคซะแล้ว เหตุผลน่ะหรือคะ เพราะเราเป็นหวัดงอมแงมเลยค่ะตอนนี้ แต่วันนี้มีคลาส(เช็คชื่อ)เลยต้องไปมหาลัย แต่ทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อนๆในแล็บเห็นเราไอจะเป็นจะตาย ไอทีแทบจะสำรอกเอาเครื่องในออกมาข้างนอกอยู่แล้ว ก็เลยพากันไล่ให้เรากลับบ้านมานอนพักผ่อนซะ แต่เราเพิ่งจะตื่นตอนบ่ายโมงเองง่ะนี่เพิ่งสี่ทุ่มจะให้หลับได้ไง ก็เลยถือโอกาสมาอู้มาเขียนเรื่องดีกว่า

เกริ่นก่อนว่าตอนนี้จะเน้นเขียนความเป็นมาว่าทำไมเราถึงได้ไป และใครเป็นคนออกค่าใช้จ่าย รวมถึงเรื่องการขอวีซ่าต่างๆค่ะ(แต่ขอที่ญี่ปุ่นนะคะ) รายละเอียดจะเจาะลึกถึงระบบการให้ทุนของทางญี่ปุ่นสักนิดหนึ่งข้ามไปเลยก็ได้นะคะเพราะบล็อคอันนี้ยังไม่ได้เข้าเรื่องเดินทางเลยค่ะ เขียนไว้เผื่อจะมีประโยชน์กับพี่ๆน้องๆที่อยู่ที่ญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะ


*** อยู่ๆทำไมถึงจะไป แล้วใครเป็นคนจ่ายล่ะเนี่ย ***

การเดินทางคราวนี้เพิ่งเสร็จมาหมาดๆเลยล่ะค่ะ เราส่งเปเปอร์ไปและได้ไปพรีเซนต์โปสเตอร์ที่เมือง Bordeaux, France ค่ะ (จริงๆส่งไป full paper แต่โดน reject พร้อมคำด่าซะสาดเสียเทเสียเรื่องภาษาอังกฤษที่เขียนได้ไม่เหมือน native english และลดระดับมาเป็นแค่โปสเตอร์ค่ะ) แน่นอนว่าเมื่อไปพรีเซนต์งานให้แล็บอย่างนี้ทางมหาวิทยาลัยก็ต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ใช่ไหมคะ(หมายถึง ที่ญี่ปุ่นนี่นะคะ)

สำหรับมหาลัยที่เราอยู่นั้นจะคืนค่าตั๋วเครื่องบิน ค่ารถไฟTGV(หรือพวกค่าเดินทางระหว่างเมือง) ค่าขอวีซ่า และค่าลงทะเบียนของ conference ให้เต็มจำนวนเลยแค่มีใบเสร็จมา ซึ่งเราต้องมีเงินออกไปก่อนนะคะสักพักถึงจะได้คืน แต่ถ้าเกิดไม่มีเงินออกไปก่อนจริงๆก็ไม่เป็นไรค่ะแจ้งอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์จะช่วยได้ค่ะ(ก็ใช้บัตรเครดิตอาจารย์ไปก่อนประมาณนั้น) ซึ่งค่าพวกนี้คืนเต็มจำนวนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

แต่พวกค่าโรงแรมหรือค่ากินและค่าเดินทางเล็กๆน้อยๆในระหว่างทริป ทางมหาลัยจะคืนเป็นเงินเหมาต่อคืนค่ะ(เงินจำนวนนี้ไม่น้อยนะคะ ถ้าไปเมืองค่าครองชีพไม่แพงก็เหลือบานเลยค่ะ) ดังนั้นใครอยู่โรงแรมไม่แพง กินถูก ใช้ประหยัด เงินที่เหลือส่วนนี้ก็เข้ากระเป๋าตัวเองไปเลย แต่ใครเรื่องมากเรื่องที่อยู่(เช่นเราเป็นต้น)ก็บวกลบคูณหารแล้ว อาจเข้าเนื้อไปบ้าง แต่ก็ถือว่าซื้อความสบายนะคะไม่คิดมาก ได้ไปถึงต่างประเทศขนาดนี้จ่ายเองแค่นี้เรื่องขี้ปะติ๋วเอง ถ้าให้มาเองจ่ายเองหมดเนี่ยหน้ามืดแน่ๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราเป็นนักศึกษาปริญญาเอกแล้วค่ะ จะมีอีกระบบหนึ่งในการคืนเงินให้เป็นองค์กรเรียกกันว่า Global COE (GCOE) เราไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกมากมายนักนะคะ รู้แต่ว่า GCOE เนี่ยเป็นองค์กรของทางรัฐบาลญี่ปุ่นที่ทุ่มทุน(ใช้คำว่าทุ่มทุนเพราะเงินหนามากค่ะองค์กรนี้)สนับสนุนนักศึกษาปริญญาเอก(สายวิทย์)เต็มที่เพื่อให้มีผลงานวิจัยออกไปในระดับนานาชาติและสร้าง internation relationship/connection อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ องค์กรนี้จะให้เงินก้อนใหญ่ไปกับแต่ละมหาลัยในญี่ปุ่นให้ไปจัดสรรกันเองว่าจะตั้งเงื่อนไขการให้ทุนกับเด็กปริญญาเอกยังไงซึ่งก็ต่างกันไปในแต่ละมหาลัยค่ะ

ที่มหาลัยของเราใช้เงินก้อนนี้เป็นเงินทุนให้กับเด็กปริญญาเอกทุกคนไม่ว่าจะเด็กญี่ปุ่นหรือต่างชาติ(เฉพาะคนที่ยังไม่ได้รับทุนจากที่อื่นนะคะ ไม่มีการรับทุนสองทางค่ะ)เดือนละ 150,000 ถึง 200,000 yen ขึ้นกับว่าใครทำผลงานได้ดีก็ได้เงินเยอะกว่า(พูดง่ายๆอีกอย่างว่า สายวิทย์ปริญญาเอกมีทุนเรียนแน่นอนหายห่วงค่ะ) โดยมีเงื่อนไขว่าถึงครบกำหนดต้องมีพรีเซนต์โปสเตอร์และความก้าวหน้าในงานวิจัย และนักเรียนที่รับทุนนี้ให้ทำงานเป็น Research assistant (RA) ให้แล็บไปด้วย แต่ก็ขึ้นกับแล็บอีกล่ะค่ะบางแล็บอย่างแล็บของเราอาจารย์ก็ไม่ได้ให้ทำอะไรเป็นพิเศษก็เหมือนนักเรียนทำวิจัยปกติทั่วไป

ฟังมาจากเพื่อนมหาลัยอื่น เค้าบอกว่าไม่ใช่ทุกคนนะคะที่จะไ้ด้รับทุน GCOE ได้ เพื่อนๆเค้าหลายคนกว่าจะขอทุน GCOE ผ่านก็ใช้เวลาเหมือนกัน ก็เอาเป็นว่าถ้าผลงานเข้าตา(โดยเฉพาะจำนวน publication) ได้อย่างน้อยเท่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็นก็คงได้ทุน GCOE ไม่ยากค่ะ ตรงจุดนี้ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาเค้าก็ช่วยแนะนำได้ค่ะ เพราะอาจารย์เค้าก็พอจะรู้ว่าผลงานระดับไหนที่เรียกว่าดีพอที่น่าจะได้ทุนค่ะ

แต่ยังไงก็ตามนะคะ ถ้านักเรียนปริญญาเอกคนไหนที่ได้ทุน GCOE แต่ดันทำผลงานในแต่ละปีได้ไม่ดี เช่น ปีๆนั้นไม่มี publication เลย เวลาเค้าพิจารณาต่อทุนในปีต่อไป ก็มีสิทธิแห้ว โดนตัดทุนไม่ได้ต่อได้เช่นกันค่ะ
และได้ยินมาด้วยว่าทุน GCOE นักเรียนก็ยังต้องจ่ายค่าเทอมเองอยู่
ดังนั้นแม้เทียบด้วยจำนวนเงินรายเดือน อาจจะดูเผินๆเหมือนว่า GCOE มีแววไ้ด้เงินรายเดือนมากกว่าทุนมอนบุโช
แต่ถ้าบวกลบคูณหารแล้ว ในแง่ความมั่นคง และ ชื่อแล้ว ส่วนตัวคิดว่ายังไงทุนมอนบุโชก็ดีกว่าค่ะ (สำหรับคนต่างชาตินะคะ)
ถ้าได้ทุนมอนบุโช ก็แค่เขียนรายงานสั้นๆส่งทุกๆเทอม ค่าเทอมไม่เสีย ได้เงินรายเดือนสม่ำเสมอกว่าไม่ต้องกลัวว่าจะโดนตัดกลางคันค่ะ
(แต่สำหรับคนญี่ปุ่นที่ไม่มีทุนมอนบุโชให้ หรือคนต่างชาติที่รับทุนมอนบุโชมาตั้งแต่ตรียันโท เต็มพิกัดของทุนมอนแล้ว ยังไงทุน GCOE ก็ช่วยพวกเค้าได้มากค่ะ)

คนที่ได้รับทุนทุกเดือนจากทางอื่นแล้วอย่างเรา(เราได้ทุนมอนบุโชค่ะ) ก็ยังสมัครโปรแกรม GCOE นี้ได้ค่ะ แต่ต่างกันนิดหน่อยว่าไม่ได้รับเงินรายเดือน แต่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายการเดินทางไปพรีเซนต์ที่ต่างประเทศได้ โดยจำกัดว่าปีนึงให้แค่หนึ่งหนนะคะ ถ้าไปมากกว่านั้นทางแล็บก็ต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้เราแทนค่ะ ซึ่งตรงนี้สำหรับเราเฉยๆค่ะยังไงก็ได้เงินคืนอยู่แล้วแต่อาจารย์ก็ให้เด็กปริญญาเอกทุกคนสมัครล่ะค่ะเพื่อเป็นการประหยัดงบของแล็บไปได้ สำหรับคนที่ได้รับเงินเดือนทุกเดือนจาก GCOE ก็มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปพรีเซนต์งานเท่ากันค่ะ(ปีละหน)

และแน่นอนของฟรีไม่มีได้กันง่ายๆค่ะ นอกจากรายงานต่างๆที่ต้องเขียนส่ง เงื่อนไขสำคัญที่เค้าจะจ่ายเงินให้กับการเดินทางของเราคือ นอกจากเราจะต้องไปพรีเซนต์ในงาน conference แล้วเราจะต้องทำการติดต่อแล็บหรือหน่วยงานวิจัยที่ไหนสักแห่งในประเทศนั้นๆ(หรือในแถบๆประเทศใกล้เคียงกัน) เพื่อขอไปทำ research exchange ค่ะ และย้ำด้วยว่าการ exchange นี้ให้ดำเนินการเอง ไปคนเดียวไม่ให้อาจารย์ไปด้วยนะคะ กะฝึกเด็กให้บินเดี่ยวเต็มที่ (ยกเว้นกรณีผู้หญิงแล้วไปที่ๆดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ อย่างนี้อาจขอพิเศษให้อาจารย์มาด้วยกันเพื่อความปลอดภัยค่ะ)

อารมณ์ประมาณว่าเราต้องไปขอจัด seminar ที่แล็บอื่นๆ(โดยมีเราเป็นผู้พรีเซนต์) เพื่อจะพรีเซนต์งานเราเป็นการฝึกให้นักเรียนปริญญาเอกหัดหา connection นั่นเองล่ะค่ะ ถ้าไม่สามารถหาที่ไหนตอบรับมาได้ก็เป็นอันว่าอดค่ะ GCOE (ของมหาลัยเรา)จะไม่จ่ายให้ ทางแล็บต้องควักงบแล็บจ่ายให้เองค่ะ แต่ที่มหาลัยของเพื่อนได้ยินว่านโยบายต่างกันนะคะ ไม่ต้อง exchange แต่บังคับเข้า meeting ทุกสัปดาห์แทนห้ามขาดถ้าไม่มีเหตุผลคอขาดบาดตายค่ะ

สรุปว่างานนี้เราได้ GCOE เป็นเจ้ามือค่ะ(หลังจากร่อนอีเมลไปเป็นโหล) ดังนั้นนอกจาก Bordeaux แล้วเราเลยได้มีโอกาสแวะเข้า Paris ด้วย ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามีเวลาเที่ยวในปารีสบ้างแม้จะน้อยนิดก็ตามที

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณที่จะได้คืนเต็มๆเลยก็มี
- ค่าตั๋วเครื่องบินประมาณ 19x,xxx yen แน่นอนว่าต้องเลือกแบบถูกสุดนะคะ จะมานั่ง business หรือ 1st class นี่ไม่ได้ค่ะต้อง economy เท่านั้น แต่ถ้าไฟลท์ถูกสุดๆเวลาบินไม่เหมาะสม(เช่น landing ไปสี่ห้าทุ่ม ก็อันตรายสำหรับผู้หญิงเดินทางเข้าเมืองคนเดียว) กรณีพวกนี้ก็เอาที่แพงขึ้นหน่อยได้ค่ะ
- ค่าขอวีซ่าเชงเก้นประมาณ 9,7xx yen (60 euro)
- ค่าลงทะเบียนconference (อันนี้อาจารย์รูดบัตรให้เลยจำไม่ได้ค่ะ)

ส่วนค่าเหมารายวันยังไม่ได้คืนเลยยังไม่รู้ค่ะ แต่ก่อนนี้ทางมหาลัย(แต่ไม่ใช่ GCOE)เคยคืนมาให้เหมาคืนนึงประมาณ 27,000yen ได้ค่ะ คิดว่าน่าจะไม่หนีกันมาก


*** การขอวีซ่าเชงเก้น ผ่านทางสถานทูตฝรั่งเศสที่โตเกียว ***

เอาล่ะค่ะ ขอข้ามขั้นตอนการร่อนอีเมลเพื่อตามตื๊อขอไปพรีเซนต์ตามแล็บต่างๆทั่วฝรั่งเศส(และทั่วปารีส)ไปนะคะเพื่อไม่ให้ออกนอกอ่าวมากกว่านี้ เมื่อจองตั๋วไปแล้วก็ถึงคราวขอวีซ่าเชงเก้นกันล่ะค่ะ เชื่อไหมคะถ้าลองไปถามใครๆที่อยู่ญี่ปุ่นคำตอบที่ได้มาแทบจะเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ขอวีซ่าฝรั่งเศสที่ญี่ปุ่นนี่ของ่ายกว่าที่ไทยเยอะ (อารมณ์เดียวกับขอวีซ่าอเมริกาที่ญี่ปุ่นได้ง่ายกว่าขอจากไทยเยอะนั่นล่ะค่ะ)

และด้วยความที่เราเคยขอวีซ่าอเมริกามาแล้ว แถมงานนี้ก็ไปในนามมหาลัยไม่ได้ไปเที่ยวเอง ก็เลยประมาทไปค่ะ ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรเลยเพิ่งจะมาขอสามอาทิตย์ก่อนเดินทาง(ก่อนหน้านั้นกลับไทยไปค่ะ) เจอเลยค่ะปัญหาตัวเบ้ง แรกๆก็นึกอยู่ว่าเราโชคร้ายเองหรือเปล่าที่ได้คนรับเรื่องเป็นคนญี่ปุ่นเลยเข้มงวดตามตัวอักษรเป๊ะๆ เพราะคนอื่นๆที่เคยขอก่อนนั้น(หลายเดือน)ใครๆก็บอกว่าเค้าไม่เข้มขนาดนั้น แต่ฟังไปฟังเหมือนเหมือนว่าทางสถานทูตเค้าเพิ่งเปลี่ยนระบบน่ะค่ะ ไม่เฉพาะที่ญี่ปุ่นแต่ที่ไทยก็ด้วย เปลี่ยนมาเป็นเข้มงวดมากๆเลย ทุกอย่างต้องเป๊ะเถียงยังไงก็ไม่ช่วยค่ะ

เอกสารโดยทั่วไปอ่านได้จากในเว็บนะคะเข้า google.co.jp หาคำว่า France embassy tokyo แค่นี้ล่ะค่ะแล้วจิ้มอันแรกที่ขึ้นมาเลย ณ ตรงนี้จะขอพูดถึงแต่เอกสารที่เป็นปัญหา เอกสารที่เราคิดว่าอย่างนี้น่าจะใช้ได้แล้วล่ะ แต่เอาจริงๆมันจะใช้ไม่ได้เอาค่ะ


1. ประกันระหว่างการเดินทาง (ตัวจริง)(อันนี้จ่ายเองนะคะ รู้สึกจะเบิกมหาลัยไม่ได้ค่ะ)

เราอ่านแล้วทีแรกก็นึกว่าไม่จำเป็นค่ะ นึกว่าถ้าเราไม่อยากซื้อ มั่นใจว่าเราจะไม่เป็นอะไร ไม่อยากมีประกันความปลอดภัยของตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่ปรากฏว่ามันจำเป็นต้องมีนะคะ (ในกรณีที่เข้าแต่ฝรั่งเศส)เราต้องไปซื้อประกันจากพวกบริษัทท่องเที่ยวต่างๆให้ครอบคลุมตั้งแต่วันแรกที่เราขึ้นเครื่องบินยันวันสุดท้ายที่เราขึ้นเครื่องกลับเลยค่ะ

ถ้าอยู่ญี่ปุ่นง่ายๆก็ซื้อจาก HIS ค่ะอย่างเราก็เดินไปจิ้มอันถูกสุดนั่นแหล่ะค่ะ แปดวันก็ 4800 กว่าเยน (ซึ่งก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างที่คิดค่ะ) ตรงนี้นิดนึงนะคะ ทีแรกเรากะไปซื้อกับ JTB แต่ปรากฏว่าเค้ามีคอร์สประกันแต่ของคนต่างที่ชาติที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่นแล้วน่ะค่ะ เราเป็นนักศึกษาต่างชาติเลยซื้อประกันจากบริษัทนี้ไม่ได้ค่ะ

อีกนิดนึงว่าเอกสารนี้เค้าก็ต้องการเป็นตัวจริงเช่นกันนะคะ ถ้าซื้อจาก HISก็ได้เป็นตัวจริงไปยื่นไม่มีปัญหาค่ะ แต่ถ้าใครซื้อจากเน็ตไป แล้วใช้วิธี captureหน้าจอหรือพิมพ์บิลยืนยันไปเนี่ยไม่แน่ใจว่าจะได้ไหมนะคะ ถ้าไม่ได้ถูกกว่ากันมากแนะนำให้ซื้อแบบมีตัวจริงถือในมือเลยค่ะ ตอนนี้เค้าเข้มมากค่ะว่าต้องการเอกสารตัวจริง(ห้ามจากอินเตอร์เน็ต)เท่านั้น


2. Invitation letter ตัวจริงจากฝรั่งเศส

อันนี้อย่าทำเป็นเล่นไปนะคะ ที่เค้าเขียนในเน็ตว่า "ไม่รับเอกสารทุกอย่างที่มาจากอินเตอร์เน็ต" นี่เค้าเอาจริงแล้วค่ะตอนนี้(ก่อนหน้านี้เค้าหยวนๆค่ะใช้วิจารณญาณประกอบกันไป) อย่างเราพิมพ์เว็บไซต์ของ conference ที่มีชื่อนามสกุลเราเขียนอยู่ในโปรแกรมพรีเซนต์(ซึ่งถ้าอยากจะเช็คก็เปิดเน็ตเช็คได้เลยค่ะว่าเราไม่ได้เมคขึ้นมาเอง) พิมพ์อีเมลที่ทาง conference แจ้งผลการตัดสินเปเปอร์ของเรา เอาไปยื่นให้ทางสถานทูตเค้าตีคืนมาหมดเลยค่ะ แถมโดนดุอีกต่างหากว่าเค้าเขียนไว้ชัดแล้วในเว็บว่า "ไม่รับเอกสารทุกอย่างที่พิมพ์มาจากอินเตอร์เน็ต" -"-

พูดยังไงเค้าก็บอกแค่ว่าให้เราติดต่อไปทาง conference ให้เค้าออกจดหมายรับรองตัวจริงมาให้เราค่ะ ดังนั้นเลยต้องอีเมลด่วนไปขอจดหมายจาก conference แต่อันนี้ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ค่ะ ทาง conference เค้ารู้งานมีแบบฟอร์มของเค้าอยู่แล้วบอกไปปุ๊บเค้าก็ส่งไปรษณีย์มาให้เราเลยไม่มีปัญหา (แต่ถ้า conference ไหนตอบกลับช้าหน่อย ก็ลำบากว่าจะส่งมาไม่ทันเอาค่ะ)

ในกรณีที่ไม่ได้ไปร่วมงาน conference ก็คงต้องเป็นจดหมาย invitation letter จากงานหรือคนที่จะเป็นจุดประสงค์หลักของเราในการเดินทางล่ะค่ะ


3. Hotel reservation confirmation (ตัวจริง)

อันนี้ล่ะค่ะ ปัญหาตัวเบ้งเลย เดี๋ยวนี้ใครๆเค้าก็จองโรงแรมกันทางอินเตอร์เน็ตทั้งนั้นใช่ไหมคะ มีรีวิวให้ดู มีรูปให้ดู ราคาก็ถูกกว่าจองผ่านเอเจนซี่ตั้งเยอะ เราเองก็หนึ่งในนั้นค่ะจองโรงแรมผ่านทาง expedia.com (ตัดเงินบัตรเครดิตไปเรียบร้อยแล้วด้วย) อีกโรงแรมจองผ่านทางอีเมลเป็นโรงแรมที่ทาง conference แนะนำมา (ก็จะได้ราคาพิเศษ conference's rate น่ะค่ะถูกกว่าปกติ)

สิ่งเดียวที่มีไปยื่นสถานทูตคืออีเมลยืนยันจากทาง expedia.com และอีเมลตอบโต้ยืนยันการจอง(confirm by credit card number) ซึ่งกรณีนี้นี่มันคือไม่มีเอกสารอย่างอื่นแล้วจริงๆน่ะค่ะ พยายามอธิบายทางสถานทูตว่าเราจองทางเน็ตน่ะไม่รู้จะให้เค้าออกเอกสารให้ยังไงดี แต่พูดจน(ตัวเอง)อารมณ์เสียยังไงเค้าก็ยืนยันไม่รับเอกสารที่พิมพ์จากทางอินเตอร์เน็ตท่าเดียวค่ะ เค้าบอกให้เราไปขอให้ทางโรงแรมออกเอกสารยืนยันการเข้าพักของเรามา และต้องมาเป็นตัวจริงเท่านั้นค่ะ

นี่ล่ะค่ะกุมขมับไปเลย โรงแรมที่จองทาง expedia.com หาอีเมลยังไงก็ไม่เจอ เจอแต่เบอร์โทรศัพท์ ถ้าจะขอก็ต้องโทรทางไกลไปขอกันล่ะ แต่จะคุยกันรู้เรื่องมั๊ยเนี่ยงานนี้ ยังดีว่าโรงแรมอีกที่อีเมลไปต่อรองหลายรอบจนเค้ายอมส่งไปรษณีย์มาให้ เขียนเน้นๆขอไปเลยค่ะว่าขอให้ใช้ซองโรงแรม กระดาษมีตราโรงแรม มีลายเซ็นต์กำกับ ระบุวันเช็คอินและเช็คเอ้า และระบุชื่อเราตามพาสปอร์ตอย่าให้ผิด (ถ้าผิดมาเราจะขอวีซ่าไม่ทันเอาค่ะงานนี้) ก็สรุปว่าได้มาแต่ของโรงแรมแรกที่เข้าพัก อีกโรงแรมหมดปัญญาจริงๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ค่ะ

สรุปสำหรับจดหมายยืนยันการจองโรงแรมนะคะ ถ้าเอาสะดวกสุดให้จองโรงแรมผ่านเอเจนซี่เลยค่ะ (ทีแรกเค้าถามเลยว่าไม่มีเอกสารจองของ HIS, JTB พวกนี้เหรอ) ราคาแพงกว่าหน่อยแต่ชัวร์ค่ะงานนี้ อาจไม่ต้องมีของทุกโรงแรมที่จะไปพักแต่อย่างน้อยที่สุดควรมีของโรงแรมแห่งแรกค่ะ

หรือถ้าใครหลวมตัวจองทางเน็ตไปแล้ว และไม่สามารถติดต่อทางโรงแรมเพื่อขอจดหมายได้จริงๆ ก็คงมีทางออกอยู่สามทางค่ะ

1. ยอมยกเลิก เสียเงินค่ายกเลิก จองโรงแรมใหม่ผ่านทางเอเจนซี่ไปเลย
2. ยอมจ่ายเงิน ติดต่อให้ทางเอเจนซี่สักแห่งช่วยเดินเรื่องแทนให้ เค้าก็จะช่วยจัดการเรื่องโรงแรมให้เราได้ โดยเราไม่ต้องยกเลิกโรงแรมที่เราจองในเน็ตไปด้วย (อันนี้พี่ enjoymiracle บอกมาค่ะ)
3. ต้องเล่นวิชามารกันเล็กน้อยค่ะ แต่เราก็ไม่เคยทำเองนะคะแค่มีคนแนะนำมา แต่ไม่ขอพูดถึงละกัน (ไม่ใช่เรื่องผิดกฏหมายหรือผิดศีลธรรมใดๆนะคะ ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงไหมด้วย)



เท่านี้ล่ะค่ะเอกสารที่เป็นปัญหาเรื่องต้องการแต่ตัวจริงเท่านั้น ส่วนตั๋วเครื่องบินนั้นเราใช้ e-ticket ที่ทาง JTB ออกให้เค้าก็ไม่ว่าอะไรนะคะ อยากแนะนำว่าอย่าประมาทเหมือนเรานะคะมาขอตอนจวนๆตัว เพราะบางทีกว่าจะหาเอกสารพวกนี้ได้อาจไม่ทันได้ไปแล้วก็ได้ค่ะ เอกสารสามอย่างนี้เค้าระบุให้พกติดตัวไว้ตอนผ่าน immigration นะคะ โดยเฉพาะเวลาโดนสุ่มเรียกตรวจเนี่ยจดหมายรับรองในข้อ 2 ช่วยเราได้มากเลยล่ะค่ะ

เราโดนมาแล้วค่ะ โดนสุ่มเรียกตรวจ เพราะเดินมาเอเชียอยู่คนเดียวเด่นซะ ทีแรกโดนถามๆและจะให้เปิดกระเป๋าด้วย แน่นอนว่ายิ้มรับค่ะ ปากบอกว่าโอเคอยากดูอะไรเชิญเลย แต่ในใจนี่กลุ้มค่ะ เพราะกว่าจะปิดกระเป๋าลงล็อคได้เราต้องโดดทับมันอยู่หลายรอบเลย ไม่อยากจะต้องมาทำอีกกลางสนามบิน ไม่ได้กลัวว่ามีของน่าสงสัยอะไรหรอกค่ะ ค้นไปก็เจอแต่เสื้อผ้าเครื่องสำอาง

แต่ปาฏิหารย์มีจริงค่ะ พอยื่นจดหมายรับรองจากทาง conferenceและทางมหาลัยในปารีสให้ปุ๊บเลิกถามปล่อยมาทันทีเลยค่ะ เกจความน่าเชื่อถือพุ่งปรี๊ดในบัดดล ^^


-----------------------------------------------------------------------------


เอ้อ ไปๆมาๆแค่ intro ล่อไปซะยาวเหยียดหมดเวลาวันนี้แล้ว ตัวหนังสือเป็นพรืดเลย เอาน่ะคิดซะว่าเขียนอะไรมีสาระสักนิดก่อนจะไร้สาระแล้วกันนะคะ เอาไว้หนหน้าค่อยเข้าเรื่องการเดินทาง お休みค่ะ




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 5 มกราคม 2552 14:29:30 น.
Counter : 681 Pageviews.  

เกริ่นนิดๆสำหรับกลุ่มบล็อคนี้

เกริ่นสักนิดหน่อย จขบ ปกติเป็นคนไม่ชอบการเดินทางท่องเที่ยวเอาซะเลย เน้นแต่เดินทางเพื่อการช้อปปิ้งอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอารมณ์ศิลป์(ก็เด็กวิทย์น่ะนะคะ) ไม่ชอบดูพิพิธภัณฑ์ ไม่ได้รักธรรมชาติป่าเขาหรือทะเลอะไรเลย อ่านๆมาแล้วก็คงจะงงว่า เออ แล้วจะมาเปิดกลุ่มบล็อคนี้เพื่ออะไรกัน พิลึกคน

เรื่องของเรื่องคือ จขบ เรียนปริญญา(เพิ่งขึ้น)เอกอยู่ที่ญี่ปุ่น และด้วยความบ้าก่อนหน้านี้ที่ขยันปั๊มเปเปอร์เกินไปหน่อยก็เลยได้ไป publish และต้องไปพรีเซนต์ที่ต่างประเทศอยู่หลายหน ถึงจะไม่ใช่คนชอบท่องเที่ยวก็ตาม แต่ในเมื่อได้ไป(=ต้องไป)แล้ว แถมมีมหาลัยออกค่าตั๋วเครื่องบินค่าต่างๆ(ส่วนหนึ่ง)ให้ฟรีอีก ก็ต้องเอาให้คุ้มกันบ้าง บางที่ที่ได้ไปนี่ค่าตั๋วไม่ใช่ถูก คงทำใจได้ยากถ้าจะให้ออกเอง

อีกประเด็นคือ ณ ตอนนี้อยู่ญี่ปุ่นไงคะ แต่ก็คงไม่ได้กะอยู่ไปตลอดชีวิต ดังนั้นขณะที่ยังอยู่ที่นี่ประเทศไหนที่มันใกล้ มันไปสะดวกถ้าออกจากญี่ปุ่น ขอวีซ่าง่ายกว่าถ้าขอจากญี่ปุ่น ก็ต้องถือโอกาสไปซะตั้งแต่ตอนนี้ เกิดมาคิดได้ทีหลังตอนกลับไทยไปแล้ว แล้วต้องเสียค่าตั๋วนั่งมาเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่นอีกนี่เสียดางตังค์แย่เลยค่ะ

สุดท้ายด้วยความที่ จขบ เป็นพวกชอบเขียนชอบจด ประเทศเหล่านี้ที่เคยได้ไปอาจเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ได้ไปก็ได้ (เพราะปกติไม่ได้คิดจะควักกระเป๋าตัวเอง เพื่อจะไปเองเลย) ก็อยากจะได้ที่มาจดบันทึก(มาบ่นนั่นเอง)ไว้สักครั้งว่าได้ไปเจอะไปเจออะไรกับเค้ามาบ้างนะ และไม่แน่ว่ามุมมองของพวกชะโงกทัวร์อย่างเราเนี่ยอาจมีประโยชน์กับใครเขาก็ได้

แต่ทั้งนี้ที่ๆอยากเขียนนี่ไปมาค่อนข้างยาวทั้งนั้น (ยาวนี่ไม่ใช่ว่าไปมาเยอะหลายที่นะคะ ไปน่ะไม่กี่ทีแวะไม่กี่แห่ง แต่เรื่องอย่างบ่นอยากพูดถึงมีเยอะ ประสาคนขี้บ่นน่ะค่ะ) เรื่องให้เขียนยาวมากต้องรอมีเวลาว่างยาวๆก่อนถึงจะรวบรวมมาเขียนได้สักหน ขอเปิดกลุ่มใหม่ไว้รอท่าก่อนแล้วกันนะคะ




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2551 1:24:46 น.
Counter : 636 Pageviews.  

1  2  3  

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.