W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 

[[รีวิวแรกรับใบไม้ร่วง2010@Japan]] ปฐมบทก่อนเดินทาง: สัปดาห์แห่งพายุ+อะไรเอ่ยสีแดงๆแต่ไม่ใช่ใบไม้แดง


>> คลิกเพื่อดูในรูปแบบรีวิวที่ pantip@blueplanet

รีวิวทริปโกเบและโอซาก้าเมื่อตอนหน้าร้อนยังค้างแหง็กไม่เสร็จเสียที แต่ไหนๆมันก็ของดองอยู่แล้วก็ขอดองต่อไปอีกหน่อย(ไว้ช่วงไหนว่างๆค่อยมาต่อ) ตอนนี้เห่อรูปจากทริปหนึ่งวันล่าสุดนี้มาก อยากอัพบล็อคแบบสดๆทันสถานการณ์กะเค้าซะหน่อยเลยเป็นที่มาของบล็อคนี้

ณ ตอนนี้ที่โตเกียวก็เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ไม่มีวันไหนที่จะอากาศร้อนหลงฤดูมาอีกแล้ว ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งอาทิตย์ที่อากาศวิปริตผิดปกติของโตเกียวไปมาก นอกจากฝนจะตก(ตกไม่เบาด้วย)ได้ทุกวี่ทุกวันแล้ว อากาศก็เย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างกับตอนช่วงฤดูหนาว คนไทยคนญี่ปุ่นบ่นกันระงมว่าหนาวๆๆๆ เป็นเดือนตุลาคมที่หนาวที่สุดที่ จขบ เคยเจอมาเลย

ถึงแม้อากาศจะหนาวแต่เท่าที่สังเกตคนส่วนใหญ่ยังใส่ชุดแนวหน้าใบไม้ร่วงกันอยู่ ถ้าไปเอาชุดเสื้อนวมช่วงหน้าหนาวมาใส่ก็คงไม่หนาวล่ะนะ แต่เดาว่าคงยังไม่มีเวลาไปขุดเสื้อผ้าหน้าหนาวออกจากกรุกัน (จขบ ก็เหมือนกัน เสื้อนวมและโค้ตหน้าหนาวถูกแพ็คใส่ถุงเก็บอยู่ลึกสุดๆไปเลย) อยู่ประเทศที่มีสี่ฤดูพอเปลี่ยนฤดูทีนึงก็ต้องเก็บเสื้อผ้าฤดูที่ผ่านไปเข้ากรุไว้รอใช้ปีหน้า และขุดเสื้อผ้าของฤดูใหม่ออกมาแขวนเพื่อใช้งานแทน ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะหยิบมาใช้กันได้ง่ายๆนะของเก็บมาตั้งเกือบปีหนิ พออากาศเปลี่ยนกะทันหันแบบนี้ส่วนใหญ่เลยยังไม่มีเสื้อกันหนาวใส่กันฉะนี้แล (อีกอย่างใส่เสื้อนวมมาก็เด่นอยู่ เพราะคนอื่นก็ยังไม่ใส่กัน)

ส่วนสาเหตของอากาศหนาวผิดปกตินี้มาจากเจ้าพายุหมายเลข 14 นี่เอง อาจารย์คนไทยที่สอนภาษาญี่ปุ่น จขบ สมัยก่อนมาญี่ปุ่นเคยบอกไว้ว่าที่ญี่ปุ่นนี่ในแต่ละปีถ้าพายุเข้าไม่ถึง 20 ลูก จะมีน้ำจืดไม่พอใช้ในประเทศ จริงแค่ไหน จขบ ก็ไม่เคยไปค้นดูนะเผอิญไม่ได้สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ ณ วันนี้วันเสาร์ตามพยากรณ์จะเป็นวันที่พายุผ่านโตเกียวแล้ว ฝนและลมจะแรงมากที่สุดในวันนี้(ดังนั้น จขบ ไม่ออกไปไหนแน่นอน) แล้ววันอาทิตย์ก็จะเหลือฝนไล่หลังอีกหน่อย (ลมพัดแรงตั้ง 11 m/s นี่ไม่อยากจะคิดเลย ร่มเริ่มพังหมดแน่ๆ แค่ 7 m/s ก็พัดจนหัวจะหลุดแล้ว)

Credit: ภาพพยากรณ์อากาศแถวบ้าน จขบ แค็ปมาจาก //weather.yahoo.co.jp/weather/jp/13/4410/13105/1130034.html

หลังจากพายุผ่านไปอากาศก็(ดูเหมือนจะ)อุ่นขึ้นกลับเป็นปกติของโตเกียวในช่วงตุลาและพฤศจิกาอีกครั้ง เฮ้อ ค่อยยังชั่ว

Credit: ภาพพยากรณ์อากาศแถวบ้าน จขบ แค็ปมาจาก //weather.yahoo.co.jp/weather/jp/13/4410/13105/1130034.html

ไม่ได้ดูข่าวมาละเอียดแต่จากอากาศที่ผ่านมาพายุลูกนี้พัดพาความหนาวเย็นมามากจริงๆ ที่คนบ่นๆกันว่าหนาวๆนี่ไม่ได้คิดไปเองด้วยนะ เพราะข่าวออกมาแล้วว่าวันพฤหัสที่ผ่านมาเป็นวันที่โตเกียวหนาวที่สุดในรอบ 72 ปีเลย(หมายถึง หนาวที่สุดในช่วงเวลาเดียวๆกันนี้นะ ไม่ใช่ว่าหนาวที่สุดโดยเทียบจากทั้งปี ช่วงหน้าหนาวยังไงก็ยังหนาวกว่า) จำได้ว่าวันนั้นอุณหภูมิอยู่เรี่ยๆประมาณ 10 องศาแต่ฝนตกค่อนข้างหนักและมีลมแรงด้วย เมื่อ 10องศา+ลม+ฝน ผลก็คือ ความหนาวสุดๆไปเลย รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่กลางฤดูหนาวยังไงหยั่งงั้น ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะขุดตัวเองออกจากเตียงและฝ่าฝนไปมีตติ้ง(แต่เช้า)ที่มหาลัยให้ทัน

ร่ายมาซะยาวยังไม่เริ่มรีวิวทริปเสียที ทริปนี้ จขบ ลุยเดี่ยวอีกแล้ว ก็แบบว่ามันไปกะทันหันอ่ะนะ วันจันทร์เพิ่งรู้เรื่องและตัดสินใจว่าจะไป วันอังคารซื้อตั๋วและเช็คการเดินทาง ถึงวันพุธก็ออกเดินทางทันที กะทันหันอย่างนี้แล้วจะไปชวนใครที่ไหนไปด้วยได้ล่ะ แถมเป็นวันธรรมดาอีก

สืบเนื่องมาจากเห็นรูปใน Facebook ของคนในแล็บเค้าไปเที่ยวมา (สำหรับ จขบ นี่ FB มีประโยชน์ในการรวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเอาไว้ไปเที่ยวตามคนอื่น) จขบ เห็นแล้วก็หายจากอาการอัลไซเมอร์แบบฉับพลัน นึกขึ้นได้ทันทีว่าเมื่อปีที่แล้วมีรีวิวในห้อง @Japan ถึงเจ้าต้นไม้แดงๆนี่มาก่อน(พยายามขุดหากระทู้นั้นแล้วแต่หาไม่เจอ) ตอนนั้นก็หมายมั่นปั้นมือว่าปีนี้จะไปให้ได้ แต่นานๆไปก็ลืมไปซะสนิทเพิ่งจะนึกได้ตอนเกือบสายไปแล้วนี่เอง(โอกาสสุดท้ายท้ายสุดเลยจริงๆ)

เฉลยหัวบล็อคก่อนว่าต้นแดงๆที่ว่าคืออะไร มันคือต้น コキア Kokia หรืออีกชื่อหนึ่งของญี่ปุ่นก็คือ ほうきぐさ Hoki-gusa (แปลเองตรงตัวว่า หญ้าไม้กวาด) ส่วนชื่ออังกฤษก็รู้สึกจะมีทั้ง Kochia, Summer cypress และ Kochia scoparia (แต่ถ้ากูเกิ้ลด้วยคำว่า KOKIA จะเจอแต่เว็บเกี่ยวกับนักร้องหญิงชาวญี่ปุ่นขึ้นมาเต็มไปหมด เค้าใช้ชื่อว่า KOKIA พอดี ให้เซิร์ชด้วยตัวอักษรญี่ปุ่นแทนจะดีกว่า)

หน้าตาของต้นหญ้าชนิดนี้จะเป็นคล้ายๆพุ่มไม้ที่มีแต่กิ่งแต่ก้าน ไม่มีลำต้นหนาๆและไม่มีใบใหญ่ๆ ดูๆไปเหมือนไม้กวาดทางมะพร้าวพุ่มกลมๆตามชื่อญี่ปุ่นของมันเลยล่ะ ช่วงชีวิตของต้นไม้ชนิดนี้จะมีอยู่สามช่วงสามสี ในช่วงหน้าร้อนจะเป็นกิ่งสีเขียวๆตามภาพ

Credit: ภาพหาจาก google.co.jp

ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงก่อนหน้าที่ใบไม้เหลืองและแดงจะออกมาโชว์ตัวกันเต็มที่ เจ้า KOKIA ก็ชิงตัดหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งต้นก่อน

Credit: ภาพหาจาก google.co.jp

แล้วหลังจากนั้น KOKIA ก็ค่อยเริ่มโรยกลายเป็นสีน้ำตาล เปิดทางให้เหล่าใบไม้เหลืองและใบไม้แดงได้ออกมาวาดลวดลายแทน เรียกว่าร่วมมือกันทำงานอย่างดี ทำให้เรามีอะไรให้ดูให้เที่ยวได้ตลอดทั้งปีเลย (ภาพด้านล่างดูๆไปหยั่งกะซังข้าวเลย ไม่แน่ใจ แต่ตามรูปเหมือนว่าพอมันกลายเป็นสีน้ำตาลแล้ว เอาไปมัดทำไม้กวาดได้ด้วยมั้งเนี่ย ก็ดีนะเอาไว้ดูก็ได้ เอาไว้ใช้ประโยชน์ก็ดี ปลูกแล้วไม่เสียเปล่า)

Credit: ภาพหาจาก google.co.jp

ถ้าเห็นเจ้า KOKIA นี่ถูกปลูกอยู่ในกระถางเดี่ยวๆธรรมดาๆจะว่าไปมันก็ไม่ได้สะดุดตาอะไรเป็นพิเศษเลยด้วยซ้ำ(โดยเฉพาะถ้าเลี้ยงมันไม่ดี โตมาไม่กลมไม่ฟูสวย) ใครจะยอมเสียเงินเสียเวลานั่งรถไฟข้ามจังหวัดมาดูกันล่ะ แต่การ add value ให้อะไรสักอย่างดูจะเป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นเค้าถนัดกัน ถ้าดูดีๆ KOKIA มันก็มีความน่ารักของมันอยู่ที่เป็นพุ่มกลมๆ ดู フワフワ、モコモコ (Fuwafuwa, mokomoko = ดูเป็นก้อนๆฟูๆนิ่มๆ) แถมมีการเปลี่ยนสีตามฤดูเหมือนพวกใบไม้เหลืองใบไม้แดงด้วย

ว่าแล้วก็ใส่ความครีเอตเข้าไปอีกนิด จับมาปลูกเรียงกันเป็นทุ่งซะเลย พอมันอยู่รวมกันเป็นทุ่งแล้วประกอบกับใส่หน้าตาให้มันอีกนิด จขบ คนนึงล่ะที่เห็นแล้วตาลุกวาวและกำหนดเป็น The Must อีกอย่างนึงของฤดูใบไม้ร่วงเลย (หน้าร้อนปีหน้ากะจะไปอีกด้วย ไปดูตอนมันสีเขียวๆกลมๆน่าร๊ากกกกกก เอ...หรือจะไปตอนที่กึ่งๆมีทั้งเขียวทั้งแดงในต้นเดียวกันก็ดีเหมือนกันน้า เวลายังมีเอาไว้ปีหน้าค่อยตัดสินใจละกัน)

Credit: ภาพหาจาก google.co.jp

พอเห็นจาก FB ปุ๊บ จขบ ก็รีบเช็คทันทีเลย ทีแรกนึกว่าจะแห้วแล้วเพราะ コキアカーニバル KOKIA carnival (18 SEP ~ 24 OCT, 2010) ของที่ๆจะไปมันเพิ่งจบไปเมื่อวันอาทิตย์ ถามคนที่ไปมาก็บอกว่ามีบางส่วนเริ่มสีน้ำตาลแล้ว และที่สำคัญคือพอหมดเดือนตุลานี้ปุ๊บ KOKIA ทั้งหมดจะถูกถอนออกจากสวนเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูกดอกไม้อย่างอื่นรอรับใบไม้ผลิปีหน้าแทน (กำหนดการถอนออกนี้ในแต่ละปีจะไม่เหมือนกันนะ เช็คจากหน้าเว็บหรือโทรถามเลยจะชัวร์สุด)

งานนี้เรียกได้ว่า now or never ถ้าไม่ไปภายในอาทิตย์นี้ก็คืออดไปเลย(ปีหน้าตอนช่วงที่มันแดงนี้ จขบ น่าจะกลับไทยไปแล้วอ่ะ) แถมด้วยเคราะห์หามยามร้ายเจ้าพายุหมายเลข 14 พัดกระหน่ำพยากรณ์แถบคันโตก็มีแต่ฝนตกทุกวี่ทุกวัน ถึงจะอยากไปดูแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าอากาศแย่ๆฝนตกๆก็ยังจะไปน่ะนะ

แต่แล้วโชคก็เข้าข้าง จขบ วันเพียงวันเดียวในสัปดาห์เส้นตายนี้ที่อากาศดีฝนไม่ตก พอดี๊พอดีเป็นวันที่ไม่มีมีตติ้งและคลาส สามารถแอบแว่บโดดแล็บไปวันนึงได้พอดี แผนเที่ยวฉุกละหุกก็เลยเกิดขึ้นดังฉะนี้เอง (มาสคอต KOKIA ของงานน่ารักอีกแล้วอ้ะ เขียนในด้านบนของป้ายแปลไทยง่ายๆแบบ จขบ ว่า "มาลองดู มาลองจับสิ")

Credit: ภาพจาก //www.hitachikaihin.go.jp/fair/aki/index.htm

เช็คพยากรณ์แล้วก็โทรถามที่สวนเพื่อความชัวร์กลัวไปเสียเที่ยว พอเค้าคอนเฟิร์มมาว่า KOKIA ยังอยู่ก็จองตั๋วรถไฟทันที จริงๆมันก็ไม่ไกลจากโตเกียวนัก มีพวกรสบัสด่วน 高速 Kosoku ไปด้วยจากโตเกียวใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงนิดๆเพื่อไปที่ 勝田 Katsuta ราคานั่งต่อขาประมาณ 2000 กว่าๆเยน (รายละเอียดรถบัสมีใน ลิงค์นี้ เส้นทางวิ่งอยู่ในรูปด้านล่างคลิกดูรูปใหญ่ได้ และ ลิงค์นี้ จะเป็นตารางเวลารถบัสที่วิ่งไปจากโตเกียว ทั้งหมดนี้เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ)

Credit: ภาพแค็ปมาจากเว็บ //www.ibako.co.jp/

แต่ฉุกละหุกอย่างนี้ จขบ ขอไปด้วยรถไฟก่อนมันง่ายๆดี ตารางรถไฟก็ยืดหยุ่นกว่ารถบัสเพราะมีรถออกอยู่ตลอดเวลา ขาไปขอไปด้วยรถด่วนเบาะนิ่มๆ(แบบ 自由席 Jiyu-seki หรือ unreserved) ส่วนขากลับค่อยนั่งหวานเย็นธรรมดากลับ เดินทางสายกลางประหยัดค่าตั๋วไปอีกหน่อย สนนราคาค่าตั๋วรถไฟไปกลับที่จ่ายไปคือ 4820 เยน (ราคานี้ได้ลดแล้ว 20% ด้วย student discount)

ส่วนสถานที่ไปดูนั้นไม่ต้องหาให้เหนื่อยแรงเพราะใน FB ที่เจอมีระบุชื่อสถานที่เรียบร้อยที่ 国営ひたち海浜公園 Kokuei-hitachi-kaihin-koen (URL) เป็นสวนตั้งอยู่ริมทะเลที่จังหวัด Ibaraki 茨城県 ไม่ห่างจากโตเกียวนัก จาก Ueno ข้ามจังหวัด Chiba 千葉県 ก็เข้าเขต Ibaraki แล้ว นั่งรถไฟไปเช้าเย็นกลับได้สบายๆไม่ต้องไปค้างคืนเหมาะกับ จขบ เป็นยิ่งนัก (เปิดเทอมแล้วมีมีตติ้งมีคลาส โดดหลายวันไม่ค่อยได้) นิดนึงคือเพิ่งสังเกตว่า Hitachi นี่มันสะกดเหมือนกับยี่ห้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเลย ที่ไทยก็ได้ยินเรียกแต่ ฮิตาชิ ฮิตาชิ จนชินหูเพิ่งจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันออกเสียงญี่ปุ่นว่า ฮิตาจิ ตะหาก

Credit: ภาพแค็ปมาจากหน้าเว็บ ณ ขณะปัจจุบันของ //www.hitachikaihin.go.jp

จะไปสวนนั้นให้ลงสถานีรถไฟที่ 勝田 Katsuta แล้วออกทาง 東口 Higashi-guchi (East exit) เพื่อต่อรถบัสในเมืองสั้นๆอีกต่อนึง ป้ายรถบัสเบอร์1 หาไม่ยาก(ดูได้ในบล็อครีวิวถัดไป) ค่ารถบัส 390 เยนต่อขา นั่งประมาณ 20 นาทีก็ถึง ส่วนตารางเวลารถบัสไปสวนนี้ดูได้ที่ ลิงค์นี้ (มีแต่ภาษาญี่ปุ่นนะ)

ค่าเข้าสวนราคาผู้ใหญ่ 400yen ต่อวัน (ถ้าอยู่ใกล้จะไปบ่อยๆก็ซื้อตั๋วปีไปเลย) เวลาเปิดปิดสวนแตกต่างกันไปในแต่ละเดือนดังนี้
1 MAR ~ 16 JULY (2010) 9:30~17:00
17 JULY ~ 31 AUG (2010) 9:30~18:00
1 SEP ~ 31 OCT (2010) 9:30~17:00
1 NOV ~ 28 FEB (2010~2011) 9:30~16:30
เวลานี้เป็นวาระของปี 2010 เริ่มตั้งแต่ใบไม้ผลิยันไปถึงจบหน้าหนาวที่ปี 2011 ถ้าวาระของปีถัดไปคงมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ติดตามได้จากเว็บของเค้า ที่ หน้านี้ จะมีบอกเวลาเปิดปิดทำการและวันหยุดของสวน ที่ด้านล่างสุดมีบอกวันพิเศษที่สวนเปิดให้เข้าชมฟรีไม่เสียเงินค่าเข้าด้วย

ขอจบบล็อคปฐมบทดื้อๆไว้แค่นี้ก่อน ยังไม่ทันออกเดินทางเลยร่ายซะยาวยืดยาด บล็อคถัดไปจะเริ่มขึ้นรถออกเดินทางจริงๆแล้วค่าาาาา

--------------------------------------------------------------------------------

รวมบล็อคทั้งหมดของทริป

1. [[รีวิวแรกรับใบไม้ร่วง2010@Japan]] ปฐมบทก่อนเดินทาง: สัปดาห์แห่งพายุ+อะไรเอ่ยสีแดงๆแต่ไม่ใช่ใบไม้แดง
2. [[รีวิวแรกรับใบไม้ร่วง2010@Japan]] ทุ่งKOKIAกลมๆแดงๆรับใบไม้ร่วงในวันฟ้าใสท่ามกลางสัปดาห์แห่งพายุฝน

--------------------------------------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2553    
Last Update : 21 มิถุนายน 2554 14:45:27 น.
Counter : 7851 Pageviews.  

[[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 2: กินเนื้อโกเบ ทำโรแมนติค(อยู่ได้คนเดียว) ที่ Harborland


>> คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ใน OneDrive

ได้เวลามาต่อจากบล็อคที่แล้วเสียที จบตอนที่แล้วเจอแดดแรงๆบนภูเขาของญี่ปุ่นเล่นเอาเหนื่อยหมดแรงไปเลย ด้วยสังขารที่ไปไม่ไหวเลยต้องตัดโปรแกรมบางอย่างออกไป และไปต่อกับจุดหมายสุดท้ายของวันที่ถือเป็นไฮไลท์สำหรับการมาโกเบอย่างนึงเลย

ตอนขามาใช้ตั๋วที่มาคู่กับตั๋วชินคันเซนนั่งรถมาได้(เพราะตีตั๋วขามายาวจาก 東京 Tokyo ไปจนถึง 西明石 Nishi-akashi โน่นเลย) แต่ตอนขากลับจำเป็นต้องซื้อบัตรเองแล้ว..จริงๆก็มีวิธีตุกติกง่ายๆอยู่นะ แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ก็ไม่อยากไปเอาเปรียบทางรถไฟเค้าเท่าไหร่

ขนาดว่าอยู่ญี่ปุ่นมาสี่ปีก็ยังเกิดอาการงงๆซื้อตั๋วไม่ได้กะเค้าเหมือนกัน ปกติที่โตเกียวจะให้กดอะไรจนเสร็จก่อนแล้วค่อยขึ้นราคามาให้หยอดเงินแล้วตั๋วก็จะออกมา แต่ที่นี่นี่ถ้าไม่หยอดเงินเข้าไปก่อนมันก็กดไม่ไปเสียที งงๆอยู่นานว่าทำไมซื้อตั๋วไม่ได้กว่าจะรู้เรื่องนี่ต้องแอบเหล่คนที่ตู้ใกล้เคียงเอา


เก็บตกกันสักนิด สัญลักษณ์ของ IC card ที่โกเบนี่จะเป็นตัว Kobe PiTaPa อย่างที่เห็นในรูป (ส่วนว่ามันคือตัวอะไรนั้น จขบ ขี้เกียจไปค้นแล้ว) และหลังๆมานี้ IC card พวกนี้นอกจากใช้ขึ้นรถไฟ รถบัสได้ ก็ยังใช้แตะปิ๊ดๆซื้อของในพวกร้านที่มีเครื่องแตะได้ด้วย เรียกว่าพกใบเดียวสารพัดประโยชน์ครบวงจรเลย


ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันว่าประเทศญี่ปุ่นเค้ามีการ์ตูนอยู่ในวัฒนธรรม พวก IC card (ขอเน้นเฉพาะพวกรถไฟละกันนะ) ที่ใช้ในแต่ละภูมิภาคก็เลยจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปด้วย ถือเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ IC card หลักๆสำหรับรถไฟในญี่ปุ่นมีประมาณ 11 ชนิดตามภาพ มีทั้งของ JR และของบริษัทอื่นๆ (มียิบๆย่อยๆอีกหลายอัน แต่รวมมาไม่ไหวแล้ว) ส่วนที่ว่าอันไหนใช้กับอันไหนได้นี่ขอละไว้ในฐานที่(ไม่)เข้าใจ เพราะ จขบ เองก็ขี้เกียจไปหาเหมือนกัน (ขนาดตอนถาม จนท ที่ขายตั๋วชินคันเซนเค้ายังต้องเปิดเว็บหาให้วุ่นเลย)

Credit: //ja.wikipedia.org/wiki/%E3%83%95%E3%82%A1%E3%82%A4%E3%83%AB:ICCard_Connection.png


ที่น่าสนใจสำหรับ จขบ ก็คือ IC card แต่ละใบเนี่ยมีมาสคอตน่ารักๆ(ซะส่วนใหญ่)เป็นของตัวเองด้วย ของบริษัทรถไฟ JR พอจะสรุปคร่าวๆได้ดังนี้ (เห็นแล้วน่าสะสมเป็นคอลเลคชั่นเหมือนกันนะ แต่ท่าจะไม่ไหวแฮะเยอะจริงๆ)

  • JR東日本ほか Higashi-nihon-hoka เรียกว่า Suica มาสคอตตัวเพนกวิน (ที่โตเกียวใช้อันนี้)

  • JR西日本 Nishi-nihon เรียกว่า Icoca มาสคอตหน้าตาคล้ายตุ่นปากเป็ด

  • JR北海道 Hokkaido เรียกว่า Kitaca มาสคอตกระรอกบิน

  • JR東海 Tokai เรียกว่า Toica มาสคอตลูกเจี๊ยบ

  • JR九州 Kyushu เรียกว่า Sugoca มาสคอตรูปกบ




  • Credit: เยอะแยะมากมาย สรุปว่าหาจาก google.co.jp

ส่วนด้านล่างนี้จะไม่ใช่ของบริษัท JR แล้ว (รายละเอียดไปกูเกิ้ลหาได้ตามสะดวก)

  • 関西ほか Kansai-hoka เรียกว่า PiTaPa ถ้า Kobe PiTaPa ก็มาสคอตหน้าตาคล้ายต้นถั่ว(ไม่รู้ตัวอะไร ขี้เกียจหาแล้ว) ส่วนถ้าเป็น Osaka PiTaPa ก็ทานูกิหรือแร็คคูนสักอย่างนี่ล่ะ

  • 広島地区 Hiroshima-chiku เรียกว่า Paspy มาสคอตเป็นรูปหมีสีเทา

  • 関東 Kanto เรียกว่า Pasmo มาสคอตเป็นหุ่นยนต์สีชมพู (ที่โตเกียวก็ใช้อันนี้เหมือนกัน)

  • 福岡市 Fukuoka-shi เรียกว่า はやかけん Hayakaken มาสคอตตัวอะไรสักอย่าง หน้าคล้ายพวกมิกกี้เม้าส์

  • 西日本鉄道 Nishi-nihon-tetsudo เรียกว่า Nimoca มาสคอตตัว ferret

  • 高松 Takamatsu เรียกว่า Iruca มาสคอตเป็นตัวโลมาสีน้ำเงิน

  • 名古屋 Nagoya เรียกว่า Manaca มาสคอตเป็นหน้ายิ้มกลมๆธรรมดา

  • Urara มาสคอตคล้ายกระรอกบินอีกแล้วเป็นญาติกับ JR Kitaca หรือเปล่าก็ไม่รู้ อันนี้บังเอิญหาเจอไม่รู้ใช้ที่ไหนยังไง อาจจะไม่ใช่กับรถไฟก็ได้ (หาจนมึน)





  • Credit: เยอะแยะมากมาย สรุปว่าหาจาก google.co.jp

ออกนอกเรื่องไปซะไกล ขอกลับๆๆมาที่สถานีรถไฟที่โกเบก่อน ป้ายโปสเตอร์นี้ตอนมองก็ไม่คิดอะไร แต่เพิ่งมารู้ตอนกลับจากเที่ยวว่าพลาดไปซะแล้วกับเจ้าหุ่นยักษ์ 鉄人 Tetsu-jin นี่ (ดีว่ามีโอกาสแก้ตัวกลับไปเก็บตกที่โกเบเร็วๆนี้นะเนี่ย) ถ้าที่โตเกียว(เคย)มีหุ่นยักษ์กันดั้ม (ดูที่ บล็อคนี้) ที่โกเบก็ไม่น้อยหน้ามีหุ่นยักษ์ Tetsu-jin กะเค้าเหมือนกัน หนหน้าไม่พลาดต้องไปถ่ายรูปหุ่นยักษ์หน้าตลกๆนี่มาให้ได้เลย(ถ้ามันยังแสดงอยู่นะ)


ส่วนจุดหมายที่กำลังจะมุ่งหน้าไปอยู่นี้คือแถวๆ Harborland ハーバーランド เพื่อไปถ่ายรูปวิวกลางคืนของท่าเรือโกเบสวยๆ จากการหาข้อมูลสามารถเลือกไปลงได้หลายสถานี แต่ จขบ เน้นว่าไปหาจุดถ่ายวิวโดยเฉพาะเค้าก็แนะนำกันว่าให้มาถ่ายที่ MOSAIC モザイク จะดีที่สุด ก็เลยเลือกลงที่สถานี Harborland ハーバーランド แล้วเดินต่อไปจนถึง MOSAIC แต่ถ้ากะจะไปถ่ายรูประยะประชิดกับ Kobe Tower สีแดงๆ (ชื่อนี้ จขบ ตั้งให้เองนะ เอาไว้เรียกง่ายๆ จริงๆเค้าเรียกว่าอะไรกันก็ไม่รู้) รู้สึกว่าไปลงตรงสถานี Meriken Park จะดีกว่า

จากสถานีไปถึง MOSAIC ก็เป็นระยะทางไกลอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากแดดร่มลมตกแล้วเลยเดินชิวๆได้ กางแผนที่ที่เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟให้มาแล้วก็เดินตรงไปเรื่อยๆ บรรยากาศแถวนี้ให้ความรู้สึกคล้ายแถบ Odaiba ของโตเกียวมาก ประมาณวิวสวยๆ ลมทะเล(?)เย็นๆ บรรยากาศดูชิวๆสบายๆเหมาะสำหรับคู่รักมาจูงมือเดินเล่นกัน และ ที่สำคัญคือเป็นจุดชมวิวงามๆประจำเมืองด้วย หุ่นเอลวิสด้านล่างนี้เป็นหนึ่งในของประดับรายทางที่ จขบ แชะมาได้ระหว่างทางเดินไป MOSAIC (อย่างอื่นก็มีนะ แต่เหนื่อยเลยเริ่มขี้เกียจถ่าย)


ส่วนฝาท่อนี้ก็แชะมาเป็นที่ระลึกเหมือนกันเพราะฝาท่อแต่ละเมืองก็จะมีลวดลายแตกต่างกันไป (มีใครเคยรวบรวมทำเนียบฝาท่อระบายน้ำทั่วโลกไว้บ้างไหมเนี่ย?) จากการเดาเอาล้วนๆ หอคอยที่มีไก่อยู่ตรงกลางน่าจะเป็น Weather Cock House ที่ Kitano Ijinkan ที่ จขบ กะจะไปแต่ไปไม่ไหวเมื่อบล็อคที่แล้ว ส่วนมุมบนซ้ายก็ Kobe Tower ที่กำลังจะไป ส่วนที่เหลือนั้นดูไม่ออกแล้วเหมือนกัน


บรรยากาศดีๆลมเย็นๆ เดินเดี๋ยวเดียวก็ถึง MOSAIC แล้ว มาง่ายกว่าที่คิดซะอีก แค่เดินๆตามผู้คนมาก็เจอ (จะยากหน่อยก็ตอนอยู่ในสถานีรถไฟ เพราะทางออกของสถานีนี้เยอะมากๆ ไม่ถามเจ้าหน้าที่นี่เลือกออกไม่ถูกกันเลย)


จขบ นั้นถึงจะหาข้อมูลมาบ้างแต่ก็หามาไม่ละเอียด จำไม่ได้เหมือนกันว่าจุดถ่ายรูปที่ว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของ MOSAIC แฮะ เห็นตัวตึกนี่ยาวเฟื้อยไปตลอดแนวถนนเลย อาศัยยืนสังเกตการณ์สักแป๊บ เห็นกี่คนๆก็เดินขึ้นบันไดตรงนี้กันหมด ก็เลยว่าไปตามคนส่วนใหญ่ละกัน (วันนั้นเหนื่อยแล้วอ่ะ ไม่อยากเดินหลงทางไปไหนไกลๆอีก)


ขึ้นมาถึงที่ชั้นสองก็ดูเหมือนจะโป๊ะเชะเป็นตรงจุดชมวิวที่เค้าพูดถึงกันพอดีเลย มองไปทางด้านซ้ายจะเป็นทางเข้าไปยังร้านรวงต่างๆมากมาย ส่วนที่เหลือทางด้านขวาจะเป็นที่เปิดโล่งให้นั่งเล่นกัน มีสวนสนุกเล็กๆ และ มีของประดับสวนประมาณในรูปล่าง (จริงๆต้องถ่ายตอนเค้าเปิดไฟแล้วถึงจะสวย)


จากที่ขึ้นบันไดหินมา ถ้ามองตรงไปข้างหน้าก็จะเห็นวิวชายทะเล(คิดว่าใช่นะ หรือว่าเป็นแม่น้ำหรืออ่าวอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน) และชิงช้าสวรรค์ใหญ่ๆอย่างนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเหมือนของที่นี่กับ Odaiba @Tokyo บรรยากาศเดียวๆกัน มีชิงช้าสวรรค์เหมือนๆกันเลย แถมมาถึงได้จังหวะพอดีพระอาทิตย์ใกล้จะตกเลยได้เห็นแสงสวยๆฟ้าสวยๆตอนเย็นๆด้วย (จะว่าไปเห็นชิงช้าสวรรค์ที่นี่แล้วนึกถึง London Eye เหมือนกันนะ แต่อันนี้น่าจะเล็กกว่า คุ้นๆว่า London Eye นี่ใหญ่มาก ขนาดเลนส์ ultra wide ยังเก็บมาไม่ค่อยจะหมดเลย)


เดินตรงไปทางฝั่งทะเลก็จะเป็นระเบียงยาวบรรยากาศชิวๆให้คนนั่งเล่นรับลม ชมวิว และถ่ายรูปกัน


ระเบียงชั้นสองที่ว่านี้จะยาวววววไปจนถึงเกือบสุด MOSAIC เลย(เดาเอานะ) มองเยื้องจากชิงช้าสวรรค์ไปฝั่งตรงข้ามทางด้านซ้ายจะเห็น Kobe Tower สีแดงๆโผล่มาในภาพแล้ว ถ้ามากับแฟนแล้วมานั่งกินข้าวร้านแถวนี้ก็คงโรแมนติคไม่เบาเลย นั่งๆกินไปมองวิวผ่านกระจกดูแสงสีสวยๆของเมืองโกเบยามค่ำคืน อารมณ์เดียวกับกินข้าวที่ Aqua city @Odaiba แล้วดูวิวหอโตเกียวกับ Rainbow Bridge ตอนกลางคืนเลยหนิ >.< (คู่ในภาพยืนขวางทางเลนส์ดีนักจับมาเป็น subject ซะเลย ถ้าคุณแฟนอยู่ด้วยก็คงจับมาถ่ายรูปคู่กันตรงนี้แล้วเหมือนกันเนี่ย)


วิวฝั่งตรงข้าม MOSAIC นี่ล่ะที่เป็นหนึ่งในวิวกลางคืนไฮไลท์ของเมือง Kobe ณ ตอนที่ไปถึงฟ้ายังไม่มืดก็ฝึกมือและหามุมถ่ายแสงยามเย็นไปพลางๆ ตึกทรงกลมๆในภาพคือ Oriental Hotel (อยู่ริมฝั่งบรรยากาศโรแมนติคแบบนี้ ค่าที่พักแพงแหงๆ) ส่วนเรือที่จอดอยู่นั้นเป็นเรือชื่อ Con... อะไรสักอย่างเดาว่าน่าจะ Continental .... อะไรนี่ล่ะ จากการคุยกับคุณลุงตากล้องชาวญี่ปุ่นเห็นว่า จขบ มาที่นี่ได้จังหวะเหมาะมาก เพราะวันนี้มีตากล้องหลายๆคนมาที่นี่เพื่อจะเก็บภาพจังหวะที่มีเรือนี่มาจอดตรงนี้ช่วยเพิ่มแสงสีสวยๆให้กับวิวตรงนี้ในตอนกลางคืน


ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกฟ้ากำลังสีสวยเลย ได้ภาพ Kobe Tower ในโทนอุ่นๆมาเก็บไว้เป็นที่ระลึกในสต็อครูปภาพอีกหนึ่งใบ


เพื่อที่จะถ่ายวิวฝั่งตรงข้ามได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น จขบ ก็ตัดสินใจเดินลงมาตรงที่ราบด้านล่างแทน (คือ ด้านบนมันที่แคบหน่อย แถมคนก็ยืนๆนั่งๆขวางทางเลนส์กันเยอะ) ตรงนี้จะต่างกับ Odaiba หน่อยเพราะไม่มีหาดทรายให้เดินเล่น (และไม่มีสุมทุมพุ่มไม้ให้คู่รักได้แอบไปซ่อนและจู๋จี๋กันกลางแจ้งด้วย ถ้าที่ Odaiba นี่มืดลงหน่อยเห็นประจำ บางคู่ก็จู๋จี๋แบบเห็นกันจะๆกลางชายหาดเลย)


แถวนี้รูปจะซ้ำๆหน่อยนึง ก็เป็นไฮไลท์หนินะก็ต้องถ่ายกันหลายจังหวะหน่อย แล้วนอกจากวิวพวกนี้ก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรแล้ว (วางแผนสำหรับที่นี่มาแค่นี้อ่ะ) รูปนี้คุณลุงชาวญี่ปุ่นสาวก DSLR Nikon ช่วยกดให้เป็นที่ระลึกว่า จขบ มาถึงที่นี่แล้วจริงๆนะ สังเกตว่าแฟลชจะสาดอยู่แค่ช่วงครึ่งตัวบน ทีแรกก็นึกว่าแฟลชหัวกล้องมันสาดแสงไม่ทั่วอย่างนี้เอง แต่มานึกอีกทีคงเพราะเลนส์และฮู้ดเลนส์มันใหญ่บังแสงแฟลชหัวกล้องไปบางส่วนมากกว่า เนื่องจากทริปนี้ไม่ได้แบกแฟลชแยกมา(แบกไม่ไหวแล้ว)ก็ต้องเลยตามเลย มืดครึ่งตัวก็ยังดีกว่ามืดตื๋อทั้งตัวละกัน


แถวๆนี้จะเริ่มกางขาตั้งกล้องที่อุตส่าห์แบกมาแล้ว(จริงๆเป็นขาตั้งกล้องเล็กใช้ตั้งแต่สมัยกล้องคอมแพ็ค แต่กล้องกับเลนส์ตัวปัจจุบันก็ยังพอไหวถ้าไม่ติดแฟลชแยกและไม่ถ่ายแนวตั้ง ขาตั้งใหญ่ๆก็มีแต่ขี้เกียจแบก) ฟ้ากำลังแดงๆม่วงๆได้ที่ แล้วก็มีเรือสีชมพูๆ(คล้ายเรือที่ Hakone เลยนะ)แล่นผ่านมาเป็นพร็อบพอดีด้วย


จขบ ก็หันกล้องซ้ายๆขวาๆแชะไปเรื่อยๆรอเวลาฟ้ามืดสนิทเพื่อเก็บภาพ Kobe Port Illumination ระหว่างที่ จขบ ถ่ายรูปอยู่คุณลุงที่ช่วยถ่ายรูปให้เมื่อตะกี้ก็ส่องวิวอยู่ไกลๆ ซึ่งรวมถึงส่อง จขบ ด้วยล่ะ ยังไงไม่รู้คุณลุงเค้าบอกว่าขอถ่ายรูปหน่อยได้มั๊ยแบบไม่เห็นหน้าก็ได้ สงสัยจะอยากได้ภาพผู้หญิงกำลังปล้ำกับ DSLR บนขาตั้งกล้องประกอบฉาก (แต่ถ้าเป็น จขบ ก็คงจะแอบแคนดิตเอาเลยจากไกลๆ )


และแล้วก็เริ่มมืดและเริ่มเปิดไฟกันจนได้ วิวประมาณนี้ล่ะที่ จขบ อุตส่าห์ดั้นด้นมาเพื่อจะถ่ายภาพ (แต่ก็ดันถ่ายได้ไม่สวยเท่าที่ต้องการเล้ย)


ที่ชิงช้าสวรรค์อีกด้าน ก็เห็นพระจันทร์ดวงเล็กๆโผล่ขึ้นมาแล้ว ที่เห็นเป็นเหมือนฝุ่นสีขาวติดหน้าเลนส์นั่นล่ะ (จริงๆพระจันทร์โผล่ตั้งแต่รูปก่อนหน้าแล้ว)


ภาพที่ จขบ คิดว่าเป็นภาพที่ดีที่สุดที่ถ่ายมาได้ตรงนี้น่าจะเป็นภาพด้านล่างนี้ล่ะ คร็อปออกมาได้แนวพาโนราม่าพอดี ภาพนี้ถ้าเป็นไปได้อยากให้คลิกไปดูที่ multiply กดดูแบบ Slideshow เพื่อให้เห็นภาพเต็มๆมากกว่า พอ share link มาภาพเหลือติ๊ดเดียวเองมองอะไรไม่ค่อยเห็นเลย


หลังจากกดวิวแถวนี้ไปเยอะแยะมากมาย(แต่ก็วิวซ้ำๆเลยไม่เอามาลง) ก็เตรียมกลับขึ้นไปถ่ายต่อที่ชั้นสองแล้ว (จริงๆมีใช้รีโมตไร้สายกับขาตั้งกดถ่ายรูปตัวเองมาอยู่นะ แต่เนื่องจากอายคนอื่นเค้า คนอะไรเดินไปเดินมาถ่ายรูปตัวเองอยู่คนเดียวก็ได้ ก็เลยค่อนข้างยืนยุกยิกๆภาพเลยออกมาเบลอๆแนวกดติดวิญญาณซะมาก โชว์ไปก็น่าเกลียดเลยไม่โชว์ดีกว่า บล็อคจะได้โหลดเร็วขึ้นอีกหน่อย)


ที่ชั้นสองไปเจอร้านนี้ตกแต่งอารมณ์ country น่ารักๆไว้เรียกแขกและไว้ให้ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก


เช็คจาก internet มาว่าช่วงนี้ที่ MOSAIC มีการแสดง Ocean Fantasy Illumination พอดี ในเว็บบรรยายซะเลิศหรูอลังการ แต่ของจริงๆก็มีแค่แท่นไฟโค้งๆหลายๆสีที่เห็นในภาพนี่ล่ะ (จินตนาการไว้ว่าจะใหญ่โตอลังการกว่านี้นะเนี่ย)


แท่นไฟนี้จะเปลี่ยนสีสลับไปมาเรื่อยๆ จริงๆสีหลายๆสีอย่างภาพบนนี่ล่ะสวยสุด แต่ยังไงไม่รู้นอกจากภาพด้านบนนี้แล้ว ภาพอื่นกดไม่ได้สีอย่างนี้มาอีกเลย ได้แต่สีม่วงมาเกินกว่า 50% ของรูปทั้งหมด


พอดีว่าเรือลำหรูๆที่จอดอยู่หน้า Oriental Hotel ขยับมาจอดที่ท่าตรงชั้นล่างของ MOSAIC ก็เลยถือโอกาสนี้เก็บทั้ง Ocean Illumination + Kobe Tower + เรือ ไว้ในเฟรมเดียวกันซะเลย (แต่สามารถเก็บในภาพได้ ไม่ได้แปลว่าจะเก็บได้สวยนะ)


ถ้าจำไม่ผิดตรง Ocean Illumination นี่เค้าบรรยายไว้ประมาณว่าเป็นการแสดงแสงสีสวยงาม ประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในมหาสมุทรอะไรประมาณนี้ ซึ่งถ้าไปยืนที่ใต้ซุ้มไฟนี้แล้วค่อยๆซึมซับบรรยากาศก็อาจได้อารมณ์สุนทรีย์อย่างที่ว่า แต่ จขบ มัววุ่นอยู่กับการถ่ายรูปเลยไม่ทันได้รู้สึกสุนทรีย์อะไรกะเค้า ไฟก็สวยดีอยู่นะแต่ไม่มีคนช่วยถ่ายรูปให้นี่สิเซ๊งเซ็ง แต่ละคนมากันเป็นคู่ๆเพื่อมาดื่มด่ำบรรยากาศสุดโรแมนติค ไม่ได้มาตะบี้ตะบันถ่ายรูปอย่าง จขบ กัน ก็เลยไม่กล้าไปขัดจังหวะรบกวนเวลาส่วนตั๊วส่วนตัวเค้าเท่าไหร่


ซูมเรือและ Kobe Tower ชัดๆอีกสักภาพ รอตั้งนานกว่าคนที่นั่งตรงนี้จะลุกออกไปแล้วได้ภาพแบบไม่มีหัวคนบังมา


อุตส่าห์มาได้จังหวะเหมาะเหม๋งขนาดนี้แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า จขบ มีปัญญาครีเอตมุมถ่ายภาพได้แค่นี้ล่ะ ถ้าคนมุมมองดีกว่านี้คงได้ภาพเทพๆกว่านี้เยอะ (สุดท้ายนี้อยากบอกว่าเรือนี้น่านั่งนะเนี่ย ไม่เคยมีโอกาสนั่งเรือหรูๆอย่างนี้ล่องแม่น้ำ ล่องทะเล ทานข้าวกะเค้าเล้ยยย)


กว่าจะเลิกถ่ายรูปได้เล่นเอาเหนื่อยเลย ท้องก็ร้องดังโครกคราก(ดีว่าไม่มีใครได้ยิน เพราะเสียงรอบข้างดังกว่า ) ก็ได้เวลาหาของกินกันแล้ว เดินวนเข้าไปในส่วนร้านรวงต่างๆมองหาใครเหมาะๆที่จะถามหาร้านอาหารที่มีขายเนื้อโกเบที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเนื้อวัวที่ดีและแพงมากชนิดนึงของญี่ปุ่น (สารภาพเลยว่าทีแรกสุดที่ใส่โกเบเข้าไปในแพลนเที่ยวก็เพียงเพราะจะมากิน 神戸牛 Kobe-gyu เท่านั้นล่ะคุณแฟนเคยมากินกับครอบครัวแล้วก็มาแนะนำ จขบ ต่อว่าอร่อยจริงๆๆๆ แต่บังเอิญหาไปหามาเจอที่เที่ยวที่นี่เยอะเลยค่อยๆใส่เพิ่มเข้ามา)


เนื่องจากไม่ได้หาข้อมูลมาเลย แต่เดาว่าที่นี่ต้องมีร้านที่ขายของขึ้นชื่อของเมืองโกเบอยู่แล้วล่ะ สุดท้ายหลังจากเจ้าหน้าที่สาวญี่ปุ่นวอถามกันซะวุ่นวาย ก็ช่วยนำทาง จขบ มาที่ร้านนี้ในที่สุด อยู่ใน MOSAIC นี่ล่ะไม่ต้องไปไหนไกล (=ไปไกลไม่ไหวแล้ว)


ในร้านนี่เปิดไฟส้มๆสลัวๆซะโรแมนติคเชียว (มาคนเดียวนี่ถือว่าเสียเที่ยวอยู่เหมือนกัน โรแมนติคได้ไม่ครบคู่) คนไม่เยอะมากนัก ดูเมนูแล้วก็จัดมาเป็นเซ็ตเลยมีตั้งแต่ออเดิร์ฟยันของหวาน เริ่มจากออเดิร์ฟซุปใสกับสลัดผัก


เว้นระยะนานอยู่เหมือนกัน(แต่ก็ไม่นานมาก)กว่าจานหลักจะมา สเต๊กเนื้อโกเบแบบเน้นๆควันฉุยมาเลยทีเดียว (พร้อมข้าวสวยหนึ่งถ้วยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา)


กินเนื้อวัวขึ้นชื่อเป็นครั้งแรกทั้งที (พวกเนื้อดังๆอื่นๆอย่างเนื้อ Matsusaka นี่ จขบ ยังไม่เคยกินเลยอ่ะ) คำแรกๆนี่ตั้งอกตั้งใจค่อยๆละเลียดกินอย่างมากกลัวจะลิ้มรสสัมผัสได้ไม่คุ้มเงินที่เสียไป อย่างแรกที่รู้สึกคือ เนื้อนี่นิ่มมากกกกกกกกกกก แทบไม่ต้องใช้ความพยายามในการหั่นหรือการตัดเหมือนกินเนื้อปกติเลย เข้าปากแล้วก็เคี้ยวง่ายนุ่มนิ่มจริงๆเหมาะกับพวกไม่ชอบบริหารกรามอย่าง จขบ เป็นยิ่งนัก

เนื้อนิ่มมากและอร่อยสมราคาแพงๆเลย แต่ตินิดนึงว่า จขบ ไม่ค่อยชอบน้ำราดสไตล์ของร้านนี้เท่าไหร่อ่ะ (อย่างพวกร้านแฮมเบอร์เกอร์แนวๆ Pepper Lunch ที่ถือเป็นฟาสต์ฟู้ดประเภทนึงมีทั่วไปหลากหลายยี่ห้อในญี่ปุ่น ตัวแฮมเบอร์เกอร์ก็เป็นเนื้อหมูบดเหมือนๆกันแต่น้ำราดก็ทำให้รสชาติออกมาต่างกันไปในแต่ละร้านแต่ละยี่ห้อ)

สนนราคาของเซ็ตนี้คือ 4300 เยน (ราคานี้นี่ซื้อวัตถุดิบมาทำกับข้าวกินเองได้ทั้งอาทิตย์เลย แต่นานๆกินของดีสักทีก็ต้องกินให้มันดีสุดๆไปเลย) เงินที่จ่ายไปตกหนักที่จานหลักจานนี้ งานนี้เลยกินซะไม่เหลือแม้แต่เศษหัวหอมสักชิ้น

กินอิ่มท้องสมใจอยากแล้วก็ตบท้ายด้วยของหวานในเซ็ตกับ 神戸プリン Kobe-purin (Kobe Pudding) ตรงนี้อ่านมาว่า Kobe จะดังเรื่องพวกขนมฝรั่งเพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติเลยได้รับวัฒนธรรมเรื่องขนมๆมาเยอะ ยี่ห้อที่แนะนำกันนอกจากยี่ห้อ 神戸プリン Kobe-purin ก็รู้สึกจะมีพุดดิ้งยี่ห้อ モロゾフ Morozoff ทีแรก จขบ ก็ว่าจะไปหาลองกินอยู่เหมือนกัน แต่ได้กินในเซ็ตนี้แล้วเลยสบาย เผอิญว่าไม่ค่อยชอบพุดดิ้งเท่าไหร่อยู่แล้ว ขอได้ลองสนอง need หนเดียวก็พอใจละ (ไม่ชอบน้ำตาลไหม้ข้างล่างอ่ะ มันขม)


ได้กินของดังของโกเบสองอย่างสมใจอยากแล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นแพลนในวันนี้ จริงๆเห็นว่าใน MOSAIC มีร้านของ ジブリ Ghibli ด้วย ทีแรก จขบ ก็กะจะไปถ่ายรูปคู่กับป้าย トトロ Totoro หน้าร้านซะหน่อย แต่แบบว่าตอนนั้นเหนื่อยมาก ไปเดินหาร้านไม่ไหวแล้วเลยล้มเลิกแผนไปตามระเบียบ

ขอเม้าส์ว่าจขบ ยังไม่เคยไป Ghibli museum เลยเนี่ย ว่าจะหาโอกาสไปอยู่แต่เสียดายนะว่าเค้าไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน ข่าวดีคือ อ่านเจอมาว่าประมาณ กันยา 2011 ก่อน จขบ จะกลับไทยถาวร มีกำหนดเปิด Doraemon Museum แห่งแรกใกล้ๆโตเกียวด้วย งานนี้ไม่พลาดต้องไปให้ได้เลย เพราะเติบโตมากับ Doraemon นี่ล่ะ จขบ ถึงเลือกมาเรียนที่ญี่ปุ่นนี่ ส่วนคุณแฟนของ จขบ ที่กลับไทยไปเรียบร้อยแล้วน่ะเหรอ มีแต่บ่นว่าอยากมา Tokyo Tree ที่เดียว มองจากตึกแล็บ จขบ เห็นมันก่อสร้างอยู่ไกลๆทุกวันเลยเฉยๆ

ขาออกจาก MOSAIC กลับที่พักนี่ไม่มีการยกกล้องถ่ายรูปอะไรอีกเลย หอบสังขารเปลี้ยๆนั่งรถไฟกว่าครึ่งชั่วโมงกลับไปนอนเป็นตายที่ Toyoko Inn สาขา Shin-osaka ได้เป็นพอ วันนั้นนี่หลับสนิทจริงๆ หัวถึงหมอนหลับเป็นตายเลยเหนื่อยมากๆ ปวดไหล่ด้วยเหตุเพราะขาตั้งกล้องเจ้ากรรมที่แบกไป (ข้างที่สะพายกล้องน่ะไม่ปวด ปวดไหล่ข้างที่สะพายกระเป๋าที่โดนยัดขาตั้งกล้องอันเล็กเข้าไปอีกอันนี่ล่ะ)

เท่านี้ก็เป็นอันจบวันแรกของทริปนี้แล้ว ตอนต่อไปจะกลับไปเที่ยวที่ Osaka ไป Universal Studio Japan กัน (ผู้หญิงประหลาด ไปเที่ยวสวนสนุกคนเดียวก็เป็น) ในทริปนี้ USJ เป็นที่ๆ จขบ ชอบมากที่สุดเลย มันบรรยากาศคึกคัก มีอะไรสวยๆแปลกๆสีสันสดใสๆให้ถ่ายรูปเยอะดี เพลินมากขนาดลืมร้อนลืมเหนื่อยลืมเหงาไปซะสนิท(แต่ไม่ลืมกล้องนะ ) ไปคนเดียวเลยไม่มีคุณแฟนมาบ่นร้อน บ่นเหนื่อย บ่นหิวอยู่ข้างๆ อยากเดินนานแค่ไหน เดินไปถึงไหนต่อไหน อยากต่อคิวอะไรก็ลุยโลด ถือว่าเป็นวันนึงที่ จขบ รู้สึกว่าได้เต็มที่กับชีวิตจริงๆ ส่วนรายละเอียดนั้นติดตามบล็อคหน้าจ้า

--------------------------------------------------

ภาพในบล็อคนี้ ถ่ายจาก Canon EOS Kiss X3 + EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM พอฟ้าเริ่มจะมืดลงแล้วจะถ่ายด้วยโหมด RAW ล้วนๆเพื่อมาแก้ WB ให้ถูกต้องทีหลังด้วย DPP และ หลายๆภาพที่ปักหลักถ่ายวิวกลางคืนจะใช้ขาตั้งกล้องช่วยด้วยเพื่อจะได้ไม่ต้องเร่ง ISO กันมากนัก

--------------------------------------------------

รวมบล็อคทั้งหมดของทริป

1. [[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 1: Kobe Nunobiki Herb Park แดดร้อนกว่านี้มีอีกมั๊ยยยย
2. [[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 2: กินเนื้อโกเบ ทำโรแมนติค(อยู่ได้คนเดียว) ที่ Harborland
3.
4.
5.

--------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ใน OneDrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2553    
Last Update : 31 ธันวาคม 2557 3:17:35 น.
Counter : 9212 Pageviews.  

[[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 1: Kobe Nunobiki Herb Park แดดร้อนกว่านี้มีอีกมั๊ยยยย


>> คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ใน OneDrive

กว่าจะได้ฤกษ์อัพบล็อคทริปนี้ก็ผ่านมาเกือบเดือนพอดี ช่วงนี้งานเข้ายุ่งๆอยู่พอควรเพิ่งจะเริ่มซาลงไป ประกอบกับมีคนบ่นคิดถึงเลยต้องรีบมาอัพบล็อคแก้ตัวซักหน่อย

ทริปนี้เกิดขึ้นกะทันหันจากอารมณ์ติสต์แตกในช่วงนั้น(ต้นเดือนกันยา)ที่เพิ่งกลับจากไทยไม่นาน บรรยากาศปิดเทอมยังลอยฟุ้งทั่วแล็บและมหาลัย พลอยทำให้ไม่มีอารมณ์จะนั่งแกร่วทำงานอยู่ที่แล็บเอาซะเลย อยากหาเรื่องไปเที่ยวไปถ่ายรูปก่อนจะเปิดเทอมแล้วมีคลาสมีมีตติ้งจนโดดไปไหนไม่ได้ ปัญหาคือมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะชวนใครไปด้วยดีกะทันหันแบบนี้ ก็เลยตัดสินใจลุยเดี่ยวมันซะเลยดีกว่า ไปต่างประเทศคนเดียวยังไปมาแล้ว ภาษาเค้าก็พูดไม่ได้ยังรอดมาได้เลย นี่ในญี่ปุ่นพูดพอได้เที่ยวเองไหวอยู่แล้วน่ะ ว่าแล้วก็ลุยยย

นับจากวันที่ตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวแถบ Kansai (ที่ จขบ ยังไม่เคยไปแบบจริงจังเลยสักครั้ง) ใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์สำหรับการแพลนที่เที่ยวที่พักและจองทุกสิ่งอย่าง งานนี้ทำตามใจตัวเองล้วนๆ (แล้วแพลนเที่ยวแบบที่ จขบ ชอบทำนี่ก็นะ ไม่ค่อยมีใครอยากไปด้วยเท่าไหร่ เที่ยวแบบคนเน้นความสบายเข้าว่า มันก็ต้องเสียเงินแพงกว่าหน่อยนึง)

ทีแรกนั้นกะว่าจะเบสอยู่ที่ Shin-osaka แล้วแวะไปหลายๆที่อย่างละนิดละหน่อยทั้ง Nara, Kobe แล้วก็อาจจะ Kyoto ด้วยถ้ามีเวลาเหลือพอ (เสียดายว่าปราสาท Himeji ยังอยู่ในช่วงปรับปรุง ถึงไปก็คงมีเครนเต็มไปหมดเลยไม่ไปดีกว่า) แต่นั่งคุ้ยกระทู้ไปๆมาๆเจอที่เที่ยวน่าสนใจที่ Kobe หลายแห่ง แวะไปวันเดียวคงไม่พอ เนื่องจากมีเวลาแค่สามวัน แพลนหนนี้เลยยุบเหลือแค่ Kobe & Osaka โดยไป Kobe 2 วันและอยู่ Osaka 1 วัน ส่วนพวก Kyoto & Nara นั้นเดี๋ยวหน้าใบไม้ร่วงนี้มีแพลนจะมาเก็บวิวใบไม้เปลี่ยนสีอยู่แล้ว ค่อยมาตอนบรรยากาศสวยๆตอนนั้นเลยดีกว่า

ทริปนี้ออกตัวมาอย่างไม่ค่อยราบรื่นนัก จ่ายเงินซื้อตั๋วชินคันเซนเรียบร้อยแล้ว แต่กลับประมาทเรื่องโรงแรมไป เห็นว่าไม่ใช่ช่วงวันหยุดคนไม่น่าจะเยอะ กว่าจะไปจอง Toyoko Inn ก็ปรากฏว่าสาขาที่ Kobe อันไหนๆก็เต็มแน่นไปหมด (ทำไมก็ไม่รู้สิเนี่ย คนมาเที่ยวโกเบกันเยอะเหรอ?) สุดท้ายก็ต้องย้ายกลับมาจองที่สาขา Shin-osaka แทน (แปลกว่าสาขานี้กลับโล่งเชียว) นั่งรถไฟ(แบบเร็วสุด)จาก 新大阪 Shin-osaka ไป 三ノ宮 Sannomiya ใช้เวลาประมาณ 30 นาที 540 yen งานนี้ก็เลยจำต้องเสียค่ารถไฟวิ่งไปๆกลับๆถึงสองวัน เอาน่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีที่จะซุกหัวนอน โชคยังดีว่าไปเจอ Summer Campaign ของ Toyoko inn สาขา Shin-osaka เข้า บวกลบค่ารถไฟแล้ว(แต่ไม่นับค่าเสียเวลา)ก็ถือว่าถูกกว่าพักที่ Kobe นิดนึง

ร่ายมาซะยาวยังไม่ได้เริ่มเดินทางเสียที ช่วงวันก่อนที่จะเดินทางนั้นที่โตเกียวอากาศเย็นสบายขึ้น ก็ยังแอบดีใจอยู่ว่าจะได้เที่ยวแบบไม่ร้อนซะหน่อย แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น เดือนกันยาอากาศยังแปรปรวนเดี๋ยวๆร้อนเดี๋ยวๆเย็น แล้วช่วงที่ จขบ ไปเที่ยวก็ดันเป็นช่วงที่แปรปรวนกลับมาร้อนพอดี แดดแรงร้อนสุดๆ ผ่านมาเกือบเดือนแล้วผิวยังไม่หายคล้ำจากทริปนี้เลย

พวกรักสบายอย่าง จขบ แน่นอนว่าขอยอมเสียเงินเดินทางไปด้วยชินคันเซน คือจะให้ไปนั่งรถบัสทั้งคืนนี่คงไม่ไหวอ่ะ เสียดายตังค์อยู่แต่อยากเก็บแรงไว้เที่ยวมากกว่า จองตั๋วไว้แบบ 自由席 Unreserved ก็หวุดหวิดจะไม่ได้ที่นั่งแล้ว คนเยอะมากกว่าที่คิดซะอีก (หรือเพราะมันเป็นวันศุกร์??) ขึ้นนั่งได้ปุ๊บก็ตั้งหน้าตั้งตาหลับกันเลยอย่าให้เสียเวลา

ลืมตาตื่นมาอีกทีก็ออกมาไกลจนเห็นทุ่งนาเขียวๆสวยๆแบบญี่ปุ่นๆแบบนี้อยู่ข้างนอกหน้าต่างแล้ว (ทีแรกก็นึกว่าทุ่งหญ้า ก็คิดอยู่ว่าทุ่งหญ้าญี่ปุ่นนี่มันเป็นบล็อคสี่เหลี่ยมดูเป็นระเบียบดีจัง)


หลังจากนั่งหลับบ้างตื่นบ้างมาเป็นชั่วโมงๆ ในที่สุดก็ถึงปลายทางที่สถานี Shin-osaka ขอแวะเอาสัมภาระไปฝากโรงแรมก่อนแล้วค่อยไปลุย Kobe วันแรกกัน


Toyoko Inn ที่นี่ก็ยังคงคอนเซ็ปเหมือนสาขาอื่น คือ จากสถานีรถไฟหลักจะต้องมองเห็นป้ายโรงแรมได้ทันที ก็เลยเดินหาง่ายหน่อย แต่ปรากฏเดินๆไปจนถึงป้ายตึกนั้นกลับไม่ใช่โรงแรมซะงั้น โรงแรมอยู่อีกบล็อคใกล้ๆกัน เดาว่าคงเพราะถ้าวางป้ายไว้แต่บนตึกโรงแรมมันจะโดนตึกบัง มองไม่เห็นจากสถานี เลยต้องมีการไปเช่าพื้นที่ตึกใกล้ๆเพื่อขอวางป้ายโรงแรมที่ข้างบนสักหน่อย

เช็คอินฝากกระเป๋าเสร็จก็ออกเดินทางทันที ทั้งร้อนทั้งหิวกะจะไปฝากท้องที่บุฟเฟ่ต์สมุนไพรตามที่อ่านรีวิวมาเต็มที่ จาก 新大阪 Shin-osaka นั่งรถไฟ JR 東海道山陽 Tokaido-sanyo ถ้าเลือกคันที่วิ่งเร็วสุด (จำชื่อไม่ได้อ่ะ วิธีตั้งชื่อมันไม่เหมือนที่โตเกียว) ก็ประมาณ 27 นาทีก็จะถึงสถานีหลักของ Kobe สถานี 三ノ宮 Sannomiya แล้ว แต่เป้าหมายแรกของเราวันนี้อยู่เลยไปอีกนิดนึง ต่อรถไปอีกหน่อยจนถึงสถานี 新神戸 Shin-kobe (ถ้านั่งชินคันเซนมา ก็จะมาลงที่สถานีนี้พอดีเลย)


ณ ตรงนี้ขออนุญาตให้เครดิตสักนิด แพลนเที่ยว Kobe วันแรกนี้หลักๆเอามาจากรีวิว Review Japan 2010ฤอุปสรรคจะพิสูจน์รัก... วันทีเจ็ด Kobe : Kitano Ijinkan- Nunobiki Herb-Park-Kobe Earthquake Museum – Ha ของคุณ CMV ณ ห้อง Blueplanet@pantip ทั้งข้อมูลสถานที่ ราคา เวลาทำการ และวิธีการเดินทางทำไว้ได้ละเอียดมากๆ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ (อาจจะแปลกหน่อยว่า จขบ มาโกเบครั้งแรกแต่กลับไม่ได้ไปจุดไฮไลท์อย่าง Mt.Rokko เหมือนคนอื่นเค้า แต่หายห่วงได้เพราะมีแพลนกลับไปเก็บตกเรียบร้อยแล้วค่า )

จุดหมายแรกที่จะไปนั้นคือ 布引ハーブ園 Nunobiki Herb Park จากสถานีรถไฟ Shin-kobe ต้องเดินไปนิดนึงเพื่อไปขึ้นกระเช้าขึ้นเขากัน(สถานีของกระเช้าชื่อ 北野一丁目 Kitano-icchome) ซึ่งทางไปนั้นไม่ยากเลย ออกจาก gate ของสถานีรถไฟ Shin-kobe ก็จะเจอป้ายหน้าตาประมาณนี้ชี้ทางไปอยู่แล้ว


เดินตามป้ายขึ้นลิฟท์ไปก็จะเจอ ทางไปขึ้นสถานี Ropeway อยู่ตรงหน้าอย่างนี้ (ที่ซุ้มประตูเขียนว่า 新神戸ロープウェー Shin-kobe Ropeway)


ออกกำลังขาเดินขึ้นบันไดกันสักหน่อย ซึ่งอะไรๆก็ดีอยู่หรอกนะ แดดแรงท้องฟ้าเลยสีสวยใสแจ๋ว แต่ปัญหาคือมันร้อนกันจริงๆจังๆเลย ไม่รู้วันนั้นทำไมต้องบังเอิญมาแดดเหลือเฟือขนาดนี้ด้วย(แถมเป็นแดดตอนเที่ยงวันอีกต่างหาก) แว่นกันแดดก็ไม่ได้เอามายิ่งเดินยิ่งลายตาไปหมด (ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ก็ดีว่าฟ้าครึ้มๆถ่ายรูปออกมาไม่สวยละกันน่า)


ขึ้นบันไดไปไม่ไกลนักก็จะเจอที่ขายตั๋วขึ้น Ropeway กันแล้ว (ค่อยยังชั่วหน่อย ได้หลบแดดกันซะที)


จขบ ซื้อตั๋วแบบไปกลับและรวมถึงค่าเข้า Nunobiki Herb Park ด้วยก็ราคา 1200 yen ถ้าใครจะฮึดซื้อตั๋วแค่ขาเดียว ขากลับจะเดินลงเขาชมวิวมาก็ไม่ว่ากัน แต่ จขบ คงไม่เอาด้วยขอเป็นแค่ตากล้องอย่างเดียวก่อน ยังไม่อาจหาญจะไปลองเป็นนักเดินเขากะเค้า


วันนั้นเป็นวันศุกร์และก็ไม่ใช่วันหยุดอะไร ที่ขึ้นกระเช้าก็ดูเงียบเหงาพอควร กระเช้าว่างๆก็วนตามสายเคเบิ้ลมาเรื่อยๆให้เปลืองไฟเล่น คนน้อยๆอย่างนี้ก็นั่งกันไปเลยหนึ่งกรุ๊ปต่อหนึ่งกระเช้า จขบ มาคนเดียวก็เลยจองไปเลยคนเดียวทั้งกระเช้า


กระเช้าออกตัวไต่ระดับ มองลงไปอดเสียวไม่ได้ว่าสูงเหมือนกันนะเนี่ย แถมนั่งอยู่คนเดียวอีกตะหาก ถ้าเกิดมีอาการช็อคกลัวความสูงขึ้นมากะทันหันนี่คงจะแย่ จะลงกลางทางก็ไม่ได้ด้วย


ใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับกระเช้าสักสองสามนาที แล้วค่อยเริ่มถ่ายรูปบรรยากาศมุมสูงของเมืองโกเบจากบนกระเช้า หน้าร้อนตอนกลางวันก็คงเห็นได้ประมาณนี้ ภูเขาเขียวอื๋อทั้งลูก ถ้าหน้าใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวยกว่านี้เยอะ


วันนั้นแดดเหลือเฟือจริงๆ ยิ่งกระเช้าขึ้นสูงยิ่งรู้สึกแดดแรงขึ้นๆทุกที


ถ่ายรูปวิวรูปโน่นนี่ไปคนเดียว หันมาอีกทีเห็นสถานีกระเช้าอยู่ข้างหน้าแล้ว (ณ สถานีนี้แอบปล่อยไก่โดยการโดดลงจากกระเช้า ที่ไหนได้นี่มันสถานีกลางทาง ยังไม่ใช่สุดสถานีที่ที่ จขบ จะไป ดีกว่ากระเช้าเลื่อนช้าเลยโดดกลับขึ้นไปทันสบายๆ)


นั่งสูงต่อขึ้นมาอีกหน่อย สถานีนี้สิของจริง สถานีปลายทางที่ Nunobiki Herb Park โดยปกติคนก็มักจะขึ้นมาจนถึงสถานีสูงสุดนี้ แล้วค่อยเดินย้อนลงเขาไป ช่วยประหยัดพลังงานในการเดินขึ้นเขาไปได้พอควร (แต่เอาจริงๆเดินลงเขาก็เมื่อยและเกร็งเท้าไม่เบา)


ออกจากกระเช้าแคบๆแล้วก็มาสูดรับโอโซนกันสักนิด (แต่แดดแรงมาก สูดได้แป๊บๆก็รีบหนีเข้าร่มแล้ว)


พอลงกระเช้ามาแล้วก็จะเป็นลานกว้างสำหรับไว้ชมวิว มองไปก็จะเห็นเมืองโกเบเล็กจิ๋วอยู่ตรงหน้า


โชคไม่ดีว่าทางด้านเมืองนั้นเมฆเยอะมองไปก็เลยเห็นวิวแค่ประมาณนี้ แต่ถ้าเป็นวิวกลางคืนคิดว่าคงสวยกว่านี้เยอะ เห็นอยู่แว้บๆว่า Ropeway นี้กำลังมีโปรโมชั่นสำหรับชมวิวกลางคืนอะไรสักอย่าง


ด้านหลังของลานชมวิว บรรยากาศต้อนรับคนมาเที่ยวเป็นตึกทรงฝรั่งสีสันสดใสน่ารักแบบนี้


แดดดีๆฟ้าเข้มๆนี่ถ่ายรูปขึ้นจริงๆอันนี้ไม่เถียง แต่มันร้อนนี่สิ เล่นเอาเหนื่อยเพลียกันได้ง่ายๆ ไม่ค่อยมีแรงเดินเที่ยวเลย


ก่อนจะเป็นลมเพราะความร้อนบวกความหิวก็ต้องแวะหลบแดดและเติมพลังให้ตัวเองซะก่อน จากรีวิวของคุณ CMV ที่นี่มีบุฟเฟ่ต์อาหารสมุนไพรช่วงกลางวันด้วย อ่านรีวิวจบแล้วตั้งเป้าไว้เลยว่าต้องมาลองทานให้ได้ ราคาต่อคนก็ 2100 yen เท่านั้น ก็ไม่แพงมากแต่ก็ไม่ถูกนัก สถานที่ต้องขึ้นลิฟต์มานิดนึงถ้าไม่รู้ทางลองถามพนักงานสักคนแถวนั้นได้ (จขบ ก็คนนึงล่ะที่หาร้านอาหารไม่เจอ ต้องไปถามเค้าว่า レストランハーブガーデン Restaurant Herb Garden อยู่ตรงไหน แต่ตอนถามต้องออกเสียงให้ได้สำเนียงญี่ปุ่นๆด้วยนะว่า เรซึโทรันฮาบุกาเด้น)


ตอนที่ไปนั้นก็อยู่ในช่วงเวลากินข้าวเที่ยงพอดี คนไม่เต็มแน่นทุกโต๊ะ(เพราะไปวันคนเค้าทำงาน) แต่ก็มีโต๊ะใหญ่ๆและโต๊ะเล็กๆประปราย คนหิวๆวางของปุ๊บก็ตรงดิ่งไปตักอาหารทันที (ทั้งกระเป๋าสะพาย ข้างในมีกระเป๋าตังค์และโทรศัพท์ ทั้งกล้องอะไรก็วางแหม่ะไว้บนโต๊ะนั่นล่ะ ทำได้เพราะที่นี่คือที่ญี่ปุ่น) อาหารเป็นเหมือนในรีวิวเป๊ะ คือจะเป็นจานหลุมๆให้ตักมาอย่างละนิดละหน่อยแบบนี้ (ขอข้าวด้วย เดี๋ยวไม่อยู่ท้อง)


มาสวนสมุนไพรทั้งที ก็ต้องมีสมุนไพรให้เล่นให้ลองกันบ้าง ตรงนี้จะเป็นชาสมุนไพร มีสมุนไพรหลายๆอย่างใส่กระปุกไว้ให้เลือกตักใส่แก้วตามใจชอบ เติมน้ำร้อนปิดฝาแล้วก็หยิบนาฬิกาทรายติดมือมาด้วยอันนึง พอทรายลงหมดก็เปิดฝาเอาตัวกรองที่ใส่(ซาก)สมุนไพรออก เท่านี้ก็ได้ชาสมุนไพรทำเองแล้ว


เห็นแต่วิวกลัวว่าจะเบื่อกัน เลยแอบแคนดิตพนักงานคนญี่ปุ่นน่ารักๆมาให้ใบนึง (ผู้หญิงญี่ปุ่นหลายๆคนเป็นอะไรที่ บางทีมองแต่หน้าตาก็เฉยๆ แต่พอเอ่ยปากพูดเมื่อไหร่นี่รู้สึกว่าน่าร๊ากน่ารัก ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ฟังแล้วคิกขุอาโนเนะน่ารักจริงๆ)


ต่อจากของคาวก็ตบด้วยของหวานต่อ มีพวกเอแคลและเค้กนิดๆหน่อยๆ(สีส้มคือเค้กแครอท) ในถ้วยคือมะม่วงในน้ำเชื่อมหวานๆ (แต่ขอบอกว่ารสชาติมะม่วงไม่ได้อร่อยใกล้เคียงกับมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไทยเลยสักนิด)


สุดท้ายท้ายสุดกับไฮไลท์ของบุฟเฟ่ต์นี้ที่คุณ CMV รีวิวไว้ กับไอติมสมุนไพรสิบรส แต่ จขบ ไม่ได้ชอบของหวานเท่าไหร่เลยเอามาสองรสพอ สีเขียวคือรส ほうれん草 Horenso (ชื่อไทยจำไม่ได้น่าจะปวยเล้งหรือตังโอ๋สักอย่าง) สีม่วงอ่อนๆคือรสลาเวนเดอร์


แปะภาพอาหารให้ดูให้หมดก่อนค่อยมารีวิวตอนท้ายสุดเพราะไม่อยากให้เสียอรรถรส ในเรื่องของบุฟเฟ่ต์ที่นี่คงต้องขอเห็นต่างกับคุณ CMV สักนิด ถ้าใครไม่อยากเสียอรรถรสดีๆในการอ่านแนะนำให้ไปอ่านรีวิวของคุณ CMV แทน เพราะโดยส่วนตัวของ จขบ แล้วรู้สึกไม่ถูกใจกับบุฟเฟ่ต์นี้เท่าไหร่

หนึ่งคือเรื่องอาหารคาว ชนิดอาหารมีน้อยมาก จานที่เห็นว่ามีเก้าหลุมนี่ก็เกือบจะพอดีๆกับจำนวนชนิดอาหารเลย จริงอยู่ว่าอาหารเน้นในเรื่องว่าเป็นอาหารสมุนไพร ก็มีพวกผักหญ้าอะไรเป็นหลักซะหลายอย่าง ส่วนตัว จขบ ก็ชอบกินผักนะ แต่ก็ชอบกินเนื้อให้หนักท้องด้วย เจออาหารแบบผักเป็นหลัก เน้นรสชาติแบบไม่หนักไม่จัด รสจางๆแบบธรรมชาติๆนี่รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกปากเอาซะเลย ในบรรดาสิบกว่าอย่าง จขบ ชอบอยู่แค่ 2-3 อย่างเองอ่ะ(จานเนื้อทั้งนั้น) อันอื่นมันดีต่อสุขภาพมากไป รสชาติไม่ค่อยถูกใจ

สองคือเรื่องชาสมุนไพร ได้ชงชาสมุนไพรเองก็น่าสนุกดีจริงๆนะ แต่เผอิญว่า จขบ รู้เรื่องสมุนไพรกะเค้าที่ไหน สมุนไพรแต่ละชนิดให้รสยังไงก็ไม่รู้ เลือกหยิบมามั่วๆปริมาณก็กะมั่วๆอีกตะหาก ผลออกมามันรสแปลกๆอ้ะ รอบหลังเปลี่ยนไปกินแบบที่เค้าชงมาให้แล้วและเรารู้จักแทนดีกว่า

สามคือเรื่องของหวาน จขบ ไม่ชอบทานของหวานนะ แต่ปกติจะชอบถ่ายรูปมันมากกว่าเพราะของหวานญี่ปุ่นมักหน้าตาสวยๆ แต่ของหวานที่นี่จะหน้าตาเพลนๆเลย พวกเค้กอะไรก็มีอยู่แค่ 4-5 ชนิดเองมั้งไม่ค่อยมีอะไรที่หน้าตาดึงดูดใจเท่าไหร่ (เค้กเพื่อสุขภาพจะให้ปาดครีมมาหนาๆก็คงไม่ได้อ่ะเนอะ)

สุดท้ายคือเรื่องไอติมสมุนไพร ได้ลองแค่สองรสก็จริงแต่ไม่ค่อยประทับใจนัก รสสีเขียวน่ะแปลกดีเพราะเป็นรสผักและทำรสชาติได้เข้มข้นกลมกล่อมอร่อยใช้ได้ แต่รสลาเวนเดอร์นี่นอกจากสีม่วงอ่อนๆแล้ว กลิ่นลาเวนเดอร์มันจางเอามากๆ เนื้อไอติมก็ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำแข็งใสซะมากกว่า สรุปว่าไม่ประทับใจ

ก็ส่วนตัวสำหรับ จขบ แล้วคิดว่าถ้ากะจะมาหาของอร่อยๆเลิศๆกินให้คุ้มที่ตรงนี้เลย คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก อาหารและขนมไม่ได้เยอะแยะมากมาย หรืออร่อยอลังการอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าเน้นว่ามานั่งกินไปคุยไปชมวิวชมบรรยากาศข้างนอกไปด้วยก็คงคุ้ม นั่งกินทีละนิดๆชมวิวไปเรื่อยๆ อาหารก็แนวๆกินเยอะไม่อ้วนมากดีต่อสุขภาพ จริงๆ 2100 yen ต่อคนก็ไม่ได้แพงนัก แต่ จขบ เองอยู่ญี่ปุ่นก็อาจจะชินกับอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้วเลยไม่รู้สึกว่าอาหารที่นี่มันจะแตกต่างจากอาหารญี่ปุ่นทั่วไปยังไง ส่วนตัวกินเสร็จแล้วเสียดายนิดๆว่าน่าจะเก็บเงินค่าบุฟเฟ่ต์นี้ไปสมทบทุนกินเนื้อโกเบดีกว่า >,< (บุฟเฟ่ต์นี้ จขบ กินไม่คุ้มด้วยเพราะรสชาติไม่ค่อยถูกปาก กินแค่พออิ่มไม่ค่อยได้เติมรอบสองรอบสามเลย)

ยังไงก็ตามแต่ก็ได้เติมพลังจากบุฟเฟ่ต์แล้ว ก็ถึงเวลาลุยสวนสมุนไพรกันซะที เริ่มจากที่แรกที่เห็นอยู่ข้างหน้าคือ Fragrance museum ตึกทรงตะวันตกน่ารักๆตัดกับฟ้าใสๆดูเด่นมาเลย


ชื่อมันบอกว่าเป็น museum ก็จริงแต่ข้างในก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเท่าไหร่นัก เดินแป๊บๆก็ทั่วหมดแล้ว มีอันนี้หน้าตาเหมือนอุปกรณ์ชั่งตวงวัดสมัยก่อน


อีกมุมนึงหน้าตาคล้ายที่กลั่นน้ำหอมสมัยโบราณ


ส่วนบ้านจำลองหลังนี้เกี่ยวกันยังไงก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่น่าจะเป็นการจำลองให้เห็นถึงบ้านเรือนแบบตะวันตกในสมัยก่อน(มั้ง)


เท่านี้ก็หมดของให้ดูที่ข้างในแล้ว เดินดูยังไม่ 10 นาทีเลยด้วยซ้ำ ออกมาจากประตูทางด้านหลังก็เจอสวนสมุนไพรเล็กๆ แต่ด้วยแดดที่แรงและแสงแข็งโป๊กก็ได้ภาพออกมาประมาณนี้เอง


มองไปทางไหนมีแต่ใบไม้เขียวๆไม่ค่อยอยากถ่ายเท่าไหร่ เลยขอโคลสอัพเห็ด(มั้ง)อะไรสักอย่างที่ขึ้นพันอยู่ตรงขาเก้าอี้ที่ทำจากไม้ซุง


Fragrance Museum ก็มีแค่นี้ ต่อจากนั้นจะเริ่มเดินวนเพื่อลงเขาไปเรื่อยๆมุ่งหน้าไปสถานีตรงกลาง(สถานีที่ จขบ โดดลงผิดมาแล้วหนนึง)เพื่อขึ้นกระเช้ากลับลงข้างล่าง ระหว่างทางก็มีสมุนไพรโน่นนี่รายทางแต่เนื่องจากมันเป็นหน้าร้อนก็ไม่ค่อยมีวิวงามๆของดอกไม้หรือใบไม้สีแปลกๆให้ถ่ายมากนัก


ช่วงที่อยู่ที่นี่นั้นหารูปถ่ายตัวเองยากแสนยาก เพราะวันที่ จขบ ไปคนมาเที่ยวกันน้อยมากๆ บางทีมองไปรอบๆหาคนอื่นนอกจากตัวเองไม่ได้เลย ก็เลยพลอยหาคนช่วยกดชัตเตอร์ให้ไม่ได้ นานๆจะมีคนผ่านมาช่วยกดชัตเตอร์ให้บ้างอย่างรูปนี้ (ถ้ารู้ว่าจะเงียบและคนน้อยขนาดนี้ ไม่น่าเอาขาตั้งกล้องและรีโมตไร้สายที่อุตส่าห์แบกมาเก็บไว้ที่ล็อคเกอร์ตรงสถานี Shin-kobe เล้ยยย อดได้รูปตัวเองที่นี่เยอะๆเลยเนี่ย)


บรรยากาศใบไม้เขียวอื๋อก็ชินแล้ว(ก็คนไทยหนิ) เดินๆไปก็พยายามเก็บภาพสมุนไพรสีสวยๆต่างๆแทน ถึงจะมีน้อยก็ยังพอมีบ้าง


ดอกสีส้มในรูปนี่ จะว่าไปคล้ายดอกดาวเรืองนิดๆเหมือนกันนะ ใช่หรือเปล่าก็ไม่รุ้


เดินลงเขานี่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้สบายเลย หนนี้ขนาดว่าไม่ได้เปรี้ยวลากส้นสูงมานะเนี่ย แต่พอต้องเดินลงเขาและคอยระวังไม่ให้เหยียบพลาดแล้วจะลื่นตกทางลาดไปเนี่ยก็เกร็งเมื่อยขาใช้ได้เลย ภาพนี้เดินลงมาได้ระยะนึงแล้ว เห็นดอกหญ้า(มั้ง)ชูช่อตัดกับท้องฟ้าแล้วสวยดีเลยแชะมาซะหน่อย


เดินอยู่บนนี้นี่เมื่อยขาไม่พอ แดดร้อนเปรี้ยงๆกับการที่นอนมาไม่พอยิ่งทำให้รู้สึกเพลียและเหนื่อยเอามากๆ (รู้สึกว่ากล้องกับเลนส์มันหนักกว่าปกติขึ้นเยอะเลย) ตาก็ลายจากแสงแดดจ้าๆที่ส่องเข้าหน้าอยู่ตลอดเวลา มีโอกาสเจอเรือนกระจกให้หลบแดดตรงนี้เลยรีบโดดเข้าไปพักทันที


เรือนกระจกตรงนี้เปิดโล่งไม่ได้ปรับอากาศไว้ แต่ก็ยังพอช่วยบังแดดร้อนๆข้างนอกได้ ระหว่างพักก็แชะสมุนไพรเล็กๆน้อยๆมานิดนึง ต้นอะไรไม่รู้ ไม่เคยอ่านป้ายมา เห็นว่าแสงลงสวยดีเลยถ่ายไว้


นี่อีกต้น จะว่าไปหน้าตาคุ้นๆบอกไม่ถูก น่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่คนไทยอย่างเราคุ้นเคยนะเนี่ย แต่นึกไม่ออกอ้ะ


พักจนพอหายตาลายจากแดดแล้วก็ลุยกันต่อ ไปเจอศาลานั่งพักสวยๆเข้าที่ตรงนี้ ขนาดใบไม้เขียวๆอย่างนี้ก็ยังดูสวยเลย


แต่มั่นใจมากว่าถ้าฤดูใบไม้เปลี่ยนสีตรงนี้ต้องสวยกว่านี้ เพราะต้นไม้รอบๆนี้มันต้นโมมิจิทั้งนั้น เท่าที่เดินๆดูบนภูเขานี้รู้สึกว่าต้นโมมิจิเยอะมาก อีกสักสองสามเดือนใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งเขาอาจกลายเป็นสีเหลืองสีแดงสีส้มงามๆ วิวตอนขึ้น ropeway มาคงจะน่าดูไม่เบา (ส่วนต้นซากุระนั้นดูไม่ออกเลยไม่รู้ว่าที่นี่มีซากุระเยอะแค่ไหน)


เดินไปก็ร้อนไป เจอสวนลาเวนเดอร์เล็กๆที่ตรงนี้ ซึ่งก็คงเพราะแดดที่แรงซะขนาดนี้ทำให้มันดูไม่ค่อยสวยงามนัก ลาเวนเดอร์มีน้อยแถมหญ้าและดินก็มีร่องรอยโดนแดดเผาจนเหี่ยวหงอยไปพอประมาณ


ว่าไปแล้วทุ่งดอกลาเวนเดอร์กับทุ่งดอกทิวลิปนี่ จขบ จะมีโอกาสได้ไปดูก่อนกลับไทยไหมหนอ ฮอกไกโดหน้าร้อนก็แพง คนเยอะ แถมตอนนั้นก็ใกล้เรียบจบอีกตะหากคงยุ่งแน่ๆ


หนึ่งในความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรที่ได้จากที่นี่คือ รู้ว่าดอกบานไม่รู้โรยมีชื่อภาษาญี่ปุ่นเก๋ๆว่า センニチコウ Sennichiko


และแล้วความพยายามเดินของ จขบ ก็ใกล้จะสัมฤทธิ์ผล เห็นสถานีขึ้นกระเช้าอยู่ข้างหน้าแล้ว (เมาแดด แสบตา เพลียเต็มที่จะเดินลงเขาต่อไม่ไหวแล้วเนี่ย)


เห็นสถานีอยู่ใกล้ๆแล้วค่อยมีแรงเดินต่อมีแรงถ่ายรูปต่อหน่อย อีกสักสองสามแชะสุดท้ายกับฟ้าใสๆบนภูเขา (บรรยากาศเขียวอื๋อเหมือนเที่ยวอยู่เมืองไทยเลย)


ดอกไม้ดอกหญ้าอะไรเล็กๆน้อย ถ้าฟ้าใสๆนี่อะไรๆก็ถ่ายรูปขึ้นกล้องได้อีกเยอะ


และแล้ว จขบ ก็มาถึงสถานีขึ้น ropeway จนได้ ก่อนจะขึ้นกระเช้าก็แวะปั๊มตราที่ระลึกสักนิดนึงอุตส่าห์มาทั้งที


วิวขาลงก็ไม่ต่างจากขาขึ้นเท่าไหร่ ยังแดดแรงแจ๋เหมือนเดิมขนาดผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว (แดดเหลือเฟือตอนหน้าร้อนนี่ น่าจะมีใส่กระป๋องแบ่งๆไปให้ตอนหน้าหนาวบ้างเนอะ ช่วงหน้าหนาวนี่เห็นแดดทีแทบกระโจนเข้าใส่เลย)


กลับลงมาถึงสถานี ropeway ที่ด้านล่างสุด จากตรงนี้สามารถเดินต่อไป 北野異人館 Kitano Ijinkan (หมู่บ้านแบบตะวันตกเก่าๆ) ได้ จากรีวิวของคุณ CMV ก็ตั้งใจว่าจะไปตามรอย ซื้อตั๋วถูกสุดเข้าเฉพาะสองหลังที่เป็นไฮไลท์เท่านั้น ก่อนจะออกจากสถานี ropeway ก็เลยเช็คแผนที่ของ Ijinkan ที่มีแปะไว้นิดนึง


ทางที่เดินไป Ijinkan นั้นจะเป็นคนละทางกับทางที่เดินกลับไปสถานีรถไฟ Shin-kobe ทางมา Ijinkan จะมีกิจกรรมฝาผนังสีสันสดใสน่ารักรายทางแบบนี้


ตามรีวิวของคุณ CMV ก็เดินมาจาก Ijinkan จนถึงที่ขึ้น ropeway ตรงนี้เหมือนกัน ถ้าเดินมาถูกทางก็จะเจอป้ายเขียนว่า 新神戸ロープウェー北野一丁目駅 Shin-kobe Ropeway Kitano Icchome Station อย่างในภาพ (ตัวที่เขียนอยู่บนกำแพงด้านหลังสุดนะ ป้ายด้านหน้าไม่เกี่ยว)


เท่าที่ส่องๆดูก็ไม่น่าจะเดินไปถึงกันยาก มีป้ายชี้บอกทางไปอยู่เป็นระยะๆ


แต่พอลองเดินตามไปได้สักนิดก็เปลี่ยนใจไม่ไปซะงั้น คือท่าทางมันจะไกลกว่าที่คิดพอสมควรเลย แล้วถ้าจะไปเดินในนั้นก็ต้องวนรอบแล้ววกกลับมาขึ้นรถไฟที่ตรง Shin-kobe Station นี้ใหม่ สภาพ จขบ ณ ตอนนั้นที่ทั้งปวดขา ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย มึนหัว(มึนแดดนั่นล่ะ)จนแทบอยากจะขอหลับเอาแรงตรงเก้าอี้สักตัวในสถานี ropeway นี่ มันแบบว่าไปเดินขนาดนั้นอากาศร้อนๆแบบนี้ไม่ไหวแล้วอ่ะ

ลงท้ายก็เลยยกเลิกแผนเที่ยว Kitano Ijinkan ไป เอาไว้มารอบหน้าตอนหน้าใบไม้ร่วงอากาศเย็นสบาย ถ้ามีเวลาเหลือจากเลี้ยงแกะที่ Rokkosan Pasture แล้วจะแวะมาเก็บตกใหม่ละกัน แต่ ณ วันนั้นขอลาอากาศร้อนๆนี่นั่งรถไฟติดแอร์เย็นๆเพื่อเตรียมไปถ่ายวิวกลางคืนของ Meriken Park แทน

ขอตัดจบบล็อคนี้ไว้ก่อนที่ตรงนี้ ภาพสุดท้ายเป็นภาพเบสิคที่คนไปเที่ยวคนเดียวทุกคนน่าจะต้องมี ภาพถ่ายรูปตัวเองสะท้อนกับกระจกนั่นเอง (ถ่ายตอนอยู่ในลิฟต์ที่ลงไปที่ gate ของสถานีรถไฟ Shin-kobe)


ตอนหน้า(แต่มาเมื่อไหร่ไม่รู้นะ)จะไปต่อกับบรรยากาศวิวกลางคืนของ Meriken Park ที่ถ่ายจาก Mosaic ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อุตส่าห์ยอมแบกขาตั้งกล้องไปด้วยก็เพื่อจะไปถ่ายวิวกลางคืนตรงนั้นโดยเฉพาะเลย ถ่ายเสียมาก็เยอะแต่ก็ได้พาโนราม่าสวยๆมาอยู่เหมือนกันนะ แถมด้วยว่าตอนหน้า จขบ จะได้ลิ้มรส 神戸牛 Kobe-gyu เนื้อโกเบอันแสนแพงและแสนโด่งดังเป็นครั้งแรกในชีวิตแล้ววว

--------------------------------------------------

ภาพในบล็อคนี้ถ่ายจาก Canon EOS Kiss X3 + EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM ด้วยโหมด JPEG ช่วงกลางๆอัลบั้มเริ่มมีใส่ Marumi DHG Super Circular P.L.D 72mm เพื่อลดแสงลงบ้างแบบว่าแดดมันดีเกินไป แสบตาเกินขนาด เท่าที่สังเกตเวลาตั้ง AWB ถ่ายที่แดดดีๆแต่ต้นไม้เขียวๆเยอะๆอย่างนี้ กล้องนี้หลายครั้ง AWB จะเพี้ยนเป็นอมสี cyan และ blue ซะมากเลยต้องมาปรับ color balance กันทีหลัง

ภาพในบล็อคนี้จะแชร์ลิงค์จากใน multiply อีกที ภาพโดนย่อขนาดเลยอาจมัวๆนัวๆไม่ชัดเท่าที่ควร ถ้าอยากดูแบบชัดๆรบกวนคลิกที่ภาพใดภาพหนึ่งเพื่อตามไปในอัลบั้มที่ multiply นะคะ

--------------------------------------------------

รวมบล็อคทั้งหมดของทริป

1. [[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 1: Kobe Nunobiki Herb Park แดดร้อนกว่านี้มีอีกมั๊ยยยย
2. [[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 2: กินเนื้อโกเบ ทำโรแมนติค(อยู่ได้คนเดียว) ที่ Harborland
3.
4.
5.

--------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ใน OneDrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2553    
Last Update : 31 ธันวาคม 2557 4:00:24 น.
Counter : 16314 Pageviews.  

[@Tokyo] มื้อพิเศษ(นิดนึง)ฉลองวันเกิด + side story-เลิกเดินตามฉันซะที๊


ระหว่างนั่งเบื่อรอติดตั้งโปรแกรมอยู่ ขอเขียนบล็อคสั้นๆอีกสักอันก่อนจะไปเริ่มบรรเลงภาพจากทริปคันไซล่าสุด

เรื่องแรกเป็นภาพอาหารมื้อพิเศษนิดๆ เล็กๆน้อยๆจากวันเกิด จขบ ที่ผ่านมาแล้ว วันเกิดปีนี้ไม่ได้อยู่กะคุณแฟนไม่ได้อยู่กะที่บ้านเลยไม่มีโปรแกรมอะไรเป็นพิเศษ เก็บเงินไว้ไปเที่ยวสารพัดทริปที่แพลนไว้ในเทอมนี้ดีกว่า

แต่ไหนๆก็วันเกิดทั้งทีก็ขอจัดพิเศษกว่าวันปกติซะนิดนึง เลยไปลองกินร้านอาหารแถวบ้านที่เล็งมานาน ร้านนี้ขายอาหารที่ทำจากลิ้นวัวของขึ้นชื่อจากเซนได ป้ายหน้าร้านก็ดูเหมือนจะมีได้เหรียญรางวัลอะไรสักอย่างติดอยู่ด้วย (จขบ ไปติดอกติดใจติดหนึบกับ 牛タン Gyu-tan ของเซนไดเอามากๆจาก ทริปนี้ ณ เดี๋ยวนี้ยังร่ำๆอยากหาเรื่องไปเที่ยวแถวนั้นเพียงเพราะอยากไปกินร้านนั้นอีก แบบว่ามันอร่อยติดตรึงใจจริงๆ >,< )


ร้านนี้อยู่ตรงสี่แยก Ueno-hirokoji มีป้ายร้านวางอยู่ตรงฟุตบาทเลยหาร้านเจอได้ไม่ยาก เข้าหลืบเล็กๆตรงป้ายโฆษณาร้านเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าร้านแล้ว แต่พวกร้านแนวญี่ปุ๊นญี่ปุ่นดั้งเดิมนี่ยังไงก็ไม่รู้ ปิดร้านเร็วกันทุกร้านเลย ประมาณ 2-3 ทุ่มก็ปิดกันหมดแล้ว จขบ เองก็แห้วมาหลายหนกว่าจะมาได้ทันกินก่อนร้านจะปิด


เข้าร้านมาตกใจเล็กน้อยว่ามีเราเป็นลูกค้าคนเดียวเลย (คือ ไปตอนใกล้ได้เวลาปิดร้านแล้วด้วย) ราคาแต่ละเมนูก็ไม่ได้แพงมากมาย(แต่แน่นอนว่าแพงกว่า อาหารในโรงอาหารและ lawson ที่กินประจำ) ไหนๆวันเกิดทั้งทีขอกินดีหน่อยเลือกเป็น 定食 Teishoku อันที่ดูน่ากิน(แพง)สุด ก่อนเข้าร้านเช็คเงินที่เหลือในกระเป๋าตังค์เรียบร้อย ชุดละประมาณ 2000 เยนนี้ยังเหลือเงินพออยู่ โอเคๆ หน้าตาของของกินฉลองวันเกิด จขบ ก็เป็นฉะนี้


ดูไฮไลท์ลิ้นวัวกันชัดๆ เทียบกับร้านที่เคยกินที่เซนไดอันนี้ดูจะแนวเรียบๆดั้งเดิมกว่า แล่มาเป็นแผ่นๆอย่างนี้นึกถึงตับมากกว่าลิ้นวัวซะอีกนะเนี่ย ส่วนรสชาตินั้นก็อร่อยโอเคเลยล่ะ แต่รสจะไม่เข้มข้นเท่าร้านที่กินที่เซนได อันนี้จะปรุงรสมาอ่อนกว่าประมาณว่าต้องค่อยๆกินเพื่อซึมซับรสชาติความอร่อย ก็แล้วแต่ใครชอบแบบไหนนะ ส่วน จขบ เป็นคนชอบทานรสจัดๆก็เลยจะชอบการปรุงรสแบบร้านแนวสมัยใหม่ที่เคยกินที่เซนไดมากกว่า (แต่อันนี้ก็อร่อยนะ แถมใกล้บ้านด้วยมากินได้ตลอดเวลา)


มื้อเย็นก็ทานไปแล้ว ก็ต้องตบท้ายด้วยเค้กวันเกิดมันถึงจะครบสูตร ซึ่งตรงนี้ขอแอบเม้าส์คุณแฟนนิดนึง เค้าเพิ่งสารภาพก่อนวันเกิดไม่กี่วันว่าจริงๆปีนี้เค้ากะจะทำเซอไพรซ์ จขบ เสียหน่อย กะว่าจะลองใช้บริการส่งเค้กเซอไพรซ์ของญี่ปุ่น(เดาว่าคงสั่งทางเน็ตจากไทยได้)ส่งเค้กวันเกิดมาให้ จขบ ถึงบ้านเลย แต่คิดไปคิดมาก็เปลี่ยนใจ ซึ่งก็ฟังดูแล้วก็ได้แต่พยักหน้าตามหงึกๆหงักๆ ว่า อือ นะมันคงไม่เวิร์คจริงๆนั่นล่ะ แทนที่จะเซอไพรซ์ให้ดีใจ จะกลายเป็นเซอไพรซ์ให้ตกใจกลัวซะมากกว่า

หนึ่งคือ บริการเนี้ย เค้าจะต้องมีการโทรมาถามคนรับ(ก็คือ จขบ นี่ล่ะ)ก่อนว่า ณ วันที่เท่านี้ๆนี่จะอยู่บ้านไหม แต่ด้วยความที่มันต้องเป็นเซอไพรซ์ดังนั้นเค้าก็จะไม่บอกเลยว่าใครเป็นคงสั่ง หรือเค้าคือบริการอะไรยังไง แล้วคิดดู อยู่ๆ จขบ มีคนญี่ปุ่นที่ไหนไม่รู้โทรมาหา แถมมาถามอีกว่าวันนั้นวันนี้จะอยู่บ้านหรือเปล่า ใครมันจะไปยอมตอบล่ะเนอะ ขโมยโทรมาดูต้นทางหรือเปล่าก็ไม่รู้ จขบ ยิ่งอยู่บ้านคนเดียว แถมห้องก็เคยมีประวัติโดนขโมยขึ้นมาแล้ว จนบัดนี้ยังแอบผวาไม่หายอยู่เป็นระยะๆ

แล้ววันส่งของอีกล่ะ ปกติ จขบ ถือคติไม่เปิดประตูให้ใครทั้งสิ้น ไม่เปิดโอกาสให้เค้าแนะนำตัวด้วยซ้ำว่าเค้าคือใครมาจากไหน ยกเว้นว่าจะรู้กำหนดอยู่ก่อนว่าจะมีของมาส่งหรือมีใครจะมาถึงจะยอมเปิด (ก็คุณแฟนนั่นล่ะ ที่สอนมาแบบนี้) ดังนั้นถึงวันส่งเค้กจริง ต่อให้ จขบ อยู่บ้านก็เถอะก็คงไม่เปิดรับอยู่ดีนั่นล่ะ เห็นว่าบริการนี้เค้าจะมีการมาส่งซ้ำให้อีกครั้ง(หรือสองครั้ง?) ถ้าไม่มีใครรับสักครั้งก็จะเลิกไม่ส่งให้แล้ว แล้วของที่ส่งมันก็เค้กอ่ะนะเก็บไว้หลายๆวันได้ซะที่ไหน

วิธีเดียวที่จะทำให้ จขบ ยอมเปิดประตูรับของ คือต้องบอกความจริงมาเท่านั้น ว่าคุณแฟนใช้บริการส่งเค้กมาเซอไพรซ์วันเกิด ซึ่งถ้าบอกมาซะอย่างนั้นมันก็ไม่เซอไพรซ์แล้ว คิดสารตะดังนี้แผนเซอไพรซ์ของคุณแฟนก็เลยโดนพับเก็บไปโดยปริยาย แต่ก็นะ จขบ ก็แอบปลื้มใจอยู่ดี ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดได้อยู่เหมือนกัน

แห้วเค้กเซอไพรซ์ของคุณแฟนไปแล้ว ก็ทดแทนเอาด้วยเค้กก้อนเล็กๆสักก้อนหนึ่ง (จัดการซื้อเองกินเอง ฉลองให้ตัวเองเสร็จสรรพ) ซื้อจากร้านประจำ(ที่ท่าทางว่าจะดัง)สั่งเป็น Short Cake แบบเดิมๆเหมือนที่เคยกินตอนคริสมาสต์ปีก่อน (อ่านได้ ที่นี่) แต่ยังไงไม่รู้ทั้งๆที่เค้กก็ร้านเดิม Short cake เหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าหนนี้มันไม่อร่อยเท่าหนก่อนเลยอ่ะ รู้สึกว่าทั้งครีม ทั้งสตรอเบอรี่ ทั้งเนื้อเค้ก มันไม่เข้มข้นเท่าอันที่ขายตอนคริสมาสต์เลย (แต่คิดอีกทีอันที่ขายตอนคริสมาสต์เค้าก็ขึ้นป้ายว่าเป็น Special Short Cake หนินะ)


เรื่องของกินฉลองวันเกิดสั้นๆก็จบลงเพียงเท่านี้ side story อีกเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จขบ ก็ไปแล็บเหมือนปกติ ขากลับก็เลยไปแวะซื้อพวกของใช้ในบ้านที่หมดจาก ドンキホーテ Donkihote แถวบ้านสักหน่อย ซึ่งเรื่องมันก็ไม่น่าจะมีอะไร(อยู่ญี่ปุ่นนี่ เดินไปไหนมาไหนตอนกลางคืนประจำ) จขบ ก็เสียบหูฟัง ฮัมเพลงเดินหาของอยู่แผนกน้ำยาซักผ้าและทิชชู่ใช้ในห้องน้ำ(กำลังยืนคิดเลขในใจอยู่เลยว่าทิชชู่แพ็คไหนคุ้มสุด) ไม่ได้มีความคิดจะมาเช็คเรตติ้งอะไรกันตรงนี้เล้ย แต่อยู่ดีๆก็มีฝรั่งที่ไหนก็ไม่รู้มาทัก(ภาษาอังกฤษ)และชวนไปกินข้าวด้วย (จะห้าทุ่มอยู่แล้วเนี่ยนะ) ด้วยความที่ไม่ทันคิดก็ดั๊นเผลอตอบภาษาอังกฤษไป

ผลคือซวยเลย เค้ารู้ว่าเราพูดอังกฤษได้เลยเดินตามเซ้าซี้ถามโน่นนี่อยู่นั่นล่ะ (แต่ก็คำถามทั่วๆไปนะ ไม่ได้มีอะไรแปลก เสียมารยาท หรือน่าสงสัยเป็นพิเศษ) พยายามไม่สนใจไม่หันไปคุยต่อ เดินแยกไปซื้อของทางอื่นจนคิดว่าสลัดหลุดแล้วก็ค่อยเดินช้อปต่อสบายอารมณ์เหมือนเดิม ตอนออกมาหน้าร้านก็มองซ้ายมองขวาแล้วนะว่าปลอดภัย ก็เลยมุ่งหน้ากลับบ้านเลย

ที่ไหนได้ อยู่ๆฝรั่งคนนั้นขี่จักรยานโผล่มาจากไหนไม่รู้เข้ามาทัก จขบ อีกแล้ว T_T อีกแค่ประมาณสองบล็อคก็จะถึงบ้านอยู่แล้วแท้ๆ แถมเวลาก็นะ ห้าทุ่มกว่าๆ จากที่น่าจะเป็นเรื่องน่ารำคาญธรรมดาก็ชักจะเริ่มไม่ธรรมดาเสียแล้ว เริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆแล้วเนี่ย เพลงเพลิงอะไรก็เลิกฟัง คิดแต่ว่าจะทำไงเค้าถึงจะไปๆซะที ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าใกล้บ้านเราเข้าทุกที

ซึ่งท่าทาง จขบ ก็คงแสดงออกไม่เบาล่ะว่าไม่ชอบที่เค้ามาตาม แล้วพยายามชวนคุยอยู่นั่นล่ะ (โธ่ เห็นใจกันหน่อย ผู้หญิงคนเดียวนะ มาโดนผู้ชายที่ไหนไม่รู้เดินตามตอนดึกๆอย่างนี้ เป็นใครใครก็กลัวทั้งนั้นล่ะ) นึกอยู่แต่ว่ายังไงก็จะเดินเข้าบ้านทั้งๆที่โดนตามอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเค้าไม่เลิกตามจริงๆมีทางเดียวคือต้องเดินกลับไปมหาลัย

ในที่สุดเค้าก็ยอมแยกไปจนได้หลังจากเดินตาม จขบ มาซะตั้งไกล เห็นขี่จักรยานย้อนไปทางเดิมที่เดินมา แสดงว่าที่เค้ามาทางนี้นี่กะตาม จขบ มาโดยเฉพาะเลยสิ จขบ ก็หลบมุมแอบดูจนเห็นว่าทางสะดวกแล้วก็รีบวิ่งเข้าบ้านไปเลย เฮ้อ เล่นเอาใจหายอยู่ได้เป็นสิบนาที

ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆนี่ฝรั่งคนนั้นเค้าก็ไม่ได้ดูน่ากลัวหรือน่าสงสัยอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ ถ้าเรื่องมันเกิดตอนกลางวันที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่แถวประตูหน้าบ้านตัวเอง จขบ ก็คงไม่นึกกลัวซะขนาดนั้นหรอกเนี่ย ที่จริงเค้าก็มีถามประมาณว่า "ท่าทางเราไม่ชอบให้ใครมาเดินตามอย่างนี้ใช่มั๊ย" ถามตรงเราก็ตอบตรงเช่นกันว่า "ใช่" แบบว่า ณ ตอนนั้นความกลัวมันมากกว่าจนไม่คิดจะมามัวระวังเรื่องพูดจาเสียมารยาทไปซะแล้ว จะว่าไปเค้าก็ดูเข้าใจอ่ะนะว่าโดนอย่างนี้ใครจะกลัวมันก็ธรรมดา สุดท้ายเลยยอมจากไปโดยดี (แต่ถ้าจะให้ดีกว่า ก็ไม่น่ามาตามแต่แรกเลยนะ ปฏิเสธไม่คุยด้วยหนเดียวก็น่าจะเข้าใจกันแล้ว)

---------------------------------------------------------------

ภาพทั้งหมดถ่ายง่ายๆด้วย iPhone 3GS ย่อ USM และใส่โลโก้ด้วย PS

>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 22 กันยายน 2553    
Last Update : 3 ตุลาคม 2553 1:29:47 น.
Counter : 1639 Pageviews.  

ใส่ยูกาตะไปเบียดคนถ่ายรูปเล่นที่อาซาคุสะในงาน Sumidagawa Hanabi Taikai (隅田川花火大会) 2010


>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน OneDrive

คาดว่าบล็อคนี้คงจะเป็นบล็อคที่มีกลิ่นไอ summer บล็อคสุดท้ายของปีนี้แล้ว ช่วงนี้ที่โตเกียวถือว่าร้อนน้อยลงกว่าเมื่อช่วงต้น สค พอตัว ค่อยสบายขึ้นหน่อย (ยังร้อนเหงื่อออกอยู่ แต่ดีขึ้นว่าเหนียวตัวน้อยลงหน่อย ไม่ร้อนชื้นมากเท่าก่อนหน้านี้) บรรดาจิ้งหรีดและจั๊กจั่นก็ดูจะร้องเสียงค่อยลงนิดนึง สบายหูขึ้นเยอะเวลาเดินเข้ามหาลัยช่วงกลางวัน

นอกเรื่องนิดนึงว่าหน้าร้อนญี่ปุ่นเป็นอะไรที่แมลงร้องเสียงดังเว่อร์มากๆ ในเมืองอย่างโตเกียวที่ปกติหาแมลงได้ยากยิ่งถึงขนาดมีมดใส่ขวดโหลขายเอาไว้ให้ศึกษาชีวิตมด แต่พอถึงหน้าร้อนเข้าหน่อยแมลงต่างๆพร้อมใจกันตื่นจากจำศีล ช่วงกลางวันแสกๆแดดร้อนๆตัวเหนียวๆเพราะความชื้นที่สูง เดินเข้ามหาลัยผ่านตรงช่วงที่ปลูกต้นไม้เยอะๆทีไร ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมจิ้งหรีดกับจั๊กจั่นที่นี่มันร้องเสียงดังขนาดนี้ คือ ไม่ใช่ว่าร้อง หรีดๆหริ่งๆพอให้โรแมนติค แต่เป็นเสียงหรีดหริ่งที่ดังเอามากๆเลย เคยอ่านจากใครสักคนเขียนว่าพวกจักจั่นนี่อยู่ใต้ดิน 7 ปีได้ขึ้นเหนือดินมาร้องหรีดหริ่งอยู่ 7 วันก็ตายแล้ว ก็เลยเอาน่ะหยวนๆมันหน่อยละกัน

กลับเข้าเรื่องกันซะที บล็อคนี้ดองมาได้หนึ่งเดือนกว่ากว่าจะได้ฤกษ์เขียน งานดอกไม้ไฟนี้จัดตั้งแต่ 31 กค โน่นแน่ะ เป็นงานดอกไม้ไฟที่ใหญ่ที่สุดในแถบคันโต มีการจุดดอกไม้ไฟสองจุดกลางแม่น้ำ sumida รวมแล้วก็จุดกันมากกว่า 20,000 ลูกเลยทีเดียว ประมาณการคนเข้าร่วมงานแต่ละปีมากถึง 948,000 คน

เมื่อปีที่แล้ว จขบ ก็ได้ใส่ยูกาตะกะเค้าครั้งแรกและไปร่วมงานนี้มาเหมือนกัน (รายละเอียดในบล็อคเก่า ที่นี่) หนนั้นอยากเห็นดอกไม้ไฟเต็มที่นะ แต่ด้วย spirit ที่ไม่แรงพอ ขี้เกียจไปปูเสื่อนอนจองที่กลางอากาศร้อนๆ อาศัยมาเดินหาจุดดูรอบๆแทน ผลก็คือ เห็นดอกไม้ไฟอยู่แค่ลิบๆ โดนตึกบังซะเกือบมิดเลย

มาปีนี้ได้บทเรียนจากปีก่อนแล้ว ดอกไม้ไฟอะไรเลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ถ้าอยากถ่ายรูปดอกไม้ไฟแบบเน้นๆเห็นชัดๆไว้เลือกไปงานที่เล็กๆหน่อยคนน้อยๆที่โล่งๆดีกว่า (มีหลายคนแนะนำมาว่างานที่จัดที่ Kitasenju นี่เหมาะมาก คนไม่เยอะมาก ไม่ต้องไปจองที่ ได้ถ่ายรูปดอกไม้ไฟกันแบบเต็มๆ) เป้าหมายของการไปร่วมงานปีนี้ของ จขบ คือ หาโอกาสใส่ยูกาตะชุดใหม่ และถ่ายรูปเก็บบรรยากาศของงานเท่านั้น (เหตุผลฟังดูไร้สาระ แต่ก็เป็นความจริง 100% )

หลังจากใส่ยูกาตะหนก่อนก็ไม่มีโอกาสได้ใส่อีกเลย ผ่านมาหนึ่งปีมาใส่อีกทีอะไรๆก็ขลุกขลักไปหมด แถมงานนี้กะไปถ่ายรูป(ตัวเอง)เต็มที่เลยต้องแต่งทุกอย่างให้เนี้ยบที่สุด(ต้องแต่งแบบเหงื่อออกโชกหน้าก็ยังไม่เละด้วย เพราะงานนี้ได้เหงื่อชุ่มแน่ๆ) เบ็ดเสร็จกว่าจะแต่งหน้า ใส่ชุด ทำผมเซ็ตผมเสร็จ กินเวลาไปกว่าสามชั่วโมง ได้ผลออกมาเป็นเยี่ยงนี้(ที่ท้ายบล็อคมีภาพทรงผมอ้างอิงที่ จขบ เอามาประยุกต์ด้วย) จากการสังเกตสาวยูกาตะปีก่อนเค้ามีการตกแต่งช่วงโอบิแบบต่างๆ ปีนี้ จขบ ก็เอามั่งสิอุปกรณ์ตกแต่ง(ซื้อมาจากช่วงลดราคาปลายหน้าร้อนปีก่อน)เป็นคล้ายๆผ้าตาข่ายมีประกายๆ เอามาผูกทับช่วงบนของโอบิ มัดๆให้เป็นโบว์ ทำให้โอบิสีขาวเรียบๆดูมีอะไรๆขึ้นหน่อย


งานนี้ไปกันกับน้องคนไทยที่มหาลัย นัดเจอกันที่สถานีที่เป็นจุดเปลี่ยนรถไฟเพื่อไปอาซาคุสะ ดอกไม้ไฟจุดตอน 19:00 - 20:30 แต่ ณ เวลาห้าโมงเกือบครึ่งที่สถานีจุดเปลี่ยนรถไฟนี้ผู้คนก็ทยอยกันมุ่งหน้าไปอาซาคุสะอย่างหนาตาแล้ว


งานใหญ่ๆคนเยอะๆอย่างนี้ ดีตรงไม่ต้องกลัวหลงทาง มีป้ายบอกทางและมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ระหว่างทางเป็นระยะๆ สงสัยอะไรหันซ้ายหันขวานิดนึงก็เจอคนให้ถามได้ทันที


หนนี้ไม่ได้ออกไปตรงสถานีอาซาคุสะตรงๆ(เพราะต้องต่อรถไฟอีกต่อ และรถไฟต่อนั้นคนเยอะ max ไม่อยากไปเบียดกะเค้า) อาศัยเดินต่อไปเอง ตรงที่ออกมานั้นห่างจากสถานีอาซาคุสะสักสองสถานีได้ แต่ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาร่วมงานนี้ มองไปเจอคุณตำรวจเต็มไปหมด สาวและหนุ่มยูกาตะก็เยอะ ทั้งคนญี่ปุ่น ทั้งคนต่างชาติสารพัดชาติเดินกันให้ควั่กเชียว

ณ สะพานข้ามแม่น้ำ sumida (คิดว่าน่าจะใช่นะ) ก่อนเริ่มงานประมาณชั่วโมงนิดๆ คุณตำรวจก็เริ่มกั้นผู้คนไม่ให้ไหลไปทางริมฝั่งแม่น้ำแล้ว ใครมาช้าก็ต้องเดินวนหาที่นั่งดูบริเวณรอบๆเอาแทน ซึ่งในโตเกียวอย่างนี้ก็ลำบากหน่อย ตึกสูงๆเยอะแยะไปหมดหามุม(บนพื้นราบ)ดีๆแบบเห็นดอกไม้ไฟชัดๆยากกกกกกกก


พวก จขบ นั้นอย่างที่บอก ไม่ได้กะมาดูดอกไม้ไฟเป็นหลัก ก็เลยมุ่งหน้าไปทาง Senso-ji เลย ที่ถนนที่ทอดไปถึงหน้าวัดนั้นมีคนนั่งปูเสื่อปูสาด(หอบกันมาเอง)รอดูดอกไม้ไฟกันเนืองแน่นแล้ว ทั้งที่อีกตั้งเป็นชั่วโมงกว่าจะเริ่มจุด


ดูแล้วบรรยากาศนี้คุ้นๆไม่เบา ก็เมื่อปีก่อนน่ะ จขบ เองก็มาหาที่นั่งแถวๆถนนอย่างนี้เหมือนกัน แล้วผลก็คือแทบไม่เห็นดอกไม้ไฟเพราะโดนแมนชั่นอะไรก็ไม่รู้บังอยู่ อันนี้รูปจากปีนี้(2010)


ส่วนนี่รูปเก่าจากเมื่อปีที่แล้ว(2009) สรุปได้ว่าคนเยอะทุกปีนั่นแหล่ะ เดี๋ยวเถอะถ้าตรงนี้มองไม่ค่อยเห็นดอกไม้ไฟ เดี๋ยวพอเริ่มจุดจะเกิดปรากฏการณ์ปีนรั้วเปลี่ยนที่กันเหมือนที่ จขบ เจอและเล่าไว้เมื่อปีก่อน (ที่นี่)


แต่ที่ตรงนั้นจะเห็นหรือไม่เห็นดอกไม้ไฟก็ไม่เป็นไร ก็ปีนี้ จขบ น่ะชิวๆให้ได้ถ่ายรูปตัวเองกับบรรยากาศงานก็พอใจแล้ว ว่าแล้วก็เดินต่อมุ่งหน้าไปวัด Senso-ji ระหว่างทางก็แอบถ่ายสาวยูกาตะมาบ้างประปราย (ปล. ปีนี้ไม่ยักเจอคนแจกพัดให้เลยแฮะ ปีก่อนได้พัดมาพัดแก้ร้อน แล้วก็เสียบเก็บไว้ที่โอบินี่แหล่ะสะดวกดี)


และแล้วก็มาถึงหน้าวัด เห็น Kaminari-mon 雷門 หรือ ประตูสายฟ้า สัญลักษณ์การท่องเที่ยวของโตเกียวอยู่ที่ข้างหน้าแล้ว


มาถึงที่นี่ทั้งที มีหรือจะขาดช็อตบังคับกับ Kaminari-mon ได้ ว่าแล้วก็จัดไป (โปรดสังเกตขาตั้งกล้องอยู่ในมือ แบบว่าคนเยอะจัดกางขาตั้งกล้องไม่ได้จริงๆ) ถ่ายรูปงานนี้ถ้าไม่มีเจ้าแฟลช 430EX II ช่วยนี่คงไม่ได้ภาพ(portrait)ดีๆมากะเค้าหรอก จบงานนี้นี่ซึ้งถึงความสำคัญของ External Flash เลย ภาพด้านล่างนี้เป็นภาพที่ชอบมากที่สุดเลยนะ เพราะเห็น Kaminari-mon กำลังดี เสียก็แต่ทำไมต้องมีสาวแว่นหน้าเด้ง กับ ผู้ชายคุยโทรศัพท์ที่ไหนก็ไม่รู้ มาแย่งซีนในภาพด้วย T_T โธ่ อดเด่นอยู่คนเดียวในภาพเลย


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ จขบ มาที่ Senso-ji ก็จริง แต่เป็นครั้งแรกเลยที่คิดจะมาถ่ายรูปแบบจริงๆจังๆ อย่างน้อยเป้าหมาย Kaminari-mon ของ จขบ ก็เสร็จสมใจแล้วในวันนั้น ได้ภาพงามๆของ Kaminari-mon มาสมใจอยากแล้ว


พยายามจะถ่ายลายข้างใต้โคมด้วยนะ แต่เนื่องด้วยคลื่นคนที่เดินเข้าและออก ทำให้ต้องเดินไปถ่ายไป บริเวณใต้โคมก็มืดตื๋อ ผลออกมาก็เลยได้ภาพเบลอๆสั่นๆอย่างนี้ แต่ก็พอจะมองออกนะว่าใต้โคมเป็นลายมังกรนี่เอง


พ้น Kaminari-mon เข้ามาก็จะเป็นถนนทอดยาวที่เปิดร้านขายของเรียงรายตลอดสองข้างทาง แต่ก่อนอื่นขอถ่าย Kaminari-mon อีกสักแชะ ถ้ามองจากข้างในออกไปจะเห็นเป็นแบบนี้ ตัวอักษรที่อยู่บนโคมจะไม่เหมือนที่เขียนอยู่อีกด้านนึง


ตอนนี้ก็ได้เวลาเดินเที่ยวชมร้านรวงต่างๆแล้ว ณ วันนั้นร้านไม่ได้เปิดครบทุกร้านก็จริง แต่ก็เปิดซะเป็นส่วนใหญ่พอให้คนได้จับจ่ายซื้อของและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน แต่เท่าที่เห็นร้านที่ปิดก็ใช่จะปิดเปล่าๆนะ ตรงบานพับหน้าร้านที่ปิดไว้มีเพนท์เป็นลวดลายสวยๆแบบญี่ปุ่นต่างๆ เดินผ่านก็เอามาเป็นฉากถ่ายรูปสวยๆกันได้


จขบ นั้นไม่ได้ซื้ออะไรกับเค้าหรอก แต่ก็ขอเนียนถ่ายบรรยากาศร้านรวงเค้าสักนิดนึงเพื่อความสมจริงของภาพชุดนี้


เดินๆไปเจอบริการให้ถ่ายรูปกับรถลากแบบญี่ปุ่นด้วย จำราคาเป๊ะๆไม่ได้แต่แพงอ่ะ เอาไว้ถ้า จขบ ได้ใส่ยูกาตะมาคู่กับคุณแฟน หรือ ใส่พร้อมๆกันกับครอบครัว ค่อยจะพิจารณาใช้บริการนี้อีกที (ซึ่งทั้งสองแบบที่ว่ามานั้น โอกาสเป็นไปได้แทบไม่มีเลย T_T )


เดินเล่นในวัดนี่ถามว่าเห็นดอกไม้ไฟมั๊ย อืม.....เป็นเรื่องที่ตอบยากอยู่ เอาเป็นว่าดูภาพแทนละกัน สิบปากว่าหรือจะเท่าตาเห็น ดอกไม้ไฟที่เห็นได้จากในวัดก็คือ ไอ้ที่เห็นเป็นแสงยิบๆเล็กๆตรงแถวๆหัวของ จขบ นั่นล่ะ (ตรงที่ถ่ายรูปนี้เป็นจุดสุดทางของถนนที่มีร้านขายของสวยๆเรียงอยู่สองฟากพอดี)


จากรูปตะกี้ ซูมให้สุดกระบอกเลนส์ที่ 85mm และคร็อปรูปออกเล็กน้อย นี่คือภาพดอกไม้ไฟที่เห็นในงานนี้


ขี้เกียจมาจองที่อย่าง จขบ ก็นะ เห็นไปแค่นี้พอ อยู่ญี่ปุ่นถ้าอยากได้อะไรดีๆนี่ต้องลงแรงกันหน่อย ไปจองที่ไปต่อคิวอะไรกันตั้งแต่วันก่อนหน้ากันเลย นอนค้างคืนกันหน้าร้านหรือนอนบนเสื่อนั่นล่ะถ้าอยากได้ที่ดีๆหรืออยากได้ของดีๆก่อนใครเค้า


เทียบกับดอกไม้ไฟที่เห็นโผล่พ้นมุมตึกเมื่อปีที่แล้วในภาพด้านล่าง บอกได้คำเดียวว่าผ่านไปปีนึง จขบ ก็ไม่มีการพัฒนาตัว ยังคงมาสายๆ ไม่ได้ที่ดูดอกไม้ไฟในงานนี้ดีๆกะเค้าเหมือนเดิม


แต่หนนี้รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้เลยไม่ได้ผิดหวังอะไร คนที่เค้าอยากมาร่วมบรรยากาศเหมือนเราและก็ไม่ได้สนใจดอกไม้ไฟเป็นหลักก็มีอยู่มากมายอย่างที่เห็น ตรงนี้เป็นซุ้มประตูอันในสุดเลย จากตรงนี้มองไปก็จะเห็นดอกไม้ไฟโผล่พ้นหลังคามาลิบๆอย่างภาพก่อนหน้านี่ล่ะ


แต่ถึงจะเห็นอยู่แค่นั้น เค้าก็ยังยืนรอดูกันนะ สำหรับคนที่ไม่ได้ซีเรียสกับมันมาก แค่ได้เห็นดอกไม้ไฟปุ้งๆขึ้นมาและได้มาเที่ยวมาร่วมบรรยากาศงานเทศกาลสนุกๆแค่นี้ก็สมใจ ถือว่าได้ผ่านหน้าร้อนญี่ปุ่นปีนี้ไปอย่างสมบูรณ์แล้ว


คู่นี้ถ่ายติดมาในกล้องโดยบังเอิญ เป็นอะไรที่ จขบ เองก็อยากจะทำมากกกกกกกก >.< อยากใส่ยูกาตะมาคู่กับคุณแฟนและมีคนถ่ายภาพแคนดิตให้ แบบอารมณ์กำลังชมดอกไม้ไฟอยู่อย่างนี้เลยล่ะ เฮ้อ ฝันนี้ก็ไม่มีทางเป็นจริงไปซะแล้ว คุณแฟนกลับไทยไปแล้วอ้ะ


เดินกันต่อไป เน้นแวะถ่ายรูปอย่างเดียวไม่ได้ดูดำดูดีอะไรอย่างอื่นเลย จนพ้นจากซุ้มประตูแดงอันข้างบนมาเป็นลานวัดด้านในสุดที่มีร้านอาหารมาออกร้านขายทาโกะยากิ ยากิโซบะ และ อื่นๆสไตล์งานเทศกาลญี่ปุ่น


ในบริเวณลานวัดที่อยู่ลึกๆนี้ คนไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนนึงก็เปิดเป็นร้านขายอาหารต่างๆ ส่วนที่เหลือก็ให้ผู้คนมาปูเสื่อนั่งกินอาหารดูดอกไม้ไฟ(ที่เห็นอยู่ลิบๆ)กัน เห็นมั๊ยว่าคนแบบ จขบ น่ะมีอยู่เยอะเลย (ย้ำหลายรอบเหลือเกิ๊น แบบว่าเป็นการปลอบใจตัวเองไปในตัว :X ) คือ ขอแค่ให้ได้มาร่วมสนุกกับเทศกาลก็พอละ ไม่ต้องลำบากจองที่เพื่อให้ได้เห็นดอกไม้ไฟชัดๆก็ได้


ในภาพนี้คือกระถางธูปที่ปกติคนชอบมากวักควันธูปเข้าตัวเพื่อความเป็นสิริมงคลกัน แต่ ณ วันนั้นคนเค้าไม่เน้นมาไหว้พระกัน กระถางเลยว่างๆ ตรงจุดที่ไปไหว้พระขอพรก็คนไม่ค่อยเยอะ กางขาตั้งกล้อง ถ่ายรูปกันได้สบายๆ (ว่าก็ว่าเถอะผู้หญิงใส่ยูกาตะแล้วแบก DSLR ติดแฟลชกับขาตั้งกล้องนี่มันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย โดนเหล่เอาบ๊อยบ่อย ก็แหม คนมันอยากจับปลาสองมือนี่นา อยากถ่ายรูปก็อยาก อยากแต่งสวยๆก็อยาก)


จากแถวๆลานดินของวัดที่อยู่ลึกสุดที่ว่านี้ ก็มองเห็นดอกไม้ไฟได้ในอีกมุมนึงเหมือนกัน (เดาว่าน่าจะเป็นคนละจุดกับที่ จขบ เห็นตอนแรกเพราะอยู่คนละทิศกันเลย งานนี้จุดดอกไม้ไฟกันสองจุดอยู่ไม่ติดกัน) แต่ขอบอกว่าเห็นดอกไม้ไฟจิ๊ดเดียว น้อยยิ่งกว่าจุดแรกที่ จขบ เห็นซะอีก ภาพด้านล่างนี้ซูมสุด 85mm และคร็อปออกไปเกือบครึ่งภาพยังเห็นดอกไม้ไฟแค่นี้ (แต่เห็นแค่นี้ก็เถอะ เวลามียิงดอกไม้ไฟชุดใหญ่ๆหรือลูกใหญ่ๆ ก็ร้องอู้หูตื่นเต้นกันใหญ่เลย)


ยูกาตะ(ของผู้หญิง)แบบญี่ปุ่นจริงๆนี่เป็นอะไรที่ร้อนมากๆทับกันทบกันหลายชั้นเหลือเกิน ใส่เดินหน้าร้อนเหนียวๆของญี่ปุ่นนี่หยั่งกะอบเซาน่าในตัว (ยูกาตะแบบที่เห็นใส่ cosplay กันที่ไทยจะเป็นแบบเบาๆสบายๆ คือ ได้ทรงคล้ายๆยูกาตะแต่วิธีใส่อะไรไม่เหมือน ยูกาตะของจริงนี่ตัวเดียวใส่ได้ตั้งแต่สาวยันแก่ เพราะยูกาตะนั้นตัวยาวมากๆๆๆๆๆ ต้องใส่แล้วพับทบขึ้นมาให้พอดีความสูงแต่ละคน แล้วเอาโอบิมารัดทับตรงผ้าหนาๆที่พับทบขึ้นมาอยู่ตรงพุงตะกี้อีก ร้อนสุดๆ) เดินเหงื่อแตกกันมานาน ว่าแล้วก็ต้องหาอะไรรองท้องพักเติมน้ำให้ร่างกายกันหน่อย

กินเสร็จพอเป็นพิธี เติมน้ำและเกลือแร่ให้ร่างกาย แล้วก็ค่อยๆเดินย้อนทางเดิมเพื่อกลับกันเสียที (ได้เวลาดอกไม้ไฟหมดพอดีด้วย) ก่อนเดินเข้าส่วนซุ้มร้านค้าสองข้างทางก็แวะแชะภาพหอสวยๆอะไรไม่รู้ระหว่างทางด้วย


ที่ระลึกใบสุดท้ายก่อนเดินออกไปที่ด้านหน้า Kaminari-mon (เดินๆถ่ายรูปไป กล่องครอบหัวแฟลชตกหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ เพิ่งซื้อมาไม่ถึงอาทิตย์ ใช้งานนี้งานแรกแท้ๆ อุตส่าห์ซื้อตามรุ่นแฟลชเป๊ะนึกว่าจะครอบแน่นไม่หลุดเสียอีก ดีว่าราคาแค่พันเยนนิดๆนะเนี่ย)


งานนี้ได้ถ่ายรูปตัวเองใส่ยูกาตะกับบรรยากาศเทศกาลดอกไม้ไฟสมใจอยาก ได้เวลาไปฝ่าคนเยอะๆนั่งรถไฟกลับบ้านกันแล้ว ใส่เกี๊ยะเดินแค่สองสามชั่วโมงนี่ปวดเท้ายิ่งกว่าใส่ส้นสูงเดินหิ้วของจ่ายกับข้าวเสียอีก คือ เกี๊ยะนี่มันเป็นไม้เรียบๆแข็งๆไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้าช่วยให้รับน้ำหนักทั่วเท้าได้พอดีๆตามหลักการของรองเท้าเพื่อสุขภาพเลย เดินไปนานๆปวดเมื่อยฝ่าเท้ามากๆ


ช่วงตอนงานเลิกนี่คุณตำรวจก็งานยุ่งไม่แพ้ช่วงก่อนเริ่มงาน ได้ยินเสียงประกาศอะไรๆอยู่ตลอด ผู้คนก็ยุ่บยั่บๆพากันเดินหาสถานีเหมาะๆที่ไม่ปิดหาทางขึ้นรถไฟกลับบ้านกลับช่องกัน (คือ บางสถานีใกล้ๆ senso-ji จะมีการปิดไม่ให้เข้าช่วงนี้ด้วย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่คงเป็นการควบคุมการไหลของผู้คนหลายแสนเข้าสู่สถานีรถไฟมั้ง)


ภาพสุดท้ายของบล็อค บรรยากาศคนเยอะเหมือนมดที่สี่แยกไฟแดง ใกล้ได้เวลาที่คุณตำรวจจะเปิดการจราจรบนท้องถนนตามปกติแล้ว ผู้คนนับร้อยนับพันก็ต้องมายืนออรอข้ามถนน(ที่แทบยังไม่มีรถวิ่งผ่าน)กันที่ตรงนี้ (สี่แยกไฟแดงนี้ห่างออกจากวัดมาตั้งเยอะ ยังคนเยอะขนาดนี้เลย)


เป็นอันจบบล็อคบรรยากาศงานเทศกาลดอกไม้ไฟนี้ ณ ตรงนี้ The must อันนึงที่ตั้งใจว่าต้องทำให้ได้ก่อนเรียนจบปีหน้าก็สำเร็จไปแล้ว ต่อไปต้องยุ่งกับการเก็บเกี่ยวบรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงสุดท้ายในญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด ปีสุดท้าย(ของการเรียน)เนี่ยท่าจะ(เที่ยว)เหนื่อยเลยเชียว เป้าหมายการถ่ายรูปของปีสุดท้ายนี้ขอถ่ายวิวและถ่ายชาวบ้านให้น้อยลง แต่เน้นถ่ายภาพตัวเองกับบรรยากาศแบบต่างๆให้มากขึ้น สู้ๆ

--------------------------------------

ภาพทั้งหมดถ่ายจาก Canon EOS KissX3 + EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM + Speedlite 430EX II งานนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้โหมด RAW ตลอดเพราะเห็นถ่ายกลางคืนแถมคนก็ยุ่บยั่บไม่สามารถละเลียดถ่ายรูปได้ ซึ่งก็คิดไม่ผิดจริงๆ ถ่าย RAW ไว้ช่วยได้เยอะเลย ทั้งช่วยดึงแสงในภาพที่ถ่ายมามืด(เพราะเลนส์ไม่ไวแสงและใช้ขาตั้งไม่ได้ ถ่ายมาด้วยสปีดพอที่ภาพจะไม่สั่นแต่ก็ออกมามืดมากๆ amazing จริงๆตอนที่เห็นว่า RAW สามารถดึงแสงในภาพขึ้นได้ขนาดนี้ ถ้าเป็น JPEG ล่ะก็ไม่มีทางเลย) และ แก้ WB ให้ตรง นอกจากนี้ External flash ก็ช่วยชีวิตไว้ไม่แพ้กัน ทำให้ได้รูป portrait โอเคๆมาหลายอยู่

ภาพทั้งหมดใช้ DPP ปรับแก้แสงและ WB ให้เหมาะสมแล้วค่อยไปจบด้วย crop -> USM resize -> ใส่ logo ใน PS อีกที ต้นฉบับอยู่ใน multiply แต่ใช้การ share link มาที่นี่อีกที ภาพถูกย่อเลยอาจดูในนี้ไม่ชัดเท่าที่ควร

--------------------------------------

ส่วนนี้พิเศษอยากเก็บไว้เผื่อดูเองทีหลังด้วย เป็นภาพวิธีการทำผมสำหรับชุดยูกาตะที่ จขบ ไปเซิร์ชๆมาแล้วถูกใจนำมาประยุกต์ใช้กับหัวตัวเอง

แบบแรก อ้างอิงจาก //forl.allabout.co.jp/L/hairstyle/071219/lt10801/index2.htm

ภาพสำเร็จ


ขั้นตอนการทำ (เราก็แปลญี่ปุ่นไม่เก่งนะ แต่อ่านพอเข้าใจความหมายและทำตามได้เท่านั้นเอง)






แบบสอง อ้างอิงจาก //www.rapty.com/yukata/hair/

ภาพสำเร็จ


ขั้นตอนการทำ



ที่ จขบ ทำจะคล้ายสองแบบนี้ปนกัน แต่ออกมาไม่สวยและไม่อลังการเท่าในภาพตัวอย่าง(จริงๆตอนทำผมเสร็จใหม่ๆก็ดูพองกว่านี้นะ แต่พอเดินๆไปเหงื่อออก ผมก็แฟ่บลงตามในภาพ) ใช้แบ่ง blocking คล้ายแบบแรกคือ ให้มีปอยผมยาวๆด้านหลังเหลือเอาไว้ซ้ายขวาให้ปัดมาเคลียๆไหล่ได้ เวลาถ่ายรูปจะได้ยังดูผมยาวๆอยู่(ชอบเป็นการส่วนตัว)

แทนที่จะมัดจุกตามตำแหน่งเดียวกับภาพตัวอย่างของแบบแรก ก็มัดจุกเล็กๆเฉพาะตรงผมด้านบนสุดของหัว ผมส่วนที่เหลือ(ที่ไม่ถูกมัดจุก และไม่ใช่ปอยสองข้างที่กะเหลือไว้)ก็แบ่งง่ายๆเป็นสองส่วนซ้ายและขวา

คราวนี้ก็เอาผมที่แบ่งไว้สองฝั่งมาบิดเกลียวพันขึ้นมาตรงตำแหน่งที่รัดหนังยางไว้ตะกี้ทีละฝั่ง แล้วเอาคลิปติดซะให้แน่น สุดท้ายเอาดอกไม้ติดผม(สำหรับชุดยูกาตะ)มาติดทับตรงหนังยาง จัดๆปลายผมซะหน่อยก็เป็นอันเสร็จ (อุตส่าห์ทำผมตั้งนาน แต่สุดท้ายไม่ได้ถ่ายภาพแบบเห็นผมด้านหลังชัดๆมาเล้ยยยยยย)

ปล ก่อนเริ่มทำต้องไดร์ผมและม้วนปลายผมเตรียมไว้ให้เรียบร้อยด้วย

--------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน OneDrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 04 กันยายน 2553    
Last Update : 14 เมษายน 2558 2:30:57 น.
Counter : 4988 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.