ระหว่างรอ คุณเพื่อนก็ช่วยซื้อ tour package มาให้เรียบร้อยตกคนละ 3500 เยน(น่าจะมีขายเฉพาะช่วงที่มีงานนี้น่ะนะ) ในแพ็กเกจจะรวมตั๋วรถไฟไปกลับตู้ green car และรวมค่าเข้าสวนไว้เรียบร้อยแล้ว คำนวนดูถ้าไม่ซื้อแพ็คเกจก็ 1110x2(รถไฟไปกลับ) + 1200(ค่าเข้าสวน) ราคาพอๆกันเลยแฮะ แต่อันนี้ได้นั่ง green car ด้วย ทีแรกก็นึกว่าคุ้มซะอีก ที่ไหนได้ จขบ อ่านไม่ละเอียดว่าถ้าไปหลังบ่ายสามค่าเข้าจะเหลือแค่ 500 เยน สรุปว่าไม่ซื้อแพ็คเกจถูกกว่า!!! แต่ก็เอาน่ะ ยังไงก็ได้ลองนั่ง green car กะเค้าเป็นครั้งแรกซะที (แต่ตู้ green car กับตู้ธรรมดามันก็รถไฟขบวนเดียวกัน ใช้เวลาวิ่งเท่ากันไม่ได้เร็วขึ้นเลย)
ถึงวันไป จขบ ตื่นสายอีกแล้ว (จริงๆก็ตื่นสายทุกฤดู แต่หน้าหนาวจะแงะตัวออกจากผ้าห่มได้ยากที่สุด เพราะนอกผ้าห่มนี่มันหนาวจริงอะไรจริง) ว่าจะม้วนผมแต่ก็ไม่ทัน ต้องรีบแจ้นไปเจอเพื่อนที่สถานีโตเกียว แถมกว่าจะหากันเจอ(สถานีใหญ่คนเยอะอีก) ลงท้ายวิ่งกันหน้าตั้งขึ้นรถไฟได้แบบ ギリギリ (กิริกิริ - ประมาณว่าแบบเฉียดฉิว) เลยทีเดียว ไม่งั้นจะตกขบวนที่มีตู้ green car ซึ่งมีมาแค่ชั่วโมงละขบวน (จริงๆไปขบวนอื่นก็ได้นะ แต่ก็จะไม่ได้ใช้ตั๋ว green car ที่อุตส่าห์ซื้อมา) จากสถานีโตเกียวไปด้วยรถใต้ดิน (地下)総武線 (Chika-)sobu-sen ขบวนนี้
เพิ่งเคยนั่ง green car ครั้งแรกขอเห่อนิดนึง ตู้ green car ของขบวนนี้มีสองชั้น ขาไปเลือกนั่งชั้นบนกันก่อน มีเก้าอี้เอนได้นั่งสบายเหมือนพวกชินคันเซน ไม่รู้เพราะมันไม่ใช่ชินคันเซนหรือเพราะมันอยู่ชั้นสอง แต่นั่งๆไปรู้สึกว่ามันโยกเยกกว่าพวกชินคันเซนพอตัวเลย คุณเพื่อน(คนไทย แต่อยู่ญี่ปุ่นมาใกล้สิบปีแล้ว)เอาหนังสือมากะอ่านในรถไฟก็พับเก็บกันไปเลย (พวกรถไฟวิ่งในตัวเมือง คนญี่ปุ่นถ้าไม่หลับคอพับคอตกอ้าปากหวอหรือเล่นเกมส์กับมือถือ ก็อ่านหนังสือกันในรถไฟนี่ล่ะ พวกที่นั่งคุยกันก็มีแต่น้อยกว่าที่กรุงเทพเยอะ ยกเว้นพวกรถด่วนสำหรับเดินทางไกลๆ อันนั้นเห็นนั่งคุยกันเยอะหน่อย)
และแล้วก็ถึง Tokyo German Village ความเจริญเพียงหนึ่งเดียวในรัศมีหลายกิโลเมตร(จขบ กะมั่วๆเอาเองนะ) เสียดายว่าวันนั้นฟ้าขาว ทั้งๆที่วันก่อนหน้ายังเห็นฟ้าใสอยู่ทุกวันเลยแท้ๆ
ดูซุ้มประตูกันชัดๆ เขียนเป็นภาษาเยอรมัน จขบ ก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน (สารภาพว่าตอนแรกเห็นชื่อ ドイツ村 Doitsu-mura ก็นึกว่าเป็น Dutch village ลืมที่เรียนจาก minna no nihongo บทแรกๆไปแล้วว่า ドイツ Doitsu คือ เยอรมัน หลังๆใช้เรียกทัพศัพท์อังกฤษไปเลยมากกว่า) ตัวการ์ตูนที่เห็นเป็นคาแร็กเตอร์ของที่นี่ที่เป็นน้องหมูแบบต่างๆ แต่ละตัวมีชื่อเสียงเรียงนามอะไรพร้อมเขียนไว้ที่ ตรงนี้ (แต่ จขบ เองก็ยังไม่ทันได้อ่านละเอียดนะ)
รุ้มั๊ยเอ่ยว่า green laser นี่ทั้งที่ความยาวคลื่นมากกว่า blue laser (หรือก็คือพลังงานน้อยกว่านั่นเอง) แต่กลับราคาแพงกว่าและกระบวนการในการผลิตก็ยุ่งยากกว่า blue และ red laser(ที่พลังงานต่ำสุดในสามสี) ซะอีก เหตุเพราะความที่มันมีความยาวคลื่นอยู่ตรงกลางๆคาบเกี่ยวไว้ทั้ง blue และ red นี่ล่ะ ทำให้ไม่มีช่วงความยาวคลื่นไหนเลยที่จะมีแต่ green แบบเพียวๆ เป็นต้องมีไปทับซ้อนกับ red หรือ blue เข้าทุกที
ดังนั้นกระบวนการผลิต green laser ก็เลยซับซ้อนกว่า เพราะอย่างพวก red และ blue มันเป็นแสงที่อยู่ขอบๆของ spectrum (ช่วงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้)แล้ว ดังนั้นจะมีความยาวคลื่นช่วงริมๆที่ให้แสงสีแดงหรือน้ำเงินล้วนๆได้(นับเฉพาะที่ตามนุษย์มองเห็น) เวลาจะผลิตก็แค่เลือกใช้ความยาวคลื่นตรงนั้น
ปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิต green laser ก็พัฒนาไปเยอะ สามารถสร้าง green laser แบบเพียวๆได้แล้ว แต่ถ้าในอุปกรณ์บางอย่างเช่นใน pico laser projector จะใช้วิธีอีกแบบ โดยการสร้าง red laser ขึ้นมาก่อน แล้วทำการลดความยาวคลื่นของมันลงครึ่งนึง ค่อยได้เป็น green laser แสงสีเขียวออกมาจ้า
สรุปคือ ต้นทุนในการผลิต green laser ก็ยังถือเป็นประเด็นสำคัญของพวกอุปกรณ์ใช้เลเซอร์ทั้งหลายแหล่อยู่ ตอนนี้ราคาการผลิตก็ยังแพงอยู่ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆประกอบกับผู้ผลิตที่มีมากขึ้น ในอนาคต cost ของ green laser ก็คงลดลง ส่งผลให้ราคาอุปกรณ์ที่ใช้ laser ทั้งหลายลดตามลงด้วย
ปล ว่า จขบ ไม่ได้ major ทางเลเซอร์แต่อย่างใด แต่มันเกี่ยวกับงานวิจัยที่ทำอยู่นิดนึง เผอิญมีโอกาสได้รู้ข้อมูลนี้มาก็ว่ามันน่าสนใจดี เพราะปกติของยิ่งแรง(พลังงานมากกว่า)ก็น่าจะผลิตยากและแพงกว่าหนิเนอะ
ยกเว้นภาพตัวเองภาพเดียวที่ใช้ Sony Alpha NEX-5 กับเลนส์คิต Sony E 18-55mm f/3.5-5.6 OSS ใหม่เอี่ยมแกะกล่อง ภาพที่เหลือทั้งหมดใช้ Canon EOS Kiss X3 รูปตรงชิบุยะใช้ EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM ส่วนที่เหลือใช้ EF 35mm f/1.4L USM
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ตอนประมาณตีหนึ่งมาดูอีกทีในบริเวณศาลเจ้าคนโล่งแล้วเหลือแค่นี้เอง ถ้าใครไม่อยากต่อคิวนาน(กลางอากาศหนาวๆ)ก็รอพ้น prime time ช่วงเที่ยงคืนไปแล้วค่อยมาไหว้ก็โออยู่นะ แต่ส่วนตัวว่ามาตอนเที่ยงคืน ร่วมเคาดาวน์กับคนเยอะๆก็ได้บรรยากาศดีไปอีกแบบ
ภาพทั้งหมดถ่ายด้วย Canon EOS Kiss X3 ภาพแรกจนก่อนถึงมาม่าใช้ EF 70-200mm f4L IS ถือมือส่องเอาไกลๆผ่านกระจก มืดมากมายแถมถ่าย jpeg ด้วยก็เลยออกมามัวๆนัวๆอย่างนี้เอง ภาพที่เหลือทั้งหมดใช้ EF 35mm f/1.4L ตัวเดียว
เดินตามป้ายมาสักพักก็เจอทางเดินที่จะเข้าทุ่ง KOKIA ในที่สุด ที่ปากทางมี KOKIA เล็กๆสีเขียวสีแดง มาเล่นหูเล่นตาต้อนรับกันในกระถางด้วย (ดูดีๆ ไอ้ที่ครอบหัวตัวขวาอยู่ หน้าตามันเหมือนที่ครอบจมูกครอบปากกันฝุ่นกันเชื้อโรคเลยนะ)
ณ ตรงนี้หันซ้ายหันขวาได้คุณลุงคุณป้าคู่นึงช่วยถ่ายภาพให้ มองลอดแมกไม้เขียวๆออกไปไกลๆๆๆ ตรงสุดนั้นแหล่ะคือทุ่ง KOKIA สีแดงแล้ว (เจอลมแล้วมือเย็นมากๆ เฮ้อ ถุงมือก็ไม่ได้เอามาอีก)
เดินต่อไปถึงอีกแยก ก็ยังอุตส่าห์มีกั๊กยังไม่เจอทุ่ง KOKIA อีก มีแต่ KOKIA สีเขียวสีแดงเล็กๆมาให้เห็นเป็นน้ำจิ้ม ส่วนดอกไม้สีแดงๆเขียวๆส้มๆข้างล่างมันคืออะไร จขบ ก็ไม่รู้เหมือนกัน
เดินต่อมาอีกนิดเดียว พอสุดหมดทางเดินตะกี้แล้วทุ่ง KOKIA สีแดงก็โผล่มาให้เห็นกว้างขวางสุดสายตาตรงหน้า (ตามข้อมูลในเว็บ //www.hitachikaihin.go.jp/fair/aki/index.htm เห็นว่ามี KOKIA กว่า 3 หมื่นต้นเลยทีเดียว)
ภาพด้านล่างมีใครสังเกตไหมว่าตรงพุ่ม KOKIA ส่วนล่างสุดในภาพมีคนอยู่ด้วย ใส่เสื้อสีแดงเลยกลืนกับ KOKIA ไปเลย สำหรับ จขบ นั้นคำนวนมาอย่างดีว่า KOKIA สีแดงดังนั้นต้องไม่ใส่อะไรที่สีกลืนกันไปมาเด็ดขาดเดี๋ยวจะถ่ายรูปแล้วไม่สวยไม่เด่น(ในภาพ)
หมุนๆเลนส์ให้ซูมไปไกลๆยิ่งขึ้น ได้ KOKIA กลมๆมาเต็มๆภาพแบบไม่ต้องมีการคร๊อป ดูเผินๆเหมือนกองทัพมนุษย์เห็ดบุกโลก
ส่องแต่ KOKIA เดี๋ยว Cosmos จะน้อยใจเลยส่องทุ่ง Cosmos แบบเต็มๆเฟรมมาบ้าง แต่เนื่องจาก Cosmos มันดอกเล็กๆถ้าไม่ถ่ายใกล้ๆแนว closeup/macro ตัวดอกมันก็ดูไม่โดดเด่นในภาพเท่ากับพุ่ม KOKIA น่ะนะ แล้วช่วงเวลานี้ KOKIA ก็เป็นไฮไลท์หลักที่สวนเค้าโปรโมทด้วย เหมือนว่า Cosmos เป็นแค่ส่วนเสริมเข้ามามากกว่า (แต่ถ้าไม่เสริมเข้ามาสวนตรงนี้ก็อาจไม่สวยเท่านี้ก็ได้ สรุปว่ามีไว้ทั้งคู่แหล่ะดีแล้ว)
ภาพทุกภาพถ่ายด้วย Canon EOS Kiss X3 + EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM เป็นหลัก นานๆทีมีลองใส่ EF 70-200mm f4L IS ตัวใหม่ส่องจากไกลๆดูบ้าง ถ่ายมาเป็น RAW ทั้งหมด(เริ่มติดใจ) ช่วงแรกๆมีใส่ Marumi DHG Super Circular P.L.D 72mm เพื่อลดแสงลงและหมุนฟ้าเข้มบ้าง