W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 

TokyoGermanVillage東京ドイツ村 2/2 เมคโอเวอร์เปลี่ยนสวนโล่งๆให้กลายเป็นลาน illumination สุดอลังการ



เครดิตตัวการ์ตูนจาก //www.t-doitsumura.co.jp/parkguide/character/index.html

-----------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูเวอร์ชั่นรีวิว(สั้นกว่าในบล็อคเยอะมากกก)ที่ pantip@blueplanet
>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน skydrive (เน้นๆรูปบรรยายสั้นๆไม่เวิ่นเว้อ)


บล็อคนี้ต่อมาจาก บล็อคตะกี้ นะ แบบว่าเวิ่นเว้อนอกเรื่องยาวเกินจนใส่ในบล็อคเดียวไม่พอ ต้องตัดเป็นสองตอน เนื้อหาจะต่อเนื่องกันเลย ถ้าอยู่ๆอ่านอันนี้อาจจะงงๆหน่อยว่า เอ๊ะ อะไรยังไง

เกริ่นเสร็จแล้วก็ไปต่อกันเลยดีกว่า (บอกไปแล้วว่าจะไม่เวิ่นเว้ออีก ^^) ต่อจากบล็อคตะกี้ที่เริ่มเห็นความอลังการของ illumination โผล่มารำไรแล้ว.....
.............
.........
.....
..
เดินพอลงมาได้สักช่วงกลางๆของเนินก็ต้องตกใจกับภาพนี้(มุมเดียวกับภาพเปิดกระทู้ของตอนที่ 1 ก่อนหน้านี้) ไม่ทันนึกจริงๆว่าทุ่งโล่งๆไม่มีอะไรเลยตะกี้จะแปรสภาพมาสวยได้ขนาดนี้ เนี่ยล่ะ make over สวนของจริง ตอนกลางวันเป็นแค่ทุ่งสายไฟโล่งๆไม่มีอะไรน่าสนใจ ตกกลางคืนมาแปลงร่างเป็นซินเดอเรลล่านั่งรถม้าฟักทองไปซะแล้ว ไอเดีย illumination นี่ที่ไทยก็น่าจะทำได้นะ ไม่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลว่าต้องเฉพาะประเทศที่มีสี่ฤดูแต่อย่างใด


จขบ ก็ตามสไตล์ เวลาตื่นเต้นถ่ายรูปสถานที่สวยๆทีไรเป็นอันลืมหมด หนาวก็ลืม ร้อนก็ลืม หนนี้ก็เหมือนกันถ่ายรูปเพลินจนลืมหนาวไปเลย สงสัยฮอร์โมน Endorphin จะมีส่วนช่วยให้หายหนาว ภาพนี้ก็ยังอยู่บนเนิน ประดับไฟสีน้ำเงินน่าจะแทนแม่น้ำหรือทะเล


ช่วงแรกเริ่มกันกับทุ่งดอกทานตะวัน ใช้ไฟสีเขียวแทนทุ่งหญ้า มีโค้งแม่น้ำสีน้ำเงินตัดผ่าน มองกลับไปเห็นบ้านลูกกวาดตะกี้อยู่บนเนินไกลๆ (ตรงที่จัดไฟจะมีเชือกกั้นไว้ไม่ให้คนเข้าไปเหยียบ)


น้องเป็ดคู่รักบนพื้นหญ้า


มุมตรงนี้งามมากๆๆๆๆ เห็นไฟหลายสี มีส่วนคดเคี้ยวทำให้ภาพดูน่าสนใจ มัวแต่ถ่ายรูปคนกันที่มุมนี้สรุปว่าลืมถ่ายเฉพาะวิวเดี่ยวๆมาด้วยเลย


มุมกว้างกับทุ่งหญ้า น้องเป็ด แม่น้ำ และฝูงนกฟลามิงโกที่ไกลๆ ถ้าสังเกตดีๆทางซ้ายเห็นหมีขาวด้วยเป็นโซนขั้วโลก จริงๆมีเพนกวินอีกแต่ จขบ ถ่ายมาไม่ครบ เสียดายสุดๆ


ซูมๆน้องนกฟลามิงโกสักหน่อย แอบสงสัยอยู่ว่าทำไมทำพื้นสีชมพู ทีแรกก็นึกว่าสื่อถึงทุ่งดอกไม้ แต่ท่าทางจะไม่ใช่ เพิ่งอ่านจากไหนสักแห่งว่าที่ไหนมีฝูงนกนี่เยอะๆมองไปจะเห็นเป็นเหมือนพรมสีชมพูเลย เค้าน่าจะตั้งใจสื่อถึงตรงนี้มากกว่านะ(เดาล้วนๆ)


รูปเยอะมาก แม้จะเสียดายว่ามุมก็ไม่ซ้ำแต่ก็จำเป็นต้องตัดออก เอาเป็นว่าที่เหลืออยู่ใน skydrive ค่า คลิกลิงค์ตามไปได้เลย(ถ้าสนใจ)

รูปล่างนี้ถ้าไม่บอกเห็นเป็นอะไรกันเอ่ย ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ทีแรก จขบ เห็นเป็นรถหัวแหลมๆคล้ายๆชินคันเซนล่ะ ก็ยังงงว่าไอ้ที่เหมือนต้นมะพร้าวบนรถมันคืออะไร ที่ไหนได้ดูดีๆมันมีส่วนหางสีแดงๆด้วย มันคือปลาวาฬในทะเลนั่นเอง ใครทายถูกตั้งแต่แรกมั่งยกมือขึ้นนน


ขนาดว่าลานจัดงานไม่ได้กว้างเว่อร์ ตอนอยู่ข้างบนกวาดตามองทีเดียวก็ทั่ว แต่พอเปิดไฟแล้วมาลงเดินนี่มันเก็บได้ไม่หมดจริงๆ มองไปทางไหนก็ไฟสวยๆละลานตาไปหมด เสียดายว่าสวนปิดเร็วสองทุ่มก็ปิดแล้ว ไม่มีเวลาละเลียดถ่ายรูปมากนัก (ต้องเผื่อเวลาเดินกลับไปขึ้นบัสด้วย)


ลานตรงนี้เขียนว่า St. Valentine ตรงสีแดงๆน่าจะเป็นรูปอะไรสักอย่างด้วยนะ แต่ตัวเตี้ยมองมุมสูงกว่านี้ไม่เห็นเลยดูไม่ออกว่าคืออะไร


เม้าส์นิดนึงว่าตอนเดินอยู่ตรงลาน illumination นี่มืดมากๆ นอกจากไฟที่ประดับแล้วทางเดินไม่มีไฟอื่นให้เลย(คงไม่อยากให้แสงมากลบกัน) คนข้างๆกันยังมองเห็นหน้ากันไม่ชัด ปุ่มต่างๆบนกล้องบนแฟลชก็มองไม่เห็น ต้องอาศัยความคุ้นเคยคลำแล้วกดเอาอย่างเดียว ดังนั้นเวลาถ่ายคนต้องจัดแฟลชหนักแน่นอน เพราะคนเยอะหมดสิทธิ์กางขาตั้งกล้อง (แต่จัดแฟลชหนักก็ใช่ว่าจะภาพแข็งโป๊กเสมอไปนะ แต่ก่อน จขบ ก็อคติกับการใช้แฟลชว่าใช้แล้วหน้าจะวอกหลังจะมืดตื๋อเหมือนตอนใช้คอมแพ็ค แต่จริงๆถ้าปรับดีๆหน้าจะสว่างเด้งเนียนสวยเลยเชียวล่ะ แม้แสงอาจจะไม่นุ่มเท่าใช้พวกตัวกระจายแสงใหญ่ๆร่วมด้วยก็ตาม)

อีกปัญหาของความมืดตรงทางเดินก็คือ AF ของกล้องจับโฟกัสที่หน้าคนไม่ได้ ชอบไปโฟกัสติดตรงไฟด้านหลังแทน ขนาดว่าแฟลชมียิงไฟแดงๆช่วยโฟกัสแล้วแต่ก็ยังหลุดบ่อยๆ ทางแก้ของ จขบ คือ ตั้ง AF แบบเลือกจุดโฟกัสที่ทับบนหน้าคนพอดีๆแทน อาจกดหลายหนหน่อยกว่าจะโฟกัสติด(เพราะมืดมากๆ) แต่ก็ยังได้ภาพชัดที่คนพอดี (จขบ ยังไม่ได้ลองพกไฟฉายไปส่องคนตามที่น้าๆแนะนำกัน) แต่เวลาให้คุณเพื่อนช่วยถ่ายให้ จขบ นี่สิ เค้าย้ายจุดโฟกัสไม่เป็น รูป จขบ เลยออกมาหน้าเบลอหลังชัดประจำ

ต่อกันกับไอเดียดีๆในการทำให้ต้นไม้กิ่งโกร๋นๆของฤดูหนาวดูดีขึ้นได้แบบผิดหูผิดตา


น้องนกเป็ดน้ำ(รึเปล่า?)ที่หน้าบ้านหลังน้อย


Swan lake (ยังเป็นที่กังขาอยู่ว่า ด้านหลังที่เป็นแท่งสามเหลี่ยมล้อมวงกลมนั่นคืออะไร ตั้งใจจะสื่อถึงอะไรหนอ เดาไม่ถูก )


เข็มทิศยักษ์ (มีอักษร NSEW ด้วยแต่ถ่ายมาไม่ติด ทางเดินแคบเลนส์กว้างได้สุดเท่านี้)


ต้องรีบเดินกันเพราะกลัวจะเดินไม่ทั่ว แล้วก็มาถึงไฮไลท์สุดท้ายที่ยอดเนินที่เป็นอุโมงค์สายรุ้งกับต้นคริสมาสต์และชิงช้าสวรรค์ ด้านซ้ายคือบ้านซานต้า(มีซานต้าอยู่ในบ้านด้วยล่ะ) และ ใต้ต้นไม้ก็มีกวางรูดอล์ฟสำหรับไว้เทียมเลื่อนของซานต้าอยู่


ตรงนี้มีที่พอควรและคนไม่ถึงกับเบียดเสียดนักเลยได้จังหวะกางขาตั้งถ่ายรูปรวมซะหน่อย จขบ มัวแต่วิ่งไปมา(ลืมเอารีโมตไร้สายมา ต้องตั้ง 10 วิแล้วรีบวิ่งไปรวมกลุ่ม) มัวปรับระดับขาตั้งกล้อง เล็งมุม และกำกับท่าโพสสารพัด สุดท้ายเลยมีภาพอุโมงค์เปล่าๆมาแค่นี้ แว่บไปดูภาพที่เพื่อนๆคนอื่นถ่ายมามีภาพในอุโมงค์มุมสวยๆ(แบบไม่มีคนในภาพ)ตั้งหลายภาพ เสียด๊ายยยยยย โดยเฉพาะมุมที่เห็นสายรุ้งในอุโมงค์แล้วก็เห็นต้นคริสมาสต์ด้านหลังพร้อมกันด้วย มุมนั้นเจ๋งอ่ะ โธ่ จขบ มัวยุ่งจนลืมมองหามุมเด็ดๆ


ที่ข้างๆอุโมงค์สายรุ้งจะมีร้านเล็กๆอยู่ด้วย จำได้ว่าขายซาลาเปานะ มีซาลาเปาตกแต่งเป็นรูปหน้าหมูกับหน้าแพนด้าด้วยล่ะ น่าร๊ากกกกก แต่มาหลายคนแบบนี้ จะมัวละเลียดตามใจไม่ได้เลยไม่ได้แวะซื้อและถ่ายรูปมีแค่รูปนี้ล่ะ เห็นมีรอยเท้าน้องหมาอยู่บนหลังคาน่ารักดี


มองเห็นด้านหลังของตึกบนเนินไวๆแล้ว (เส้นทางดู illumination จะลงจากเนิน อ้อมสวนแล้ววกกลับมาขึ้นเนินที่อีกด้านหนึ่ง สรุปคือพวกเรากำลังเดินวกกลับไปบนเนินที่เดิมตอนแรกนั่นเอง) สุดท้ายตรงนี้มี Smile Smile Smile ให้สมกับคอนเซ็ป Smile Wonderland ของปีนี้


ก่อนเดินลอดกลับไปตรงร้านค้าลูกกวาดจะมีซุ้มขายอาหารเล็กๆด้วย มีเหล้าหวาน (甘酒 Ama-zake) และพวกของร้อนๆให้กินแก้หนาวกัน แต่ จขบ ไม่ได้แวะกินอะไรลอดซุ้มกลับมาเจอร้านค้าลูกกวาดอีกครั้ง พอมืดสนิทแล้วแสงไฟยิ่งเด่นสวยมากกกกกขอบอก


ตอนไฟสว่าง ก็เห็นสวนด้านหน้าเป็นแค่สวนฤดูหนาวที่ดูซึมเซาไม่ค่อยน่าหันไปสำรวจเท่าไหร่ พอเปิดไฟขึ้นมาเท่านั้นล่ะ รายละเอียดการตกแต่งเล็กๆน้อยๆกระทั่งผีเสื้อสีเงินบนพุ่มไม้ เด่นเด้งขึ้นมาเลย


น้องหมู Babe ตรงสวนนี่ตอนตะกี้ไม่ทันสังเกตเห็นเลยจริงๆ


ขนาดรีบแล้วแต่ก็ยังใช้เวลาไปเยอะที่สวนตะกี้ สวนนี้ปิดสองทุ่ม บัสกลับสถานีเที่ยวสุดท้ายคือ 20:20 เผลอแผล็บเดียวที่เห็นคนเยอะๆตะกี้หายไปกันหมดแล้ว พื้นที่เริ่มจะโล่ง (เกือบสองทุ่มแล้ว)


ตอนนี้ทุกคนต่างพากันมุ่งหน้ากลับ (ที่นี่สามารถขับรถวนได้ด้วย ใครมีรถก็เอารถกันมาเอง) รูปนี้ทันได้เลเซอร์รูปหัวใจมาพอดีเลย จริงๆอยากได้ตอนเลเซอร์รูปหมูที่เป็นคาแรกเตอร์ของที่นี่มากกว่านะ แต่กดไม่ทันสักที


ถึงเวลาต้องอำลาบ้านลูกกวาดและ illumination กันแล้ว อาจไม่ใหญ่(และคนเยอะ max)เท่าอีกสองช๊อยส์ที่ดูๆไว้(เดาเอานะ เพราะไม่เคยไปสักกะที่) แต่แค่นี้ก็กว้างอลังการสวยถูกใจ จขบ มากๆแล้ว เสียแค่ 3500 เยนถือว่าคุ้มสุดๆ (ไม่ต้องไปจ่ายค่าโรงแรมค้างคืนที่ไหนด้วย)


ขากลับมารถบัส เดินย้อนลงเนินมาทางเดียวกับขาไปเป๊ะเลย แต่ตอนลงเนินนี่เสียวมาก เพราะเค้าไม่มีจัดไฟส่องทางไว้ให้ มีแค่ไฟรางๆจากลานจัดงานและไฟที่ตรงด้านล่างเนินเลย มองอะไรๆแทบไม่เห็น ถึงจะเป็นเนินเรียบๆไม่มีหลุมมีบ่อก็เถอะนะ ก็ยังอดกลัวไม่ได้ว่าจะกลิ้งหล่นลงไป

แต่สุดท้ายทุกคนก็เดินลงมาได้อย่างปลอดภัย ถึงรถบัสโดยสวัสดิภาพ ได้ปรับสายตาสู่โหมดปกติ ออกจากโหมด Nocturnal ตะกี้เสียที (ไฟรถเข็นแบบในรูปเห็นใช้กันได้ประจำในงานต่างๆที่จัดตอนกลางคืนที่ญี่ปุ่น ตอน count down ปีใหม่ก็เห็นไฟแบบนี้ล่ะตามจุดต่างๆในศาลเจ้า หรือ ตรงซ่อมถนนตอนกลางคืนก็มี)


ขากลับก็นั่งรถไฟ green car เหมือนเดิม (อุตส่าห์จ่ายแพงกว่าซื้อมาแล้วหนิ ยังไงก็ต้องใช้ให้คุ้ม) แต่หนนี้ลองนั่งชั้นล่างดู ไม่โยกเยกเท่าชั้นสอง เสียตรงวิวอาจไม่ดีนัก มองไปสายตาอยู่ระดับรองเท้าพอดิบพอดีเลย แต่ก็นะ มืดๆแถมเหนื่อยๆมาอย่างนี้ก็ไม่มีอารมณ์ดูวิวหรอก นอนลูกเดียวเลย (แถมแถวนี้ก็ inaka อ่ะนะ ปิดไฟกันมืดตื๋อ มองไปก็ไม่เห็นวิวอะไร)


แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันกันที่สถานีโตเกียว เหลือ จขบ คนเดียวกลับมาหาข้าวกินที่ Ueno ร้าน すしざんまい Sushi-zanmai นี้เพิ่งสังเกตเห็นเมื่อไม่กี่อาทิตย์นี้เอง (จริงๆรู้สึกร้านเค้าจะตั้งอยู่ตรงนี้มาชาติกว่าแล้วมั้ง) จำได้ว่าคุณว่านน้ำเคยพูดถึงไว้เลยอยากมาลองมั่ง


วันนี้ดึกแล้ว(สี่ทุ่ม)ร้านอื่นๆปิดหมดเหลือแต่ตระกูล Yoshinoya ซึ่งถ้าไม่จำเป็นว่ากำลังรีบหรือไม่มีอะไรกิน(หรือไม่ค่อยมีเงิน)ก็ไม่คิดจะเข้า ก็แบบว่ารสชาติมันเฉยๆอ่ะ ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษ ออกแนวฟาสฟู้ดญี่ปุ่น ดีตรงเร็ว ง่าย สะดวกและเปิดตลอด (แต่เห็นคนไทยที่มาเที่ยวชอบร้าน 24 ชั่วโมงทำนองนี้กันจังแฮะ )

ยังไงก็ตาม สรุปว่าวันนั้นได้โอกาสลอง Sushi-zanmai นี้ซะเลยเพราะเค้าเปิด 24 ชั่วโมง ทั้งปีไม่มีวันหยุด ดูเมนูหน้าร้านแล้วก็ อืม แพงใช้ได้ เซ็ตแนะนำ 3150 เยน(รวมภาษีแล้ว) ปกติ จขบ กินแต่ซูชิรางหมุนอ่ะ ขนาดว่าชอบหยิบจานราคาพิเศษ(แบบแพงกว่าจานปกติ)ก็ยังสนนราคามื้อนึงประมาณพันเยนเอง ถ้าเลือกกินแต่จานราคาปกติบางทีก็ไม่ถึงพันเยนด้วยซ้ำ


กลับไทยหนก่อนๆไปอ่านโคนันตอนคดีในร้านซูชิรางหมุน กลับมาญี่ปุ่นก็ลองพลิกดูใต้จานมั่ง ไม่เห็นมีบาร์โค้ดที่ว่าเลยแฮะ สงสัยร้านใหญ่ไม่พอ แต่ก็ได้เกร็ดความรู้มาอีกอย่างว่าซูชิรางหมุนนี่มันออกแนวซูชิโลโซนิดนึงเหรอเนี่ย ประมาณว่าคนที่หยิ่งในความเป็นเอโดะแท้ๆจะไม่กินกัน (แต่ จขบ ไม่ใช่คนเอโดะนี่เนอะ ก็กินไปตามกำลังทรัพย์ )

ไหนๆวันนี้จะกินของดีแล้ว ก็ต้องเอาที่มันอร่อยไปเลย เล็งตั้งแต่หน้าร้านว่าจะเลือกชุดแนะนำ まぐろざんまい Maguro-zanmai ชุดนี้ ทั้งเซ็ตเป็น Maguro ล้วนๆน่ากินได้อีก


ร้านนี้ถือเป็นร้านซูชิที่ใหญ่เลยทีเดียว (ปกติจะเห็นแต่ร้านเล็กๆขนาดกะทัดรัด) ดูโอ่อ่า คนเยอะ และ 賑やか Nigiyaka (อึกทึกคึกคัก) ไม่เบา พ่อครัวคนขวาสุดในรูปคือคนที่รับผิดชอบปั้นให้ จขบ กินล่ะ ป้ายที่อกมีบอกด้วยว่าบ้านเกิดอยู่ที่ 秋田 Akita ยังคิดอยู่ว่าจำเป็นต้องบอกด้วยเหรอเนี่ย หรือเพื่อเอาไว้ใช้เป็นหัวข้อสนทนากันระหว่างคนมากินและคนปั้น


จขบ มาคนเดียวเลยนั่งเคาเตอร์ เห็นตู้ใส่ปลาอยู่ตรงหน้า เห็นเค้าเตรียมของ หั่นปลา ปั้นข้าวกันจะๆเลย (ถ้ามาคนเดียวและนั่งเคาเตอร์ ก็คุยกับพ่อครัวสะดวกดีนะจะได้ไม่เหงา) เอ้า อาวุธพร้อม จิบชาเขียวร้อนๆระหว่างรอ


เห็นทำกันตรงหน้าเสร็จมาเป็นจานนี้ จขบ ชอบดูคนทำอาหารนะ เพลินดี (ในรูปนี้มองไม่เห็นแต่ข้างหน้าคือตู้ใส่ปลาที่เตรียมไว้ทำซูชิ ตลอดแนวตู้จะมีท่อเล็กๆยาวๆที่น้ำแข็งหุ้มจนขาวจั๊วะอยู่ด้วย เดาว่าน่าจะเป็นท่อนำความเย็น เพราะถึงข้างนอกจะหนาวแต่ในร้านก็เปิดฮีตเตอร์อุ่น)


พอดีว่าช่วงนี้มีโปรโมชั่น ชุดนี้ได้ลด 500 เยนเลยเหลือแค่ 2625 แต่ก็ยังถือว่าแพงอยู่ดีสำหรับหนึ่งมื้อของนักเรียน เลยต้องถ่ายรูปสวยๆมาให้คุ้มหน่อย โหย มีแต่มากุโระแพงๆ(เกือบ)ทั้งนั้น ของดีๆนานๆได้กินเดี๋ยวต้องค่อยๆละเลียดลิ้มรสหน่อย (แต่จริงๆหิวจนตาลายแล้วเนี่ย)


ค่อยๆกินไปตามลำดับราคา(ไม่งั้นหลังๆเกิดอิ่ม ความอร่อยมันจะลดลง เสียดายของแพงๆ) เริ่มที่คู่ที่แพงสุดในเซ็ตก่อน ซูชิหน้า Otoro (ถ้าขายแยกก็หนึ่งก้อน 398 เยน) เป็นปลาดิบส่วนที่กินแล้วนิ่มละลายในปากจริงๆ แทบไม่ได้กลิ่นคาวของเนื้อปลาเลย คือ จขบ กินปลาดิบจนชินกลิ่นของปลาแล้วอ่ะนะ แต่อันนี้แทบไม่รู้สึกว่าได้กลิ่นปลาเลยล่ะ เนื้อก็นิ่มๆมันๆอร๊อยอร่อย ไม่มันเยิ้มแบบเนื้อหมูเนื้อไก่ ว่าแล้วก็กินปลาเยอะๆต่อไปจะได้ฉลาดๆ


คู่นี้ก็ Otoro แพงเท่ากับคู่เมื่อตะกี้ แต่มีการเอากระป๋องแก๊สพ่นไฟใส่ด้านนอก(ไม่ใช่ไฟอ่อนๆด้วยนะ พ่นไฟแรงๆฟู่เลยล่ะ) ทำให้สุกนอกดิบในเรียกว่า Aburi นี่ก็อร่อยเหมือนกัน สุกกับดิบเข้ากันได้ดี (แอบเห็นมีขายเป็น Otoro Steak แยกด้วย คนทำบอกมาว่าวิธีทำเหมือนเจ้าคู่นี้นี่ล่ะ จานนึงมีแต่ปลาล้วนๆตั้ง 2500 เยนแน่ะ โหย แพงจริงจัง)


แพงรองลงมาน่าจะเป็นคู่นี้ เดาว่า Chu-toro มั้งเพราะสียังอ่อนอยู่ ถ้า Akami น่าจะสีแดงเข้มกว่านี้ (Chu-toro ขายแยกก้อนละ 298 เยน) อันนี้กินแล้วค่อยรู้สึกเหมือนปลาดิบปกติที่ได้กินบ่อยๆหน่อย สัมผัสของเนื้อและกลิ่นปลานิดๆแบบนี้ล่ะที่พอหาได้ทั่วไปในร้านข้าวปลาดิบแบบ 丼 Donburi และร้านซูชิรางหมุน (แต่ราคา chu-toro ก็จะแพงกว่าปลาอื่นๆหน่อย แซลมอนของโปรด จขบ น่ะถูกสุด ที่ Sushi-zanmai นี่ขายเป็นซูชิก้อนละ 98 เยนถ้วน ราคานี้ซื้อน้ำตามตู้กดอัตโนมัติยังไม่ได้เลย) สรุปก็มีแต่พวก Otoro ตะกี้ล่ะ ที่ จขบ ยังติดใจว่าทั้งสัมผัสทั้งกลิ่นมันแตกต่างจากปลาดิบที่กินอยู่บ่อยๆแฮะ สงสัยต้องไปลองคอนเฟิมอีกสักทีแล้วมั้งเนี่ย


คู่ต่อมาเดาว่าเป็นส่วน Akami หรือเปล่า เพราะเห็นสีแดงเข้มกว่าเพื่อน จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา(บ้าง) ปลาดิบตระกูลเนื้อสีโทนแดงส้ม สียิ่งอ่อนเท่าไหร่ราคายิ่งแพงเท่านั้น ในบรรดาพวกไม่ม้วนสาหร่ายทั้งหมดในเซ็ต คู่นี้ก็เลยน่าจะถูกสุด แต่ก็ยังอร่อยอยู่ดี


อย่างภาพบนนี่ รู้สึกเค้าหั่นปลาให้ชิ้นหนากว่าในรูปโฆษณาอีกนะว่ามั๊ย กำไรๆ จะว่าไปเทคนิคแล่ปลาของพ่อครัวนี่น่าทึ่งนะ เห็นปลาวางอยู่ชิ้นหนาไม่ถึง 2 cm เองมั้ง กว้างก็แค่ประมาณครึ่งคืบ (คืบของ จขบ สั้นนะ แบบว่ากรรมพันธ์นิ้วสั้น) แต่หั่นสไลด์ออกมาได้ดูยาวและหนาแบบนี้เลย

ต่อมากับพวกม้วนสาหร่าย ทางซ้ายคือ Negitoro มีมาก้อนเดียว (เพิ่งรู้เลยว่า Negitoro Sushi แพงกว่า Akami Sushi แต่ก็ยังถูกกว่า Otoro และ Chu-toro ก็เห็นที่ร้านข้าวปลาดิบตรงอาเมโยโกะ ขาย Negitoro ถุงละ 500 เยนกินกับข้าวได้แบบเต็มคราบตั้งหลายมื้อ เอ๊ะ หรือมันแพงที่ต้นหอม ) และทางขวาสองก้อนเล็กๆคือ Tuna roll (แน่นอนว่าน่าจะถูกที่สุดแล้วในเซ็ตนี้ มีปลาสอดไส้มานิดเดียว)


สุดท้ายในเซ็ตกับซุปมิโซะ ที่นี่ทำเป็นสาหร่ายฝอยๆเล็กๆดื่มแล้วลื่นลงคอไปได้เลย รสกำลังพอดีไม่เค็มไป (เคยกินบางร้านนี่ มิโซะซุปอย่างเค็ม)


เที่ยวมาหิวๆ จขบ จัดการซัดเรียบเหลือแต่ขิงอย่างเดียว(ไม่ชอบกินอ่ะ) ไม่รู้เพราะหิวรึเปล่า แต่รู้สึกว่าซูชิร้านนี้มันอร่อยดีแฮะ (แต่ก็นะ ทำสดๆด้วยล่ะ ไม่มีวางค้างไว้ในรางเหมือนซูชิรางหมุน) นอกจากพวกซูชิและปลาดิบแล้ว ร้านนี้ก็ยังมีกับข้าวญี่ปุ่นปรุงสุกแบบอื่นๆด้วยน่ากินเหมือนกัน เอาไว้จะแวะกลับมาลองกินอีกทีนะ เปิด 24 ชั่วโมงแบบนี้เหมาะกับพวกนกฮูกนกเค้าแมวแบบ จขบ มาก เพราะตื่นสายนอกดึกแค่ไหนก็ยังได้กิน

แต่สงสัย จขบ จะมัวดื่มด่ำกับรสชาติและรูปถ่ายอาหารมากไป ออกจากร้านเดินกลับจนถึงบ้านเพิ่งนึกได้ว่าลืมนมสตรอเบอรี่สองกล่องของโปรดของ จขบ ที่เพิ่งซื้อมาไว้ที่ร้านซูชิ (ของพะรุงพะรังเกิน) กว่าจะนึกได้ก็เดินถึงบ้านซะแล้วขี้เกียจกลับไปเอาอ้ะ อุตส่าห์กะเอามาดื่มก่อนนอนซะหน่อยจะได้หลับสบายๆ เสียดายยยย

จบบล็อคอันแสนยาวเหยียดน้ำเยอะแต่เพียงเท่านี้ วันนั้นเป็นหนึ่งวันที่สนุกสมใจ จขบ มากๆ ทั้งได้เที่ยวดูของสวยๆงามๆ ได้ถ่ายรูปที่ถูกใจเยอะแยะ ได้กินอาหารอร๊อยอร่อยจนแทบกลิ้งกลับบ้าน(ปกติไม่กินข้าวเยอะ เจอข้าวซูชิทั้งเซ็ตนี้ไปนี่อิ่มตื้อเลย) วันดีๆอย่างนี้ก็เลยอยากจะบันทึกไว้ให้ละเอียดสักหน่อยเผื่อว่าอีกหน่อยจะหลงๆลืมๆไป ขอบพระคุณผู้มีอุปการะคุณของบล็อคร้างๆนี้ทุกท่านที่อุตส่าห์ทนอ่านจนจบมาได้ถึงตรงนี้ค่า

-----------------------------------------------------


เครดิตตัวการ์ตูนจาก //www.t-doitsumura.co.jp/parkguide/character/index.html

ภาพในอัลบั้มนี้โดนย่อมา อาจดูมัวๆไม่คมชัด ถ้าสนใจภาพแบบคมๆ และ อยากดูอัลบั้มเต็มๆ(ในบล็อคตัดออกไปหลายรูปแล้วนะเนี่ย) คลิกไปดูที่ skydrive ได้เลยค่า

ทั้งหมดนี้ถ่ายด้วย Canon EOS Kiss X3 + EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM ถ่ายมาเป็น RAW เพื่อเอามาปรับ WB และดึงแสงทีหลัง พอฟ้ามืดแล้วจะใช้โหมด Tv ตลอด ตั้งไว้ที่ 1/30 ISO800 เนื่องจากอยากถ่ายให้ได้บรรยากาศมืดจริงๆเห็นไฟชัดๆไม่ใช่ถ่ายมาสว่างอย่างกะกลางวัน (เพราะโดนกล้องชดเชยแสงให้) เลยชดเชยแสงทางลบไปซะหลายขีด ที่เลือกสปีด 1/30 เพราะส่วนตัว จขบ สามารถถือเลนส์นี้ถ่ายได้โดยไม่สั่นเกือบทุกช่วงซูม และสปีดกับ ISO ขนาดนี้ก็พอดีเก็บ illumination ได้โดยไม่มืดเกินไปด้วย

เวลาถ่ายคนจะใช้แฟลช Speedlite 430 EX II โหมด ETTL ยิงเข้าไปตรงๆเลย ตอนฟ้ายังไม่มืดก็ลูบแฟลชเบาๆพอให้หน้าดูไม่อมราหูและผิวดูผ่องเด้ง(แต่ไม่วอกนะ) พอมืดแล้วค่อยตบแฟลชเป็นแสงหลักส่องคน เพราะทางเดินในงานมืดมากจริงๆ (ตั้ง Tv 1/30 ISO800 เหมือนเดิม กำลังแฟลชปรับขึ้นลงตามสีเสื้อโค้ตแต่ละคน)

ส่วนขาตั้งกล้องจริงๆก็(อุตส่าห์)เอาไป แต่คนเยอะและทางเดินไม่กว้างนัก สุดท้ายเลยถือมือถ่ายเอาตลอด บางภาพก็เลยหลุดเบลอบ้างอะไรบ้าง มีใช้ขาตั้งอยู่ช่วงเดียวตอนถ่ายรูปหมู่กัน ซึ่งก็ไม่ได้ลงภาพไว้ในอัลบั้มนี้

-----------------------------------------------------

รวมลิงค์บล็อคทั้งหมดของทริป

1. TokyoGermanVillage東京ドイツ村 1/2 เมคโอเวอร์เปลี่ยนสวนโล่งๆให้กลายเป็นลาน illumination สุดอลังการ
2. TokyoGermanVillage東京ドイツ村 2/2 เมคโอเวอร์เปลี่ยนสวนโล่งๆให้กลายเป็นลาน illumination สุดอลังการ

-----------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน skydrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 23 มกราคม 2554    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2556 23:30:48 น.
Counter : 4159 Pageviews.  

TokyoGermanVillage東京ドイツ村 1/2 เมคโอเวอร์เปลี่ยนสวนโล่งๆให้กลายเป็นลาน illumination สุดอลังการ



เครดิตตัวการ์ตูนจาก //www.t-doitsumura.co.jp/parkguide/character/index.html

-----------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูเวอร์ชั่นรีวิว(สั้นกว่าในบล็อคเยอะมากกก)ที่ pantip@blueplanet
>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน skydrive (เน้นๆรูปบรรยายสั้นๆไม่เวิ่นเว้อ)


บล็อคสดๆร้อนๆแบบยังมีไอกรุ่นๆอยู่มาแล้วค่า (ส่วนบล็อคดองตั้งแต่หน้าร้อน ใบไม้ร่วง และ คริสมาสต์ ปีก่อนก็ดองต่อไปก่อนละกัน ไหนๆมันก็เค็มไปแล้ว) เมื่อวานนั่งทำสไลด์เตรียม Ph.D. preliminary defense ตั้งแต่บ่ายต้นๆยันมาถึงเช้าอีกวันเล่นเอาซะมึนเลย ไหนๆทำเสร็จแล้ววันนี้ขอพักผ่อนด้วยการเขียนบันทึกลงบล็อคเสียหน่อย

สำหรับคนชอบเขียนชอบจด (จขบ เป็นหนึ่งในมือเลคเชอร์ของภาควิชาสมัยปริญญาตรีด้วยนะ การันตีความช่างจดได้) การได้เขียนสิ่งที่อยากเขียนนี่มันเป็นการผ่อนคลายอย่างนึงเลยล่ะ แม้จะใช้เวลาใช้แรงงานเยอะ ทำแล้วเหนื่อยหนักกว่าเดิมแต่มันก็สนุกที่ได้ทำ เพราะงี้จขบ ถึงได้ยังเขียนบล็อคต่อมาได้เรื่อยๆอย่างนี้ไง แม้ว่าแทบจะไม่มีใครมาอ่าน(นอกจากตัวเอง) แต่ก็ยังเขียนต่อไป ก็คนมันชอบเขียนนี่นา

ก่อนจะอ้อมไปบรรยายต้นสายปลายเหตุ สถานที่ และที่มาต่างๆ ขอแปะหน้าปกภาพโปรโมทของบล็อคนี้เสียหน่อย บล็อคนี้จะพาไปดู illumination อลังการในรูปนี้เลยล่ะ ถ่ายมาเองกับมือของจริงไม่มีใช้ CG แต่อย่างใด (จขบ ก็ห่วยเรื่อง CG ด้วยล่ะ ถนัดทาง image processing กับ computer vision มากกว่า)


ก็หน้าหนาวนี้เป็นหน้าหนาวสุดท้ายของ จขบ ในชีวิตนักเรียนที่ญี่ปุ่นน่ะนะ เมื่อปีก่อนก็ไปเสพหิมะมาเต็มที่แล้วจากเทศกาลหิมะที่ฮอกไกโด (สนใจดูทริปนั้นได้ ที่นี่) ดังนั้นปีนี้หรือปีไหนๆต่อจากนี้ก็ไม่สนใจอยากจะวิ่งไปหาหิมะให้หนาวเล่นอีกแล้วล่ะ (แต่ถ้าเป็นใบไม้ผลิกับใบไม้เปลี่ยนสีล่ะก็ ให้ดูทุกปี จขบ ก็ยังอยากดูนะ สองฤดูนี้ชอบจริงๆ)

สำหรับประเทศอื่นจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับที่ญี่ปุ่นไฮไลท์แต่ละอย่างจะแยกขาดจากกันไปตามฤดูเลย ใบไม้ผลิ มี 花見 Hanami เด่นที่ 桜 Sakura -> หน้าร้อน มี 花火 Hanabi(ดอกไม้ไฟ) และ เทศกาลฤดูร้อนต่างๆสำหรับให้ใส่ยูกาตะ -> ใบไม้ร่วง มี 紅葉 Koyo หรือใบไม้เปลี่ยนสี สุดท้ายมาถึง หน้าหนาว นอกจากพวกเทศกาลหิมะและน้ำแข็ง ไฮไลท์ก็คือ illumination นี่ล่ะ

ที่โตเกียวจะเริ่มตั้งแต่ประมาณเดือน ธค ไปถึงประมาณ กพ สถานที่ต่างๆจะจัดแต่ง illumination เปลี่ยนธีมไปในแต่ละปี (สังเกตว่าการจัดเทศกาลแบบญี่ปุ่น จะไม่ค่อยจัดซ้ำๆธีมเดิม แต่จะเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุกปีให้ไม่น่าเบื่อ) ถ้า google หาดู(ภาษาญี่ปุ่น)จะมีลิสต์สถานที่ขึ้นมาเยอะแยะมากมาย เลือกกันตาลายไปเลย ตั้งแต่ตอนมาญี่ปุ่นปีแรกๆ จขบ ก็เก็บมาแล้วหลายๆที่ในโตเกียวทั้ง Roppongi, Tokyo Tower, Odaiba, Tokyo Dome, Shinjuku แต่โดยรวมๆแล้วก็คือไปแบบเล่นๆ ไม่ได้จัดหนักกับ illumination เท่าไหร่

ไหนๆปีสุดท้ายแล้ว จขบ ตั้งเป้าไว้เลยว่าปีนี้จะไม่ไปเก็บที่ยิบๆย่อยๆ (ขี้เกียจไปถ่ายหลายๆที่ด้วย แบบว่ามันหน๊าวววว~) แต่ขอเลือกที่เดียวแบบจัดหนักอลังการไปเลย อีกอย่างคือหลังๆเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองชอบเที่ยวแนวธรรมชาติมากกว่าแนวสถาปัตยกรรมเลยไม่ค่อยอยากไปดูพวกที่จัดในป่าคอนกรีตของโตเกียวเท่าไหร่ ยังไงพื้นที่ก็แคบกว่าไม่มีทางใหญ่อลังการได้เท่าพวกที่จัดตามนอกเมืองอยู่แล้ว

ทีแรกสนใจงาน Kobe Luminarie 神戸ルミナリエ เห็นภาพจาก FB ของเพื่อนๆ(เที่ยวเก่งกันทั้งนั้น)แล้วดูอลังการดี แถมงานนี้ก็ท่าทางจะดังไม่เบา แต่เสียดายว่าจัดสั้นมาก อย่างของหน้าหนาวนี้ก็แค่ 2 DEC 2010 ถึง 13 DEC 2010 ซึ่งช่วงนั้น จขบ เพิ่งกลับจากงานที่ต่างประเทศต้องปั่นพรีเซนต์อีก ปลีกตัวนั่งชินคันเซ็นไปไม่ไหว(ไหนจะหาจองที่พักอีกล่ะ คนเต็มแน่ๆ) ประกอบกับในช่วงไม่กี่เดือนนี้ไปโกเบมาสองรอบแล้ว แม้จะยังเก็บเที่ยวไม่ค่อยครบแต่ก็อยากเปลี่ยนไปที่อื่นมั่งอ่ะนะ ดังนั้นช๊อยส์แรกนี้ตกไป

เครดิตภาพจาก //blogs.yahoo.co.jp/nyanko_smap/36149945.html

ระหว่างที่ยังหาที่ดู illumination ไม่ได้ก็ไปเจอ กระทู้นี้ เข้าพอดี เลยได้เพิ่มมาอีกสองช๊อยส์ใหม่เอี่ยมที่ จขบ ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ช๊อยส์ที่สองคือ Winter Illumination ที่ 長島 Nagashima ตรงจังหวัด Mie 三重県(อ่านในกระทู้ เห็นว่าเลย Nagoya ไปหน่อย) ชื่องาน(หรือชื่อสถานที่แฮะ?)ว่า なばなの里 Nabananosato เห็นว่าปีนี้มีธีมน่าสนใจเป็น 富士と海 (Fuji-to-Umi) หรือ ภูเขาฟูจิกับทะเล ไปอ่านเจอบล็อคใครสักคนที่เพิ่งไปมาบอกว่ามันมีการเล่นสีเปลี่ยนไปมาด้วย ไม่ใช่เป็นแสงนิ่งๆสีน้ำเงินอย่างนี้ตลอด

เครดิตภาพจาก //www.nagashima-onsen.co.jp/nabana/illumination/feature06.html/

ลองหาข้อมูลแล้วที่นี่ก็สวย&อลังการใช้ได้เลย ถ้าเอารถยนต์ไปเองเห็นว่ารถติดไม่เบา ที่หน้าเว็บถึงขนาดเขียนเตือนตัวโตๆว่าให้หลีกเลี่ยงวันหยุดหรือสุดสัปดาห์เพราะคนจะเยอะมากกก อ่านละเอียดแล้วเห็นว่ามีบัสไว้บริการคนไม่มีรถแบบ จขบ ด้วย(เสียเงินนะ ไม่ฟรี) ดังนั้นถ้าจะไปก็ไปได้ล่ะ ช่วงเวลาจัดงานก็ 5 NOV 2010 ถึง 13 MAR 2011 มีเวลาแวะไปดูกันได้ยาวๆเลย

แต่ ณ ตอนนี้นี่ จขบ ยังไม่อยากไปไหนไกลมากอ่ะ เทอมนี้นี่เดินทางบ่อยมากจนเหนื่อย Nagoya ไม่ไกลจากโตเกียวมากก็จริงแต่ก็ซัดชินคันเซ็นไปตั้ง 95 นาทีเชียวนะ แถมอากาศตอนนี้ก็ยังหน๊าวหนาว ไหนๆที่นี่ก็ยังเปิดไฟไปอีกนาน จขบ เลยขอเวลาคิดอีกหน่อยละกัน ไม่แน่อาจเปลี่ยนใจไปทีหลังก็ได้

มาที่ช๊อยส์สุดท้ายที่ได้จากกระทู้ตะกี้ของห้อง @Japan หรือก็คือที่ๆ จขบ เพิ่งไปมานั่นล่ะ สถานที่คือ 東京ドイツ村(Tokyo-doitsu-mura) Tokyo German Village ชื่อเขียนว่าโตเกียวก็จริง แต่จริงๆอยู่ที่จังหวัด Chiba 千葉県 ข้างๆกัน งาน Winter Illumination ที่นี่เพิ่งจะจัดเป็นหนที่ห้า สำหรับหน้าหนาวนี้ก็เปิดไฟ 16:00-20:00(แต่ 19:30 จะปิดไม่ให้เข้าสวนแล้ว) ตั้งแต่ 13 NOV 2010 ถึง 13 FEB 2011 (แอบสงสัยว่าทำไมไม่ต่อไปอีกวัน จะได้รวมวาเลนไทน์ไปด้วยเลย) ธีมของงานปีนี้ คือ Smile Wonderland 「笑顔」~スマイルワンダーランド~

เครดิตภาพแค็ปจาก //www.t-doitsumura.co.jp/special_event/

พอเลือกสถานที่ได้แล้ว จขบ ก็เริ่มหาสมาชิกไปด้วยกันทันที(ไม่งั้นก็ไม่มีรูปถ่ายของตัวเองน่ะสิ ;P ) ที่นี่อยู่ไม่ไกลโตเกียว ไปเช้าเย็นกลับสบายๆ ราคาก็ไม่แพงนักเลยหาคนไปกันไม่ยาก แต่พอเอ่ยปากชวนใครปุ๊บสิ่งแรกที่ทุกคนจะพูดคือ "ที่นี่มันคือที่ไหน?" หรือ "มีที่นี่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นด้วยเหรอ?" จากนั้นก็จะค่อยลงมือ google หาข้อมูลกันตามถนัด เป็นสถานที่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจริงๆ 555 จขบ เริ่มชวนเพื่อนๆตั้งแต่ปลายปีก่อนแล้ว แต่ช่วงหยุดปีใหม่คาดว่าที่ไหนๆก็คนเยอะชัวร์เลยรอหน่อยดีกว่า เผอิญทุกคนใช้ชีวิตอยู่โตเกียวกันหมด ไม่มีความจำเป็นต้องรีบไปก่อน เพื่อไปเบียดคนแต่อย่างใด ยังไงก็ได้ดู

ระหว่างรอ คุณเพื่อนก็ช่วยซื้อ tour package มาให้เรียบร้อยตกคนละ 3500 เยน(น่าจะมีขายเฉพาะช่วงที่มีงานนี้น่ะนะ) ในแพ็กเกจจะรวมตั๋วรถไฟไปกลับตู้ green car และรวมค่าเข้าสวนไว้เรียบร้อยแล้ว คำนวนดูถ้าไม่ซื้อแพ็คเกจก็ 1110x2(รถไฟไปกลับ) + 1200(ค่าเข้าสวน) ราคาพอๆกันเลยแฮะ แต่อันนี้ได้นั่ง green car ด้วย ทีแรกก็นึกว่าคุ้มซะอีก ที่ไหนได้ จขบ อ่านไม่ละเอียดว่าถ้าไปหลังบ่ายสามค่าเข้าจะเหลือแค่ 500 เยน สรุปว่าไม่ซื้อแพ็คเกจถูกกว่า!!! แต่ก็เอาน่ะ ยังไงก็ได้ลองนั่ง green car กะเค้าเป็นครั้งแรกซะที (แต่ตู้ green car กับตู้ธรรมดามันก็รถไฟขบวนเดียวกัน ใช้เวลาวิ่งเท่ากันไม่ได้เร็วขึ้นเลย)


ถึงวันไป จขบ ตื่นสายอีกแล้ว (จริงๆก็ตื่นสายทุกฤดู แต่หน้าหนาวจะแงะตัวออกจากผ้าห่มได้ยากที่สุด เพราะนอกผ้าห่มนี่มันหนาวจริงอะไรจริง) ว่าจะม้วนผมแต่ก็ไม่ทัน ต้องรีบแจ้นไปเจอเพื่อนที่สถานีโตเกียว แถมกว่าจะหากันเจอ(สถานีใหญ่คนเยอะอีก) ลงท้ายวิ่งกันหน้าตั้งขึ้นรถไฟได้แบบ ギリギリ (กิริกิริ - ประมาณว่าแบบเฉียดฉิว) เลยทีเดียว ไม่งั้นจะตกขบวนที่มีตู้ green car ซึ่งมีมาแค่ชั่วโมงละขบวน (จริงๆไปขบวนอื่นก็ได้นะ แต่ก็จะไม่ได้ใช้ตั๋ว green car ที่อุตส่าห์ซื้อมา) จากสถานีโตเกียวไปด้วยรถใต้ดิน (地下)総武線 (Chika-)sobu-sen ขบวนนี้


เพิ่งเคยนั่ง green car ครั้งแรกขอเห่อนิดนึง ตู้ green car ของขบวนนี้มีสองชั้น ขาไปเลือกนั่งชั้นบนกันก่อน มีเก้าอี้เอนได้นั่งสบายเหมือนพวกชินคันเซน ไม่รู้เพราะมันไม่ใช่ชินคันเซนหรือเพราะมันอยู่ชั้นสอง แต่นั่งๆไปรู้สึกว่ามันโยกเยกกว่าพวกชินคันเซนพอตัวเลย คุณเพื่อน(คนไทย แต่อยู่ญี่ปุ่นมาใกล้สิบปีแล้ว)เอาหนังสือมากะอ่านในรถไฟก็พับเก็บกันไปเลย (พวกรถไฟวิ่งในตัวเมือง คนญี่ปุ่นถ้าไม่หลับคอพับคอตกอ้าปากหวอหรือเล่นเกมส์กับมือถือ ก็อ่านหนังสือกันในรถไฟนี่ล่ะ พวกที่นั่งคุยกันก็มีแต่น้อยกว่าที่กรุงเทพเยอะ ยกเว้นพวกรถด่วนสำหรับเดินทางไกลๆ อันนั้นเห็นนั่งคุยกันเยอะหน่อย)


รถไฟใช้เวลาวิ่ง 73 นาทีก็ถึงสถานีปลายทางแล้วที่สถานี 袖ヶ浦 Sodegaura ทันทีที่ออกจากรถไฟทุกคนพร้อมใจกันอุทานโดยไม่ได้นัดหมายว่า "โห いなか Inaka สุดๆ" (แปลไทยแบบสั้นและได้ใจความที่สุด คือ "โห บ้านนอกมากๆ") จากชานชาลามองไปแทบไม่มีอะไรเลย โล่งๆกว้างๆ มีแต่บ้านหลังเล็กๆน้อยๆ ตึกสูงๆไม่เห็นเลยสักตึกเดียวคนละเรื่องกับโตเกียวเลย


สถานีนี้เป็นสถานีเล็กๆเห็นมีคุณลุงนายสถานีอยู่คนเดียวตรงทางออก นอกจากชานชาลาขาไปและกลับของรถไฟขบวนที่นั่งกันมาก็ไม่มีชานชาลาอื่นอีก สถานีนี้ไม่มีบันไดเลื่อนหรือลิฟต์ด้วย ใครมารถเข็นต้องลำบากกันหน่อย (เผอิญคิวก่อนหน้า จขบ เห็นถามคุณลุงนายสถานีอยู่ว่าเค้ามีคนมาด้วยรถเข็น จะลงมายังไงดี สรุปก็คือ ต้องไปช่วยกันยกลงบันไดมา)


ในช่วงที่มีงาน illumination นี้จะมีบริการรถบัสฟรีรับส่งระหว่างสถานีให้ในวันศุกร์ เสาร์ และ อาทิตย์ (ถ้ามาวันอื่นอาจต้องโบกแท็กซี่ไปเอง) รถบัสจะเริ่มวิ่งตั้งแต่บ่ายสาม และทุก 30 นาทีถึงจะมีมาคันนึง รายละเอียดลองหาดูได้ในเว็บของงาน(ภาษาญี่ปุ่นตามเคย)


ระหว่างนั่งรอรสบัสออกก็ถ่ายโปสเตอร์โฆษณางานมาหน่อย เห็นมีติดตั้งแต่ทางออกของสถานีแล้ว


รถบัสใช้เวลาวิ่ง 20 นาที วิ่งได้ลื่นตลอดไม่มีรถติดแต่อย่างใด (แหงล่ะ โล่งซะขนาดนี้ ที่ญี่ปุ่นขนาดในโตเกียวเองรถยังไม่ติดเลย) แต่ถ้ามาตอนวันหยุดที่คนมาเที่ยวเยอะๆอาจมีติดบ้างก็ได้นะ(แต่คงเทียบไม่ได้กับแถวสยามวันศุกร์ ช่วงเย็นตอนฝนตกหรอกเนอะ ) ยิ่งวิ่งก็ยิ่งดู inaka มากขึ้น มองไปข้างทางไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งนาที่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้าวเสร็จไปแล้ว(มั้ง)


และแล้วก็ถึง Tokyo German Village ความเจริญเพียงหนึ่งเดียวในรัศมีหลายกิโลเมตร(จขบ กะมั่วๆเอาเองนะ) เสียดายว่าวันนั้นฟ้าขาว ทั้งๆที่วันก่อนหน้ายังเห็นฟ้าใสอยู่ทุกวันเลยแท้ๆ


ดูซุ้มประตูกันชัดๆ เขียนเป็นภาษาเยอรมัน จขบ ก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน (สารภาพว่าตอนแรกเห็นชื่อ ドイツ村 Doitsu-mura ก็นึกว่าเป็น Dutch village ลืมที่เรียนจาก minna no nihongo บทแรกๆไปแล้วว่า ドイツ Doitsu คือ เยอรมัน หลังๆใช้เรียกทัพศัพท์อังกฤษไปเลยมากกว่า) ตัวการ์ตูนที่เห็นเป็นคาแร็กเตอร์ของที่นี่ที่เป็นน้องหมูแบบต่างๆ แต่ละตัวมีชื่อเสียงเรียงนามอะไรพร้อมเขียนไว้ที่ ตรงนี้ (แต่ จขบ เองก็ยังไม่ทันได้อ่านละเอียดนะ)


ไปถึงประมาณสี่โมงยังมีเวลาอีกชั่วโมงกว่าฟ้าจะเริ่มมืด ว่าแล้วก็แลกบัตรเข้าสวนกันเลย ได้โบชัวร์แบบนี้มาคนละใบ


ผ่านซุ้มประตูต้อนรับเข้ามาทีแรกก็ตกใจไม่เบา อะไรมันจะโล่ง เลี่ยน และ เตียน ได้ขนาดนี้ มองไปเห็นเป็นที่ราบกว้างมีทางเดินเป็นหญ้าสีน้ำตาลทองนุ่มนิ่มที่ตรงกลางก็จริง แต่ทั้งทางซ้ายและขวาของทางเดินนี่สิ มีแต่แปลงดินสีน้ำตาลโล่งๆ(ดีว่ายังดูสะอาดเรียบร้อย)ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย เดาว่ากำลังเตรียมปลูกดอกไม้รับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึงมั้งนะ เพราะตามในเว็บเค้าเดือน มกรา เป็นเดือนที่ไม่มีดอกไม้อะไรที่นี่เลย (แต่เดือนอื่นๆมี)


ก็เข้าใจได้นะว่าตรงนี้ยังไม่ใช่จุดจัดงาน แต่อดแปลกใจไม่ได้ว่าด้านหน้าสวนที่ถือเป็นด่านแรกที่คนจะเข้ามาเจอนี่ปล่อยให้โล่งได้อย่างนี้เชียวเหรอ (แต่ถ้าใครมาถึงแล้วก็คงไม่กลับลำไปอยู่ดีนั่นล่ะเนอะ อุตส่าห์เสียเวลามาแล้วหนิ) เดินเข้ามาสักนิดเริ่มมีอะไรๆให้เห็น ตรงนี้เขียนว่า 幸せカネ Shiawase-kane หรือ ระฆังแห่งความสุข สาวคนนี้ก็เลยตีใหญ่เลย


ด้านหลังระฆังเมื่อกี้ก็มาเจอวิวนี้ เออ อย่างนี้สิค่อยเหมาะที่จะเป็นวิวต้อนรับคนมาเที่ยวหน่อย


ว่าก็ว่านะ ทั้งๆที่ที่นี่มีคาแรกเตอร์หมูน้อยตั้งหลายตัว แต่เดินๆไปไม่ค่อยจะเห็นประดับตกแต่งอยู่ที่ไหนเลย เจออยู่นิดเดียวเองน่าเสียดาย อุตส่าห์คิดคาแรกเตอร์น่ารักๆมาตั้งหลายตัวน่าจะใช้ให้เยอะกว่านี้หน่อยแทนที่จะเอาไว้ปะบนกล่องของฝากอย่างเดียว


เดินผ่าน Pizza & Cafeteria รูปบนมาแล้วก็เจอของเล่นเด็กเล็กๆน้อยๆที่ทางซ้าย เรือนกระจกที่เห็นอยู่ทางขวาของภาพเป็นที่เก็บเห็ดหอม(Shi-i-take しいたけ)ด้วย


เดินตามคนอื่นๆมา(เพราะทุกคนมุ่งไปทางเดียวกันหมด)ก็ถึงเนินหญ้ากว้างๆนี้ ดูเหมือนจุดชม illumination จะต้องขึ้นไปด้านบนสุดของเนิน ว่าแล้วก็เดินตัดเนินกันไปเลย (ที่นี่มีโซนเฉพาะสำหรับน้องหมาด้วย แต่ถ้านอกโซนนั้นห้ามน้องหมาลงจากรถเด็ดขาด)


เท่าที่ดูๆที่นี่ไม่ใช่แนวสวนครบวงจรที่มีสัตว์ ดอกไม้ เครื่องเล่นอลังการสารพัด ดูเค้าจะเน้นความเป็นสวนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจแบบสบายๆมากกว่า มีแค่ทุ่งดอกไม้กับเครื่องเล่นแบบเด็กๆอีกนิด อย่างเนินทุ่งหญ้าที่เดินตัดผ่านไปนี่ก็ให้ความรู้สึกดีจริงๆ เนินหญ้ากว้างขวางเรียบกริ๊บสะอาดตา ไม่มีหลุมหรือบ่อที่ไหนเลย หญ้าสีน้ำตาลทองก็ถูกตัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย แถมยังดูนุ่มนิ่มซะจน จขบ อยากจะถอดรองเท้าออกมาเดินเล่นเหยียบหญ้าให้สบายใจ (ถ้าไม่กลัวหนาว) จริงๆปกติแล้ว จขบ ไม่ชอบหญ้าเลยนะ แพ้มาตั้งแต่เด็กๆ แต่นี่มันดูสะอาดดี ไม่มีดินเลอะเทอะ แมลงก็ไม่มีเพราะหน้าหนาว (แต่แอบสงสัยอยู่ว่าทำไงหญ้าถึงเป็นสีนี้เท่ากันหมดทั้งเนินได้ ดูสวยแปลกตาสีเหมือนพวกทุ่งข้าวสาลีกำลังออกรวง)


ที่เนินหญ้านี้มองไปเห็นมีครอบครัวลูกตัวเล็กๆมานั่งเล่น(แนวๆปิคนิค) หรือ โยนจานร่อนเล่นกันประปราย บรรยากาศแบบสวนสาธารณะไว้พักผ่อนหย่อนใจ


ที่ทางซ้ายมองไปจะเห็นมีกั้นเชือกเป็นทางเดินไว้ จขบ เห็นมีดอกทานตะวันอยู่ก็กะว่าเดี๋ยวไปถ่ายรูปซะหน่อย เพราะที่เดินๆมาถึงตอนนี้เนี่ยนอกจากทุ่งหญ้าแล้วยังไม่เห็นอะไรเท่าไหร่เลย


ซูมหน่อยว่าถ้าข้ามทางเดินตะกี้ไปอีกฝั่งของเนินจะเป็นที่โล่งที่ไม่มีอะไรอย่างนี้เลย บอกตามตรงว่าเห็นทีแรก จขบ ก็ไม่คิดอะไรนะเพราะก็เห็นโล่งๆเตียนๆอย่างนี้มาตั้งกะทางเข้าแล้ว ก็นึกว่าเตรียมที่ปลูกดอกไม้ต้นไม้เหมือนเคย แต่หารู้ไม่ว่าตรงนี้นี่ล่ะคือลาน illumination อลังการที่เห็นในรูปเปิดบล็อค ตอนยังไม่เปิดไฟมันดูไม่ออกจริงๆว่าจะสวยได้ขนาดนั้น (เป็นที่มาของชื่อบล็อคว่า makeover เพราะมันหน้ามือหลังมือเลย)


เดินขึ้นมาจนถึงบนเนิน ก็เจอบ้านลูกกวาดตั้งเด่นครอบทางเดินไม้ในภาพตะกี้รอต้อนรับอยู่ ตอนยังไม่เปิดไฟก็ประมาณนี้ล่ะ


ตั้งแต่ทางเข้าเดินมาถึงนี่นี่แทบไม่ค่อยเห็นใครเลย ที่แท้คนก็มากระจุกตัวกันที่บนเนินนี่เอง มีเครื่องทำ シャボン玉 Shabon-dama (ฟองสบู่) อยู่หลายๆจุดกำลังปั๊มฟองสบู่ออกมาลอยไปทั่ว เด็กๆ(ผู้ใหญ่อย่าง จขบ ก็ด้วย)ชอบใจกันใหญ่วิ่งไล่ตามไปตีฟองสบู่กันสนุกสนาน ในภาพด้านล่างนี่น่ารักดีเนอะ สองครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ยังสาว คนนึงอุ้มลูกเล่นฟองสบู่ อีกคนก็ถ่ายรูปอยู่ข้างๆกัน น่าเอ็นดู๊ น่าเอ็นดู


ฟองสบู่นี้ไม่เหมือนฟองสบู่ที่เราคุ้นเคยกันซะด้วย ที่เห็นกันบ่อยๆมันจะเป็นฟองโปร่งแสงเห็นสีรุ้งๆสะท้อนข้างใน แต่นี่เป็นฟองสบู่แบบสีขาวทึบลอยตุ๊บป่องๆ พอแตกปุ๊บก็กลายเป็นควันสีขาวๆ ภาพด้านล่างนี้ชอบมากๆ บังเอิญถ่ายติดสองพ่อลูกนี้มาในเฟรม แต่ติดมาเล็กๆนิดเดียวเองมัวๆเบลอๆเลยจับภาพมายำกลบเกลื่อนความนัวสักหน่อย เพราะแอ็คชั่นนี้จังหวะดีจริงๆ (ทีตอนไหนตั้งใจรอล่ะ ไม่เคยมีจังหวะดีๆมาให้ถ่ายเล้ย )


บนเนินนี้ก็ไม่กว้างขวางอะไรนัก นอกจากบ้านลูกกวาดตะกี้ ถัดไปก็มีเป็นร้านค้าขนมหวานทรงประมาณๆเดียวกับบ้านขนมปังในนิทานกริมม์ ตรงนี้ขอบอกว่า จขบ นี่ล่ะแฟนตัวยงของพวกวรรณกรรมเยาวชนหรือนิทานแนวๆสร้างจินตนาการให้เด็ก ต่อให้เลยวัยเยาวชนมาแล้วก็เถอะนะ ก็ยังชอบอ่านอยู่ดี มันเหมือนได้หลุดไปผจญภัยและเปิดหูเปิดตาที่อีกโลกนึงเลยล่ะ ดังนั้นเวลาอ่านอะไร(โดยเฉพาะตอนอ่านรอบแรก) จขบ จะอินมากๆ ถ้าใครมาขัดจังหวะอ่านตอนกลางๆเรื่องนี่ มีสิทธิโดนเหวี่ยงใส่ได้(คุณแฟนเคยโดนมาแล้ว ) แม้ว่าเวลาปกติ จขบ จะดูเป็นคนนิ่งๆเฉยๆแต่เวลาโดนขัดตอนกำลังอ่านหนังสืออินๆนี่มันอารมณ์เสียจริงๆ บอกไม่ถูก


ที่ทางด้านขวาจะเป็นเวทีเล็กๆ มีการแสดงนิดหน่อยให้ดูฆ่าเวลากันระหว่างรอฟ้ามืด


ต้นนี้บังเอิญเดินไปเจอ ถ้าใครรู้ว่ามันคือต้นอะไร รบกวนบอก จขบ ด้วยนะ แบบว่าอยากรู้ ดอกสีเหลืองๆดูเปียกๆนิดๆบอกไม่ถูก แล้วก็มีกลิ่นหอมด้วย ยืนข้างๆนี่สูดกลิ่นกันเพลินเลย


ที่อาคารที่ต่อจากเวทีตะกี้ก็มีทางเดินขึ้นชั้นสองไว้ให้ไปดูวิวมุมสูงกัน เกือบห้าโมงฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว(จริงๆสี่โมงก็เปิดไฟแล้ว แต่ฟ้ายังสว่างเลยมองไม่ค่อยเห็น) ในรูปนี้มีใครหา Smiley face เจอบ้าง คุณเพื่อนพูดขึ้นมา จขบ ก็หาอยู่ซะตั้งนานกว่าจะเจอ ขนาดชี้ให้ดูก็ยังต้องจ้องอยู่ตั้งนาน ดูยากไปหน่อยนะเนี่ย (ตรงนี้จะเปลี่ยนรูปไปเรื่อยๆด้วย)


ข้างนอกมันหนาวแถมฟ้าก็ยังสว่างเลยแว่บไปหลบหนาวกันที่บ้านลูกกวาดตะกี้ ข้างในเป็นร้านขายของฝากมีช็อคโกแลตและคุ้กกี้อะไรเยอะแยะ ด้านในสุดก็มีร้านขนมปังด้วย เล่นอบกันจนกลิ่นหอมโชยไปทั่ว ท้องร้องโครกครากไปตามๆกันเลย


พวกขนมของฝาก จขบ ดูแล้วก็เฉยๆนะไม่ได้น่ากินเป็นพิเศษ(แต่ลายหมูน้อยบนกล่องน่ะน่ารักดี) แต่โดยธรรมเนียมญี่ปุ่นแล้ว ใครไปไหนมาก็ต้องมีขนมกลับไปฝากคนที่ทำงานหรือที่แล็บเสมอ ดังนั้นของพวกนี้ยังไงๆก็ขายได้ล่ะ อย่างเวลาอาจารย์ไปงานต่างประเทศ กลับมาก็มีขนมมาฝากให้ลูกศิษย์กินกัน นักเรียนคนไหนกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดก็หอบกล่องขนมขึ้นชื่อของจังหวัดนั้นๆมาให้ทั้งอาจารย์และคนในแล็บได้ชิม (เพราะงี้ล่ะ จขบ เลยได้ชิมของดังมาแล้วหลายจังหวัด ) จขบ เองไปพรีเซนต์งานหรือไปเที่ยวที่ไหนหรือแม้แต่เวลากลับไทย ก็ต้องหาซื้อขนมกลับมาฝากที่แล็บและอาจารย์ด้วย (แต่หนนี้มาไม่ได้บอกที่แล็บ เลยขี้เกียจซื้อ)

สำหรับที่ญี่ปุ่นของฝากที่เป็นทางการ สำหรับคนที่ทำงานหรือที่แล็บจะซื้อเป็นของกินกัน ยังไม่เคยเห็นใครซื้อเป็นพวกของประดับหรือพวงกุญแจมาแจกเลยนะ พวกนั้นจะเป็นของฝากแนวส่วนตัวมากกว่า เช่น ให้เพื่อน ให้ที่บ้าน หรือ ให้ญาติพี่น้องก็ว่าไป แต่ถ้าของฝากทางการต้องของกินเท่านั้น(ไม่ใช่กฏ แต่เห็นทุกคนทำกันอย่างนี้หมด) ซื้อมาปุ๊บก็เอาไปวางแปะบนโต๊ะที่เป็นโต๊ะส่วนกลาง ทุกคนก็จะรู้เองว่านี่คือของฝาก ก็ถามไถ่กันว่าใครไปไหนมาแล้วก็หยิบกินกันได้ตามสะดวก(และตามจำนวนโควต้าของขนมต่อหัว) เดาว่ามันเป็นการประกาศให้โลกรู้ด้วยว่า กลับมา(โดยปลอดภัย)แล้วจ้าาาา

ออกมาอีกทีห้าโมงนิดๆแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเข้าสู่โหมด twilight ไม่สว่างแต่ก็ยังไม่มืดสนิท กำลังสวยเลย ถ่ายไฟได้เห็นชัดๆแล้วด้วยตอนนี้


ตะกี้ตอนเดินเข้ามาไม่ทันสังเกตของประดับด้านหน้าร้านค้าลูกกวาดนี่เลย พอเปิดไฟและฟ้ามืดลงถึงจะเห็นว่าประดับตกแต่งกันไว้เยอะแยะมากมายอย่างนี้เชียว ซ๊วยสวยอ่ะ (ไกลๆที่เห็นไฟเป็นแฉกนั่น จขบ ไม่ได้หรี่รูรับแสงจนได้ไฟแฉกแต่อย่างใดนะ มันเป็นดวงไฟทรงแฉกๆอย่างนั้นอยู่แล้ว)


ไหนๆมีคุณเพื่อนมาด้วยก็ต้องขอรบกวนให้คุ้มหน่อย ค่าตอบแทนคือการถ่ายรูปให้เป็นร้อย นั่งทำรูปซะหน้าคุณเพื่อน imprint ติดตาไปเลยวันนั้น (แค่ปรับแสง ปรับWB และ convert ก็แทบกระอักแล้ว ไม่ได้มานั่งรีทัชลบสิว ทำหน้าเด้งให้หรอก อีกอย่างคุณเพื่อนก็หน้าเด้งจนตากล้องอิจฉาจะแย่อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องรีทัชเพิ่มอีก)


คั่นเวลาด้วยรีวิวเครื่องสำอางสั้นๆ ใครไม่สนใจลากผ่านกรอบด้านล่างนี้ไปเลยจ้า ไม่เกี่ยวใดๆกับทริปนี้เลย

นโยบายบล็อคนี้ไม่เคยเปิดเผยหน้าเลยพูดยากหน่อย(หรือพูดไปก็เชื่อยาก ) แต่ขอรีวิวเครื่องสำอางเล็กน้อยกับรองพื้น Cle de Peau Beaute ยี่ห้อสุดเลิฟของ จขบ ตัว Teint Naturel Satine (ชื่อรุ่นแบบที่ขายที่ญี่ปุ่นนะ) รุ่นเก่ากระปุกสี่เหลี่ยม(เพิ่งซื้อจากฮ่องกงเพราะที่ญี่ปุ่นเลิกขายไปนานแล้ว) ตัวที่คุณเทนแห่งห้องแป้งรีวิวไว้ว่าเทพมาก จขบ ได้ลองมาจนมั่นใจพอประมาณแล้วขอบอกว่าโอจริงอะไรจริง (ส่วนรุ่นอื่นๆเคยรีวิวไว้หมดแล้ว ที่นี่)

ระดับการปกปิดกริบจริงจน จขบ ไม่ต้องทาคอนซีลเลอร์ใต้ตาเลย(จขบ แพนด้าเยอะมาก ปกติต้องคอนซีลเลอร์สองชั้นถึงจะอยู่) ใช้แล้วได้ผิวเด้งๆดูไฮโซๆตามสไตล์รองพื้นยี่ห้อนี้ และหน้าก็ไม่ดูโบ๊ะเป็นขนมถังแตก(ยืมคำคุณเทนจากรีวิวเก่ามา)เหมือนรองพื้นครีมปกปิดสูงๆยี่ห้ออื่น

ที่สำคัญคือถึงใช้หน้าหนาวญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ทำให้หน้าลอกเหมือนเจ้ากระปุกกลมสูตรใหม่แต่อย่างใด (ทั้งๆที่รองพื้นรุ่นเดียวกันแท้ๆ ถามกี่ที BA ก็บอกว่าเอฟเฟคมันเหมือนกันๆ แต่ใช้แล้วไม่เห็นเหมือนกันเลยอ้ะ อันสูตรใหม่นั่นลองกี่ทีก็หน้าลอกกระจาย โดยเฉพาะตอนหน้าหนาวนี่เข็ดจนไม่กล้าใช้แซมเปิ้ลที่เหลือในหลอดอีกเลย )

ในบรรดารองพื้นทุกรุ่นของยี่ห้อนี้(ได้ลองแซมเปิ้ลมาครบหมดแล้ว) จริงๆ จขบ ชอบรุ่นโลชั่นขวดปั๊มที่สุดนะเพราะหน้าไม่ค่อยมีรอยอะไรต้องปกปิด(ยกเว้นแพนด้าใต้ตา) อันโลชั่นเนื้อทาง่ายกว่า บางแต่ปกปิดดีกว่าแบบน้ำยี่ห้ออื่น ที่สำคัญคือมันมองไม่ออกเลยล่ะว่า เนี่ยะใช้รองพื้นมา

อันกระปุกเหลี่ยมสูตรเก่านี่ใช้หนแรกรู้สึกเลยว่ามันหนากว่าโลชั่นจริงๆ (ยังดีว่าไม่ออกมาดูเหมือนหน้าโดนโบกปูน รักรองพื้นยี่ห้อนี้เพราะมันแนบผิวได้เนียนนี่ล่ะ) แต่ปัญหาคือรุ่นโลชั่นมันมีวิ้งๆ ใช้ตอนอากาศเย็น(ถึงหนาว)ช่วงกลางวันก็ดีหรอก ผิวแห้งอย่าง จขบ ถึงใช้หน้าร้อนก็ยังโอเค แต่ถ้าใช้ตอนมาถ่ายรูปแบบจัดแฟลชหนักๆตอนกลางคืนนี่จะทำให้หน้าดูมันไปซะงั้น

ดังนั้นเกร็ดเล็กน้อยสำหรับสาวๆ ถ้าไปงานกลางคืนไฟน้อยๆที่ต้องตบแฟลชแรงๆ พยายามเลี่ยงเครื่องสำอางวิ้งๆดีกว่านะ(ยกเว้นว่าชอบรูปแบบหน้ามันๆสะท้อนแสง) ไม่งั้นถ่ายรูปคู่ออกมา ตากล้องจัดแฟลชพอดีคุณแฟนหน้าเนียนแสงเป๊ะ แต่จะมีเราหน้ามันสะท้อนแสงอยู่คนเดียวไม่รู้ด้วย (จขบ เป็นบ่อยๆเลยล่ะเคสนี้)


ต่อๆ กับร้านค้าลูกกวาดเวอร์ชั่น twilight เค้ามีเปิดเพลง และไฟในบริเวณงานก็จะกระพริบตามจังหวะด้วย ผลคือ กดยังไงก็ไม่ได้ภาพตอนไฟติดเต็มทั้งหลังมาสักที ว้า


ตรงบันไดขึ้นชั้นสองก็ติดไฟหมดแล้ว ที่ตัวตึกยาวๆมีการโปรเจ็คลายรูปดาวมาบนตึกด้วย(แต่ภาพนี้มองยากหน่อย) ส่วนตรงหลังคาก็มีการใช้เลเซอร์สีเขียววาดเป็นรูปต่างๆวิ่งไปมาบนหลังคา


เห็นแล้วนึกขึ้นมาได้ เลยขอเสริมเกร็ดความรู้เล็กน้อยไว้ในกรอบล่างนี้ ไม่เกี่ยวใดๆกับเนื้อหาทริปอีกแล้ว

รุ้มั๊ยเอ่ยว่า green laser นี่ทั้งที่ความยาวคลื่นมากกว่า blue laser (หรือก็คือพลังงานน้อยกว่านั่นเอง) แต่กลับราคาแพงกว่าและกระบวนการในการผลิตก็ยุ่งยากกว่า blue และ red laser(ที่พลังงานต่ำสุดในสามสี) ซะอีก เหตุเพราะความที่มันมีความยาวคลื่นอยู่ตรงกลางๆคาบเกี่ยวไว้ทั้ง blue และ red นี่ล่ะ ทำให้ไม่มีช่วงความยาวคลื่นไหนเลยที่จะมีแต่ green แบบเพียวๆ เป็นต้องมีไปทับซ้อนกับ red หรือ blue เข้าทุกที

ดังนั้นกระบวนการผลิต green laser ก็เลยซับซ้อนกว่า เพราะอย่างพวก red และ blue มันเป็นแสงที่อยู่ขอบๆของ spectrum (ช่วงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้)แล้ว ดังนั้นจะมีความยาวคลื่นช่วงริมๆที่ให้แสงสีแดงหรือน้ำเงินล้วนๆได้(นับเฉพาะที่ตามนุษย์มองเห็น) เวลาจะผลิตก็แค่เลือกใช้ความยาวคลื่นตรงนั้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิต green laser ก็พัฒนาไปเยอะ สามารถสร้าง green laser แบบเพียวๆได้แล้ว แต่ถ้าในอุปกรณ์บางอย่างเช่นใน pico laser projector จะใช้วิธีอีกแบบ โดยการสร้าง red laser ขึ้นมาก่อน แล้วทำการลดความยาวคลื่นของมันลงครึ่งนึง ค่อยได้เป็น green laser แสงสีเขียวออกมาจ้า

สรุปคือ ต้นทุนในการผลิต green laser ก็ยังถือเป็นประเด็นสำคัญของพวกอุปกรณ์ใช้เลเซอร์ทั้งหลายแหล่อยู่ ตอนนี้ราคาการผลิตก็ยังแพงอยู่ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆประกอบกับผู้ผลิตที่มีมากขึ้น ในอนาคต cost ของ green laser ก็คงลดลง ส่งผลให้ราคาอุปกรณ์ที่ใช้ laser ทั้งหลายลดตามลงด้วย

ปล ว่า จขบ ไม่ได้ major ทางเลเซอร์แต่อย่างใด แต่มันเกี่ยวกับงานวิจัยที่ทำอยู่นิดนึง เผอิญมีโอกาสได้รู้ข้อมูลนี้มาก็ว่ามันน่าสนใจดี เพราะปกติของยิ่งแรง(พลังงานมากกว่า)ก็น่าจะผลิตยากและแพงกว่าหนิเนอะ


และแล้วก็ได้เวลาออกไปดู illumination กัน เถลไถลมาซะยาวเหยียดเชียว ไฮไลท์แรกก็ต้องเป็นบ้านลูกกวาดที่บนเนิน พอเปิดไฟมาแล้วสวยน่ารักเชียว


ตอนที่ถ่าย บ้านกำลังกระพริบตามจังหวะเพลงพอดี กว่าจะได้ไฟสีรุ้งติดเต็มๆมาแบบนี้กดรัวไปมิใช่น้อย


ตะกี้ตอนฟ้าสว่างก็ว่าคนไม่เยอะเท่าไหร่ ยังไม่ถึงกับแน่น แต่พอฟ้ามืดแล้วคนมากันเพียบเลย คุณเพื่อนเห็นลงมาจากรถบัสกันเป็นคันรถ ยิ่งตรงทางเข้าออกบ้านลูกกวาดนี่แทบหยุดถ่ายรูปไม่ได้ โดนคนเบียดไปมาอยู่ตลอด รูปล่างนี้รอจนได้ตอนคนน้อยๆมาหน่อยไม่มีใครบังวิว


ว่าไปแล้วถ่าย illumination นี่ไม่ได้ยากเลยนะ ถ้าใช้โหมดอัตโนมัติก็ชดเชยแสงทางลบไปเยอะๆก็พอ เพราะตัว illumination มันสว่างในตัวอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องลดสปีดกล้องลงมากๆก็สามารถถ่ายติดไฟชัดๆได้สบายๆ จะมีปัญหาก็เวลามีคนเข้ามาในฉากแล้วต้องถ่ายทั้งไฟทั้งคนนี่ล่ะ ว่าทำไงให้คนก็สว่างไฟก็สว่าง (ก็ต้องจัดแฟลชไปนั่นเอง เพราะหน้าคนไม่ส่องสว่างในตัวได้เหมือนพวก illumination หนิ)

คราวนี้เราจะมาเดินลงกัน เดินลงเนินที่ขึ้นมาตะกี้นั่นล่ะ แต่ไปตามทางเดินที่เลี้ยวเข้าอีกฝั่งของสวนแทน (ก็คือเลี้ยวไปทุ่งโล่งๆที่โชว์ภาพไปตอนขาขึ้นเนิน) เริ่มจะเห็นความอลังการโผล่มานิดๆแล้ว


ถึงตรงนี้ขออภัยอีกครั้ง เนื่องจากบล็อคนี้เขียนยาวมากเกินลิมิตตัวอักษรต่อบล็อคไปแล้ว ถ้ายังอ่านต่อไหวก็รบกวนคลิกอีกสักหนที่ ตรงนี้ เพื่ออ่านต่อ คราวนี้ถึงตรง illumination สวยๆไม่มีเวิ่นเว้อนอกเรื่องเครื่องสำอางหรือวิชาการอีกแน่นอนจ้า

-----------------------------------------------------


เครดิตตัวการ์ตูนจาก //www.t-doitsumura.co.jp/parkguide/character/index.html

ภาพในอัลบั้มนี้โดนย่อมา อาจดูมัวๆไม่คมชัด ถ้าสนใจภาพแบบคมๆ และ อยากดูอัลบั้มเต็มๆ(ในบล็อคตัดออกไปหลายรูปแล้วนะเนี่ย) คลิกลิงค์ดูที่ skydrive ได้เลยค่า

ทั้งหมดนี้ถ่ายด้วย Canon EOS Kiss X3 + EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM ถ่ายมาเป็น RAW เพื่อเอามาปรับ WB และดึงแสงทีหลัง พอฟ้ามืดแล้วจะใช้โหมด Tv ตลอด ตั้งไว้ที่ 1/30 ISO800 เนื่องจากอยากถ่ายให้ได้บรรยากาศมืดจริงๆเห็นไฟชัดๆไม่ใช่ถ่ายมาสว่างอย่างกะกลางวัน (เพราะโดนกล้องชดเชยแสงให้) เลยชดเชยแสงทางลบไปซะหลายขีด ที่เลือกสปีด 1/30 เพราะส่วนตัว จขบ สามารถถือเลนส์นี้ถ่ายได้โดยไม่สั่นเกือบทุกช่วงซูม และสปีดกับ ISO ขนาดนี้ก็พอดีเก็บ illumination ได้โดยไม่มืดเกินไปด้วย

เวลาถ่ายคนจะใช้แฟลช Speedlite 430 EX II โหมด ETTL ยิงเข้าไปตรงๆเลย ตอนฟ้ายังไม่มืดก็ลูบแฟลชเบาๆพอให้หน้าดูไม่อมราหูและผิวดูผ่องเด้ง(แต่ไม่วอกนะ) พอมืดแล้วค่อยตบแฟลชเป็นแสงหลักส่องคน เพราะทางเดินในงานมืดมากจริงๆ (ตั้ง Tv 1/30 ISO800 เหมือนเดิม กำลังแฟลชปรับขึ้นลงตามสีเสื้อโค้ตแต่ละคน)

ส่วนขาตั้งกล้องจริงๆก็(อุตส่าห์)เอาไป แต่คนเยอะและทางเดินไม่กว้างนัก สุดท้ายเลยถือมือถ่ายเอาตลอด บางภาพก็เลยหลุดเบลอบ้างอะไรบ้าง มีใช้ขาตั้งอยู่ช่วงเดียวตอนถ่ายรูปหมู่กัน ซึ่งก็ไม่ได้ลงภาพไว้ในอัลบั้มนี้

-----------------------------------------------------

รวมลิงค์บล็อคทั้งหมดของทริป

1. TokyoGermanVillage東京ドイツ村 1/2 เมคโอเวอร์เปลี่ยนสวนโล่งๆให้กลายเป็นลาน illumination สุดอลังการ
2. TokyoGermanVillage東京ドイツ村 2/2 เมคโอเวอร์เปลี่ยนสวนโล่งๆให้กลายเป็นลาน illumination สุดอลังการ

-----------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน skydrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 23 มกราคม 2554    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2556 23:33:31 น.
Counter : 4525 Pageviews.  

กองทัพแมวน้ำ Sirotan แซมด้วยบรรยากาศ Lucky bag sale @shibuya109



เครดิตภาพหาจาก google.co.jp


>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน skydrive


เปิดบล็อคด้วยกระต่ายน้อย Happy New Year อีกครั้งเพื่อยื้อบรรยากาศปีใหม่ออกไปอีกสักนิด จริงๆช่วงนี้ก็ไม่ค่อยว่างนะเนี่ย แต่แอบมาอัพบล็อคเล็กๆน้อยๆไว้ก่อน เพราะพวกนี้สั้น เขียนเสร็จได้เร็ว ไม่งั้นถ้าไปพอกรวมกับทริปใบไม้เปลี่ยนสีและคริสมาสต์ที่ผ่านมาล่ะก็ สุดท้ายคงลงเอยด้วยการไม่ต้องอัพมันเลยสักอัน เพราะเยอะแยะมากมายไปหมด

บล็อคนี้หลักๆจะเกี่ยวกับเจ้าแมวน้ำ Sirotan มากกว่า แต่ก่อนจะเริ่มตรงนั้นขอเปิดบล็อคด้วยบรรยากาศเล็กน้อยในวันที่ 2 มกรา ที่ถือเป็นวัน D-day เริ่มเซลล์ Happy Bag (福袋 Fuku-bukuro) วันแรกในโตเกียวซะก่อน ปีนี้เป็นปีใหม่สุดท้ายในชีวิตนักเรียนแล้วอุตส่าห์คิดไว้ตั้งกะปีก่อนว่าจะขอลองไปส่องบรรยากาศต่อคิวรอซื้อถุงโชคดีที่หน้าห้างก่อนเวลาห้างเปิดตอน 10 โมงซะหน่อย (แต่ส่วนตัวไม่ชอบเสี่ยงกับถุงโชคดีนะ เกิดได้ไอ้ที่ไม่ชอบมาก็ไม่รู้จะเอาไปปล่อยต่อยังไงดีที่ญี่ปุ่น ซื้อแต่แบบเซลล์ปกติ)

ทีแรกก็กะว่าไหนๆจะดูทั้งที ไปรอดูตรง Isetan Shinjuku ที่ถุงโชคดีเป็นที่ต้องการอันดับหนึ่งสำหรับผู้หญิงเลยดีกว่า (ได้ยินว่าต้องเข้าคิวกันข้ามคืนเลยทีเดียว) ปีที่แล้วขนาดไปเซอเวย์ที่นั่นตอนบ่ายแก่ๆยังคนแน่นห้างไปหมดเลย (มีรูปนิดหน่อยที่ บล็อคนี้) ส่วน Yodobashi Akihabara ที่เป็นที่ต้องการอันดับหนึ่งในแง่เครื่องไฟฟ้าก็นะ.. ไม่ใช่แนวที่อยากไปส่อง(กล้องถ่ายรูป)เท่าไหร่

งวดนี้สงสัยจะแพลนนานเกินไป ความหนาว+ความขี้เกียจค่อยๆเข้าครอบงำทีละนิดจนสุดท้าย ณ คืนวันที่ 1 มกรา 2011 แพลนลดลงมาเหลือแค่ห้าง Ueno OICITY (มารุอิซิตี้) แทน ที่นี่ใกล้บ้านเดินไปได้แล้วก็ได้ยินว่าก่อนห้างเปิดก็มีคนมาต่อคิวรอเป็นพันอยู่เหมือนกัน

อุตส่าห์ลดแพลนลงมาขนาดนี้แล้ว แต่ผลก็คือ .................แห้ว .................. อีกตามเคย ตั้งนาฬิกาแล้วอะไรแล้ว แต่หนาวจนไม่อยากออกจากผ้าห่ม นอนซุกผ้าห่ม ตาปรือ ลังเลว่าจะลุกดีหรือไม่ลุกดี ลงท้ายจิตฝ่ายขี้เกียจเป็นฝ่ายชนะ ได้นอนต่ออย่างสบายแต่ก็อดมาดูบรรยากาศแย่งชิงถุงโชคดีไปแทน กว่าจะตื่นมาแต่งตัวอีกทีก็บ่ายๆแล้ว คราวนี้ไม่ไป Ueno แต่ตรงดิ่งไปสถานี Yushima 湯島 แทนเพื่อนั่งรถไฟไปชิบุยะ

ณ วันที่ 2 มกรายังมีคนมาไหว้พระที่ Yushima Tenjin 湯島天神 พอควร ห้องน้ำ(หญิง)ที่สถานีเลยต่อคิวกันยาวแบบนี้ (เพิ่งเคยเห็นห้องน้ำสถานีนี้ต้องต่อคิวก็วันนี้แหล่ะ ปกตินี่โล่งเชียว)


ช่วงหลังๆที่เปลี่ยนมาช็อปห้างแถวบ้านแทนนี่แทบไม่ค่อยได้ขึ้นรถไฟเลย (แต่ก่อนขึ้นไปชิบุยะประจำ) สายสีเขียว Chiyoda Line (千代田線) นี้อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสำหรับคนมาเที่ยว แต่เป็นหนึ่งในสามสายที่คนแน่นมากของโตเกียว (ขัอมูลนี้อ่านมาจากไหนลืมไปแล้ว) เหตุเพราะมันผ่านย่านคนทำงานหลักๆหลายย่าน นักศึกษาโตไดเองก็ใช้สายนี้กันเยอะ เพราะมันวิ่งระหว่าง Hongo และ Kashiwa Campus สมัยที่แล็บ จขบ ยังอยู่คาบสองแคมปัสนี่ใช้บริการรถไฟสายนี้ประจำ


นั่ง Chiyoda line มาจนถึง 表参道 Omotesando แล้วเปลี่ยนสายเป็น Ginza หรือ Hanzomon นั่งต่ออีกป้ายเดียวก็จะมาลงที่ชิบุยะแล้ว วันนั้นที่ชิบุยะก็ยังคนแน่นไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่ส่วนตัวมองรอบๆแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าคนแน่นมากกว่าปกติซักเท่าไหร่นะ เพราะปกติวันศุกร์หรือวันหยุดทีไร ที่นี่ก็คนแน่นงี้ตลอดอยู่แล้ว

เดินตามเส้นทางที่คุ้นเคยมาจนถึงหน้าตึก 109 (ถ้านอกเส้นนี้ไปนี่อาจมีหลงได้ ในชิบุยะนี่ จขบ ไปอยู่ไม่กี่ตึกเท่านั้นล่ะ ไม่คุ้นทางแถวนี้เท่าไหร่)


ต้อนรับด้วยป้ายเซลล์กันสักเล็กน้อย ปีนี้ใช้ชื่อว่า 7 days bargain (เปลี่ยนชื่อไปทุกๆปี) ช่วงเวลาตั้งแต่ 2-8 มกรา (แต่เอาจริงๆนะต่อให้เลยช่วงที่เขียนไว้ ของหน้าหนาวที่เซลล์ก็ยังคงเซลล์ต่อไปอยู่ดีนั่นล่ะเพราะเป็นการโละสต๊อค ชุดไหนที่ขายเหลือก็จะโดนแขวนไว้ที่ราวลดราคาให้เห็นจนเบื่อตลอดเดือนนี้เลย พอสัก กพ ไปถึงจะเริ่มเอาของใหม่ๆของฤดูใบไม้ผลิมาโชว์เป็น display หลักหน้าร้านแทน แต่พวกของออกใหม่เนี่ยก็ดั๊นไม่ลดราคาซะอีก >,< )


ตอนปีแรกๆที่อยู่ญี่ปุ่น จขบ ก็เคยมาที่นี่ในวันที่ 2 มกราแล้วนะ แต่มาปีนี้แปลกกว่าปีนั้นคือมีคุณตำรวจกั้นแถวตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าเลย มีการจัดระเบียบคนเข้าไม่ให้เข้าทางประตูหน้าตามปกติ แต่ให้อ้อมลงไปเข้าประตูชั้นใต้ดินในสถานีรถไฟแทน (รู้สึกจะไปโผล่ประมาณชั้น B2 หรือ B3 นี่ล่ะ) เดาว่าวิธีนี้คงช่วยจัดระเบียบได้เยอะคนจะได้เดินขึ้นหรือลงรวดเดียวไปเลย ไม่มาจราจรติดขัดกันที่หน้าประตูด้วย


ด้านใน 109 เองปีนี้ก็ตำรวจเยอะจนแอบแปลกใจไม่ได้ว่ามีใครขู่วางระเบิดหรือไงเนี่ย คุณตำรวจยืนประจำทุกทางขึ้นลงบันไดเลื่อนเลย ผลก็คือ จขบ ไม่กล้ายกกล้องขึ้นมาถ่ายอะไรเลย มีรูปข้างล่างนี้รูปเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถ่ายสินค้าก็เถอะนะ แค่สะพายกล้องใหญ่ก็โดนคุณตำรวจเหล่เอาหลายคนแล้ว ช่วงแถวๆนี้ก็ฟังบรรยายเอาอย่างเดียวละกัน


ปีนี้ที่ 109 ก็คนมาช็อปถุงโชคดี ช็อปของลดราคาเยอะ เบียดเสียดเยียดยัดเหมือนทุกๆปี ร้านยอดฮิตอย่าง Cecil McBee ก็ยังคงคอนเซปเดิม คนเยอะจนต้องจัดแถวหน้าร้านแล้วค่อยๆปล่อยคนเข้าไปทีละกลุ่ม (แต่ จขบ เฉยๆกับยี่ห้อนี้อ่ะ ดีไซน์น่ะโอเค ทันสมัย อินเทรนด์เสมอ แต่มันจะไม่เน้นหวานหรือเปรี้ยวไปทางใดทางหนึ่งเลย ซึ่ง จขบ เน้นสไตล์หว๊านหวานอ่ะ เลยไม่กิ๊กยี่ห้อนี้เท่าไหร่)

จขบ เองก็รู้ทั้งรู้นะว่าถ้ามาจะเจอคลื่นคนแบบนี้ แต่ก็ยั๊งอุตส่าห์นั่งรถไฟถ่อมาเบียดคนให้เหนื่อยเล่น ทั้งที่ไม่ได้กะจะซื้ออะไรเลยแท้ๆ งานนี้เรียกว่ายอมเหนื่อยเพื่อเอาบรรยากาศในปีสุดท้ายนี้ล้วนๆ ยังไงดีล่ะ คือแบบว่าช่วงปีหลังๆที่อยู่ญี่ปุ่นนี่เบื่อสไตล์เสื้อผ้าของ 109 แล้ว เปลี่ยนไปเกาะแบรนด์อื่นที่ดูหวานและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากกว่า LizLisa หรือ Pinky Girl

เดี๋ยวนี้มา 109 ทีไรแทบจะเดินรวดเดียวจบได้แบบไม่ต้องแวะลองอะไรเลย ซึ่งหนนี้ก็ไม่ต่าง เดินหน้ารวดเดียวจบแบบไม่มี rewind ส่วนนึงเพราะมึนหัวด้วย ในนี้มันแคบ เจอคนเยอะๆ เสียงตะโกนขายของดังๆกรอกหู ฮีตเตอร์ร้อนๆเป่า ก็เล่นเอาอึดอัด มึนตึ้บ ต้องรีบเผ่นออกไปสูดอากาศ(หนาว)บริสุทธิ์ที่ข้างนอก

นอกจาก 109 แล้วก็มีแวะห้าง 東急 Tokyu กับ 西武 Seibu ด้วยนะ แอบแปลกใจอยู่ว่าทำไมตามห้างพวกนี้คนดูไม่ค่อยคึกคักเหมือนที่(คิดเอาไว้ว่า)ควรจะเป็น เพราะปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีคนเลยมาช้อปน้อย หรือ มันเป็นงี้ทุกปีอยู่แล้วว่าวันที่ 2 มกราคนจะไปกระจุกตรงจุดไฮไลท์อย่าง 109 หรือ Shinjuku Isetan (สองที่นี้ไปเซอร์เวย์มาเองแล้ว คนเยอะมากกกก) งานนี้ก็ได้แต่สันนิษฐานกันไป ส่วนบทพิสูจน์คงต้องรอคนอื่นทำแทนแล้ว เพราะปีหน้า จขบ ไม่อยู่เซอเวย์เองแล้วจ้าาาา

ค่าเสียหายของการมาชิบุยะหนนี้ ไม่รวมค่ารถไฟ ก็ได้มาแค่ Fox fur อันนี้เท่านั้น สนนราคา 18xx yen (ไม่ลดราคาด้วย แอบงอน) กะจะซื้อนานแล้วล่ะ ว่าจะเอามาแขวนกระเป๋าให้ดูลุค winterrrr winter ซะหน่อย แต่เพิ่งได้ซื้อตอนนี้เอง โชคดียังทัน อย่างน้อยโตเกียวก็ยังหนาวไปถึงกุมภาโน่นนน


ซูมให้ดูนิดนึง สังเกตอะไรมั๊ยว่าเจ้าเฟอร์นี่ไม่ได้ห้อยอยู่กับกระเป๋าตรงๆนะ คือพยายามใส่แล้วแต่ห่วงกระเป๋าใหญ่เกินแขวนพวงกุญแจไม่ได้ ครั้นจะเอาแขวนตรงสายห้อยของพวงกุญแจอื่นๆแทนหางจิ้งจอกก็จะดูยาวเกิน ไม่บาลานซ์กับขนาดกระเป๋า จขบ เห็นแล้วขัดหูขัดตา&ขัดใจเป็นการส่วนตัว


นึกได้ว่าที่แล็บมีอุปกรณ์ Handy Bundler นี้อยู่ ชื่อญี่ปุ่น คือ Shime Shime (ขนาดของแบบนี้ ยังอุตส่าห์แอบมาคิกขุที่ชื่อได้อีก) เป็นอีกหนึ่ง creative innovation ที่ จขบ เห็นครั้งแรกก็ทึ่งเล็กๆว่า โห เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ยังอุตส่าห์คิดประดิษฐ์อุปกรณ์มาเสริมความสะดวกให้อีก ละเอียดถี่ยิบและใส่ใจทุกรายละเอียดสมเป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ

เครดิตภาพนี้จาก //www.flickr.com/photos/19081668@N00/83767883/ เหมือนเป๊ะเลยกับอันที่แล็บของ จขบ

เจ้าเครื่องด้านบนนี้ใช้ง่ายๆ(ถ้ารู้วิธีใช้นะ) แค่ไม่กี่วินาทีก็ได้ห่วงพลาสติกรัดของแบบแข็งแรงทนทานอย่างรูปก่อนนี้มาแล้ว จะของชิ้นเล็กจิ๋ว หรือ กล่องพัสดุใหญ่เบ้อเริ่มก็รัดได้หมด (รัดแน่นด้วย) สะดวกมากๆ (เว็บ official ของอุปกรณ์นี้อยู่ ที่นี่ เผื่อใครสนใจไปดูภาพเพิ่มหรืออยากอ่านรายละเอียด)

ขอสารภาพว่า จขบ ชอบเอาอุปกรณ์ที่แล็บมาใช้เรื่องไร้สาระประมาณนี้อยู่เรื่อยเลยล่ะ หนก่อนก็ขาต่างหูหักหลุดจากตัวแป้น ก็ไปอาศัยเครื่องเชื่อมและตะกั่วเส้นๆที่แล็บมายึดขาต่างหูติดเข้ากันใหม่ แหม ก็นิดๆหน่อยๆเองอ่ะนะ ไม่มีผลอันใดกับงบประมาณที่แล็บอยู่แล้ว เดี๋ยวช่วยอาจารย์ปั๊มเปเปอร์เป็นการตอบแทนละกัน (แต่ได้ข่าวว่าเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะเรียนจบแล้วหนิ )

ข้อเสียของการแขวนแบบนี้คือแขวนแล้วแขวนเลย จะเปลี่ยนต้องตัดออกอย่างเดียว ตอนนี้ จขบ เดินไปไหนก็เลยมีหางสีขาวๆครีมๆตุเลงๆอยู่ข้างกระเป๋า เดินไป หางก็เด้งดึ๋งๆไปด้วย จขบ ชอบเวลามันเด้งๆนี่แหล่ะ น่าร๊ากกก (จริงๆแขวนแบบนี้ก็ยังยาวเกินกระเป๋าไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าแขวนตรงสายพวงกุญแจอันอื่นล่ะน่า ซื้อมาแล้วหนิ ถึงหางยาวไปหน่อยก็ต้องใช้)

..
..
..
..
เท่านี้ก็เป็นอันจบเรื่องเล่าจากวันที่ 2 มกราแล้ว ต่อไปได้เวลาเริ่มบรรยายภาพหลักของบล็อคนี้กับเจ้าแมวน้ำ Sirotan ตากลมปิ๊งๆ ใครยังไม่รู้จักเจ้าแมวน้ำนี่ก็เดี๋ยวไปเห็นหน้าพร้อมกันได้เลย

ว่าไป จขบ ก็เพิ่งได้ยินชื่อ Sirotan เมื่อไม่นานนี้เอง ก็เห็นจากกระทู้ห้องแป้งที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วหอบกองทัพตุ๊กตา Sirotan กลับไปนั่นแหล่ะ (จขกท นั้นสามารถมากๆ คนเดียวแบกตุ๊กตาเยอะขนาดนั้นขึ้นเครื่องได้ไงก็ไม่รู้ ) ก่อนนั้นก็เหมือนจะผ่านๆตาบ้างที่ญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ(ช่วงนึงมัวแต่ไปบ้า Rilakkuma อยู่) แต่อยู่มาวันนึงเจอออเดอร์ของฝากเป็นเจ้าแมวน้ำนี่เข้าเลยต้องเริ่มหาข้อมูล(หาที่ซื้อ)อย่างจริงจัง

หาไปหามา ลงท้ายสั่งเอาทางเน็ตแทน เพราะขี้เกียจไปเดินหาร้าน ขายอยู่ตรงไหนมั่งก็ไม่รู้สิเนี่ย มานึกอีกทีไม่รู้ จขบ คิดถูกหรือคิดผิดที่ส่งลิงค์ร้านขายไปให้ เพราะพอเจ้าของออเดอร์เห็นลิงค์ปุ๊บ ก็กรี๊ดกร๊าดสั่งกระจุยเลย ถ้าไม่ส่งลิงค์ให้แต่ จขบ ไปเดินหาซื้อเอง คงเลือกๆมาให้แค่ตัวสองตัวพอละ จขบ จะได้ไม่ต้องมีภาระเยอะตอนขนกลับไทย

ในช่วงปีใหม่ร้านใน Rakuten 楽天 ปิดระบบไม่รับออเดอร์สั่งของ กว่าจะสั่งได้และของมาส่งก็เลยเป็นหลังปีใหม่หลายวัน แต่สุดท้ายก็มาเป็นสองกล่องใหญ่นี้ (สั่งคนละร้าน เสียค่าส่งสองหน แต่กลับมาส่งพร้อมกันเป๊ะเลย เสียดายตังค์ค่าส่งนะเนี่ย เอามาซื้อเพิ่มได้อีกตัวเลย )


เห็นกล่องใหญ่ๆแต่เบาหวิวๆๆเลย จริงๆแพ็คใส่ถุงพลาสติกส่งมาก็เหลือเฟือ ทั้งประหยัดกล่องและประหยัดเวลาจัดการขยะของ จขบ ด้วย (คือ กล่องแบบนี้เวลาจะทิ้งต้องจัดการกรีดเปิดออกและพับให้แบนแต๋ ก่อนจะเอาไปมัดรวมกันทิ้งเป็นขยะประเภทลังกระดาษ ยุ่งยากเล็กน้อย) จากภาพจะเห็นว่าในกล่องงี้โล่งเชียว(ก็ของนิดเดียวเอง)


แต่ภาพด้านบนนี่ถ่ายมาเพราะ จขบ ชอบไอเดียในการกันกระแทกแบบนี้ แทนที่จะใช้โฟมหรือกระดาษยัดกันกระแทก หลังๆนี้เค้าใช้เป็นคล้ายๆลูกโป่งถุงพลาสติกแทน กันกระแทกได้เหมือนกันโดยใช้อัดลมเข้าไปแทน (เขียนชื่อไว้ว่า Sealed Air หรือ Fill-air มีบริษัททำขายเป็นจริงเป็นจังเลย ไม่ใช่ว่าร้านส่งของมานั่งเป่านั่งเย็บถุงพลาสติกเอาเองนะ) ลดขยะกระดาษและโฟมไปได้โขเลย (จำได้ว่าเห็นที่กันกระแทกแบบนี้ครั้งแรกเมื่อ 1 ปีกว่าๆก่อนนี้เอง)

ได้เวลาแกะกล่อง สองกล่องยักษ์คลอดออกมาได้ 10 ตัวแค่นี้เอง ส่วนใหญ่เป็นไซส์พวงกุญแจตัวยาวประมาณ 10 เซน (แต่ถ้าออเดอร์แบบตัวใหญ่ยิ่งกว่านี้มาสิบตัวนี่ จขบ คงขอบายไม่ยอมแบกให้หรอก เกะกะตายเลยเวลาหอบขึ้นเครื่อง)


ถึงจะไม่ใช่ของตัวเองสั่งก็เถอะ แต่มีโอกาสกองทัพแมวน้ำตาแป๋วมาเยือนถึงห้องทั้งทีก็ขอจับมาถ่ายรูปหมูรูปหมู่กันซะหน่อย เริ่มจากชุดแรก แฝดสาม Sirotan เวอร์ชั่นตัวนาก(เดาเอานะว่าเป็นตัวนาก เห็นหน้ามันคล้ายๆ) อันนี้เห็นว่าเป็นแบบที่ทำมา Limited สำหรับ SeaParadise ที่ Yokohama


ชุดที่สอง สามตัวเหมือนกัน แต่มีไซส์เล็กเป็นที่ทำความสะอาดหน้าจอมือถือมาด้วยตัวนึง แบบนี้พิเศษหน่อยว่าเป็นหนึ่งใน Set ของ Sirotan ที่ทำมาเป็นมาสคอตของดี/ของดังของแต่ละเมือง ในรูปนี่เห็นทีแรกก็นึกว่าปลาคาร์พ ที่ไหนได้มันคือ golden tiger-headed dolphins (kinshachi 金鯱) ที่อยู่ที่ยอดปราสาท Nagoya โน่นแน่ะ (รายละเอียดเพิ่มเติมลองดูที่ //en.wikipedia.org/wiki/Nagoya_Castle)


Sirotan ที่เป็นเซ็ตของดีประจำเมืองนี่น่าร๊ากกกกมาก ขนาด จขบ เห็นยังอดกรี๊ดกร๊าด(ในใจ)ไม่ได้เลย จริงๆทั้งเซ็ตจะมี 14 แบบตามภาพ (บางเมืองก็ได้โควต้าเยอะ มีมากกว่าหนึ่งแบบนะ)

เครดิตภาพแค็ปมาจาก //item.rakuten.co.jp/mg-mail/c/0000002348/

ทั้ง 14 แบบ มีดังนี้
- @Yokohama เป็น กะลาสี
- @Yokohama เป็น ชุดจีน (น่าจะสื่อถึง China town)
- @Tokyo เป็น หอคอยโตเกียว
- @Tokyo เป็น ชุดคนเดินยาม ถือโคมคอยระวังไฟไหม้ในสมัยเอโดะ
- @Hakata เป็น Tonkotsu ramen (ชุดหมูดำ)
- @Hakata เป็น Karashi-mentaiko (ไข่ปลาแบบเผ็ด)
- @Nagoya เป็น ชุด Ebi-furai (กุ้งชุบแป้งทอด)
- @Nagoya เป็น ชุดโลมาทองหัวเสือ
- @Hokkaido เป็น เมลอน
- @Okinawa เป็น ซีซ่าร์ (ตัวสีแดงๆ ที่คล้ายๆมังกรตรุษจีน)
- @Okinawa เป็น สัปปะรด
- @Ehime เป็น Iyokan (เหมือนจะเป็นส้มชนิดหนึ่ง)
- @Nara เป็น กวาง
- @Osaka เป็น ทาโกะยากิ

จขบ ชอบตัวกุ้งทอดที่เป็นของประจำจังหวัด Nagoya มากๆเลยล่ะ เนี่ยๆเห็นแล้วหมั่นเขี้ยวอยากกัดหางกุ้ง >.< แต่เว็บที่สั่งเจ้ากุ้งทอดหมดเลยอดตามระเบียบ

เครดิตภาพแคฺปมาจาก //item.rakuten.co.jp/mg-mail/943-23636/

เท่าที่โดนฝากมา(และมีของในสต็อค)ก็ได้ในเซ็ตนี้มา 4 แบบตามภาพเลย ซ้ายสุดโลมาทองของ Nagoya ถัดมาคือ กวาง ของ Nara ถัดมาอีกดูง่ายๆเลยก็ Tokyo Tower ของโตเกียว และ ขวาสุดคือ เมลอน ของ Hokkaido


จับเรียงแถวครึ่งวงกลมถ่ายรูปซะหน่อย แต่เพื่อไม่ให้มุมซ้ำกันมากในบล็อคเลยลงแค่นี้พอ ที่เหลืออยู่ใน skydrive ค่า คลิกลิงค์ตามไปได้ถ้าอยากดูอีก


ในสิบตัวที่ซื้อมา มีเจ้าเนี่ยอยู่ตัวนึงที่มาเดี่ยวๆ หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีเซ็ต ไม่มีพวกกะเค้า Sirotan JAL นั่นเอง (ได้นั่ง JAL ล่าสุดตอนไปงานที่ออสเตรเลียปลายปีก่อน ยังบริการเยี่ยมไม่เปลี่ยน แถมมีหนังใหม่ๆให้ดูเยอะมาก ไม่ได้นั่งเครื่องที่มีทีวีส่วนตัวให้มานานแล้วนะเนี่ย )


เห็นตาแป๋วๆอยู่รวมกันเยอะๆแล้วก็คันมืออยากถ่ายรูป แต่เนื่องด้วยเวลาที่จำกัด และไม่มีพร็อบอะไรอย่างอื่นเลย สุดท้ายก็ได้แค่ถ่ายทำบนเตียงที่ห้อง ฉากหลังเป็นผ้าห่ม ลูบๆตบๆอย่างลวกๆพอให้ไม่น่าเกลียดนักเวลาออกสื่อ นับ 1 2 3 เอ้า ชีสสสสสสสสส


จะถ่ายแต่แมวน้ำเดี๋ยวตัวนี้จะน้อยใจ หมี pooh ตัวนี้จขบ นอนกอดทู๊กกกกกคืน คุณแฟนให้วัน x'mas eve สองปีก่อน ตัวโตจนเอามากอดแทนหมอนข้างได้เลย (มีปัญหาก็แค่ว่าอีกหน่อยจะอุ้มกลับไทยยังไงล่ะเนี่ย )


จริงๆยังมีรูปเดี่ยวของแต่ละตัวอีก แต่เดี๋ยวบล็อคจะยาวเกินไป ใครสนใจคลิกไปติชมรูปต่อได้ที่ skydrive แทนเลยค่า ในบล็อคนี้เดี๋ยวจะลงแค่ภาพป้ายของแต่ละตัวก็พอแล้ว คือ นอกจากแต่ละตัวจะใส่ชุดแปลกๆน่ารักๆแล้วป้ายที่ห้อยไว้ก็น่ารักน่าสะสมไม่แพ้กันด้วย.... เช่น อันนี้ป้ายของ Sirotan JAL


ป้ายของ Shirotan Melon @Hokkaido


ป้ายของ Sirotan Tokyo Tower


ป้ายของ Sirotan Shika @Nara


ป้ายของ Sirotan Shachihoko @Nagoya


ส่วนเจ้าตัวนากป้ายไม่มีตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ขอเฉลยตรงนี้เลย (ไม่มีใครถามสักหน่อย ;P ) ว่าในสิบตัวนี้ มีของ จขบ อยู่ตัวเดียวคือ ตัวนากนี้ล่ะค่า ตัวอื่นโดนฝากซื้อหมดเลย


จขบ ยังไม่ถึงขั้นคลั่งไคล้เจ้าแมวน้ำนี่เท่าไหร่ ถึงแม้มันจะน่าร๊ากกกไม่เบาก็เถอะ แต่ก็ติดใจอยู่เบาๆเลยลองเซิร์ชๆดูไปเจอเว็บนี้เข้า //ameblo.jp/sirotan37/page-1.html#main เจ้าของเป็นผู้หญิงคนญี่ปุ่นที่เป็น Shirotanism บ้าแมวน้ำนี้มาก แล้วเค้าวาดการ์ตูนเก่งด้วย กดย้อนไปดูหน้าเก่าๆเจอการ์ตูนเค้าวาดเองอยู่หลายตอนเลย วาดซะ Sirotan ดูน่าเอ็นดู๊น่าเอ็นดู (พอส่งลิงค์นี้ให้คนออเดอร์ Sirotan ดู ก็โดนรีเควสให้แปลการ์ตูนให้อีก -*- หางานใส่ตัวจริงจริ๊งงงง จขบ)

บล็อคนี้จบแค่นี้ค่า ขนาดว่าบล็อคสั้นๆคั่นเวลาก็ยังยาวเลยเนอะ ประสาคนชอบบรรยายน้ำท่วมทุ่ง ;P

---------------------------------------------------------------------------

ยกเว้นภาพตัวเองภาพเดียวที่ใช้ Sony Alpha NEX-5 กับเลนส์คิต Sony E 18-55mm f/3.5-5.6 OSS ใหม่เอี่ยมแกะกล่อง ภาพที่เหลือทั้งหมดใช้ Canon EOS Kiss X3 รูปตรงชิบุยะใช้ EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM ส่วนที่เหลือใช้ EF 35mm f/1.4L USM

ภาพแมวน้ำทั้งหมดใช้ถ่าย RAW แล้วมาปรับ WB เอาทีหลังด้วย DPP ยังไงไม่รู้ทั้งที่ห้องเดียวกัน หลอดไฟหลอดเดียวกัน แต่ WB ตอนถ่ายในห้องนี่แก้ยากมากกกก ต้องนั่งจูนสีกันภาพต่อภาพเลย ใช้วิธี copy recipe หรือ fix ค่า Kelvin ไม่ได้ไม่งั้นตัวแมวน้ำสีขาวสีเพี้ยนหมด เดาว่าเพราะใช้สปีดมากกว่า 1/50 หรือเปล่า ไฟห้องมันกระพริบๆเลยสีเปลี่ยนไปมา(มั้ง)

อีกอย่างคือถ่ายทำแบบไม่ใช้ขาตั้งกล้อง(ขี้เกียจนั่นเอง) ห้องไม่สว่างนักค่ารูรับแสงเลยออกมากว้างมาก ที่เห็นชัดตื้นมาก(จนเกินความจำเป็น)ในหลายๆรูปนี่คือไม่ได้ตั้งใจอยากให้ชัดตื้นขนาดนี้นะ แต่ไม่อยากลดสปีดลงเพราะกลัวภาพเบลอค่า


>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน skydrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 13 มกราคม 2554    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2556 0:08:57 น.
Counter : 15905 Pageviews.  

1/1/11 ปีใหม่สุดท้ายของชีวิตนักเรียนในญี่ปุ่น::บรรยากาศคืนสิ้นปีและวันปีใหม่ ณ Yushima Tenjin @Tokyo



เครดิตภาพจาก google.co.jp
แอบรักพี่เสียดายน้อง ขอใส่ลิงค์น้องกระต่ายตัวโตๆอีกตัวไว้ ตรงนี้ แทน



>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน skydrive


ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่แด่ทุกคนที่หลงคลิกเข้ามาด้วยกระต่ายน้อยตัวโตๆข้างบนนี้นะคะ ปีใหม่ปีกระต่ายแล้ว เผื่อจะเป็นลางอันดีให้เลิกดองบล็อคท่องเที่ยวปีก่อนเสียทีเลยมาอัพบล็อคใหม่รับปีใหม่กันเสียหน่อย (แต่เอาจริงๆคงเลิกดองยากกก ปีที่แล้วเดินทางบ่อย ถ่ายรูปเยอะมาก หลักๆคือ ดองภาพไว้สี่ทริป และยังมีภาพทั่วไปเล็กๆน้อยๆที่เคยคิดอยากจะเขียนบล็อคอีก 2-3 ชุด รวมๆแล้วนับเป็นจำนวนหลายพันภาพ ถ้าไม่ว่างสักหนึ่งเดือนเต็มๆคงยากจะทำเสร็จ แหะๆ)

ปีใหม่นี้เป็นปีใหม่สุดท้ายของชีวิตนักเรียนที่ญี่ปุ่น และก็คงเป็นปีใหม่สุดท้ายของชีวิตนักเรียนแล้วด้วย (จบปริญญาเอกใบนี้แล้วก็ไม่คิดจะไปเรียนเอาปริญญาอื่นอีกแล้วล่ะ) จริงๆน่าจะคึกคักกว่านี้หน่อยเพราะอยู่นี่ปีสุดท้ายทั้งที แต่เนื่องจากยังเหนื่อยแสนเหนื่อยจากทริปเมื่อช่วงคริสมาสต์ ประกอบกับอากาศโตเกียวที่หน๊าวหนาว(ขนาดว่านี่หนาวในระดับปกตินะเนี่ย) จนแทบไม่อยากออกจากผ้าห่มนวมอันแสนอุ่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว สุดท้ายเลยเคาท์ดาวน์อยู่ที่ห้องนั่นเอง

ยังดีว่าโลเกชั่นของห้องมองลงไปเห็น Yushima Tenjin 湯島天神 เอากล้องประกอบเข้ากับเลนส์ 70-200 ซะหน่อยก็พอจะซูมเห็นบรรยากาศข้างล่างได้อยู่เหมือนกัน เทียบไปแล้วศาลเจ้านี้ดังสู้ Meijijingu @Harajuku หรือ Sensoji @Asakusa ไม่ได้ก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะโนเนม มีชื่อเสียงอยู่พอตัวในแง่นักเรียนมาขอพรให้สอบเข้าได้(โดยเฉพาะเข้าโตได ก็โลเคชั่นอยู่ใกล้ๆกันนี่เอง) ทุกปีคืนวันที่ 31 ธันวาก็จะมีคนมาต่อคิวเพื่อไหว้พระขอพรแถวยาวเหมือนกัน

มาปีนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พอฟ้ามืดมองลงมาอีกทีก็เห็นรถตำรวจมาจอดรอเตรียมรักษาการแต่เนิ่นๆแล้ว


งานนี้ไม่ต้องดูนาฬิกาก็รู้ได้ว่าเมื่อไหร่เข้าปีใหม่อาศัยฟังเสียงจากข้างนอกเอา 0:00 เมื่อไหร่มีเสียงเฮเข้ามาทันที เข้าปีใหม่ปุ๊บ จขบ ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ประเดิมภาพแรกของปีกันเลย ก่อนอื่นส่องตรงโซนร้านอาหารที่มาเปิด(ชั่วคราว)ข้างวัดก่อนยังไม่ค่อยมีคนเลยแฮะ


นอกจากร้านที่ตั้งเป็นซุ้มดีๆแล้ว ปีนี้เห็นร้านเล็กๆตั้งอยู่หน้าบ้านแถวนั้นด้วย แอบช่วยลุ้นให้ขายได้อยู่ในใจ แบบว่าเห็นใจคนทำมาหากินน่ะนะ (อากาศก็หนาวจะแย่ ต้องมายืนขายข้างนอก บรื๋ออออ)


ที่แท้ตอนเข้าปีใหม่หมาดๆคนไปกระจุกกันอยู่ที่ศาลเจ้านั่นเอง ภาพนี้ส่องห่างๆพอจะเห็นกันไหมว่ากลุ่มคนกำลังรอไหว้พระกันอยู่ (แน่นอนว่าตามระเบียบญี่ปุ่น ต้องมีคุณตำรวจมาคอยกั้นคนให้เข้าไปทีละชุดๆ)


ต้นไม้บังทางเลนส์อ่ะ ซูมสุดแล้วเห็นในบริเวณศาลเจ้าแค่นี้เอง ศาลเจ้านี้ไม่ได้ใหญ่โตหรือมีพื้นที่มากมายนัก แม้คนจะน้อยกว่าที่ศาลเจ้าดังๆที่อื่นแต่แค่นี้ก็ต้องต่อคิวกันเป็นชั่วโมงกว่าจะได้ไหว้


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ตอนประมาณตีหนึ่งมาดูอีกทีในบริเวณศาลเจ้าคนโล่งแล้วเหลือแค่นี้เอง ถ้าใครไม่อยากต่อคิวนาน(กลางอากาศหนาวๆ)ก็รอพ้น prime time ช่วงเที่ยงคืนไปแล้วค่อยมาไหว้ก็โออยู่นะ แต่ส่วนตัวว่ามาตอนเที่ยงคืน ร่วมเคาดาวน์กับคนเยอะๆก็ได้บรรยากาศดีไปอีกแบบ


ช่วงนี้คนเปลี่ยนมาแน่นตรงโซนขายอาหารแทน หลักฐานตามในภาพ ก็เป็นธรรมเนียมแบบญี่ปุ่นๆนะ ยืนหนาว(มากถึงมากที่สุด)รอคิว ปีใหม่ไหว้พระ กินอาหารอุ่นท้องแล้วค่อยกลับไปนอนบ้าน (ร้านที่แอบส่องมาในรูปแรกๆก็หายห่วง คนมุงเยอะเชียว ไปแอบดูมาแล้วขายหลายอย่างทั้งคาเร โอเด้ง และอื่นๆ กลางคืนหนาวๆแบบนั้นของน้ำๆร้อนๆนี่เรียกลูกค้าดีนักแล)


จริงๆ จขบ ก็กะจะเดินลงไปหาอะไรกินอยู่เหมือนกันนะ แต่ด้วยความหนาว+ความขี้เกียจ ลงท้ายเลยฉลองอยู่กะบ้านแทน คนญี่ปุ่นเค้ากินโซบะรับปีใหม่กัน(จริงๆเค้ากินกันตอนวันสิ้นปีตะหาก) มองซ้ายมองขวาหาของที่พอทดแทนกันได้เลยมาจบมื้อแรกของปีด้วยมาม่ารสหมูสับชามนี้ เส้นๆเหมือนกันพอถูไถไปได้ล่ะน่า


อุ่นท้องด้วยมาม่าเสร็จก็มุดผ้าห่มนอนรับปีใหม่ (หน้าหนาวนี่ ใต้ผ้าห่มเป็นสถานที่ที่สุขและสบายที่สุดเลย พ้นออกมาเมื่อไหร่นี่ทั้งหนาวทั้งชาทั้งอากาศแห้ง) ตื่นมาอีกทีก็แต่งตัวลงไปข้างล่างกะจะไปไหว้พระที่ศาลเจ้าและหาของกินเสียหน่อย บรรยากาศวันปีใหม่โซนขายอาหารข้างศาลเจ้านี่คึกคักดีจริงๆ (แปลกแต่จริง ไม่มีวันปีใหม่ปีไหนที่ฝนตกเลย อากาศดีทุกปี)


รอบศาลเจ้านี้ร้านอาหารมาเปิดไม่เยอะเท่าที่ศาลเจ้าดังๆที่เคยไปปีก่อนๆก็จริง แต่รวมๆแล้วก็มีอาหารหลักๆของเทศกาลครบถ้วนอยู่นะ (ปีที่แล้วไป Meijijingu @Harajuku มา คนเยอะอลังการล้านแปดแค่ไหนอ่านได้ที่ บล็อคนี้)


เดินต่อมุ่งหน้าไปทางเข้าศาลเจ้าเพื่อไหว้พระ ยิ่งเดินไปยิ่งเริ่มแปลกใจว่า ทำไมคนมันเยอะขนาดนี้ล่ะเนี่ย? สี่ปีก่อนหน้านี้หลังไหว้พระปีใหม่ตอนกลางคืนแล้ววันที่ 1 มกราก็ไม่เคยออกไปไหนเลย เพิ่งรู้เอาปีที่ห้านี่เองว่าขนาดตกบ่ายมาแล้ว วันที่ 1 คนก็ยังออกมาไหว้พระกันเยอะขนาดนี้


เดินยังไม่ทันถึงทางเข้าศาลเจ้าเลย ก็มีอันแวะเถลไถลซะแล้ว ปลาย่างถ่านนี่เป็นของโปรดคุณแฟน สมัยอยู่ญี่ปุ่นนี่เค้ากินทุกปีเลย ปีนี้เค้าไม่อยู่ จขบ เลยช่วยซื้อกินแทนให้ ^^ หนึ่งไม้ราคามาตรฐาน(เห็นราคานี้ทุกที่) 500 เยน (ว่าก็ว่านะ ร้านนี้นี่เดินผ่านกี่ทีก็ดูคนโล่งๆ)


ทุกปี จขบ แอบกัดของคุณแฟนสองสามคำก็อร่อยดี มาปีนี้ถือเองกินเองหมดเพิ่งรู้ว่ากินปลานี่มันลำบากลำบนขนาดนี้ กินๆไปเดี๋ยวส่วนหางก็หลุดออกจากไม้ เดี๋ยวกัดเจอกับดัก น้ำข้างในตัวปลาไหลหกออกมาจะเลอะเสื้อโค้ตอีก นึกสภาพ จขบ ยืนกิน(ที่นี่ไม่มีโต๊ะให้นั่ง) มือนึงถือไม้เสียบปลา อีกมือประคองส่วนหางปลาไม่ให้ขาดร่วงลงพื้น แขนซ้ายมีกระเป๋าถือ(ใบใหญ่ด้วย)ห้อยอยู่ แขนขวามีกล้อง DSLR แขวนโตงเตง ยืนแทะปลาอยู่คนเดียว สรุปคือสภาพกินอนาถมาก ตอนคุยกันคุณแฟนก็ไม่มีเตือนกันเล้ยยยว่ามันกินยากกินเย็นแบบนี้


กินปลาเสร็จอย่างทุลักทุเล ได้เวลาเดินต่อไปถึงตรงหน้าทางเข้าศาลเจ้าจนได้ เห็นคุณตำรวจยืนกั้นอยู่นี่แสดงว่าใช่เลย ตรงนี้แหล่ะ


เดินมาเจอคิวหน้าทางเข้าแล้วตกใจเล็กน้อย ขนาดบ่ายแก่ๆแล้วคนยังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย


มองไล่ตามคิวไปเรื่อยๆ เห็นแถวแล้วเปลี่ยนใจ คนขนาดนี้ไม่ไหว้แล้วดีกว่าขี้เกียจรอ หนาวด้วย แถมหิวอีกตะหากกะจะมาฝากท้องกับร้านแถวนี้เต็มที่เลยนะเนี่ย


เดินย้อนกลับไปทางโซนขายอาหาร ยิ่งเย็นลงไหงคนยิ่งเยอะขึ้นล่ะเนี่ย เอ๊ะ มันยังไง


ปีนี้ Doner Kebab เจ้าดัง(เสียงคนขายก็ดัง)จากอาเมโยโกะก็มาเปิดขายตรงนี้กะเค้าด้วย เสียงเรียกลูกค้ายังคงดัง และฮาเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนเดินผ่านไปมาและคนขายร้านใกล้เคียงได้พอตัว


จขบ นั้นเล็งไว้แล้วว่าจะกินอะไร แน่นอนต้องเป็นของโปรด Buttered Potato じゃがバター (เผื่อมีใครเข้าใจผิด อันนี้ไม่ใช่มันเผานะ เป็นมันนึ่ง แล้วมาผ่ายัดเนยลงไป ราดมายองเนสและโรยเกลือกินกัน) นั่นเองกินทุกปีเหมือนกัน ว่าแล้วก็มาต่อที่หางแถวเลย ร้านนี้นี่คนต่อคิวยาวเชียว น่าจะ work more


ยืนต่อคิวผ่านไปประมาณเกือบยี่สิบนาที โดยที่แถวไม่มีการขยับเลย -"- ฟังคนรอบๆเอาดูเหมือนว่าต้องรอนึ่งมันชุดใหม่ให้สุก ร้านนี้มันลูกใหญ่คงจะสุกช้าหน่อยก็เข้าใจได้ ยืนรอกันต่อไป เพิ่งยี่สิบนาทีเอ๊ง สำหรับที่ญี่ปุ่น รอแค่นี้อ่ะจิ๊บๆ (แต่ยืนเฉยๆกลางหน้าหนาวนี่มันหนาวทรมานไม่เบาเหมือนกันนะ ให้เดินยังจะดีกว่าซะอีก ยืนเฉยๆนิ้วมือนิ้วเท้ามันชาไปหมด)

หลังจากยี่สิบนาที ในที่สุดแถวก็ขยับ จขบ จากหางแถวขยับมาจนอยู่เป็นหัวแถวเห็นซึ้งนึ่งมันควันโขมงอยู่ข้างหน้าแค่เอิ้อมนี้แล้ว


แต่แล้วโชคดีก็หมดลงกะทันหัน โควต้ามันหมดอีกเป็นคำรบที่สอง T___T จขบ ตอนนี้จ่ออยู่เป็นคิวที่ 3 อีกนิดเดียวกำลังจะได้กินแล้วแท้ๆอ้ะ แต่ยืนรอมาขนาดนี้ ได้คิวจ่อขนาดนี้ ใครจะยอมถอนตัวกันล่ะเนอะ สรุปคือยังไงก็จะรอต่อไป (คิวหน้า จขบ เป็นเด็กผู้ชายคนนึงประมาณชั้นประถม คุณแม่ก็ถามหลายหนแล้วว่าไปกินอย่างอื่นไหม แต่เด็กก็บอกอยากกิน อุตส่าห์รอมาขนาดนี้แล้วยังไงก็อยากกินให้ได้ อารมณ์เดียวกับ จขบ นั่นล่ะ)

ยืนรอว่างๆเบื่อๆก็เลยแอบส่องร้านอื่นๆมานิดหน่อย ร้านทางซ้ายเป็นข้าวโพดย่าง คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แทบไม่ต้องต่อคิว


ร้านทางขวาเป็น Osaka Yaki 大阪焼き ช่วงที่ยืนรอตรงหน้าซึ้งนึ่งมันเนี่ยเห็นร้านนี้ทำเสร็จไปสามกะทะแล้ว (ว่างจนยืนนับมาด้วยว่า หนึ่งกะทะเค้าทำได้ 32 ชิ้น แต่ถ้าชิ้นไหนขาดเละมาก เค้าก็โยนทิ้งไป อืมนะ ขนาดขายงานแบบนี้ก็ยังอุตส่าห์มี QC ให้ อันนี้ขอตบมือชื่นชม)


ระหว่างยืนรอก็เริ่มเข้าใจสัจธรรมว่าร้านไหนที่เห็นคิวยาวๆน่ะ ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกแต่เพราะเตามันมีจำกัด หนึ่งร้านก็มีแค่หนึ่งเตา พอของหมดทีนึง การขายก็สะดุดเพราะต้องรอ นึ่ง/ผัด/ย่าง/ปิ้ง ใหม่ทั้งหมด ร้าน Osaka Yaki นี้ก็ชะตาเดียวกันเตามีแค่นี้ล่ะ ย่างไม่เสร็จก็ต้องรอกันไป ยังดีว่าร้านนี้เตานึงได้หลายชิ้นและย่างไม่นานมากแต่แค่นี้ก็คิวยาวแล้ว


มองถัดไปทางซ้ายอีกสองร้านชะตาเดียวกันเปี๊ยบ แถวยาวเฟื้อยพอๆกับแถวที่ จขบ ต่ออยู่เลย คุณลุงผัดอยู่คนเดียว กะทะก็มีอันเดียวแต่คนต่อคิวรองี้เพียบ (แต่ถ้าเป็นงานที่ศาลเจ้าอื่นที่ใหญ่กว่านี้พื้นที่เยอะๆกว่านี้ การขายจะไม่ค่อยมีขาดตอนแบบนี้นะ เพราะแต่ละร้านมีพื้นที่มาก มีคนทำหลายคน มีเตาหลายเตาให้ใช้)


และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย ในที่สุดมันเจ้ากรรมก็สุกและเจ้าของร้านมายกซึ้งลงเสียที สิริรวมแล้วต่อคิวรอเกือบ 1 ชั่วโมง -*- (ถ้ารู้แต่แรกคงไม่ต่อเพราะตอนนั้นหิวมาก แต่พอต่อไปครึ่งทางแล้วก็ไม่อยากถอนตัวอ้ะ) เจ้าของร้านเค้าก็คงดีใจนะว่าได้ขายเสียที ลูกค้าหลายสิบยืนชะโงกคอกดดันมาเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย


ถ้าจะว่าไปส่วนตัวคิดว่าเจ้าของร้านนี้กดดันยิ่งกว่าร้านอื่นๆนะ ร้านอื่นมันต้องผัดต้องพลิกต้องทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดในระหว่างที่รอ แต่ร้านนี้นี่นอกจากนั่งจ้องซึ้ง รอให้มันมันสุกแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้เจ้าของร้านต้องทำหรือต้องเตรียมเลย ชั่วโมงนึงที่รอนี่เห็นแค่เจ้าของร้านเอาถังน้ำอะไรสักอย่างไปเททิ้งหนนึงเท่านั้นเองอ่ะ (แถมจะนึ่งไว้เยอะๆล่วงหน้าก็ไม่ได้ อากาศหนาวอย่างนี้ถ้ามันอยู่นอกซึ้งร้อนๆเมื่อไหร่เย็นเจี๊ยบเมื่อนั้น)


โชคยังดีนะว่าที่นี่ญี่ปุ่น ที่ผู้คนคุ้นเคยและเข้าใจดีถึงความสำคัญในการต่อคิวเวลาที่ต้องการอะไรสักอย่าง ทุกคนต่อคิวกันเรียบร้อยดีโดยไม่ต้องมีคนคุม ไม่มีการแซงคิว ไม่มีใครเนียนมาแทรกคิวแต่อย่างใด ใครอยากกินก็รอกันดีๆไม่มีคนไหนออกมาโวยวายว่าทำไมปล่อยให้รอนาน(เพราะทุกคนก็ต้องรอเท่าเทียมกันหมด) ใครที่รอไม่ไหวก็ออกจากแถวไปเท่านั้นเอง แบบนี้เจ้าของร้านไม่ต้องปวดหัวดี

แอบคิดว่าถ้าเหตการณ์แบบนี้เกิดที่ไทยน่ากลัวจะมีการเอาไปด่าประจานในเน็ตทีหลัง โทษฐานไม่ยอมเตรียมทรัพยากรให้เพียงพอ ทำให้คนต้องมายืนรอกันเงกกลางอากาศหนาวๆ (แต่ เอ คนไทยก็มาเที่ยวญี่ปุ่นกันเยอะแยะ แถมมากันช่วง high season ด้วย จะไปไหนหรือกินอะไรที่ดังๆก็ต้องต่อคิวชัวร์อยู่แล้ว ทีงี้ไม่ยักมีใครเอากลับไปบ่นกันเลยแฮะ เอ หรือ จขบ ไม่เคยไปอ่านเจอเอง)

นอกเรื่องไปนิด(เยอะ) เผอิญนึกถึงดราม่า Krispy Kreme ในห้องก้นครัวขึ้นมา เอาเป็นว่าในที่สุดก็ถึงคิว จขบ จะได้กินแล้ว จ่ายเงินมือไม้สั่นไปหมด (ไม่ได้สั่นเพราะดีใจนะ สั่นเพราะหนาวอ่ะ รอนานจนนิ้วมือชาไปหมดแทบไม่มีความรู้สึก ขนาดว่าใส่ถุงมือแล้วนะเนี่ย) ถือโอกาสแชะภาพซึ้งเจ้ากรรมมาด้วย หนึ่งชั้นใส่มันได้เกือบ 20 ลูกมั้ง ทั้งหมดมีประมาณ 4-5 ชั้นได้


เนื่องจากหนาวและหิวมากเลยไม่ทันได้ถ่ายรูปมันที่อุตส่าห์ยืนรอมา นึกได้อีกทีก็สับกินจนเละไปหมดแล้ว(แถมลืมบีบมายองเนสราดมาด้วยอีกตะหาก) แต่มีรูปสาว Furisode (กิโมโนแขนยาวสำหรับผู้หญิงยังไม่แต่งงาน อยากลองใส่ดูสักครั้งเหมือนกันนะแต่มันแพ๊งงงง) ที่ร่วมชะตากรรมต่อคิวร้านเดียวกันมาให้ดูแทน เท่าที่ดูคนที่ต่อคิวรอก็ได้กินกันหมดนะ นึ่งทีนึงก็ขายได้ยาวอยู่เหมือนกันหนิ จขบ ซวยจริงๆดันมาตอนหมดพอดี


ยืนๆกินไปเห็นคู่ข้างหน้าแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ มาคนเดียวนี่ไม่มีคนช่วยถือ ช่วยจับ ช่วยป้อนอะไรๆให้เล้ยยย พะรุงพะรังมือปลาหมึกอยู่คนเดียว (สรุปว่าบ่นเพราะไม่มีคนช่วยถือสมบัติต่างๆให้นั่นเอง )


เกิดเป็นสาวญี่ปุ่นนี่ต้องมีความสามารถใส่ส้นสูงลุยได้ทุกสถานการณ์ ทั้งเดินขึ้นลงรถไฟเป็นกิโลๆ ขี่จักรยานกลางฝนตก และอื่นๆอีกมากมาย จะนั่งบนพื้น นั่งบนรั้วอะไรยังไงก็ต้องทำได้ทิ้งๆที่จิกส้นสูงถึงจะใช่สาวญี่ปุ่นของแท้ (คนในภาพนี่ยังส้นเตี้ยๆ ไม่เท่าไหร่ๆ)


กินเสร็จ จขบ ก็ไม่ไหวแล้วหนาวและชาไปหมด รีบเดินหนีไปที่อื่นมั่ง ผ่านร้านนี้เป็น Buttered Potato じゃがバター เหมือนกัน แต่ใช้มันลูกเล็กสุกง่าย เลยขายได้ลื่นไม่ค่อยขาดตอน จริงๆก็เห็นร้านนี้ก่อนแล้วแหล่ะแต่อยากกินแบบมันลูกใหญ่อ่ะ เลยรอเงกเลย


บรรยากาศร้านอื่นๆในงานนั้นใครสนใจรบกวนตามไปดูภาพใน skydrive แทนยังมีอีกเยอะ เท่าที่ส่องๆดูจากบนห้อง ร้านอาหารชั่วคราวพวกนี้มีจนถึงวันที่ 3 มกราก่อนจะโดนเก็บซะเหี้ยนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย แต่ช่วงวันที่ 2 และ 3 มกรา พอฟ้ามืด ส่องลงมาดูอีกทีก็เห็นปิดร้านกันไปแล้ว เดาว่าช่วง prime time ที่ขายตลอดคงเป็นตั้งแต่คืนวันที่ 31 ธันวา จนถึง คืนวันที่ 1 มกราน่ะนะ

ตอนนี้ขอย้ายวิกไปเดินต่อที่อาเมโยโกะกัน ในภาพเป็นภาพจากฝั่งสถานีรถไฟ JR Okachimachi ถ้าออกทาง North Exit ก็จะมายืนรอข้ามถนนเพื่อไป Ameyoko ตรงนี้นี่ล่ะ (ป้ายไฟที่อยู่ใต้นาฬิกาสีน้ำเงิน คือ ป้ายไฟทางเข้า アメ横 Ameyoko)


นับว่าเป็นอาทิตย์แล้วนะ ที่ จขบ ไม่ได้กินข้าวปลาดิบร้านโปรด Minatoya เหตุเพราะตั้งแต่ช่วงสิ้นปีเค้าเปลี่ยนมาขายพวกปลาดิบเซ็ตของขวัญปีใหม่กันหมด ไม่มีข้าวปลาดิบให้ จขบ กินเลย T___T (จขบ กินร้านนี้อย่างน้อยๆอาทิตย์ละครั้ง แถมทุกครั้งยังซื้อปลาดิบกลับมากินต่อที่บ้านด้วย คนขายจำหน้าได้เรียกว่า Salmon-don no Onesan サルモン丼のお姉さん แปลไทยคงประมาณว่า พี่สาวข้าวหน้าปลาแซลมอน ก็แบบว่าชอบกินแซลมอนอ้ะ ของร้านนี้ทั้งอร่อยกว่าที่อื่น ทั้งถูกกว่าและให้เยอะด้วย)


เมื่อช่วงก่อนสิ้นปีแถวนี้คึกคักกันเว่อร์ๆ แต่ละร้านตะโกนแข่งกันขายเซ็ตปีใหม่ เรียกลูกค้าและตัดราคากันสุดฤทธิ๋ ทุกปีไม่สังเกตเพิ่งรู้ปีนี้เหมือนกันว่าขนาดของสดพวกนี้(ขาปูเอย ปลาดิบเอย ไข่ปลาเอย)ก็ยังอุตส่าห์จัดเป็นเซ็ตของขวัญปีใหม่กะเค้าได้เหมือนกัน


มาวันที่ 1 มกราแถวนี้ดูคึกคักน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หลายๆแผงที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหยุดก็หยุดปีใหม่กัน เพราะงี้เองสินะช่วงสิ้นปีถึงเต็มที่กันซะขนาดนั้น ปิดการขายประจำปีกันนั่นเอง (ในภาพล่างเป็นร้านขายผลไม้เสียบไม้ของโปรดคุณแฟน หยุดปีใหม่กะเค้าเหมือนกัน)


แต่ส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะหยุดกันเปล่าๆ หน้าร้านที่หยุดไปก็มีร้านอื่นๆที่ไม่คุ้นหน้ามาเปิดขายอย่างอื่นแทนชั่วคราว มีทั้งขายผลไม้ เสื้อผ้า เครื่องประดับสารพัด แต่รวมๆแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่คึกคักเท่าเวลาปกติของถนนนี้ในวันเสาร์อาทิตย์อยู่ดี


เห็นร้านนึงคนขาย(ผู้ชายอายุประมาณ 40-50 ได้)ยืนเหงาๆอยู่ เลยช่วยอุดหนุนมาหนึ่งชิ้นถือเป็นการสนับสนุนคนทำมาหากิน ของไม่ได้แพงอะไร 500 เยนเองเป็นกระจกแมวนางกวัก น่ารักดี การตัดเย็บก็เรียบร้อยแข็งแรงไม่ก๋องแก๋ง


เดินชมบรรยากาศอาเมโยโกะในช่วงปีใหม่ที่เปลี่ยนไป(ไม่เหมือนบรรยากาศปกติ)มาเรื่อย จนมาเจอร้านขนมทั้งหมด 1000 เยนนี่ จะปีไหนๆก็ไม่เคยเปลี่ยน คงเส้นคงวาจนน่าให้รางวัล ห้าปีก่อนตอนมาญี่ปุ่นครั้งแรกเป็นยังไง ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้น (แต่ จขบ ก็ไม่เคยซื้อนะ ขนมตั้งเยอะซื้อมาไม่รู้จะกินไงหมด)


ขากลับบ้านเดินกลับทางถนนใหญ่(ที่ผ่าน Keisei Ueno Station) ผ่านห้าง Ueno ABAB (อาบุอาบุ) แปลกใจนิดๆว่าห้างนี้เปิดวันปีใหม่ด้วยแฮะ เพราะปกติห้างในโตเกียวจะปิดวันปีใหม่กันแล้วเปิดขายถุงโชคดีทีเดียวตอน D-day วันที่ 2 มกรา แต่ ABAB นี่นอกจากจะเปิดวันขึ้นปีใหม่ ก็ยังเริ่มเซลล์ปีใหม่แล้วอีกด้วย ในภาพล่างคือร้านชื่อ Bye Bye อีกหนึ่งยี่ห้อประจำของ จขบ พนักงานกำลังตะโกนเรียกลูกค้ากันสุดพลังเสียงเลย แถวจ่ายเงินก็คิวยาวนับสิบคน (ในรูปคือ จขบ กำลังเดินช้อปอยู่ในร้านแล้ว)


แอบแคนดิตพนักงานขายมาได้รูปนึง ราวตรงนั้นสองชิ้น 3000 เยนเท่าน้านนนนน


หลังจากช้อปเอาฤกษ์เอาชัยได้เสื้อลดราคามาตัวนึงก็ได้เวลากลับบ้านเสียที วันนี้กะแค่มาเดินเล่นเก็บบรรยากาศเฉยๆ เห็นว่าอยู่นี่ปีสุดท้ายแล้ว ขอถนอมแรงไว้ก่อนสำหรับวันพรุ่งนี้ 2 มกรา ที่กะจะไปลุยฝูงคนในวัน D-day เซลล์ถุงโชคดีในเมือง

ระหว่างเดินกลับอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ แต่พอได้ขยับแข้งขยับขาบ้างก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนยืนรอเฉยๆ ยังไงไม่รู้นะ แต่เดินหนึ่งชั่วโมงกับยืนหนึ่งชั่วโมงนี่ทรมานต่างกันเลย อย่างหลังนี่ไม่ว่าทำยังไงก็นิ้วมือนิ้วเท้าหนาวจนชาถึงขั้นหมดความรู้สึกไปเลยทุกที (ถ้าไม่มีไคโระหรือถุงร้อนช่วย)

เท่านี้ก็เป็นอันจบเรื่องเล่าวันปีใหม่สุดท้ายของ จขบ ในญี่ปุ่นแล้ว ไหนๆเริ่มบล็อคด้วยกระต่ายแล้วก็ขอจบบล็อคด้วยกระต่ายน้อยน่ารักอีกสักที และขอกล่าวสวัสดีปีใหม่อีกครั้ง สำหรับผู้มีอุปการะคุณประจำบล็อคร้างๆแห่งนี้ทุกคน

เครดิตภาพจาก //www.melon-net.jp/brakan/

ครึ่งปีโค้งสุดท้ายของชีวิตในญี่ปุ่นจากนี้ไปคงเที่ยวหนักยิ่งขึ้น แต่ยังไงก็จะพยายามแวะมาอัพบล็อคเป็นระยะๆ เพราะบล็อคนี้ถือเป็นไดอารี่สำคัญของ จขบ เหมือนกัน มีไว้ค่อยๆเก็บสะสมเรื่องราวความรู้สึกต่างๆจากประสบการณ์ครั้งนึงในชีวิตที่ได้มาใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ในประเทศนี้

----------------------------------------------------------

ภาพทั้งหมดถ่ายด้วย Canon EOS Kiss X3 ภาพแรกจนก่อนถึงมาม่าใช้ EF 70-200mm f4L IS ถือมือส่องเอาไกลๆผ่านกระจก มืดมากมายแถมถ่าย jpeg ด้วยก็เลยออกมามัวๆนัวๆอย่างนี้เอง ภาพที่เหลือทั้งหมดใช้ EF 35mm f/1.4L ตัวเดียว

บล็อคนี้เอาภาพมาแค่บางส่วนและเป็นเวอร์ชั่นถูกย่อพอควรภาพเลยไม่ค่อยคมชัด เวอร์ชั่นเต็มๆภาพคมๆ(กว่านี้)ตามไปดูได้ที่ skydrive ค่า ลิงค์อยู่ข้างล่างนี้เลย


>> คลิกเพื่อดูอัลบั้มภาพใน skydrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 06 มกราคม 2554    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2556 1:44:03 น.
Counter : 5070 Pageviews.  

[[รีวิวแรกรับใบไม้ร่วง2010@Japan]] ทุ่งKOKIAกลมๆแดงๆรับใบไม้ร่วงในวันฟ้าใสท่ามกลางสัปดาห์แห่งพายุฝน



>> คลิกเพื่อดูภาพต้นฉบับแบบไม่โดนย่อใน OneDrive
>> คลิกเพื่อดูในรูปแบบรีวิวที่ pantip@blueplanet

แหะๆ บล็อคก่อนบรรยายซะยืดยาดยาวเฟื้อยแต่ไม่ได้เริ่มเดินทางเสียที บล็อคนี้มาต่อแล้วกับ one-day trip แรก ที่เป็นออเดิร์ฟของฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ที่(น่าจะ)เป็นใบไม้ร่วงสุดท้ายของ จขบ ในญี่ปุ่นก่อนเรียนจบกลับไทย ส่วนจานหลักของใบไม้เปลี่ยนสีนั้นจะมาเยือนทีหลังแน่นอน (เมื่อมีเวลาทำบล็อคนะ เพราะปีนี้เดินทางเยอะจัด แทบไม่ว่างเลย)

รายละเอียดของสถานที่ที่จะไปและวิธีการเดินทางจากโตเกียวทั้งรถไฟและรถบัสได้บอกไปแล้วใน บล็อคปฐมบทของทริป ก่อนหน้านี้ รวมถึงว่า KOKIA มันคือต้นอะไรยังไงด้วย ดังนั้นจะไม่เขียนซ้ำ บล็อคนี้ขอเน้นๆเฉพาะการเดินทางหนึ่งวันเพื่อไปดูทุ่ง KOKIA สีแดงๆของ จขบ ในนาทีสุดท้ายก่อนมันจะโดนถอนออกทันทีเมื่อเข้าเดือน พย เพื่อเป็นการเคลียร์พื้นที่ไว้ปลูกดอกไม้อื่นเตรียมรับฤดูใบไม้ผลิปีหน้า (กำหนดการในการถอนออกอะไรพวกนี้ แต่ละปีจะไม่เหมือนกัน เช็คจากหน้าเว็บหรือโทรถามทางสวนเค้าเลยชัวร์สุด)

หลังจากที่ตัดสินใจจะไปแล้วในบล็อคก่อนหน้า จขบ ก็นั่งอัพเดตเว็บพยากรณ์อากาศของที่โน่น (URL) อยู่วันละหลายๆรอบ ก็สภาพอากาศช่วงนี้มันไม่ค่อยน่าไว้ใจจริงๆหนิ เห็นฝนตกอยู่ทุกวั๊นทุกวัน มันจะมีวันที่อยู่ๆก็อากาศดีฟ้าใสโผล่ขึ้นมาหนึ่งวันตามพยากรณ์จริงๆเหรอ (แถมวันอังคารก่อนไป พยากรณ์บอกว่าฝนจะไม่ตกก็ดันตกอีก)

แต่แล้วโชคก็เป็นของ จขบ ในที่สุด ตื่นเช้ามาวันที่ไปแดดดีฟ้าใสอย่างไม่น่าเชื่อ(ในขณะที่วันรุ่งขึ้นเป็นวันฝนตกและหนาวที่สุดในรอบ 72 ปีของโตเกียว อย่างที่บอกไปในบล็อคก่อน) แต่งตัวสะพายกล้องแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปขึ้นรถด่วนที่สถานีต้นสายที่ 上野 Ueno กันเลย (โชคดีไม่ต้องนั่งรถไปขึ้นที่สถานี Tokyo)


รถด่วนที่ไปนั้นชื่อว่า Hitachi (ญี่ปุ่นอ่านออกเสียงว่า ฮิตาจิ นะ แต่ที่ไทยเรียกว่า ฮิตาชิ จนเคยชิน จริงๆคือสะกดเหมือนกันเลย) แต่ละคันก็มีชื่อเรียกเสริมไปอีก Fresh Hitachi บ้าง Super Hitachi บ้าง ก็ไม่รู้หรอกนะว่าต่างกันยังไงเพราะใช้เวลาวิ่งพอๆกัน รถด่วนอันนี้เรียกชนิดว่าเป็น 特急 Tokkyu เหมือนรถไฟปกติที่วิ่งอยู่ในโตเกียวก็จริง แต่การเก็บเงินจะคล้ายระบบพวก 新幹線 Shinkansen คือ ต่อให้จองแบบ 自由席Unreserved set ก็ต้องเสียเงินเพิ่มอยู่ดีอีก 1300yen (ถ้าพวก reserved ก็แพงขึ้นอีก) ไม่งั้นก็จงไปนั่งรถหวานเย็นเก้าอี้แข็งๆคนเยอะๆธรรมดาๆไป (แถมใช้เวลาวิ่งมากกว่าประมาณหนึ่งชั่วโมงด้วย)


นั่งเก้าอี้ใหญ่ๆ คนโล่งๆ นอนเอนหลังสบายๆไปประมาณ 80 นาทีก็ถึงสถานีจุดหมายปลายทางที่ 勝田 Katsuta แล้ว ออกมาที่ชานชาลาปุ๊บก็เจอป้ายโฆษณาของสวนตั้งเด่นอยู่เลย ภาพในป้ายเป็นอีกช่วงไฮไลท์ของสวนที่กำลังจะไปนี้ในช่วงเดือน พค ที่จะเป็นทุ่งดอก Nemophila สีฟ้าเต็มทุ่ง (ปีนี้ก็มีรุ่นน้องชวนไปอยู่ แต่ตอนนั้น จขบ ดันไม่ไปซะนี่ เพิ่งจะมานึกเสียดาย)


ออกจากสถานีต้องขึ้นรถบัสอีกต่อเพื่อไปยังสวน ทางไปขึ้นรถบัสหาไม่ยาก มีป้ายบอกตลอดทาง แค่รู้ตัวคันจิของชื่อสวนไว้ซะหน่อยก็เดินตามไปได้สบายๆ (ป้ายรถบัสเบอร์ 1)


บรรยากาศที่หน้าสถานีเริ่มเข้าใบไม้ร่วงแล้ว บางต้นก็เริ่มเปลี่ยนสีไปบ้าง (แต่ก็ยังไม่พีค) วันนี้ฟ้าใสจริงๆ จขบ หมายมั่นปั้นมือว่าต้องถ่ายรูปให้อิ่มไปเลย โชคดีอย่างนี้มีกันไม่บ่อย แต่ว่าก็ว่าเห็นฟ้าใสๆแดดดีๆอย่างนี้นี่หนาวน่าดูเลย มือเย็นไปหมด(อากาศหนาวผิดปกตินี้มีเหตุมาจากเจ้าพายุหมายเลข14 ที่บ่นๆไปในบล็อคปฐมบท) แถวนี้ใกล้ทะเลด้วยลมแรงอีก ถ้าไม่มีแดดช่วยเพิ่มความอุ่นให้ร่างกายนี่อาจจะเกิดอาการเผ่นกลับกลางคัน เพราะทนหนาวไม่ไหว


ณ ป้ายรถบัส มีเขียนชื่อสวนไว้ตัวเบ้อเริ่มเลย เห็นบรรดาผู้คนที่ยืนรอรถบัสอยู่แล้วก็ค่อยโล่งใจหน่อย คือ จขบ ลังเลอยู่นานว่าจะแบกขาตั้งกล้องมาด้วยดีมั๊ย เห็นว่า KOKIA carnival ก็หมดแล้วกลัวมาวันธรรมดาแล้วคนจะโล่งโจ้งเหมือนตอนไป 布引ハーブ園 Nunobiki Herb Park ที่ 神戸 Kobe จนหาใครช่วยถ่ายรูปให้ จขบ ไม่ได้ (รายละเอียดทริปนั้นอยู่ใน บล็อคนี้) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอามาเพราะหนัก แล้วก็โชคดีว่าคนที่เล็งรอจังหวะอากาศดีๆเพื่อมาเที่ยวสวนนี้เหมือน จขบ มีเยอะ เลยพร้อมใจกันมาที่นี่ในวันฟ้าใสเพียงวันเดียวของช่วงนี้ก่อน KOKIA จะถูกถอนออกไปในสัปดาห์หน้า


รถบัสก็เป็นบัสคันใหญ่ธรรมดาๆแบบที่วิ่งในเมือง รถมีมาอยู่เรื่อยๆไม่ต้องรอนานนัก (รายละเอียดรถบัสดูในบล็อคปฐมบท) ตอนขึ้นจาก Katsuta ไม่ต้องหยิบบัตรหรือจ่ายเงินอะไร ไว้จ่ายทีเดียวตอนขาลงเลย (สังเกตมีแต่คุณลุงคุณป้าคนญี่ปุ่นทั้งนั้นเลย ก็อย่างว่าวันธรรมดาหนิคนอื่นเค้าต้องไปทำงานหรือไปโรงเรียนกัน จขบ เองก็โดดทำแล็บมา)


ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึง 国営ひたち海浜公園 Kokuei-hitachi-kaihin-koen ที่ประตูทางเข้าฝั่งตะวันตก 西口 Nishi-guchi แล้ว สนนราคารถบัส 390yen ลงมารถปุ๊บก็เจอกลุ่มเด็กๆกลุ่มใหญ่กำลังเตรียมขึ้นรถบัสกลับโรงเรียนพอดี ท่าทางคุณครูคงพามาเปลี่ยนบรรยากาศนอกสถานที่วันอากาศดีๆ(มั้ง) จริงอยากแอบแคนดิตเหมือนกัน แต่ตอนนั้นติดเลนส์ 15-85 ถ่ายเจาะไม่ได้ แถมคนก็น้อยมี จขบ ยืนเด่นอยู่คนเดียว ไปยืนหันกล้องไปทางเด็กๆนี่ท่าจะไม่เวิร์ค (ที่ญี่ปุ่นจะเห็นได้บ่อยๆ กับการวางกระเป๋าทิ้งไว้ตามพื้นแล้วเดินไปไหนต่อไหนโดยไม่มีคนเฝ้ากระเป๋าอย่างในภาพ)


กดซื้อตั๋วที่เครื่องอัตโนมัติตรงประตูทางเข้า แล้วก็เข้าสวนไปได้เลย ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 400yen เป็นตั๋วกระดาษสีขาวเล็กๆเหมือนพวกตั๋วรถไฟ ไม่มีลวดลายอะไรให้น่าเก็บสะสม (ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะตอนจะเข้าประตู เจ้าหน้าที่เค้าก็เก็บตั๋วเราไปเลย) ราคาเข้าก็ถูกๆดูๆไปแล้วเหมือนเป็นสวนสาธารณะ(แบบเสียเงินเล็กน้อย)ประจำจังหวัดมากกว่า (สวนอื่นๆที่จัดออปชั่นให้เที่ยวได้หนักๆนี่ค่าเข้าพันเยนอัพทั้งนั้น)


ผ่านประตูมาปุ๊บก็เจอสวนใหญ่เบ้อเริ่มสุดลูกหูลูกตาดังภาพ (ภาพนี้จริงๆถ่ายตอนขากลับออกจากสวน แสงเริ่มจะหมดแล้ว จุดนี้น่าจะเป็นจุดถ่ายรูปที่ระลึกแต่ไม่เห็นมีใครมาถ่ายรูปสักคนเลยแฮะ) สวนนี้ดูจากแผนที่สวนแล้วกว้างมากๆมีการแบ่งโซนปลูกต้นไม้ดอกไม้ต่างๆสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทำให้มีดอกไม้ในสวนให้เข้าชมอยู่ในทุกๆฤดูตลอดทั้งปี ดังนั้นถ้าตั้งใจมาดูอะไรเป็นพิเศษก็ต้องเดินไปให้ถูกที่ถูกทางด้วย (รายละเอียดของต้นไม้ดอกไม้ในแต่ละฤดูของสวนนี้ ลองดูที่ ลิงค์นี้) แต่สำหรับทริปนี้ จขบ เน้นๆแต่ทุ่ง KOKIA ที่กำลังเป็นไฮไลท์ของสวน ไม่ได้แวะไปที่ส่วนอื่นๆเลย (ไว้ค่อยมาใหม่เพื่อดูอย่างอื่นในฤดูอื่น)


มองลงจากบันไดทางเข้าไปก็เห็นขบวนรถยาวๆหน้าตาแบบในภาพจอดอยู่(ชื่อว่า シーサイドトレイン Seaside Train) คนนั่งกันเต็มเลย จขบ ก็เดินเลียบๆเคียงๆไปจากท้ายรถกะจะไปถามคนขับที่หัวรถซะหน่อยว่ามันนั่งฟรีหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าเดินอ้อยอิ่งมากไปรถออกไปซะก่อน อดนั่งเลย


พลาดรถไฟแล้วก็ต้องเดินไปเอง จริงๆก็เดินได้สบายล่ะไม่ได้ไกลเท่าไหร่ แต่แบบว่ามันหนาวอ้ะ แถมสวนนี้ก็ติดทะเลลมแร๊งแรง เดินไปสั่นไปเลยทีเดียว จากแผนที่สวนที่หยิบมาจากประตูหน้าจะมีร้านอาหารกระจายตามจุดต่างๆในสวน แต่วันนี้ไม่ได้กะมากินอยู่แล้ว(ประหยัดหน่อย กินมาจากบ้านเรียบร้อย) แถมจากประสบการณ์พวกร้านอาหารในสถานที่ท่องเที่ยวก็มักรสชาติงั้นๆอยู่แล้วด้วย จขบ เองกินอาหารญี่ปุ่นอยู่ทุกวันเลยยิ่งเฉยๆเข้าไปใหญ่


เนื่องด้วยเป็นคนดูแผนที่ไม่เก่ง(ถึงไม่ได้เรื่อง) พลิกไปพลิกมาก็ยังงงๆว่าต้องเดินไปทางไหน ก็เลยเดินๆตามทางไปก่อนตามๆคนอื่นๆเค้าไป ต้นไม้อื่นๆรายทางระหว่างที่เดินไปทุ่ง KOKIA ก็เริ่มเปลี่ยนสีนิดๆกันบ้างแล้ว


เดินสั่นไปไม่นานก็เจอป้ายบอกทางในที่สุด งาน KOKIA carnival (18 SEP ~ 24 OCT, 2010) เพิ่งจะจบไปเมื่อวันอาทิตย์ป้ายก็เลยยังอยู่ เดินตามป้ายไปคราวนี้ไม่หลงชัวร์


เดินตามป้ายมาสักพักก็เจอทางเดินที่จะเข้าทุ่ง KOKIA ในที่สุด ที่ปากทางมี KOKIA เล็กๆสีเขียวสีแดง มาเล่นหูเล่นตาต้อนรับกันในกระถางด้วย (ดูดีๆ ไอ้ที่ครอบหัวตัวขวาอยู่ หน้าตามันเหมือนที่ครอบจมูกครอบปากกันฝุ่นกันเชื้อโรคเลยนะ)


ป้ายโฆษณาของงานคาร์นิวัลจะหน้าตาประมาณนี้ เดี๋ยวมาดูกันว่าของจริงจะสวยเท่าในภาพหรือเปล่า


ณ ตรงนี้หันซ้ายหันขวาได้คุณลุงคุณป้าคู่นึงช่วยถ่ายภาพให้ มองลอดแมกไม้เขียวๆออกไปไกลๆๆๆ ตรงสุดนั้นแหล่ะคือทุ่ง KOKIA สีแดงแล้ว (เจอลมแล้วมือเย็นมากๆ เฮ้อ ถุงมือก็ไม่ได้เอามาอีก)


เดินต่อไปถึงอีกแยก ก็ยังอุตส่าห์มีกั๊กยังไม่เจอทุ่ง KOKIA อีก มีแต่ KOKIA สีเขียวสีแดงเล็กๆมาให้เห็นเป็นน้ำจิ้ม ส่วนดอกไม้สีแดงๆเขียวๆส้มๆข้างล่างมันคืออะไร จขบ ก็ไม่รู้เหมือนกัน


เดินต่อมาอีกนิดเดียว พอสุดหมดทางเดินตะกี้แล้วทุ่ง KOKIA สีแดงก็โผล่มาให้เห็นกว้างขวางสุดสายตาตรงหน้า (ตามข้อมูลในเว็บ //www.hitachikaihin.go.jp/fair/aki/index.htm เห็นว่ามี KOKIA กว่า 3 หมื่นต้นเลยทีเดียว)


ด้วยความครีเอตของสวน(หรือของใครก็ตามแต่) จะให้มีแต่ KOKIA สีแดงล้วนๆอยู่ด้วยกันมันก็อาจดูน่าเบื่อไปนิด ก็เพิ่มทุ่งดอก Cosmos コスモス เข้าไปซะหน่อย ปลูกไว้คู่กัน เข้าช่วงพีคเวลาประมาณเดียวกัน มีไว้ให้ดูคู่กันกับทุ่ง KOKIA ไปเลย (เห็นสวนที่นี่แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าดอกไม้ในกระถางในมหาลัยที่เดินผ่านอยู่ทุกวี่ทุกวันมันคือดอก Cosmos แสดงว่าช่วงต้นๆใบไม้ร่วงที่อากาศเริ่มเย็นๆนี่เป็นฤดูของดอกนี้จริงๆ ได้ยินคนญี่ปุ่นพูดว่า Cosmos คือ Aki-no-sakura 秋の桜 หรือ Sakura ของฤดูใบไม้ร่วง)


พอเจอทุ่ง KOKIA อยู่ข้างหน้าแล้ว จขบ ที่บ่นหนาวๆ(บ่นกับตัวเอง)อยู่เมื่อตะกี้ก็เปลี่ยนเป็นดี๊ด๊าขึ้นมากะทันหันแทบจะลืมหนาวไปเลย มัวตื่นตาตื่นใจกับทุ่งหญ้าสีแดงพุ่มกลมๆที่ยังคงสวยอยู่(บางส่วนเริ่มเป็นสีน้ำตาลแล้ว แต่โดยรวมถือว่ายังแดงโอเคอยู่นะ) รีบมองซ้ายขวาหามุมเหมาะๆถ่ายรูปทันที


งานนี้เจอแดดดีต้องรีบถ่ายไม่งั้นแดดจะหมดซะก่อน เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วประมาทไม่ได้แดดหมดไวสุดๆ ห้าโมงเย็นที่สวนปิดนี่ไม่ต้องพูดถึง แสงไม่มีเหลือฟ้ามืดสีน้ำเงินแล้ว) ประกอบกับฟ้าใสๆแดดดีๆอย่างนี้ที่ญี่่ปุ่น(ช่วงนอกฤดูร้อน)ก็ใช่จะมาเวลาที่อยากให้มากันบ่อยๆนี่นะ งานนี้ จขบ โชคดีสุดๆไปเลยจริงๆ (คนที่ จขบ ดู FB มาเค้ามาวันที่ฝนไม่ตกแต่ไม่มีแดดฟ้าเลยขาวๆดูขมุกขมัว กลายเป็นว่า จขบ มากะทันหันตอนนาทีสุดท้ายแต่ได้จังหวะเหมาะเจาะยิ่งกว่าซะงั้น )

ภาพทุ่ง KOKIA ถูกปลูกสลับกับทุ่ง Cosmos อีกภาพ (และจะมีอีกหลายๆภาพในบล็อคนี้) คนจัดสวนเค้าก็เข้าใจคิดนะ ปลูก KOKIA สีแดงๆไว้ฝั่งนึง ปลูก Cosmos สีขาวๆชมพูๆไว้อีกฝั่งนึง แล้วก็มีเหลือพื้นที่เป็นเนินทุ่งหญ้าสีเขียวขจีไว้อีกด้วย เล่นสีสันของธรรมชาติได้เก่งและเหมาะเจาะดี ขอคารวะจากใจจริง


ทางเดินเพื่อชมทุ่งจะเป็นลักษณะที่คดเคี้ยวค่อยๆขึ้นเนิน(ไม่ค่อยชันนะ)ไปทีละจุดทีละจุด และมีจุดพักมีเก้าอี้ให้นั่งพักอยู่เป็นระยะๆ ภาพด้านล่างเป็นจุดพักแรกที่ จขบ เจอ เพิ่งเดินมานิดเดียวยังไม่ทันจะเหนื่อยหรอกแต่หยุดตรงนี้เพื่อเล็งหาคนช่วยถ่ายรูปให้ จขบ ซะหน่อยได้มาแล้วหนึ่งภาพกับทุ่ง KOKIA และทุ่ง Cosmos


จริงๆดูพยากรณ์ก็เตรียมตัวหนาวมาแล้วล่ะ ข้างใต้เสื้อคอเต่าสีเทา เป็นคอเต่าแขนยาวรัดรูป HeatTech ของ Uniqlo ใส่ซ้อนกันหลายชั้นจะเก็บกักความอุ่นได้ดีกว่าใส่หนาชั้นเดียว แต่แล้วก็ตกม้าตายเพราะมันหนาวที่มือที่โผล่พ้นเสื้อมานี่ล่ะ ส่วนกระเป๋าที่หิ้วในภาพบน เห็นเล็กๆแต่หนักพอตัวนะ เพราะใส่เลนส์ขาวผอมIS ตัวล่าสุดที่เพิ่งบิดมือสองสภาพกิ๊งจาก Yahoo Japan Auction มาลองออกสนามเป็นครั้งแรกที่นี่ด้วย

ไหนๆเวลาก็เหลือเฟือทุ่ง KOKIA ก็มีอยู่แค่รอบๆที่ตรงนี้ จขบ ก็เลยจัดการเปลี่ยนเลนส์ขาวผอมมาเสียบกล้องลองส่องวิวจากจุดพักจุดนี้ด้วยเลนส์เทเลกะเค้าบ้างเป็นครั้งแรก (ไม่เคยใช้เลนส์ช่วงนี้มาก่อนเลยเนี่ย) พอเสียบปุ๊บมองไม่เห็นคนใกล้ๆทันที เห็นถ่ายไปโน่นนนนนนนเลย ไกลๆไปเลย จะยืนส่องนานแค่ไหนคนโดนส่องก็ไม่มีทางรู้ตัว อยู่ห่างกันซะขนาดนี้ ปกติเป็นคนไม่เคยเปลี่ยนเลนส์ระหว่างทริปซะด้วย นี่ลองครั้งแรกเลย ตะกุกตะกักพิกลกลัวทำเลนส์หลุดมือกลิ้งลงเนินไป

ภาพด้านล่างมีใครสังเกตไหมว่าตรงพุ่ม KOKIA ส่วนล่างสุดในภาพมีคนอยู่ด้วย ใส่เสื้อสีแดงเลยกลืนกับ KOKIA ไปเลย สำหรับ จขบ นั้นคำนวนมาอย่างดีว่า KOKIA สีแดงดังนั้นต้องไม่ใส่อะไรที่สีกลืนกันไปมาเด็ดขาดเดี๋ยวจะถ่ายรูปแล้วไม่สวยไม่เด่น(ในภาพ)


หมุนๆเลนส์ให้ซูมไปไกลๆยิ่งขึ้น ได้ KOKIA กลมๆมาเต็มๆภาพแบบไม่ต้องมีการคร๊อป ดูเผินๆเหมือนกองทัพมนุษย์เห็ดบุกโลก


ส่องแต่ KOKIA เดี๋ยว Cosmos จะน้อยใจเลยส่องทุ่ง Cosmos แบบเต็มๆเฟรมมาบ้าง แต่เนื่องจาก Cosmos มันดอกเล็กๆถ้าไม่ถ่ายใกล้ๆแนว closeup/macro ตัวดอกมันก็ดูไม่โดดเด่นในภาพเท่ากับพุ่ม KOKIA น่ะนะ แล้วช่วงเวลานี้ KOKIA ก็เป็นไฮไลท์หลักที่สวนเค้าโปรโมทด้วย เหมือนว่า Cosmos เป็นแค่ส่วนเสริมเข้ามามากกว่า (แต่ถ้าไม่เสริมเข้ามาสวนตรงนี้ก็อาจไม่สวยเท่านี้ก็ได้ สรุปว่ามีไว้ทั้งคู่แหล่ะดีแล้ว)


เค้าว่ากันว่าเทเลนี่เหมาะเอาไว้แคนดิต ก็ลองซะหน่อยแคนดิตชาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวสวนกันจากที่ไกลไกล๊ไกล ซูมสุดกระบอกกันไปเล้ยย


จากการเดินมาหนึ่งวันเจอคนที่มาเที่ยวอยู่หลายจำพวก เรียงตามลำดับที่เจอมากสุดไปถึงที่เจอน้อยสุดได้ประมาณนี้ (จขบ กะๆเอาเองนะ)

  1. คุณลุงคุณป้าชาวญี่ปุ่นมากันเป็นคู่ๆ และส่วนใหญ่มักมาพร้อมน้องหมาด้วย(น่ารักจริงๆ ทั้งคู่รักสูงวัยและน้องหมาเลย ^_^)
  2. กลุ่มผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นมากับเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน(แปลกว่าเป็นเหล่าคุณป้ามากกว่าคุณลุง)
  3. ครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ยังสาวพร้อมลูกตัวเล็กๆน่ารัก
  4. คู่รักวัยหนุ่มสาวมาเดทกัน
  5. ตากล้องผู้ชายชาวญี่ปุ่นพร้อมขาตั้งกล้องและอุปกรณ์ครบชุด(มักเป็นคุณลุงซะมาก)

ส่วน จขบ นั้นถือเป็นเคสหายากในวันนั้น ผู้หญิงต่างชาติมาคนเดียว แถมถือกล้องติดเลนส์ตัวเบ้อเริ่ม(ถือว่าใหญ่สำหรับคนอื่นๆน่ะนะ แต่ก็ยังเล็กกว่าเลนส์เทพตัวอื่นๆ)

ลงรูปเยอะเดี๋ยวจะเอียนกัน(แค่เท่าที่ลงก็เยอะจะแย่แล้ว) ต่อไปจะพยายามเอาแต่ที่มุมไม่ซ้ำมาลง ส่วนรูปที่เหลือ(อีกเพียบ)ตามไปดูได้ที่อัลบั้มใน multiply ตามลิงค์ที่หัวบล็อคและท้ายบล็อคเลยค่า ว่าแล้วก็เปลี่ยนเลนส์กลับเป็น 15-85 และเดินไปจุดต่อไปซะที (ยืนถ่ายอยู่ซะน๊านนาน คุณป้าคนญี่ปุ่นที่นั่งพักอยู่แถวนั้นคงแอบนึกในใจว่ายายนี่จะถ่ายอะไรนักหนา คนอื่นๆเค้าหันถ่ายสองสามทีก็เดินต่อไปดูที่อื่นๆกันแล้ว)

วิวเนินเขากับท้องฟ้าประมาณในภาพนี้คล้าย wallpaper อันนึงของ windows เลย แต่อันนั้นเป็นเนินเขาสีเขียวธรรมดาไป อันนี้สิเนินเขาสีแดงหายากกว่า


มองไปไกลๆลิบๆจะเห็นมีชิงช้าสวรรค์ด้วยนะแต่อยู่ในสวนคนละส่วนกันไม่เกี่ยวกับ KOKIA จขบ เลยไม่ได้เดินไปดูใกล้ๆแต่ไหนๆแล้วก็กะจะขอถ่ายรูปคู่ซะหน่อย จากกระทู้แนะนำห้องกล้องก่อนหน้านี้ว่าด้วยเรื่อง perspective ถ้าอยากถ่ายให้ของที่อยู่ไกลๆดูเด่นๆชัดๆพร้อมกับคนในภาพควรใช้เลนส์เทเลซูมเยอะๆแล้วส่องเอาจากไกลๆทั้งคนทั้งของเลย โดย perspective ของเลนส์เทเลจะเป็นตัวทำให้วัตถุไกลๆที่ว่าดูใหญ่ขึ้น ใกล้ขึ้น โดดเด่นขึ้นมาเอง ไม่ได้เป็นแค่จุดเล็กจิ๋วอยู่ในภาพ


ทฤษฏีอ่านมาซะแน่นแต่ถึงเวลาปฏิบัติ มาคนเดียวอย่างนี้ทำได้ซะที่ไหน แค่รบกวนคนอื่นที่เดินผ่านไปมาก็เกรงใจจะแย่แล้ว จะให้ไปขอว่า >> ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยนะคะ(พร้อมยื่นกล้องและเลนส์ตัวยาวยืดใหั) เดี๋ยวยืนรออยู่ตรงนี้นะคะ เราจะวิ่งไปที่ตรงโน้นนนนน แล้วช่วยรอจังหวะไม่มีคนเดินผ่านขวางเลนส์ช่วยถ่ายรูปให้เห็นชัดๆทั้งคนทั้งชิงช้าสวรรค์ที่อยู่ลิบๆนั่นเลยนะคะ (ถ่ายเสร็จต้องรอเราวิ่งกลับมาเอากล้องอีก) << อย่างเนี้ยอ่ะ ใครมันจะไปกล้าขอถ้าไม่ใช่คนที่มาด้วยกัน สรุปก็ได้ภาพคู่กับชิงช้าสวรรค์มาตามมีตามเกิดเท่านี้


เดินถ่ายรูปมาจนเกือบจะถึงเนินที่สูงที่สุดข้างหน้าแล้ว ตรงนี้เป็นจุดพักอีกจุดหนึ่ง ซึ่งเท่าที่ดูๆน่าจะเป็นจุดที่ใหญ่สุดและวิวสวยที่สุด เพราะสามารถเห็นวิวทุ่ง KOKIA และ Cosmos ได้ทั้งหมดอย่างใกล้ชิด อีกฝั่งก็เป็นวิวทะเลด้วย (KOKIA แถวๆนี้หลายต้นกลายเป็นสีน้ำตาลเรียบร้อยแล้ว)


ว่าแล้วก็งัดเอาเลนส์ขาวผอมมาติดกล้องอีกครั้งแอบส่องคนรอบข้างไปเรื่อย (จะงัดเลนส์ออกมาเปลี่ยนเฉพาะที่ๆมีจุดปลอดภัยๆให้ค่อยๆเปลี่ยนเลนส์เท่านั้นล่ะ ยังไม่กล้าเสี่ยงทำเลนส์ตก) ภาพนี้เป็นทางเดินต่อขึ้นไปเนินสูงสุด เดี๋ยวเสร็จจากตรงนี้ จขบ ก็จะไปเหมือนกัน แถวๆกลางภาพจะเห็นซุ้มเหล็กโค้งๆอยู่ อันนั้นเป็นที่แขวนระฆัง มีไว้ทำไมก็ไม่รู้แต่เห็นใครเดินผ่านก็ไปเคาะระฆังกันทุกคน ถ่ายรูปอยู่แถวนั้นได้ยินเสียงอยู่ตลอดเลย


ขยับมุมถ่ายรูปมาอีกนิดนึงแล้วก็ซูมเข้าไปอีกหน่อย ก็เห็นคนตัวเท่ามดยืนอยู่บนเนินหญ้าสูงสุดอยู่ในภาพแล้ว วิวตรงนี้นอกจาก KOKIA, Cosmos, เนินหญ้าสีเขียว แล้วก็มีดอกอะไรไม่รู้สีเหลืองๆมาแซมแต่งแต้มสีสันเพิ่มให้ภาพด้วย


หมุนรอบตัว 360 องศาเพื่อแอบถ่ายชาวบ้านให้ครบ วันนี้เห็นคุณลุงคุณป้ามากันเป็นคู่ๆเยอะมาก ดูแล้วน่าอิจฉาน่าเอ็นดูดีจริงๆ วิถีชีวิตที่ญี่ปุ่นต่างกับที่ไทยมากจริงๆ ที่นี่นี่ถ้าแต่งงานแยกครอบครัวไปแล้วก็มักจะแยกบ้านอยู่กันไปเป็นครอบครัวใหม่ไปเลย โดยเฉพาะในโตเกียวไม่ค่อยจะเคยได้ยินเคสที่แต่งงานแล้วยังอยู่บ้านเดิมกับคุณพ่อคุณแม่เท่าไหร่


แต่จะว่าไปผู้สูงอายุที่นี่ก็ไม่เหมือนที่ไทยอีกนั่นล่ะ เดินเยอะมาตลอดชีวิตแถมอากาศก็ดี ถึงอายุมากแล้วก็ยังแข็งแรงชนิดที่ว่าคนต่างชาติอายุน้อยกว่าเป็นรอบๆอย่าง จขบ ยังอาย(ไปวัดทีไรขึ้นบันไดแพ้คุณลุงคุณป้าประจำ เหนื่อยก่อนเค้าทุกที ) และถึงจะอยู่แยกกับลูกหลานนานๆเจอกันทีก็มีความสุขกันได้ประสาตายายและประสาเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกัน ถือเป็นเวลาทองของชีวิตที่ได้คืนกำไรจากการต้องทำงานหนักมาตลอดในวัยยังหนุ่มยังสาว ได้มาพักผ่อนท่องเที่ยวกันตามสบายแบบไม่มีภาระในที่สุด เรื่องเงินก็มีเงินที่ได้จากรัฐบาลคืนกลับมาจากการที่ต้องจ่ายภาษีมาทั้งชีวิต เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องง้อใคร ไม่ต้องกลัวว่าแก่ไปแล้วจะไม่มีใครเลี้ยง

นอกจากจะแคนดิตคนแล้ว น้องหมาเองก็ไม่โดนยกเว้น เห็นบรรดาคุณลุงคุณป้าพาน้องหมามาเดินเล่นโชว์ตัวกันเยอะแยะมากมายหลายพันธ์ น่ารักๆทั้งนั้นเลย จขบ อยากจะหาเวลามาถ่ายแคนดิตน้องหมาที่ญี่ปุ่นมานานแล้ว เพิ่งจะได้ทำก็วันนี้เอง เสียดายว่าไม่ทันได้ภาพน้องหมาพันธ์ชิบะหรืออาคิตะที่ จขบ ชอบมากมาเลยสักใบ (ถ้าจะต้องเกิดเป็นน้องหมา ขอเกิดในญี่ปุ่นนะ เห็นแต่ละคนดูแลน้องหมากันดี๊ดี (โดยส่วนใหญ่ที่เห็นน่ะนะ ไม่มีอะไร 100% หรอก) )


ซูมวิวของสวนตรงส่วนที่ติดชายทะเลเข้ามาอีกหน่อย บรรยากาศติดทะเลแบบนี้ถึงมาหน้าร้อนก็น่าจะยังสดชื่นใช้ได้อยู่นะเนี่ย หน้าร้อนปีหน้าอาจได้แว่บมาหาสูดลมทะเลเย็นๆดูทุ่งดอกไม้ คลายร้อนจากตัวเมืองโตเกียวบ้างก็ได้


เล็งอยู่นานกว่าจะหาคนเหมาะๆเข้าไปขอให้ช่วยถ่ายรูปที่ระลึกให้ จขบ ได้ ยังไงไม่รู้ตรงจุดพักนี้ดูแต่ละกลุ่ม แต่ละคู่จะคุยกันเองสนุกสนาน ดูโลกส่วนตัวมากๆ จขบ ไม่กล้าแทรกเข้าไปขัดจังหวะสนทนาของเค้าเลย เห็นรูปแล้วก็อย่าเพิ่งเบื่อไป(แต่ จขบ ดูเองก็เบื่อล่ะ)ว่าไม่มีโพสท่าอะไรน่าสนใจเล้ยยย ยืนทื่อตลอดทุกรูป ก็แหม ไปคนเดียวอ้ะ ถึงอยากจะโพสก็ยังใจไม่กล้าพอและไม่ด้านพออยู่ดี ถ้ามีคนไปด้วยกันโพสเป็นเพื่อนกัน หรือ คนกันเองถ่ายให้นี่ค่อยยังชั่วกล้าโพสขึ้นหน่อย


ในที่สุด จขบ ก็เดินขึ้นมาถึงเนินเขาสูงสุดจนได้ (คือ มันไม่ได้เดินไกลหรอกนะ แต่ช้าเพราะมัวหยุดถ่ายรูปอ้อยอิ่งรายทางนี่ล่ะ) ข้างบนนี้มองเห็นวิวได้รอบๆเลย แต่เนื่องจากเป็นแค่เนินหญ้าธรรมดาไม่มีต้นไม้หรือดอกไม้อะไรประดับอยู่ข้างบนนี้ ผู้คนก็เลยมาเดินวนๆชมวิวมุมสูงกันแป๊บๆก็ลงไปกันแล้ว มี จขบ นี่ล่ะนั่งอยู่ตรงนี้นานมากเพราะแถวนี้คนไม่เยอะดี ระยะห่างกำลังพอเหมาะ มีโอกาสจะได้ลองใช้เจ้าขาวผอมถ่ายรูปตัวเองจากไกลๆหน่อย รออยู่นานกว่าจะหาคนเหมาะๆขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ได้ คร๊อปจัดองค์ประกอบนิดนึงก็โอเคนะวิวมุมสูงก็สวยดีหลังเบลอๆ แต่เสียดายว่าเค้าไม่ได้เล็งมุมให้ติดชิงช้าสวรรค์มาให้ด้วย


ระหว่างที่รอถ่ายรูปข้างบนอยู่ จขบ ก็งัดเอาเจ้าขาวผอมมาแคนดิตคนอื่นไปเรื่อย เจอคุณลุงคุณป้าอีกคู่ท่าทางสนิทรักกันดี พร้อมน้องหมาที่แสนจะน่าอิจฉานั่งชมวิวมาในตะกร้ารถเข็นตากลมเย็นๆ(หนาวๆ)สบายเลย ไม่ต้องเดินเอง


รอร๊อรอไปเรื่อยๆก็ส่องผู้คนที่สวนด้านล่างไปพลางๆ ในภาพนี้บังเอิญมาก คุณลุงคุณป้าและน้องหมาในตะกร้าภาพบนมาโผล่ในภาพนี้ด้วย คิดดูว่า จขบ นั่งแช่อยู่นานแค่ไหน คนอื่นเค้าขึ้นมาจนลงไปถึงไหนกันหมดแล้ว


ต่อไปจะเป็นภาพขาที่วกกลับลงไปด้านล่างแล้ว เนินหญ้าในภาพคือ ที่ๆไปนั่งแช่รอเมื่อตะกี้ ภาพนี้เหมือน wallpaper ของ windows เวอร์ชั่น remix กับต้น KOKIA เลยนะเนี่ย


เล่ามาตั้งนานยังไม่มีรูป KOKIA เดี่ยวๆชัดๆเลยสักใบ จัดไปข้างล่างหนึ่งรูป แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ต้นไม่อ้วนท้วนสมบูรณ์เท่าไหร่นัก แหว่งไปได้ไงไม่รู้ตั้งครึ่งต้น จขบ มีลองจับๆดูนิดหน่อยเหมือนกัน(ก็ป้ายงานเค้าบอกว่าให้ลองจับได้หนิ) ที่เห็นเหมือนเป็นกิ่งเล็กๆนึกว่าจะแข็งๆเหมือนกิ่งไม้ แต่เอาจริงๆไม่แข็งเลยออกนิ่มๆด้วย หรือว่าที่เห็นเหมือนกิ่งเล็กๆจริงๆเป็นใบของมันกันนะ?? อาจมีการวิวัฒนาการบางอย่างทำให้ใบเล็กลงเพื่อลดการคายน้ำอะไรทำนองนี้เหมือนต้นกระบองเพชรก็เป็นได้ (จขบ คิดเอาเองนะ ขี้เกียจไปค้นข้อมูลมายืนยัน)


โคลสอัพ Cosmos สักภาพ พอสักเกือบๆบ่ายสามนี่ก็เห็นแล้วว่าแสงเริ่มน้อยลงและหายไปเป็นระยะๆ แถมยังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองๆอุ่นๆเป็นสัญญาณว่านี่คือแสงสุดท้ายของวันแล้ว ดังนั้นใครจะมาเที่ยวหน้าใบไม้ร่วง(และหน้าหนาว)แนะนำว่าอย่าตื่นสายเด็ดขาด เข้านอนแต่หัวค่ำไปเลยก็ได้ แต่ควรตื่นให้เช้าๆเพื่อให้ทันก่อนช่วงฟ้ามืด ช่วงประมาณสัก 8:00-16:00 น่าจะเหมาะสุดที่แสงยังโอเคพอถ่ายรูปสวยๆได้อยู่ (ยกเว้นถ้าวันนั้นไม่มีแดดอยู่แล้ว ตื่นกี่โมงก็แห้ว)


Cosmos แบบ silhouette มั่ง(สะกดยากจริงคำนี้) จริงๆไม่ได้มืดขนาดนี้หรอกแต่ถ่ายย้อนแสงดอกเลยมืดๆ เอามาปรับเป็น silhouette ใน photoshop แทนซะเลย


ขออีกสองภาพสุดท้ายของทุ่ง KOKIA และ Cosmos แล้วจะเลิกแปะวิวตรงนี้แล้ว พอดีว่าสองภาพนี้ จขบ ชอบมากๆ วิวสวย ฟ้าสวย แสงดี แทบไม่ต้องรีทัชอะไรให้เลย(เร่งสีฟ้าของท้องฟ้าให้จิ๊ดนึง) ภาพแรกเน้นๆ KOKIA และ Cosmos ตัดกับท้องฟ้าและเมฆอลังการข้างบน


ภาพที่สองแบบบรรยากาศสวนรวมๆ ให้เห็นแนวการปลูก KOKIA และ Cosmos สลับแทรกกันอยู่ซะหน่อย ซ้ายมือคือทุ่ง Cosmos ทั้งทุ่ง ขวามือก็ทุ่ง KOKIA ทั้งทุ่งเช่นกัน สองภาพนี้ต้องชูกล้องเหนือหัวสุดแขนเพื่อให้ได้มุมก้มแบบนี้มา เนื่องด้วยความสูงของ จขบ มีจำกัดเลยทำได้เท่านี้เอง (แดดก็ส่องมอง Live view ไม่เห็นเลย กะๆแล้วกดๆมาเอา)


จนจะออกจากสวนอยู่แล้วเพิ่งจะได้ภาพ Cosmos ที่ถูกใจเอาตอนสุดท้ายนี่เอง ตรงนี้แสงอุ่นๆลงพอดี แต่พยายามถ่ายยังไง๊ยังไงลมก็พัดเอา Cosmos หันหน้าหนีกล้องอยู่ตลอดเวลา ได้ภาพมาแบบคนโดน Cosmos เมินหน้าหนีทั้งกลุ่ม แต่แล้วกลับถูกใจซะงั้น


ดู Cosmos มุมนี้ก็สวยดีเหมือนกันนะ แสงอุ่นๆสีเหลืองทำให้เห็นก้านดอกบางๆสีเขียวๆ(ที่มีส่วนผสมของสีเหลืองอยู่ด้วย)โดดเด่นขึ้นมา ดูเน้นความเป็นดอกไม้ที่บอบบ๊างบอบบางและน่าทะนุุถนอมจริงๆ


และแล้วก็ได้เวลาออกจากทุ่ง KOKIA จนได้ ทำไปได้เดินวนรอบเดียวใช้เวลาไปตั้งเกือบสี่ชั่วโมง ข้าวปลา(ขอเป็นปลาดิบด้วยก็ดี )น้ำเนิ้มไม่ได้ตกถึงกระเพาะ ท้องร้องจ๊อกๆเลยตอนที่เดินออกมา (อากาศหนาวจะทำให้หิวเร็วขึ้น และต่อให้ห่วงอ้วนก็ต้องกินมากขึ้นไปโดยปริยายเพื่อให้มีพลังงานต่อสู้กับความหนาว ไม่งั้นไม่ไหวจริงๆถึงขนาดแสบท้องกันเลย)


วันนี้เจอน้องหมามามากมายก็จริง แต่ไม่มีตัวไหนจะเด่นเท่าน้องหมาตัวนี้อีกแล้ว เด่นมาแต่ไกลเลยเพราะทุกๆคนพร้อมใจกันเหลียวหลังหันกลับมามองกันหมดรวมถึง จขบ ด้วย น้องหมาตัวโตมากขนฟู๊ฟูน่ารักเชียว


แม้คนจะมองน้องหมาตัวนี้กันเยอะ แต่ที่ใจกล้าหน้าด้านเข้าไปขอคุณลุงคุณป้าเจ้าของน้องหมาถ่ายรูปน้องหมา แถมยังขอถ่ายรูปคู่ด้วยอย่างภาพบนก็เห็นแต่ จขบ นี่ล่ะ ซึ่งคุณลุงคุณป้าก็โอเคและให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี แต่เสียดายว่าน้องหมาซากุระ (ชื่อของน้องหมาตัวนี้) ตื่นคนแปลกหน้ามาก เข้าไปใกล้มีแต่จะวิ่งหนีอย่างเดียว ขนาดย่องไปยืนข้างหลังอย่างห่างๆก็ยังไม่วายรู้ตัวจะหนีลูกเดียว เลยได้รูปมาแค่ข้างบนนี้เอง ภาพนี้คุณลุงช่วยถ่ายให้ ในขณะที่คุณป้าช่วยจับเชือกจูงน้องหมาให้อยู่ข้างๆ

จริงๆอยากไปถ่ายคู่ใกล้ๆน้องหมาซากุระขนฟูอยู่นะ แต่มัน impossible จริงๆ คุณป้ามีลองให้ จขบ ถือสายจูงน้องหมาเองแล้ว ขนาดถืออยู่แค่ปลายสายเพื่อทิ้งระยะห่างให้มากที่สุดก็ยังไม่ไหว น้องหมาจะวิ่งหนีลูกเดียวแล้วน้องหมาตัวโตอ่ะ แรงฉุดดึงเอาจน จขบ ลุกวิ่งตามแทบไม่ทันเลย (เพิ่งเข้าใจอารมณ์ที่โดนน้องหมาตัวโตๆลาก ที่เคยอ่านในการ์ตูนก็วันนี้เอง)

ประมาณสามโมงนิดๆ (สวนปิดห้าโมงในช่วงเดือนนี้) จขบ ก็ออกมาถึงประตูด้านหน้าสุดแล้ว มัวแต่ถ่ายรูปขนมที่ระลึกพลาดรถบัสกลับสถานีไปเลย ต้องรอตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาอีกคัน (ในภาพเป็นแค่ของตัวอย่าง ขนมของจริงต้องไปซื้อที่เคาเตอร์ใกล้ๆ)


จริงๆ จขบ ชอบมาสคอต KOKIA นี้มาก ก็กะจะว่าซื้อพวกพวงกุญแจที่ระลึกซะหน่อย เดาว่าน่าจะกลมๆฟูๆ แต่ไม่เห็นเจอร้านขายเลยอ่ะ ไม่รู้ว่าไม่ทำขาย หรือ หมด หรือ หาไม่เจอเองกันแน่ ได้มาแค่ภาพบนป้ายผ้าที่ถูกลมพัดโบกสะบัดไม่หยุด ถ่ายตั้งเยอะไม่ได้แบบหน้าตรงๆไม่เบี้ยวมาเลยสักใบ


แทนที่จะนั่งรอรถบัสเฉยๆตากลมแรงๆหนาวๆก็เดินไปที่ด้านหน้าสุดของสวนถ่ายป้ายที่ติดถนนใหญ่มาซะหน่อย (ขามารถบัสจะเข้าไปจอดที่ด้านในเลยไม่ทันได้ถ่ายภาพป้ายนี้มา)


นี่แหล่ะที่เค้าเรียกว่าฟ้าใสก่อนพายุจะมา วันนั้นฟ้าใสแบบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าวันก่อนหน้าฝนตกไม่มีเว้นสักวัน และวันรุ่งขึ้นรวมถึงวันถัดๆไปก็ฝนตกลมแรงพายุพัดกระหน่ำติดต่อกัน เรียกว่าเป็นวันฟ้าใสเพียงวันเดียวท่ามกลางสัปดาห์แห่งพายุฝนจริงๆ แอบมหัศจรรย์ใจเป็นการส่วนตัวว่าวันฟ้าใสนี้มันโผล่ทะลุปล้องมาได้ยังไง


ที่ทางเดินจากป้ายหน้าสวนด้านบนถึงป้ายรถบัสมีต้นแปะก๊วยปลูกเรียงราย(แต่ไม่เยอะเท่าที่โตไดหรอก ) แถมหลายต้นก็ใบเหลืองแล้วซะด้วย แสงตอนเย็นสาดมากำลังเหมาะเข้าทาง จขบ เลยได้ภาพใบแปะก๊วยสีเหลืองทองภาพแรกของปีนี้มาแล้ว (ภาพใบแปะก๊วยทั้งหมดนี้ไม่ได้รีทัชใดๆเลย ย่ออย่างเดียวจบ ของมันสวยด้วยตัวเองอยู่แล้ว แถมทำรูปเยอะเหนื่อยแล้วด้วยเนี่ย)


ได้ภาพ KOKIA กับ Cosmos สวยๆแล้ว ยังได้ของแถมเป็นใบแปะก๊วยกับแสงงามๆอีก เล่นเอา จขบ ปลื้มใจหายเหนื่อยไปเลย(งานนี้เหนื่อยแบบไม่มีเหงื่อสักหยด ก็หนาวซะขนาดนั้น) เสียค่าเดินทางมาไม่เสียดายเงินเลยสักนิดเดียว


นอกจากใบเหลืองๆแล้วก็มีแบบใบเขียวๆด้วย จริงๆ จขบ ก็กะจะไปถ่ายตอนใบเขียวๆที่มหาลัยอยู่นะ แต่ช่วงนี้หาวันอากาศดีไม่ค่อยได้ แถม จขบ ก็พวกนกฮูกนกเค้าแมวตื่นเที่ยงวันนอนเกือบเช้า ออกจากบ้านมาไม่ค่อยทันแสงสวยๆเท่าไหร่


รถบัสขากลับนั้นเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย เห็นรถคันล่างนี้มา คันเล็กกว่าขามา สีสันตกแต่งซะน่ารัก ก็ไม่คิดอะไรโดดขึ้นไปเลย(พร้อมกับคนญี่ปุ่นอีกหลายคน) พอออกรถคนขับเพิ่งจะบอกว่าคันนี้จะช้าหน่อยนะเพราะต้องแวะหลายจุดมากกว่าอีกคัน สรุปใช้เวลาประมาณ 40 นาทีแน่ะกว่าจะถึง 勝田駅 Katsuta-eki (Katsuta station) แต่ราคาก็ถูกกว่าด้วยนะแค่ 100yen เอง


ขากลับ จขบ ซื้อบัตรนั่งแบบหวานเย็นธรรมดา JR Joban Line ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดมากๆ มาครั้งหน้าไม่เอาอีกแล้วขอไปนั่ง 高速バス Kosoku-bus กลับหรือจ่ายเพิ่มอีกพันเยนนั่งรถด่วนกลับดีกว่า เข็ดจริงๆ

จขบ กับ JR Joban Line จริงๆเคยคุ้นเคยกันมาก่อนหน้านี้แล้ว สมัยที่แล็บอยู่คาบสองแคมปัสฮงโกะและคาชิวะก็เคยใช้บริการ Joban Line มาก่อน สมัยนั้นก็รู้แค่ว่าจาก 上野 Ueno มาถึง 柏 Kashiwa ก็ซัดไป 30 นาทีแล้ว(ต้องนั่งบัสต่อไปแคมปัสอีกกว่า 30 นาที) ไอ้สถานีปลายทางรถไฟที่บอกว่าสุดที่ 我孫子 Abiko หรือ 取手 Toride นี่มันไกลแค่ไหนนะ มาวันนี้ได้รู้แล้ว นั่งจาก Katsuta มานี่ผ่านครบเลย หวานเย็นมาเรื่อยๆจาก 茨城県 Ibaraki เข้ามา 千葉県 Chiba กว่าจะเข้าเขต 東京都 Tokyo มาได้

แถมรถไฟนี้มันเป็นรถไฟธรรมดาๆเหมือนที่นั่งกันในเมือง พูดอีกอย่างคือเก้าอี้แข็งๆแคบๆ พนักเก้าอี้ตั้งๆไม่มีปรับเอน จอดถี๊ถี่แถมจอดทีก็เปิดประตูอ้าซ่าลมหนาวพัดเข้ามาให้ขนลุกกันเป็นระยะๆ ต้องนั่งเมื่อยๆลุกหนีหรือขยับยืดเส้นยืดสายก็ไม่ได้ไปเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงครึ่ง (เวลาโรงเรียนเลิก บริษัทเลิก ขืนลุกก็อาจไม่ได้นั่งอีก) บอกได้คำเดียวว่าครั้งนี้ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจริงๆ เมื่อยตัวเมื่อยก้นมากๆ

และแล้วก็กลับมาถึงสถานี Ueno ซึ่งก็เหมือนว่ากลับมาถึงบ้านแล้วนั่นแหล่ะ จขบ อยู่แถวนี้มาตั้งสี่ปีกว่าแล้ว ตอนขามามัวรีบวิ่งขึ้นรถไฟเลยไม่ทันเห็น เพิ่งเห็้นขากลับนี่เองว่ามีประดับอะไรอยู่ด้วย น่ากลัวจะมีงานแห่หรือเทศกาลอะไรในช่วงๆนี้มั้งเนี่ย (ลายเพ๊นต์ด้านหลังก็นะ เพิ่งสังเกต มีผู้หญิงเปลือยด้วยล่ะ )


ตะลอนๆมาทั้งวันไม่ได้กินดื่มอะไรเลยนอกจากมื้อเช้าที่บ้านตั้งแต่แปดโมงเช้าโน่น หิวๆอย่างนี้อยากเข้าไปกินยากินิคุ(กินคนเดียว)ให้เต็มคราบซะหน่อย แต่ไม่อยากหัวเหม็นเลยเปลี่ยนมากิน 天丼 Tendon แทน ร้านชื่อ 天丼てんや Tendon-tenya อยู่เยื้องไปทางขวานิดนึงของ 南口 South Exit สถานีรถไฟ 御徒町駅 Okachimachi ร้านนี้คุณพี่ชายเจอตอนมาเที่ยว กินแล้วอร่อยถูกใจเลยกลายเป็นร้านประจำอีกร้านไป ใครมาเที่ยวแถวอาเมโยโกะถ้าไม่ทานปลาดิบก็ลองพิจารณาร้านนี้เป็นอีกทางเลือกได้


เมนูร้านนี้แน่นอนว่าก็ต้องเป็นเทมปุระไส้ต่างๆล้วนๆ ในแต่ละฤดูก็จะมีเมนูพิเศษเข้ามาเป็นระยะๆตามปกติญี่ปุ่น สำหรับหน้าใบไม้ร่วงตอนนี้มี カキフライ Kaki-furai หรือ หอยนางรมทอด เป็นของประจำฤดู เดี๋ยวอีกสักพักก็คงมีเห็ดมัทสิทาเกะ 松茸 (เห็ดสน) เข้ามา(ปีก่อนเคยกินมาแล้ว) แล้วไว้จะมากินอีก(หลาย)ทีนะ

มื้อเย็นวันนี้เป็นเซ็ตที่มีหอยนางรมด้วย ในภาพประกอบด้วย กุ้งหนึ่งตัว หอยนางรมสองตัว ถั่วฝักยาวหนึ่งอัน สาหร่ายทอดแบบเทมปุระหนึ่งแผ่น ส่วนที่เหลือจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรอีกบ้าง สรุปว่าอร่อยละกัน ร้านโปรด จขบ อยู่แล้ว(ใกล้บ้านด้วย)แถมคนหิวๆมาด้วย


ปิดท้ายบล็อคด้วยภาพน้องหมี Rilakkuma ในตู้เครนเกมส์ตรง Ameyoko ชอบน้องหมีตัวนี้เวลาทำตาหยีๆมากๆ (เคยเห่ออยากได้มากๆอยู่พักนึงใน บล็อคนี้) แต่ไม่มีฝีมือในเกมส์นี้เลยจริงๆ แค่ตัวเล็กๆจิ๋วๆยังไม่เคยหยิบได้เลย มีแต่เกือบ เกือบ เกือบ อยู่นั่นล่ะจนหมดไปพันกว่าเยนแล้วก็ยังได้แค่ เกือบ อยู่เหมือนเดิม


และแล้วก็จบบล็อคนี้ในที่สุด ยาวและรูปเยอะมากกกกกก ขนาดไปแค่วันเดียวแท้ๆ ก็แบบว่ารูปทริปนี้มันชอบไปซะทุกรูปเลยอ่ะ รักพี่เสียดายน้องตัดใจทิ้งรูปไหนไม่ค่อยลงเลยมาแบบชุดใหญ่เลย ในบล็อคนี่ตัดจากอัลบั้มเต็มใน multiply ออกไปเยอะแล้ว และใน multiply ก็ยังตัดจากจำนวนที่ถ่ายมาจริงๆไปอีกเพียบ

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอขอบคุณชาวญี่ปุ่นทุกๆท่านที่เจอในวันนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ทั้งคุณลุง คุณป้า คุณพี่ คุณน้อง ที่ช่วยเหลือให้ จขบ มีรูปที่ระลึกของตัวเองกลับมา ไม่ว่า จขบ จะไปเที่ยวที่ไหน ในหรือนอกญี่ปุ่น ก็ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะถูกคนญี่ปุ่นปฏิเสธไม่ช่วยหรือพูดว่าไม่สะดวกจะช่วยถ่ายรูปให้ (แต่คุณลุงบางท่านจะดูดุๆ น่ากลัวหน่อย) ตรงนี้นี่เป็นอะไรที่ซึ้งใจมากๆ คนญี่ปุ่นทุกคนที่เจอมา(เยอะด้วย เพราะหลังๆ จขบ เดินทางคนเดียวประจำ กล้องนี้ถูกใครต่อใครจับถ่ายมานับไม่ถ้วน)ตอบรับและช่วยถ่ายรูปให้ จขบ อย่างเต็มที่กันทุกคนเลยจริงๆ แม้ว่าส่วนใหญ่จะทำท่าตกใจกับขนาดกล้องและเลนส์ที่ยื่นให้ก็ตาม

สำหรับหนนี้ก็จำได้ติดตาอยู่คุณลุงท่านนึง แบกกล้อง Canon ตัวใหญ่มากๆสองตัว (Full frame แหงๆ) พร้อมเลนส์ตัวเบ้งๆ และ ขาตั้งกล้อง อีก พอ จขบ เข้าไปขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ คุณลุงก็อุตส่าห์ไขกล้องตัวเองออกจากขาตั้งและเอากล้องของ จขบ ไปใส่ขาตั้งให้แทน เล็งแล้วเล็งอีก ปรับแล้วปรับอีกเพื่อให้ถ่ายออกมาตรง ในระหว่างนั้นอุปกรณ์ทุกอย่างของคุณลุงก็ถูกวางแหม่ะอยู่เก้าอี้หินด้านหลัง จน จขบ แอบเป็นห่วงแทนต้องคอยชะเง้อยืดคอเฝ้าของให้ เพราะกลัวของแพงๆจะเป็นอะไรไประหว่างช่วยถ่ายรูปให้ จขบ

ทีแรกก็งงๆว่าทำไมคุณลุงต้องลำบากเอากล้อง จขบ ขึ้นขาตั้งกล้องด้วยทั้งๆที่แดดก็ออกจะแรง แต่แล้วก็เห็นว่าคุณลุงเค้ามีอาการที่มือจะสั่น(อย่างเห็นได้ชัด)อยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องใช้ขาตั้งกล้องตลอดเวลาที่ถ่ายรูปไม่งั้นภาพก็ไม่นิ่ง ใช้เวลานานพอดูเลยสำหรับภาพเพียงสองภาพซึ่งองค์ประกอบธรรมดาๆแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆที่ได้เห็นคุณลุงเค้าเต็มที่ที่จะช่วยคนแปลกหน้าอย่าง จขบ เล่นเอา จขบ รู้สึกเกรงใจม๊ากมาก โค้งแล้วโค้งอีกเพื่อขอบคุณ และรอจนคุณลุงประกอบอุปกรณ์ของตัวเองจนเสร็จแล้วค่อยโค้งขอบคุณอีกรอบก่อนแยกไป

จากนี้จะเริ่มเข้าช่วงเดินทางยุ่งๆแล้ว จขบ แทบไม่ได้อยู่ติดโตเกียวอยู่ติดญี่ปุ่นเลย ถ้ามีเวลาอาจแว่บมาอัพบล็อคหน้าร้อนที่ค้างอยู่ต่อบ้าง แต่บล็อคใบไม้เปลี่ยนสีชุดใหญ่ที่กำลังแพลนจะไปถ่ายในเร็วๆนี้ คงต้องดองไปถึงสิ้นปีโน่น(เป็นอย่างน้อย)เลย

----------------------------------------------------------------------

ภาพทุกภาพถ่ายด้วย Canon EOS Kiss X3 + EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM เป็นหลัก นานๆทีมีลองใส่ EF 70-200mm f4L IS ตัวใหม่ส่องจากไกลๆดูบ้าง ถ่ายมาเป็น RAW ทั้งหมด(เริ่มติดใจ) ช่วงแรกๆมีใส่ Marumi DHG Super Circular P.L.D 72mm เพื่อลดแสงลงและหมุนฟ้าเข้มบ้าง

ภาพส่วนใหญ่ผ่าน Photoshop ตามสมควร ส่วนใหญ่ภาพที่ท้องฟ้าสีเข้มจัดอยู่แล้วมักไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากปรับแสงนิดหน่อย แต่ภาพที่ท้องฟ้าสีออกฟ้าจางๆเป็นภาพที่ไม่ได้มุม polarize เลยต้องมาจัดการลดแสงส่วนท้องฟ้าและปรับ saturation ขึ้นนิดนึงเพื่อให้เห็นรายละเอียดก้อนเมฆบ้าง (ซึ่งเวลาปรับต้องแยกเลเยอร์ปรับกับส่วนที่เป็นทุ่งต้นไม้ดอกไม้ เพราะสีแดงอยู่ในโทนมืดปกติต้องปรับให้โอเวอร์นิดนึงถึงจะดูสว่างพอดี กลับกันกับท้องฟ้าที่ปกติต้องปรับให้อันเดอร์นิดนึงเพื่อให้เห็นรายละเอียด)

ภาพทั้งหมดแชร์ลิงค์มาจากอัลบั้มใน multiply ภาพเต็มๆมีเยอะแยะมากมายมาก แบบว่ามันชอบไปซะหมดเลยเลือกไม่ถูก ถ้าสนใจภาพขนาดเต็มที่ไม่โดนย่ออย่างในบล็อคจนดูมัวๆนัวๆ รบกวนคลิกลิงค์ด้านล่างและตามไปที่บ้านใน multiply ได้เลยค่า

----------------------------------------------------------------------

รวมบล็อคทั้งหมดของทริป

1. [[รีวิวแรกรับใบไม้ร่วง2010@Japan]] ปฐมบทก่อนเดินทาง: สัปดาห์แห่งพายุ+อะไรเอ่ยสีแดงๆแต่ไม่ใช่ใบไม้แดง
2. [[รีวิวแรกรับใบไม้ร่วง2010@Japan]] ทุ่งKOKIAกลมๆแดงๆรับใบไม้ร่วงในวันฟ้าใสท่ามกลางสัปดาห์แห่งพายุฝน

----------------------------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูภาพต้นฉบับแบบไม่โดนย่อใน OneDrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2553    
Last Update : 31 ธันวาคม 2557 2:44:15 น.
Counter : 15274 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.