W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 

[[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 3rd Episode:: The WHITE of Sakura-Panda


>> กระทู้บันทึกนักเดินทางใน pantip@blueplanet
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด


Episode 1 และ Episode 2 จบไป แต่เรื่องราวของ White Sakura ยังเหลือบทสรุปสุดท้ายอีกนิดนึงค่ะ สัญญาด้วยเกียรติของเนตรนารีสามัญว่าบล็อคนี้สุดท้ายแล้วจริงๆสำหรับ The WHITE of Spring 2011

สำหรับลิงค์รวมทุก Episode ของ The Colors of Spring in Japan 2011 จะอยู่ที่ด้านล่างสุดของหน้านี้นะคะ



.
.
.
.

ซากุระสุดท้ายของปี 2011 ของเราจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากที่สวนอุเอโนะอันแสนคุ้นเคยและใกล้บ้านนั่นเองค่ะ

จำไม่ได้ชัดๆว่าตั้งแต่เมื่อไหร่นะคะ แต่พอรู้ตัวอีกทีเดินแถวอุเอโนะมองไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าแพนด้าเต็มไปหมดเป็นการต้อนรับแพนด้าคู่ใหม่ที่เพิ่งได้มาจากจีนค่ะ ได้ยินว่าอาการแพนด้า mania นี้มีไปทั่วโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียงเลย ทีแรกเราก็นึกว่าเฉพาะแถวนี้ซะอีกค่ะที่เห่อแพนด้า

เริ่มจากแพนด้าคู่ในสถานี JR Ueno เมื่อตอนต้นเมษา...


ไม่ใช่แค่นั้นค่ะ ตามเสาไฟทุกต้น...


บนตัวตึกของ Yodobashi camera สาขาอุเอโนะ...


ข้างๆตัวลิฟต์... (เห็นสถานี Keisei Ueno Stn. อยู่ด้านหลังทางซ้ายด้วย)


สถานที่ก่อสร้างใกล้ๆสถานี Keisei Ueno Stn. (ตรงนี้เห็นว่าอีกหน่อยจะเป็นพวกพิพิธภัณฑ์น่ะค่ะ) ...


ป้ายประดับในร้านแถวอาเมโยโกะ (ซอยช้อปปิ้งของถูก ของทะเลสด ผลไม้สด ยอดนิยมแถวอุเอโนะ) ...


ตู้โชว์ร้านอาหารตรงข้ามสถานีอุเอโนะ... (สังเกตดีๆไม่ใช่แค่ตัวใหญ่ แต่มีตัวเล็กตัวน้อยประดับตามจานอีกนะคะ)


เมนูในร้านอาหารตรงข้ามสถานีอุเอโนะ....


ผลิตภัณฑ์ขนมปัง Limited ของร้านในสถานี JR Ueno ที่ไปทีไรก็เห็นต้องต่อคิวรอกัน (เค้ารอขนมปังแถวๆที่ตัดแล้วเป็นหน้าแพนด้าข้างในกันน่ะค่ะ) ....


ขนมอื่นๆในสถานี JR Ueno ...


蒲鉾 Kamaboko (น่าจะเรียกว่าลูกชิ้นปลามั้งคะ ที่เป็นแท่งๆมา แล้วค่อยมาหั่นความหนาตามชอบ) อันนี้ไม่ใช่จาก Ueno แต่เห็นจากใน FB ของพี่ที่อยู่ญี่ปุ่นค่ะ ... น่ารักๆอย่างนี้เอามาทำเบนโตะเด็กๆคงชอบ (ในลิงค์อ้างอิงรูปภาพเค้ายังมี Kamaboko รูปสัตว์อื่นๆอีกนะคะ)

Credit ภาพจาก //www.kagosei.co.jp/products/animal/panda.html

สินค้าในร้านขายของเล่น Yamashiroya ที่ถนนฝั่งตรงข้ามทางออกหลักของสถานี JR Ueno ....


สินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง OICITY (มารุอิซิตี้) Ueno .... (ตุ๊กตาแพนด้านี้น่าร๊ากกกมากค่ะ เราเดินผ่านมาสองเดือนไปกอดไปอุ้ม จะซื้อหลายรอบแล้ว ชอบไซส์ขนาดสองตัวใหญ่สุดน่ะค่ะกอดแล้วกำลังดีเลย หรือ อีกทีก็คืออยากซื้อทุกไซส์มานั่งเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งแตะไหล่กันแบบในภาพนี้เลยค่ะ )


ถ่ายแพนด้าโน่นนี่มาเยอะแยะแต่แพนด้าตัวเป็นๆที่สวนสัตว์อุเอโนะกลับไม่เคยไปดูเลยค่ะเรา หรือถ้าจะพูดจริงๆก็คืออยู่แถวนี้มาปีที่ห้าแล้ว เรายังไม่เคยไปสวนสัตว์อุเอโนะกะเค้าเลยสักครั้ง...แบบว่าได้ยินว่าคนเยอะก็ขี้เกียจไปแล้ว โดยเฉพาะตอนคนกำลังเห่อๆแพนด้าใหม่กันด้วยได้ยิน(จากคนที่ไปมา)ว่าแถวยาวเหยียดเลยค่ะ

ขอจบเรื่องแพนด้าไว้แค่นี้ก่อนนะคะ ตอนนี้ขอหันเรือกลับลำมาที่ดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ผลิที่อุเอโนะก่อนค่ะ ....

ไม่รู้เราขี้ลืมไปเองหรือเปล่า แต่ตงิดๆอยู่ค่ะว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีก่อนๆตามถนนที่เราเดินอยู่ประจำนี่มีดอกไม้สวยๆแบบนี้ปลูกเรียงรายกันแบบนี้ด้วยเหรอ


ไม่รู้ดอกนี้เรียกว่าอะไรนะคะ จะว่าคล้ายซากุระก็คล้ายนิดๆ แต่ดูอีกทีกิ่งแบบตั้งสูงๆแหลมๆขึ้นไปบนฟ้าแบบต้นนี้ก็ไม่ค่อยเหมือนซากุระเลยค่ะ (ข้างๆต้นไม้ดอกสวยๆพวกนี้ก็เป็นป้ายโปรโมทแพนด้าที่แขวนอยู่ตามเสาไฟฟ้าค่ะ)


สำหรับปี 2011 นี้เราดูซากุระมาแล้วจากชินจูกุ แล้วประกอบกับงานยุ่งสุดๆด้วย กว่าจะได้แว่บมาดูบรรยากาศที่สวนอุเอโนะก็ปาเข้าไปวันที่ 14 เมษา 2011 แล้วค่ะ เนื่องจากเมื่อวันที่ 11 เมษา ที่โตเกียวลมพัดแรงสุดๆ(แถม aftershock ก็มาถี๊ถี่) แค่วันนั้นวันเดียวก็เล่นเอาซากุระที่โตเกียวร่วงกันเกือบหมดต้นเลยค่ะ วันที่ 14 ที่เราไป สวนอุเอโนะเลยเหลือแต่กิ่งกับใบเขียวๆอย่างนี้เอง (ยิ่งต้นด้านหน้าๆสวนยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่ะ เขียวอื๋อไปหมดแล้ว)


ส่วนคนที่มาเที่ยวสวนก็...น้อยกว่าทุกปีอย่างรู้สึกได้ค่ะ ทุกปิถ้าในช่วงเวลานี้ที่ซากุระเพิ่งจะพีคผ่านไปหมาดๆ ยังไงก็น่าจะเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ทั้งจีน เกาหลี ไทย บ้าง แต่ปีนี้แทบจะเห็นแต่คนญี่ปุ่นล้วนๆเลยค่ะ คนต่างชาติมีเห็นบ้างแต่มากันเดี่ยวๆหรือกลุ่มเล็กๆ 2-3 คนเท่านั้นเอง เราเดาเอาว่าเผลอๆจะเป็นคนที่เรียนหรือทำงานอยู่ในญี่ปุ่นอยู่แล้วด้วยค่ะ


ถึงแม้ปกติเราจะไม่ค่อยชอบทัวร์คนจีน(แผ่นดินใหญ่)ว่ามาทำห้องน้ำสกปรกบ้าง หรือมาแซงคิวอะไรบ้าง แต่เหตุการณ์หนนี้มันก็บอกแล้วค่ะว่ายังไงก็ขาดลูกค้ารายใหญ่อย่างพวกเค้าไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นคนทำอาชีพที่อิงกับนักท่องเที่ยวก็พากันลำบากกันถ้วนหน้าเลย เมื่อช่วงเดือนเมษามั้งคะ(ถ้าจำไม่ผิด)ตอนที่ทัวร์จีนและเกาหลีกรุ๊ปแรกกลับมา ที่ญี่ปุ่นก็ออกข่าวถือป้ายต้อนรับกันใหญ่โตเลยค่ะ (รู้สึกกรุ๊ปจีนจะไปคันไซ กรุ๊ปเกาหลีไปคิวชูค่ะ ไกลโรงไฟฟ้าเยอะะะะะ)

กรุ๊ปทัวร์เกาหลีที่ว่าไม่ใช่นักท่องเที่ยวทั่วไปด้วยนะคะ เห็นว่าเป็นกลุ่ม blogger ชื่อดังของเกาหลี(น่าจะได้โควต้ามาฟรี) พาเค้ามาเที่ยวแล้วเค้าก็กลับไปเขียนบล็อคเป็นการช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้ไปในตัว ทีวีมีสัมภาษณ์บล็อคเกอร์หญิงคนนึงจากโซล เค้าบอกว่าจริงๆแล้วกังวลเรื่องฝนค่ะ เพราะ ณ ตอนนั้นที่โซลฝนตกทีคนก็หา mask มาปิดมาใส่กันให้วุ่นวาย (เพราะกลัวรังสี) แต่พอมาเห็นที่ญี่ปุ่น ใกล้กว่ากันตั้งเยอะ ฝนตกหรือไม่ตกก็ไม่เห็นมีคนทำอะไรกันขนาดนั้นเลย สาวเจ้าก็เปรยๆว่า หรือว่าคนที่โซลจะกังวลกันมากเกินไปนะ

วันที่เราไปสวนอุเอโนะตรงลึกเข้ามานี้น่าจะเป็นจุดที่คนมานั่งฮานามิกันมากสุดแล้วค่ะ เพราะต้นตรงนี้ยังดอกเยอะอยู่พอควร


ปีนี้ก็นั่งฮานามิกันสบายๆค่ะ คนน้อยไม่ค่อยเบียดเสียด


ไหนๆมาแล้วก็ขอเก็บซากุระพันธ์นี้ไว้อีกภาพค่ะ อันนี้สีออกอมม่วงนิดๆแปลกไปอีกแบบ (หลังจากใช้มาสักพัก เรากล้าพูดเลยค่ะว่า Sony NEX-5 กับเลนส์ที่ซื้อติดกล้องมานี่คุณภาพของภาพสู้ Canon Kiss X3 พร้อมเลนส์ Canon ทุกตัวที่เรามีอยู่ไม่ได้จริงๆ...ก็ราคามันต่างกันเยอะนี่นะคะ ส่วนใหญ่ Sony เราไว้สะพายติดตัวง่ายๆ ถ่ายจุกจิกโน่นนี่ไปทั่วค่ะ ถ้าจะตั้งใจถ่ายรูปจริงๆจังๆก็ยังต้องเป็น Kiss X3 เท่านั้น)


เทียบกับภาพสวนอุเอโนะที่เราคุ้นเคย ถ่ายเมื่อ 30 มีนา 2010 ก็รู้สึกบรรยากาศฮานามิเงียบเหงาไปเยอะเลยล่ะค่ะ แต่มันก็เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ (บรรยากาศเต็มๆของสวนอุเอโนะช่วง full bloom ปี 2010 อยู่ที่ บล็อคเก่านี้ นะคะ)


อุตส่าห์หลบงานมาเดินสวนเล่นๆก็เลยค่อยๆทอดน่องไปเรื่อยค่ะ เห็นโปสเตอร์งานดอก Botan อยู่ในบริเวณสวนอุเอโนะก็ลองเดินตามไปดูหน่อยค่ะ เผื่อได้เก็บภาพดอกไม้สวยๆเพิ่มอีกชนิด


อยู่ใกล้สวนนี้มาปีที่ห้านอกจากว่าสวนสัตว์อุเอโนะจะไม่เคยเข้าแล้ว ส่วนนี้ของสวนก็ไม่เคยมาเลยค่ะ ปกติคืออยู่แต่ตรงซากุระแล้วก็จบ (ตอนนั้นเพิ่งจะกลางเมษา แต่บรรยากาศรูปด้านล่างนี่ก็เริ่มเขียวขจีแล้วค่ะ สังเกตดีๆจะเห็นต้นมีลูกสีส้มๆด้วยนะคะ ที่มหาลัยก็มีเหมือนกันไม่รู้ว่าใช่ส้มหรือเปล่า)


เดินลึกเข้าไปตามป้ายดอก Botan เรื่อยๆแต่ปรากฏว่าเราไปช้าเกินไปส่วนของสวนเล็กๆที่แสดงดอก Botan เค้าปิดไปแล้วค่ะ เคยคิดว่าจะไปแก้ตัวแต่ไปๆมาๆก็ไม่ได้แวะไปอีกเลยค่ะปีนี้ แต่อย่างน้อยที่เดินมานี่ก็ได้รู้นะคะว่าด้านในลึกๆนี่มีอาคารคล้ายๆศาลเจ้านี่อยู่ด้วย ตอนนั้นปิดปรับปรุงอยู่มีภาพขนาดเท่าของจริงแขวนให้ดูแทนค่ะ (รู้สึกว่าคนอื่นที่เค้ามาเที่ยวสวนนี้จะรู้จักศาลเจ้านี่กันตั้งนานแล้ว)


ใกล้ๆ(ภาพแขวน)ศาลเจ้าเจอนี่ค่ะ เค้าบอกว่าเป็น The Flame of Hiroshima and Nagasaki เรื่องก็มีอยู่ว่าหลังเหตุระเบิดนิวเคลียร์ Tatsuo Kamamoto ได้ไปตามหาคุณลุงของเค้าที่ฮิโรชิม่าแล้วก็เจอไฟนี่กำลังไหม้อยู่ตรงซากบ้านคุณลุงของเค้า ทีแรกเค้าก็เก็บมันไว้เพื่อเป็นสิ่งระลึกถึงคุณลุงของเค้า แต่ต่อมานานไปมันก็ขยายสเกลกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์และรำลึกถึงความสงบสุขแทนค่ะ


เห็นคนโล่งๆแล้วอะไรช่วยอุดหนุนได้เราก็ช่วยค่ะ เลยซื้อเครื่่องราง Limited รูปซากุระ 500 เยนมาหนึ่งอันตามภาพ


ออกจากสวนด้านในกลับมาตรงแถวซากุระอีกทีฟ้าก็เริ่มมืดๆแล้วค่ะ ที่สวนซากุระส่วนด้านบน(ที่ต้องขึ้นบันไดเพื่อขึ้นเนินไป)ยังพอมีกลีบซากุระร่วงบนพื้นเยอะๆให้คนมานั่งฮานามิกันได้บ้างประปราย(แม้ต้นเหนือหัวจะเขียวหมดแล้วก็ตาม)


มุมที่เราเห็นซากุระมากสุดวันนั้นคงแถวๆนี้ล่ะมั้งคะ เนี่ยดูสมเป็นใบไม้ผลิที่สุดแล้วที่ถ่ายมาได้จากที่นี่ในปีนี้


ระหว่างจะเดินออกจากสวนก็เห็นคุณตำรวจกำลังปลุกใครก็ไม่รู้ค่ะที่มานอนยาวขวางบันไดทางลงอยู่ ไม่รู้เมาตอนฟ้ายังสว่างหรือยังไง เดาว่าคงมีคนมาเห็นแล้วเดินไปบอกคุณตำรวจอีกทีแน่เลยค่ะ (ภาพนี้รีบกดเลยเบลอสนิท เอามายำด้วย PS เพื่อกลบเกลื่อน)


ภาพสุดท้ายกับบรรยากาศหน้าสวนอุเอโนะกับเหล่าศิลปินวาดภาพเหมือนค่ะ คิดอยู่ว่าก่อนกลับไทยถาวรอาจจะลองไปนั่งใช้บริการดูสักครั้งนึง


.
.
.
.

สำหรับ The WHITE of Spring in Japan 2011 ก็จบเพียงเท่านี้นะคะ สำหรับสีอื่นๆที่เหลือในแบนเนอร์ตรงหัวบล็อคคงไม่ยาวเท่านี้แล้ว(หวังว่างั้นนะคะ คนเขียนก็เหนื่อยเหมือนกัน) เพราะเป็นทริปหนึ่งวันแบบไปเช้าเย็นกลับหมดเลยค่ะ ซากุระนี่คือแบบว่าเป็นเหตุการณ์ลากยาวประมาณ 2 อาทิตย์เลยมีเรื่องโน้นนี้เกิดเยอะหน่อย ประกอบกับเราเป็นพวกชอบเขียนเก็บรายละเอียดทุกเม็ดซะด้วย (ติดนิสัยมาตั้งแต่ปริญญาตรีที่เป็นมือเลคเชอร์มาจนถึงปัจจุบันที่เขียนเปเปอร์และทีสิสเลยค่ะ...เขียนได้เขียนดีจนใครๆก็ทักเอา )



The Colors of Spring in Japan 2011

1. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 1st Episode:: The WHITE of Plum Flower and Sakura
2. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 2nd Episode:: The WHITE Spirit of Japanese
3. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 3rd Episode:: The WHITE of Sakura-Panda
4. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 4th Episode:: The YELLOW of Nanohana กับประสบการณ์โดนน้องแกะ...
5.
6.



ภาพดอกไม้และซากุระถ่ายด้วย Sony Alpha NEX-5 + Sony Alpha E 18-55mm OSS ค่ะ ภาพแพนด้าทั้งหลายก็ปนๆกันหลายกล้องหน่อยทั้ง Canon Kiss X3 และ Sony NEX-5 เลนส์ก็แล้วแต่ว่าวันนั้นเอาอันไหนติดตัวไปนะคะ ภาพทั้งหมดก็ปรับแสง แก้สีเพี้ยน แล้วย่อ usm ปกติค่ะ


>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 22 มีนาคม 2556 17:28:02 น.
Counter : 3992 Pageviews.  

[[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 2nd Episode:: The WHITE Spirit of Japanese


>> กระทู้บันทึกนักเดินทางใน pantip@blueplanet
>> คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ในอัลบั้มเต็มของบล็อคนี้ใน SkyDrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด


Episode 1 จบไป แต่เรื่องราวของ White Sakura ยังไม่จบลงง่ายๆค่ะ ก็มันเป็นดอกไม้ที่ใกล้ชีวิตประจำวันในญี่ปุ่นของเรามากที่สุดนี่นะคะ ก็ต้องมีเรื่องเกี่ยวข้องเยอะนิดนึง ขอจัดให้ไปอีกหนึ่งบล็อคค่ะสำหรับสีขาวๆประจำฤดูใบไม้ผลิ 2011 ของเรา

สำหรับลิงค์รวมทุก Episode ของ The Colors of Spring in Japan 2011 จะอยู่ที่ด้านล่างสุดของหน้านี้นะคะ



.
.
.
.

หลังจาก Episode 1 ที่ไปชมซากุระแบบเหงาๆคนโล่งๆที่สวนชินจูกุแล้ว รุ่งเช้าวันถัดมาวันเสาร์ที่ 9 เมษา 2011 แม้ฝนจะตกแต่คุณพี่ชายก็หาได้หวั่น ออกไปเที่ยวอาซาคุสะกันค่ะ เริ่มต้นกันจาก Sensoji ในวันฝนฉ่ำก่อนเลย จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ค่อยมีภาพวิวฝนตกในญี่ปุ่นเท่าไหร่เลยค่ะ ฝนตกทีไรเก็บตัวอยู่บ้านทุกที(ถ้าไม่จำเป็นต้องออกหรือโดนลากออกมาอย่างนี้ )


จุดหมายของพวกเราวันนั้นไม่ใช่วัดหรอกค่ะ เพราะมากันคนละหลายรอบจนขี้เกียจจะนับแล้ว แต่หนนี้คุณพี่ชายเค้าจะมาเก็บของกินอร่อยๆรอบวัดนี้ต่างหาก เราเองก็อยากมาลองกินของอร่อยแถวนี้ที่เห็นในรีวิวเหมือนกัน ก็ได้ลองกันหนนี้ล่ะค่ะ (สารภาพว่าของอร่อยๆของญี่ปุ่นที่ดังๆกันในรีวิวของห้อง blueplanet นี่ เรายังไม่เคยกินอีกเพียบเลยค่ะ)

เพื่อความง่ายในการไป เริ่มตั้งต้นกันที่ถนนฝั่งตรงข้ามด้านหน้า Kaminari-mon อย่างนี้ก่อนค่ะ


จากที่หันหน้าเข้าหา Kaminari-mon ให้เดินต่อมาทางซ้ายเรื่อยๆโดยจะเป็นการเดินหันหลังให้ Tokyo Sky Tree ที่อยู่(หลังเมฆ)ลิบๆอย่างในภาพนี้ค่ะ


เดินผ่านไม่กี่แยก เห็นวิวข้างหน้าประมาณนี้ให้หยุดเลยค่ะ แล้วเลี้ยวเข้าซอยที่สองคนในภาพเพิ่งเดินออกมานี่ล่ะ ตรงนี้นี่คุณพี่ชายคนนำทางมีแอบงงเดินเลยไปเล็กน้อย เห็นว่าร้าน 100yen ที่เขียนบอกในโพยห้อง blueplanet ที่ควรจะอยู่หน้าปากซอยนี้มันหายไปไหนไม่รู้แล้วค่ะ


เข้าซอยมาแล้วทีนี้ตรงอย่างเดียวเลยนะคะ ร้านอยู่ลึกเข้าไปหน่อยถ้ามองไม่เห็นจากต้นซอยก็อย่าเพิ่งตกใจไป เดินลึกเข้าไปจนเห็นตึกสีเขียวๆในภาพนี่ล่ะค่ะใช่เลย เห็นภาพล่างนี้แล้วหลายๆคนน่าจะอ๋อว่าพวกเราจะมากินอะไรกัน...แน่นอนค่ะ ประเดิมหนแรกก็ต้องเป็นของดังติดอันดับต้นๆของรีวิวอยู่แล้วกับร้านข้าวหน้าปลาไหล หรือ Unagi-don うなぎ丼 ชื่อดังร้าน Irokawa 色川 ที่เปิดขายมากว่า 150 ปีแล้วนั่นเองค่ะ


ถึงจะเป็นวันเสาร์ แต่ฝนมันตก แถมต้นเมษาคนต่างชาติก็ยังหายเกลี้ยงโตเกียวอยู่ ทีแรกเราก็นึกว่าสงสัยคงได้เข้าไปนั่งกินสบายแน่ๆงานนี้ แต่ที่ไหนได้ค่ะ ไปถึงตอนเกือบเที่ยงก็ต้องรอ 4-5 คิว(คนญี่ปุ่นล้วน)แล้ว กว่าจะได้เข้าไปนั่งในร้านดูคุณลุงปลาไหลรุ่นที่ 7 กำลังย่างปลามือระวิง...แต่อย่างน้อยเห็นเค้ายังขายได้ (ดูเหมือน)ขายดีอยู่ เราก็ดีใจมากกว่าไปแล้วเห็นร้านโล่งๆน่ะนะคะ


ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่ขายดีแต่ไม่คิดจะขยับขยายพื้นที่ Irokawa (สาขานี้)เป็นห้องเล็กๆ เข้าไปแล้วต้องนั่งตัวลีบๆเล็กๆอยู่กับเก้าอี้ตัวเอง จะมานั่งกร่างๆ หรือวางข้าววางของกินที่ไปที่นั่งอื่นนี่ไม่ได้เลยค่ะ ใครที่ไม่ชอบนั่งตัวลีบๆแบบนี้ก็อาจไม่ค่อยชอบสไตล์ร้านแบบนี้ก็ได้ (เราเองก็วางกล้องและกระเป๋าถือทั้งหมดบนตักนี่ล่ะค่ะ ดีว่าไม่ทำกล้องหล่นเอา)


อ่านรีวิวมาว่าข้าวปลาไหลมีสามไซส์ แต่มาครั้งแรกเค้าบอกว่ามีสี่ไซส์ก็งงเลยค่ะ มีไซส์ใหญ่ กลางใหญ่ กลางเล็ก เล็ก แถมร้านนี้ตัวช่วยรูปภาพหรือภาษาอังกฤษอะไรก็ไม่มีจริงๆ(สมคำร่ำลือ) สุดท้ายเราก็อาศัยใช้ภาษาญี่ปุ่นง่ายๆสื่อสารจนได้กล่องขนาดกลางใหญ่มากันคนละกล่องกับคุณพี่ชายค่ะ (คุณป้าเค้าบอกว่าแต่ละไซส์ต่างกันที่ขนาดปลาไหลน่ะค่ะ ถ้าเนื้อเยอะเราโอเค แต่ถ้าข้าวเยอะนี่เราคงเอากลางเล็กแทน)


จะว่าไปรูปบนนี่บนป้ายผ้าทางขวามือ เค้าเขียนว่ารุ่นที่ 5 นี่นา? แต่ในรีวิวเขียนกันว่าคุณลุงคนนี้คือรุ่นที่ 7...เอ หรือว่าป้ายผ้านี้คุณลุงปลาไหลเค้าใช้ต่อกันมาตั้งแต่รุ่นที่ 5 ถึงปัจจุบันก็ไม่รู้ค่ะเนี่ย

ระหว่างรอข้าวมาก็ถ่ายรูปโน่นนี่ไปเรื่อยค่ะ แต่ก็ถ่ายมากไม่ได้เพราะร้านก็เล็กๆ ที่นั่งก็แคบๆ หมุนไปหมุนมาเดี๋ยวชนคนรอบๆกับชนคุณป้าที่เดินรับออเดอร์เดินเสิร์ฟไปๆมาๆกันพอดีค่ะ เห็นคุณป้าเดินไปเดินมาวุ่นๆอย่างนี้ล่ะค่ะ ตอนสั่งเราก็พลอยลนไปด้วยเพราะกลัวทำเค้าเสียเวลาสื่อสารกับเรานาน

มาหนแรกนี้พวกเราได้นั่งกันหน้าเคาเตอร์ค่ะ ก็เลยได้เห็นเตาย่างปลาอยู่ใกล้ๆ (ถ้าไม่ได้นั่งตรงนี้เราคงถ่ายภาพเตาย่างปลามาไม่ได้ค่ะ วันนั้นดันเอาเลนส์ฟิกซ์ 35mm ติดกล้องไปตัวเดียว)


ดีอย่างว่าร้านนี้ไม่มีโชว์แล่ปลาไหลให้ดูสดๆนะคะเนี่ย แค่บังเอิญไปเห็นเข้า(ดันนั่งโลเคชั่นดีเกิน)ตอนไปกิน Sushi-zanmai ก็ยังติดตาหยองๆมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ ภาพปลา(ไม่ใช่ปลาไหล)ตั้งแต่ตอนยังเต็มๆดัวดิ้นหลุดมือพ่อครัว...กระทั่งโดนแล่ จนตรงตัวเห็นเหลือแต่ก้าง...แล้วก็โดนเอาไม้กลัดหัวติดกับหาง วางเรียงไว้บนเขียงหลายๆหัว(สงสัยเตรียมไปทำหม้อไฟต่อ)

...ไอ้ที่หยองก็คือปลาทั้งหลายบนเขียงนั่นล่ะค่ะ ทั้งๆที่มีแต่ก้างและโดนกลัดอยู่อย่างนั้นแต่มันยังกระดึบๆเด้งๆบนเขียงได้อยู่เลย นี่ก็สดเกินไปค่ะ ไม่ไหวๆ ตั้งใจเลยว่าจะไม่ไปนั่งเคาเตอร์มุมนั้นอีกแล้ว เข็ดค่ะ ครั้งเดียวพอ

นอกเรื่องไปนิด...กลับมาที่ที่นั่งแคบๆของเราที่ร้าน Irokawa กันค่ะ ระหว่างรอไม่รู้จะถ่ายอะไรดีก็เลยถ่ายพัดสุดเก่าที่ร่ำลือกัน จนเหมือนเป็นหนึ่งสัญลักษณ์ของร้านมาด้วยค่ะ ก็ดูเก่าจริงสมที่เล่ากันมานะคะ ไม่รู้ว่าเก่าๆนี่มันมีผลช่วยให้พัดไฟติดถ่านได้ดีขึ้น หรือที่เห็นว่าเก่านี่จริงๆของใหม่แต่แค่มอมแมมเพราะฝุ่นถ่านก็ไม่รู้ค่ะ


เนื่องจากเตาย่างปลาทั้งร้านมีอยู่แค่เตาในภาพที่โชว์ไปนั่นล่ะค่ะ เล็กยิ่งกว่าโต๊ะทำงานอันแสนแคบของเราที่แล็บเสียอีก คนย่างก็มีอยู่คนเดียว ตอนที่พวกเราไปก็คนเต็มทุกที่นั่ง(แต่ร้านก็แคบๆน่ะนะคะ)เลยต้องรอกันแป๊บนึงค่ะกว่าจะได้กล่องนี้เสิร์ฟมา ทั้งร้านทุกโต๊ะเห็นมาเป็นกล่องหน้าตาแบบนี้หมดเลย อย่างนี้ถ้าสั่งกันคนละไซส์ตอนมาเสิร์ฟน่ากลัวต้องมีเปิดกล่องวัดขนาดปลากันค่ะว่ากล่องไหนปลาชิ้นใหญ่กว่า (ไม่งั้นก็ต้องถามคุณป้าคนเสิร์ฟ)


เปิดกล่องมาก็เจอปลาไหลย่างเสร็จใหม่ๆ(เห็นกับตา) ร้อนๆหอมๆ นอนแอ้งแม้งมาชิ้นเบ้อเริ่มอย่างนี้เลยค่ะ ที่เห็นดำๆนี่ก็ไม่ใช่ย่างไหม้ด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน แต่กินแล้วไม่มีกลิ่นไหม้อะไรเลยค่ะ (จะว่าไปคุณพี่ชายเรานี่มาจากไทยแท้ๆ แต่ไม่มีกลัวรังสีอะไรเลยค่ะ ดื่มนม กินผัก ซัดผลไม้ ทานปลาดิบปลาสุกเฉ๊ย)


สมัยมาญี่ปุ่นใหม่ๆยังกินปลาดิบไม่เป็น เราก็อาศัยกินซูชิหน้า Unagi หรือ Anago นี่ล่ะค่ะ แต่ตั้งแต่ดิดปลาดิบเข้าไปก็แทบไม่ได้กินปลาไหลอีกเลย แบบว่าครั้งสุดท้ายนี่นานจนจำไม่ได้เลยค่ะว่าเมื่อไหร่

ได้หวนกลับมากินอีกครั้งก็ที่ร้านชื่อดังนี้เลย สำหรับการกินครั้งแรกกับความคาดหวังที่สูงจากการอ่านรีวิว ก็ต้องบอกว่ารสชาติใช้ได้สมอายุร้านและคำร่ำลือค่ะ ปลาไหลไม่หวานเกินไป ไม่มีก้างให้ระคายคอ เข้ากับข้าวญี่ปุ่นร้อนๆนิ่มๆได้ดีจริงๆ จะตินิดนึงก็ตรงว่าเราไม่น่าโรยเจ้าผงสีเขียวในกระปุกรูปน้ำเต้านี่เลยค่ะ ไม่รู้คืออะไรแต่พอกินโดนแล้วมันรู้สึกลิ้นชาๆเสียรสปลาไหลช่วงแรกๆไปเลย


กินอิ่มแล้ว(เกลี้ยงไม่มีเหลือ) ก็แวะเดินย่อยที่วัด Sensoji ซะหน่อยค่ะ ไหนๆมาถึงนี่แล้ว (ถ่ายรูปมุมนี้แล้วอ๊วนอ้วน คุณพี่ชายก็ไม่มีบอกกันเล้ยยย เราจะได้จับเสื้อโค้ตอะไรให้มันกระชับเข้ามาอีกหน่อย )


วันเสาร์จะว่าคนเยอะก็เยอะนะคะขนาดว่าฝนตก แต่ก็เป็นคนญี่ปุ่นล้วนๆเลย (แปลว่าถ้าคนต่างชาติไม่หาย คนต้องยิ่งแน่นกว่านี้อีกค่ะ) บรรดาร้านค้าที่ขายพวกของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่นจ๋าๆก็เลยพลอยจะดูเหงาๆหงอยๆกันไปค่ะ (แต่ก็ยังเปิดขายกันอยู่)


โดยปกติที่ที่เป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวโตเกียวอย่างวัดนี้น่าจะเป็นที่ๆมีคนต่างชาติมาเที่ยวเยอะที่สุด แต่นี่ขนาดในช่วงซากุระบานกลับมีแต่คนญี่ปุ่นมากัน แม้จะดีอย่างว่าคนไม่เบียดดี แต่ส่วนตัวเราอยากจะเห็นบรรยากาศคึกคักแบบเดิมๆกลับมามากกว่าค่ะ...แบบว่าเห็นใจคนที่เค้าขยันทำมาหากิน (กลับกันเราจะไม่ค่อยเห็นใจคนที่ไม่แสดงความพยายามอะไรให้เห็น เอาแต่ร้องขอความช่วยเหลืออย่างเดียว)


ในบริเวณวัดก็มีซากุระกำลัง full bloom สวยหลายต้นเลยค่ะ แต่ก็ด้วยลมด้วยฝนพัดซะหัวกระจุยกระจาย ก็เลยไม่ค่อยมีอารมณ์เล็งภาพเท่าไหร่ ได้มาเบลอๆภาพนึงแบบนี้ล่ะค่ะ ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าถ่ายจากวัดนี้


ถึงพวกเราสองพี่น้องจะมาวัดนี้กันคนละหลายรอบแล้ว แต่รอบนี้พิเศษกว่ารอบอื่นตรงที่ได้ลองนั่ง Jinrikisha 人力車 กันเป็นครั้งแรกเลยค่ะ ขึ้นจากตรงแถวๆหน้า Kaminari-mon


เราอยู่ญี่ปุ่นมาเกือบ 5 ปีแล้ว ไปเที่ยวเจอรถลากแบบนี้มาไม่รู้กี่จังหวัดในญี่ปุ่นแต่ก็ไม่เคยคิดจะนั่งเลยสักครั้งค่ะ...รู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองเกินไป หนนี้นี่คือด้วยความอยากจะช่วยทดแทนนักท่องเที่ยวที่หายไปบ้างเลยตกลงลองนั่งกันสักครั้งค่ะ

นอกจากเรื่องอยากช่วยอุดหนุน อีกเหตุผลก็คือ...เราชอบและชื่นชมน่ะค่ะ
.
ชอบที่เห็นเค้ายังตั้งอกตั้งใจตะโกนร้องเรียกลูกค้ากันอย่างเต็มที่อยู่
.
ชื่นชมที่เค้าไม่ได้ทำท่าเบื่อโลกสิ้นหวังหรือท้อแท้แต่อย่างใดในสถานการณ์ลูกค้าต่างชาติ(ที่น่าจะเป็นรายได้หลักในเวลาปกติ)หายเรียบแบบนี้
.
ในเมื่อเค้าตั้งใจและไม่ยอมแพ้เราก็ยิ่งอยากจะช่วยสนับสนุนเท่าที่จะทำได้ค่ะ ในภาพด้านล่างนี่ถ้าดูหน้าเค้าชัดๆจะเห็นประกายตาฉายความกระตือรือล้นอยากจะให้บริการแบบเต็ม 1000% เลยค่ะ ไม่มีวี่แววความท้อแท้เลยสักนิด ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้เราประทับใจแบบสุดๆเลย


เราเองก็เพิ่งจะเคยเห็นด้านในรถนี่ชัดๆเป็นครั้งแรกค่ะ แปลกใจเล็กน้อยว่าข้างในหรูเลิศขนาดนี้เชียว เบาะเป็นสีแดงนิ่มๆบุกำมะหยี่ มีหมุดเหล็กติดอย่างหรูหรา ตัวรถก็ดำขลับเงาวับ ตอนจะขึ้นเค้าก็เอาเก้าอี้มารองให้ขึ้นแล้วช่วยจับเก้าอี้ไว้อย่างดี นั่งแล้วก็มีผ้าห่มกำมะหยี่นิ่มๆสีแดงให้วางตัก สุดท้ายก็ยังมีผ้าร่มสีแดงปิดมาจนถึงอกช่วยกันฝนด้วยค่ะ (จริงๆก็ไม่ชอบผ้ากันฝนนี่เท่าไหร่ค่ะเพราะบังตัวรถ แต่วันนั้นมันฝนตกก็ช่วยไม่ได้นะคะ เราเองก็ไม่อยากเปียกเหมือนกัน)


จากที่เค้าแนะนำมาวันนั้นซากุระกำลังบานเต็มที่พอดี พวกเราเลยเลือกเส้นทางเลียบแม่น้ำ Sumida ที่มีแนวต้นซากุระตลอดแนวค่ะ มาฤดูใบไม้ผลิทั้งทีก็ต้องเลือกไปทางที่จะเห็นสัญลักษณ์ประจำฤดูชัวร์อยู่แล้วนี่เนอะคะ


ได้เวลาออกรถ คนลากก็หันมาบอกให้พวกเราเตรียมตัว แล้วค่อยๆยกรถขึ้นอย่างนิ่มนวลสุดๆเลยค่ะ นิ่มกว่าเวลาเครื่องบิน take off หรือ landing แบบเทียบไม่ติด (ก็แล้วมันเทียบกันได้ซะที่ไหนล่ะเนอะ ) เห็นคนลากตัวเล็กๆอย่างนี้แต่ลากเราสองคนพร้อมรถไหวสบายๆ(รึเปล่า?)เลยค่ะ เค้าบอกว่าคนลากรถนี่คือถ้าใครทำไหว จะหญิงหรือชายก็ทำได้หมด ไม่ต้องสอบใบอนุญาตอะไรด้วย


ที่เส้นทางเลียบแม่น้ำ Sumida มองไปเห็น Tokyo Sky Tree อยู่ในหมอกด้านหลังแบบนี้ด้วยค่ะ เอาหัวเป็นประกันเลยว่าแถวนี้อนาคตจุดชมวิวยอดนิยมแน่นอน เล่นเห็นทั้งซากุระ ทั้งแม่น้ำ ทั้ง Sky Tree พร้อมกันซะขนาดนี้ แต่เนื่องด้วยวันนั้นอากาศไม่เป็นใจเราเลยได้ภาพ(ถ่ายจากบนรถลาก)มาแค่ประมาณนี้เองค่ะ แถมไม่ได้ลองล่องเรือตามแม่น้ำชมดอกซากุระด้วย (แต่วันรุ่งขึ้นที่เป็นวันอาทิตย์ที่อากาศดี เห็นจาก FB เพื่อนในญี่ปุ่นมุมบันไดนี้เลยค่ะ คนอย่างเพียบ)


อันนี้ไม่เกี่ยวกับทริปแต่พูดถึง Sky Tree แล้วก็นึกถึงเรื่องนี้ได้ค่ะ เราเพิ่งรู้เมื่อเดือนก่อนนี้เองว่าจริงๆ Tokyo Tower นี่ไม่ได้ชื่อว่า Tokyo Tower มาแต่แรก ชื่อจริงๆแต่เดิมคือ Nippon-denpato 日本電波塔 หรือแปลกันตรงๆประมาณว่าว่าหอส่งสัญญาณของญี่ปุ่นค่ะ


กลับมาที่รถลากนะคะ...ระหว่างที่ลากเราสองคนไป คนลากเค้าก็คอยหันมาอธิบายเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆให้เราฟังเรื่อยๆอย่างกระตือรือล้น(ภาษาญี่ปุ่นล้วนค่ะ) เช่น เดี๋ยวนี้งานที่เป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นคือ รับมานั่งจองเสื่อสำหรับฮานามิให้ (ที่ญี่ปุ่น ถ้าใครเอาเสื่อเปล่าๆมาปู ไม่มีคนอยู่นั่งจอง เสื่อจะโดนคนดูแลสวนเก็บไปค่ะ) อันนี้ขอเดาต่อเองเลยว่าตอนงานฮานาบิ หรือ ดอกไม้ไฟก็คงครือๆกัน (เสียดาย..ลืมถามมาค่ะว่าได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่กันบ้าง)


แม้อากาศไม่เป็นใจฝนตกไม่หยุด แต่มาถึงแถวนี้นั่งรถแบบนี้ทั้งทีก็ต้องขอที่ระลึกกันบ้างค่ะ คนลากเค้าก็ค่อยๆหย่อนรถลงอย่างเบามือสุดๆ แล้วช่วยเอากล้องเราไปเล็งถ่ายให้อย่างดีเลยค่ะ (ส่วนเราก็ได้แต่เขกหัวตัวเองอยู่ในใจว่าไม่น่าเอาเลนส์ฟิกซ์มาวันอย่างนี้เลย ไม่งั้นเค้าคงซูมอะไรให้ได้มุมกว้างๆสวยๆได้มากกว่านี้ ดูสิคะไม่ได้รถมาเต็มๆคันเลย)


ออกจากริมแม่น้ำ Sumida กลับมาที่ถนนแล้ว ลากๆไปเค้าก็หันมาบรรยายเกร็ดความรู้อีกว่า รู้ไหมทำไมแถวนี้ถึงมีร้านรองเท้าเยอะ?? เออ..นั่นสิเนอะคะ ถ้าเค้าไม่บอกเราก็ไม่ทันสังเกตเลยค่ะว่าร้านรองเท้าเรียงกันเป็นตับเชียว

เห็นว่าสาเหตก็เพราะแต่ก่อนคนเค้าแต่งตัวสวยๆมาเที่ยวที่นี่กัน แต่รองเท้าเกี๊ยะเจ้ากรรมก็ดันพังง่าย ลงเอยคนเลยต้องมาซื้อใหม่กันแถวนี้เอง (แต่งตัวสวยแล้วจะปล่อยให้เดินเท้าเปล่าได้ไงล่ะเนอะคะ จะให้เดินลากๆหรือกะเผลกๆก็คงไม่งามสมชุด อย่ากระนั้นเลยซื้อคู่ใหม่มันที่นี่ล่ะ) จากร้านเกี๊ยะสมัยก่อนตอนนี้ก็พัฒนามาเป็นร้านรองเท้าเรียงกันฉะนี้แหล่ะค่ะ


กำลังจะเลี้ยวเข้าสู่ถนนหน้า Kaminari-mon เค้าก็หันมาแนะนำ 神谷バー Kamiya bar ที่ตรงหัวมุมนี้อีกค่ะว่า highly recommend สำหรับใครที่ดื่มแอลกอฮอล์ เห็นว่ามีทั้งเหล้าญี่ปุ่นและต่างประเทศเพียบเลยนะคะ (แต่สองพี่น้องไม่ดื่มกันสักคน เป็นอันตกไปค่ะ)


เกร็ดความรู้สุดท้ายคือเจ้าฟองเบียร์สีทองนี่ค่ะ คิดว่าหลายๆคนคงรู้จักฟองเบียร์นี่ดีอยู่แล้ว(โดยเฉพาะในชื่อเล่นว่า อุนจิ ) แต่ฐานข้างใต้นี่เราเพิ่งรู้ค่ะว่าเค้าตั้งใจออกแบบมาให้มีรูปร่างเหมือนกับฐานคบเพลิงโอลิมปิคด้วย


เนื่องด้วยฝนตกน่ะนะคะ รถก็เลยติดบ้างนิดหน่อย แม้จะเป็นรถลากก็ไม่มีอภิสิทธิ์พิเศษค่ะ ตอนไฟแดงทุกคันต้องหยุดรอสัญญาณไฟหมดไม่มีไปซิกแซกซอกซอนตามช่องไฟระหว่างรถคันอื่น


ลงท้ายกว่าจะวนกลับมาแถวๆหน้า Kaminari-mon อีกครั้งก็เกินเวลาไปซะแล้วค่ะ จริงๆซื้อแบบ 2คน/10นาที/3000เยน แต่ไปๆมาๆกลายเป็น 17 นาทีแทน ภาพล่างนี้คือก้นรถลากของบริษัท Ebisu ที่พวกเรานั่งค่ะ ไม่มีป้ายโฆษณาแปะเหมือนยี่ห้ออื่นที่ภาพด้านบน เราว่าดูสวยคลาสสิคกว่านะคะ


เนื่องด้วยเค้าบริการดีมากกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ แบบว่ามี 100 ใส่มาให้พวกเราซะ 1000 ทั้งสุภาพ กระตือรือล้น ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยระวังตอนขึ้นลงให้อย่างดี อย่างกับพวกเราเป็นแขกระดับ Super Platinum Diamond VIP อะไรอย่างนั้นเลยค่ะ (ทั้งที่จริงๆแล้วซื้อแค่คอร์สถูกสุดของเค้า )

เจอบริการดีสุดๆแบบนี้เข้า เรากับคุณพี่ชาย(ที่มาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยมากๆ ได้เที่ยวประเทศนี้ทั่วกว่าและเยอะกว่าเราอีกค่ะ)นี่เกรงใจเค้ามากเลยว่ามันเลยเวลานะเนี่ย แต่เค้าก็บอกว่ามันฝนตกเลยรถติดไม่เป็นไรๆ คือไงดีล่ะคะ เค้าบริการดีมากกกกกกกกก จนเราอยากจะขอจ่ายเงินเพิ่มให้ตามเวลาที่ใช้บริการจริงๆเลยน่ะค่ะ (เพราะธรรมเนียมให้ tip ไม่มีที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วตามปกติ)

คนอยู่โตเกียวมาเข้าปีที่ห้าอย่างเรา แน่นอนว่ามาตรฐานการบริการของคนญี่ปุ่นน่ะชินแล้วค่ะ แต่มันก็มีบางครั้งเหมือนกันนะคะที่รู้สึกว่ามันดีมากจนคาดไม่ถึง ดีจนถึงขั้นว่าประทับใจไม่มีวันลืมเลยว่าขนาดไม่ได้มีทิปหรืออะไรให้ ยังบริการคนต่างชาติอย่างเราซะขนาดนี้เชียว อยู่โตเกียวมาถึงปัจจุบันบริการรถลากนี้เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นค่ะที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกประทับใจในบริการอย่างสุดๆอย่างนี้ได้ ส่วนครั้งแรกเคยเขียนไว้ที่ บล็อคนี้ ค่ะ (เราไม่ได้ประทับใจขนาดนี้กันบ่อยๆนะคะบอกไว้ก่อน )

บริการนี้เป็นแบบนั่งก่อนจ่ายทีหลังค่ะ หลังจากเอาเก้าอี้มารองอย่างดีให้พวกเราเหยียบลงแล้ว เค้าก็หันไปพับผ้าห่มเก็บซะเรียบร้อยอย่างไม่กลัวลูกค้าชิ่งหนีไม่จ่ายเงินค่าบริการเลย (ผู้หญิงอย่างเรานี่ หลายหนที่รู้สึกอายว่าเราเรียบร้อยไม่เท่าผู้ชายคนญี่ปุ่นเค้าด้วยซ้ำ เช่น บนเครื่องบิน JAL, ANA ที่คนญี่ปุ่นม้วนสายหูฟังก่อนยื่นคืนให้แอร์ แถมพับผ้าห่มเก็บอย่างดีก่อนลงจากเครื่อง ส่วนเรา.....เอ่อ...........ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันนะคะ)


ภาพล่างคือใบเสร็จค่ะ มีติดคูปองลดราคา 10% ของรถลาก Ebisu ที่สามารถใช้ได้ทั่วประเทศภายในระยะเวลา 3 ปีด้วย นอกจากนั้นก็มีแบบสอบถามและประเมินเรื่องว่าบริการดีมั๊ย ซึ่งเราจัดการเขียนชมซะเว่อร์(แต่ก็ตามจริงนะคะ)ส่งไปให้เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ


นอกจากบิลก็มีของที่ระลึก(ฟรี)เป็นสติกเกอร์ตามฤดูค่ะ ไปตอนใบไม้ผลิก็ได้สีแดงนี้มาคนละอัน (เค้ามีคอร์สของเค้านะคะ ถ้าซื้อคอร์สอื่นๆแพงกว่านี้ก็มีของที่ระลึกพิเศษเฉพาะให้เพิ่มอีก)


สำหรับสติกเกอร์ที่ระลึกฤดูอื่นๆก็ตามในภาพเลยค่ะ ส่วนตัวชอบของฤดูร้อนว่าภาพดูตลกดี วิ่งลากรถกันเหงื่อตกเชียว


แถมโบชัวร์ชัดๆของรถลากบริษัท Ebisu สาขา Kaminari-mon ให้อีกค่ะ จริงๆรถลากบริษัทอื่นก็น่าจะบริการดีเหมือนกัน แต่เราปลื้มและประทับใจกับบริการของคนนี้ที่บริษัทนี้ไปมากๆๆๆซะแล้ว จากคนที่ไม่เคยคิดจะนั่งรถพวกนี้กลายเป็นตั้งใจไว้เลยค่ะว่าจะต้องกลับมาช่วยใช้บริการอีกให้ได้เลย อยากเห็นตอนช่วงหน้าร้อนด้วยค่ะว่าร้อนอยากตายแบบที่ญี่ปุ่นนี่ยังลากกันไหวจริงๆอ้ะ


ช่วงบ่ายฝนหยุดก็ไปต่อกันที่ Akihabara ค่ะ ขนาดว่าคนต่างชาติหายแล้ววันเสาร์ก็ยังคนเยอะขนาดนี้เลย


ในภาพนี่คือ สาวๆกระทิงแดงสาขาญี่ปุ่นเค้ามาแจกอะไรสักอย่างค่ะ เห็นต่อคิวกันยาวเลย ก็ไม่รู้ว่าของมันน่าสนใจ หรือ คนแจกน่าสนใจกันแน่นะคะเนี่ย


โดยปกติถ้ามาอากิบะเรามักจะอยู่แต่ใน Yodobashi Camera ค่ะ(ก็คือมาจากทางเชื่อมสถานีรถไฟเข้าที่นี่เลย ไม่ได้ออกไปเดินข้างนอก) เพราะสาขานี้ถือเป็นร้านเครื่องไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว ขายของเยอะ ประมาณว่าถ้าของที่เราอยากได้ไม่มีขายที่สาขานี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปหาที่สาขาอื่นแล้วล่ะค่ะ


ปกติเราอยู่แต่ชั้นขายกล้อง เพิ่งเคยได้สำรวจชั้นอื่นครบๆวันนั้นเองค่ะ ชั้นบนๆนี่เรียกว่าครบวงจรจริงๆ น้ำหอมราคาถูกเพียบ(คุณพี่ชายบอกว่าถูกยิ่งกว่า duty free ซะอีก แถมไม่ใช่พวกตกรุ่นขายไม่ออกด้วยนะคะ) เครื่องสำอางเหมือนยกร้านขายยามาตั้ง แล้วก็ยังมีของเล่นของใช้ในบ้านน่าสนใจอีก เราว่าเป็นอีกทางเลือกที่ดีนะคะ มาที่เดียวมีอะไรให้ดูกันได้ทุกเพศทุกวัยเลย ไม่ได้มีแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างที่คิดกัน เหนื่อยๆมาก็มีร้านอาหารร้านขนมให้นั่งกินนั่งพัก ข้างนอกจะฝนตกหรือแดดออกก็ไม่เกี่ยวกันค่ะ (อีกที่ที่เราคิดว่าน่าสนใจพอๆกันคือ Tokyu Hands ค่ะ เดินเพลินดี)

สำหรับวันนั้นเราได้ของน่าสนใจในภาพนี้มาค่ะ เห็นครั้งแรกก็ว่า เออนะ...ไอเดียดีจังช่างคิดดีแท้ๆ คือ มันเป็นอะไรที่ผลิตไม่ยากนะคะ ปัญหาคือใครจะเป็นคนต้นคิดไอเดียออกมานี่สิ อันนี้ใช้ไปเสียบกับที่เสียบฝักบัวแล้วแขวนซอง refill พวกสบู่และแชมพูได้โดยไม่ต้องกรอกใส่ขวดค่ะ ลองใช้แล้วก็ชอบเลย ช่วยลดพื้นที่ในการวางขวดต่างๆในห้องน้ำไปได้ แขวนไว้อย่างนี้ไม่มีหลุดไม่มีหล่นไม่มีรั่วเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ (อันนี้ไม่ใช่ของ 100yen นะคะ ประมาณพันเยนนิดๆค่ะ)


เขียนไปเขียนมาชักจะนอกเรื่องซากุระไปไกลซะแล้ว ไหนๆแล้วขอนอกเรื่องอีกนิดแนะนำร้านอาหารนี้อีกร้านค่ะชื่อร้าน Saizeriya (ในภาพล่างคือสาขาที่อากิบะค่ะ)


ร้านนี้มีสาขาเยอะ แถมแต่ล่ะที่ก็คนเยอะซะด้วย ถ้าไปตอนวันหยุดช่วงทานข้าวนี่ก็ต้องรอคิวกันบ้างแต่มักไม่นานเพราะร้านกว้าง ที่นั่งเยอะ นั่งแยกโต๊ะวางของกันสบายๆได้ค่ะ (หลายโต๊ะก็เห็นนั่งคุยกันนานเลย เพราะ soft drink เติมได้เรื่อยๆไม่มีจำกัดเวลา) เท่าที่เห็นมาร้านนี้ส่วนใหญ่จะเปิดถึงดึกนะคะ บางสาขาก็เปิด 24 hours ด้วยให้สังเกตป้ายสีเขียวๆอย่างนี้ไว้ค่ะ ในย่านคนเยอะๆเราเจอร้านนี้ประจำเลย (สาขาที่อุเอโนะ มีอยู่ที่ชั้นสองของร้าน Sushi-zanmai พอดีเป๊ะค่ะ)

อาหารที่นี่เป็นแนวฟิวชั่น ฝรั่ง+ญี่ปุ่น ค่ะ ชื่อจะฟังดูฝรั่งจ๋ามากๆอย่างซุป พาสต้า พิซซ่า สเต๊ก แฮมเบอร์เกอร์ เค้ก เป็นต้น แต่รสชาติเป็นแบบที่ปรับมาให้เข้ากับคนญี่ปุ่นแล้วนะคะ ยิ่งถ้าในกลุ่มที่มาด้วยกันเกิดมีคนไม่ทานของดิบ ไม่ชอบราเม็งหรืออะไรขึ้นมา เราว่าร้านนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่า นั่งสบายกว่า อาหารอร่อยกว่า(สำหรับเรานะคะ) เทียบกับพวกร้าน 24hours อื่นๆตระกูลๆ Sukiya, Yoshinoya, Matsuya น่ะค่ะ


ส่วนตัวเราชอบว่าอาหารที่นี่อร่อยดี ราคาก็ไม่ค่อยแพง บรรยากาศนั่งสบายๆ มี drink bar ให้กดเติม soft drink กันได้ไม่อั้นด้วย ปีก่อนๆเคยชวนคุณพี่ชาย(ที่มาเที่ยว)มากินเค้าก็ร้องไม่เอาๆ เพราะมาญี่ปุ่นทั้งทีก็อยากกินอาหารญี่ปุ่นมากกว่า แต่พอได้ลองมากินจริงๆแล้วเค้ากลับชอบค่ะ เพราะรสชาติมันก็คือรสแบบญี่ปุ่นดีๆนี่เอง


เรื่องอาหารนี่จริงๆเป็นอะไรที่น่าปวดหัวมากค่ะ โดยเฉพาะเวลา(คนจากไทย)มาเที่ยวกันหลายคน ต้องมีปัญหากันเรื่องกินทุกทีไป คนนึงจะกินนู่น อีกคนไม่เอาจะกินนี่ เราคนกลางนี่ก็ได้แต่เซ็งค่ะถ้าเป็นไปได้ก็ให้แยกกันไปกินซะให้รู้แล้วรู้รอดเลย แต่บางทีมันก็แยกกันไม่ได้น่ะค่ะต้องไปด้วยกัน ลงท้ายก็ต้องมีคนนึงเสียอารมณ์เรื่องเลือกร้านอาหารทุกที

กลับมาที่สถานีอากิบะค่ะ ใกล้ๆสถานีเห็นร้าน Sushi-zanmai เลยแชะมาซะหน่อย(ภาพล่าง) ดูเหมือนสาขานี้จะมีรีวิวแนะนำกันไว้ในรีวิวชูชกที่ blueplanet มั้งคะ แต่เท่าที่เราเห็นผ่านๆดูเล็กกว่าสาขาอุเอโนะพอควรเลย


ถ้า Sushizanmai สาขาที่อุเอโนะก็ใหญ่อย่างภาพล่างนี้เลยค่ะ(ร้านอยู่ชั้น 1) ข้างในก็กว้างดูโอ่อ่าดี ส่วนร้านที่เห็นอยู่ชั้นสองในภาพก็คือ Saizeriya นะคะ(เรายังไม่เคยทานสาขานี้เลยอธิบายข้างในไม่ถูกค่ะ)


วันนั้นช้อปเสร็จอะไรเสร็จก็ขึ้นรถไฟ(สถานีเดียว)กลับ Okachimachi กันค่ะ ระหว่างทางก็เจอป้ายทัวร์ไปเช้าเย็นกลับ มีเก็บสตรอเบอรี่ แช่ออนเซ็น และ อาหารกลางวันด้วย ปลายทางอยู่ที่จังหวัด Yamanashi 山梨 ค่ะ ดูแล้วน่าไปเหมือนกันแต่ช่วงนั้น(จนถึงปัจจุบัน)เรายุ่งจริงๆค่ะแค่เท่าที่แอบไปมานี่ก็เต็มที่แล้ว ไปมาทีก็ต้องเอาวันเสาร์อาทิตย์เราไปทำงานทดแทนที แทบไม่ได้อยู่ติดบ้านนอนสบายๆเลยค่ะหลายเดือนนี้


ว่าไปแล้ววันนั้นเป็นอะไรที่กินแหลกมากค่ะ เที่ยงกินปลาไหล เย็นๆกินสเต๊ก ค่ำมายังไม่พออุตส่าห์ไปกินข้าวปลาดิบร้านโปรด Minatoya ที่ Ameyoko อีก จริงๆก็กะไม่กินแล้วนะคะแต่เดินผ่านแล้วเห็นร้านมันอดไม่ได้น่ะค่ะ คนมันชอบกินปลาดิบม๊ากมาก (ป้ายหน้าอาเมโยโกะเขียนไว้ว่า Minna-de-ganbaro-nippon)


ร้าน Minatoya นี่ถ้าเป็นช่วงใกล้ๆปิดร้าน (ทุ่มกว่าๆ) เค้าจะมี mini-don ไซส์จิ๋วราคาพิเศษ 500 yen ด้วยนะคะ เลือกสั่ง mini-don จากเมนูปกติอันไหนของร้านก็ได้ค่ะ (ทางไปร้านลองจิ้มดูที่ บล็อคนี้ นะคะ สั้นๆคือเป็นร้านข้าวปลาดิบที่เราแนะนำค่ะ ทั้งอร่อยกว่า ถูกกว่า ให้เยอะกว่าร้านข้าวดิบอื่นๆที่เราเคยกินมาค่ะ)


เทียบกับขนาดแก้วกระดาษใบเล็กๆให้ดูค่ะ ชามจิ๋วน่ารักเชียว(ข้าวน้อยดีด้วยค่ะ) จะว่าไปแซลมอนส่วนที่สีออกขาวๆนี่มันคือส่วนไหนก็ไม่รู้ค่ะ เราชอบแบบสีส้มมากกว่า จำไม่ได้ว่าเริ่มมีสีขาวๆนี่มาปนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน (แบบว่าหลังๆงานยุ่งกินแต่เบนโตะ Lawson ตลอดเลยค่ะ ไม่ได้เดินไปหาของโปรดของอร่อยกินเท่าไหร่)


.
.
.
.

ถึงตรงนี้คนเขียนเหนื่อยแล้ว และคาดว่าคนอ่านก็คงเหนื่อยเช่นกัน เลยขอตัดจบบล็อคนี้ไว้ตรงนี้ที่หมดทริปสั้นๆหนึ่งวันในโตเกียวนี้นะคะ ออกจะเน้นไปทางกินมากกว่าซากุระเสียอีก

สำหรับ The WHITE of Spring in Japan 2011 ยังเหลือบทสรุปอีกหน่อยนึงขอยกยอดไปบล็อคหน้าแทนหน้านี้จะได้ไม่ยาวยืดยาดไปยิ่งกว่านี้นะคะ (มีวี่แววว่ากว่าจะเขียนครบทุกสีของใบไม้ผลิ คงเกือบหมดหน้าร้อนแล้ว เผลอๆจะน็อครอบไปใบไม้ร่วงที่รูปจากปีก่อนยังดองอยู่ใน HDD นี่ยังไม่พูดถึงทริปหน้าร้อนปีก่อนที่ยังเขียนบล็อคค้างๆคาๆไว้ที่โกเบอีกนะคะเนี่ย )



The Colors of Spring in Japan 2011

1. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 1st Episode:: The WHITE of Plum Flower and Sakura
2. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 2nd Episode:: The WHITE Spirit of Japanese
3. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 3rd Episode:: The WHITE of Sakura-Panda
4. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 4th Episode:: The YELLOW of Nanohana กับประสบการณ์โดนน้องแกะ...
5.
6.



ภาพในบล็อคนี้ถ่ายด้วย Canon EOS KissX3 + ef 35mm f/1.4L (มีภาพจาก Sony NEX-5 ปนมาสองภาพ) แต่อยากบอกว่าภาพอัลบั้มนี้หลายภาพไม่สมคุณภาพของ 35L เลยค่ะ แบบว่าอาจหาญถือกล้องถ่ายกันมือเดียว(อีกมือถือร่ม) ฝนก็ตกแสงไม่ค่อยมี ภาพเบลอโฟกัสไม่เข้าเพียบเลย

สรุปส่วนตัวว่า เลนส์ฟิกซ์นี่ไม่ค่อยเหมาะกับการถ่ายแบบสักแต่กดจริงๆค่ะ ต้องแบบ..ตั้งใจถ่ายกันหน่อย ถึงจะดึงคุณภาพออกมาได้ หนนี้พลาดไปแล้วเลือกเลนส์ไม่เหมาะกับสถานการณ์(=วิ่งไปถ่ายไป)เลยค่ะ


>> คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ในอัลบั้มเต็มของบล็อคนี้ใน SkyDrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 22 มีนาคม 2556 18:27:47 น.
Counter : 3968 Pageviews.  

@Tokyo เรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่องนั้น สถานการณ์ต่างๆตั้งแต่กลับมาโตเกียว :: เรื่องโรงเรียน โรงไฟฟ้า และ ไฟดับ


อันนี้จริงๆคิดจะเขียนนานมากกกกกก ตั้งแต่เมษาโน่นแน่ะค่ะ(อัพเดตถึงปัจจุบันต้นๆมิถุนา) ไปๆมาๆก็เป็นเดือนสองเดือนกว่าแล้ว จนข้อมูลที่รวมๆไว้เริ่มจะเน่าและพอกหางหมู ไหนๆมีเขียนคร่าวๆไว้ในกระทู้ที่โพสใน blueplanet ก็เลยมาค่อยๆเพิ่มเติมวันละนิดละหน่อยจนได้เป็นบล็อคแสนยาวนี้แยกออกมานะคะ ก็จะพูดถึงหลายๆประเด็นน่ะค่ะ บล็อคนี้เริ่มจากเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับแผ่นดินไหวและของกินก่อน มีหัวข้อดังนี้ค่ะเผื่อจะคลิกๆข้ามอันที่ไม่สนใจไปได้

1. จากบ้านเราที่ไทยสู่บ้านเราที่ญี่ปุ่น
2. เรื่องของโรงเรียนและมหาลัย
3. เรื่องของโรงไฟฟ้า (ขอเตือนก่อนว่าอันนี้ยาวสุดเลยนะคะ ก็มีทุกข่าวและข้อมูลเท่าที่เรารู้น่ะค่ะ)
4. เรื่องของไฟฟ้า


จากบ้านเราที่ไทยสู่บ้านเราที่ญี่ปุ่น


อย่างที่รู้ๆกัน(จากบล็อคก่อนๆ)ว่าหลังแผ่นดินไหวเราก็คนนึงที่หอบหิ้วงานกลับมาทำที่ไทยแทนระยะหนึ่ง ในระหว่างนั้นก็ดีตรงว่าไม่ต้องมานั่งจ้องข่าว NHK 24 ชั่วโมง เครียดน้อยลงเยอะ แต่ก็ใช่ว่าจะสบายใจชิวๆนะคะ กลุ้มอยู่ตลอดเลยว่างานที่หอบกลับมามันไม่ค่อยจะคืบหน้าเอาซะเลย ทั้งๆที่เราไม่ได้ไปไหนเลยนั่งทำอยู่ตลอดเวลา แต่ไปๆมาๆทำที่ไทย 2 อาทิตย์ยังได้งานไม่เท่าอยู่ญี่ปุ่น 2 วันด้วยซ้ำค่ะ ... อาการนี้ไม่ใช่เราเป็นคนเดียวด้วยนะคะ แต่น้องๆคนไทยคนอื่นๆก็เหมือนกันเด๊ะเลย (บางคนยิ่งบอกว่าทำที่ไทยทั้งเดือน เผลอๆยังได้งานไม่เท่าอยู่ญี่ปุ่นไม่กี่วันด้วยซ้ำ)

สรุปว่าถึงอยู่ไทยก็ไม่ได้พักค่ะแค่เปลี่ยนประเทศนั่งทำงานเฉยๆ แต่จริงๆก็พอจะชินแล้วเพราะคนกลับไทยปีละสองหน(ถือว่ากลับบ่อยกว่าคนไทยส่วนใหญ่)อย่างเรานี่ นับครั้งที่กลับไปตัวเปล่าๆไม่มีงานหนีบไปด้วยได้ไม่ถึง 4 ครั้งด้วยซ้ำ ที่เหลือคือกลับไปให้ที่บ้านเห็นหน้าเฉยๆ แต่งานยังต้องทำเหมือนเดิมค่ะ ส่งรายงานติดต่ออาจารย์ทางเมลเอา แต่ก็ด้วยว่าคุณพ่อชวนไปกินๆๆอยู่เรื่อย นั่งรถกลับบ้านทีก็เป็นชั่วโมง ไปๆมาๆเวลาทำงานเรามันหายไปไหนหมดไม่รู้ค่ะเนี่ย ก็กลุ้มเรื่องงานจนไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวไหนเลย

ตอนที่ถึงไทยใหม่ๆก็มีคลิปนี้ที่มี artist ญี่ปุ่นคนนึงทำออกมาเพื่ออธิบายสถานการณ์ให้คนเข้าใจกันได้ง่ายๆ อันนี้แถมมี subtitle ภาษาไทยด้วยค่ะ (ขนาดคนญี่ปุ่นเองยังบอกว่าข่าวโรงไฟฟ้าฟังยากเลยค่ะ แบบว่ามันมีศัพท์เฉพาะเยอะ ขนาดมีรูปประกอบเพียบตามประสาสื่อญี่ปุ่น เด็กวิทย์อ่อนภาษาญี่ปุ่นอย่างเราก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะ)


ระหว่างที่อยู่ไทย จะว่าหนีเสือปะจรเข้ก็ไม่เชิงนะคะ หนีจากแผ่นดินไหวญี่ปุ่นมาเจอแผ่นดินไหว(แถมข่าวน้ำท่วม)ที่ไทยอีกแน่ะ(จริงๆศูนย์กลางอยู่พม่าโน่น แต่ไหวแรงเลยส่งต่อกันมาจนรู้สึกสั่นได้หน่อยๆที่ตึกสูงๆในกรุงเทพ) แต่เอาจริงๆแผ่นดินไหวนี่เราก็ไม่รู้สึกอะไรเลยนะคะ คุณแฟนโทรมาบอกว่าตะกี้มีแผ่นดินไหวที่สั่นมาถึงกรุงเทพเราถึงจะรู้นี่ล่ะค่ะ ดูคร่าวๆเบื้องต้นที่รายงานความเสียหายจากแถบภาคเหนือ(คิดรวมไปด้วยว่าการก่อสร้างที่ไทยไม่ได้สร้างบ้านมาให้ทนแผ่นดินไหวเลย)ก็สรุปได้ว่าไทยได้ผลแผ่นดินไหวมานิดเดียวเท่านั้นค่ะ ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยเฉยๆชิวๆค่ะ แต่ก็เอามาพูดกันขำๆได้อยู่ว่าไปไหนก็เจอแผ่นดินไหว ;P

และแล้วก็ได้หมดห่วงเรื่องงาน เพราะต้นเมษาได้เวลากลับญี่ปุ่นแล้วค่ะ จริงๆตั๋วเราทาง ANA บอกว่าช่วงนี้เค้าให้เปลี่ยนได้ เลื่อนวันกลับไปได้ถึง กค เลย แต่ดูลาดเลาแล้วก็ไม่ได้แล้วค่ะ ภาษาญี่ปุ่นต้องบอกว่า Yabai やばい แล้ว (คือ อันตรายแล้ว จวนเจียนแล้ว จะแย่แล้วทำนองนี้น่ะค่ะ) ถ้าเราไม่กลับไปตอนนั้นล่ะก็อาจไม่ได้จบก็เป็นได้ แล้วใครๆเค้าก็กลับกันไปอยู่เป็นเพื่อนกันหมดแล้วด้วย ข่าวก็มาว่าบรรยากาศ(เกือบ)ปกติดี

ก็มีคุณพ่อเรานี่ล่ะค่ะที่ไปโดนคนอื่นที่ไม่ได้ตามข่าวใกล้ชิดไซโคมา มีเปรยๆว่า ดร็อปไปเทอมนึงดีมั๊ย ...ซึ่งนี่ไม่ไหวค่ะ ต้องขอจริงๆว่าเรายอมไม่ได้ค่ะเรื่องนี้ เพราะมันไม่ได้อันตรายขนาดจะยอมทิ้งการเรียนการวิจัยที่เราทำมาจนป่านนี้ไปกลางคัน ในขณะที่มันเหลืออีกนิดดดดดเดียวเท่านั้น

ถึงวันขึ้นเครื่องเคาเตอร์เช็คอิน ANA ที่สุวรรณภูมินี่โล่งเชียวค่ะ แต่มีข่าวดีมากๆจาก ANA (เห็นว่า JAL ก็ด้วยนะคะ) คือ เค้าเปลี่ยนกฏเรื่องน้ำหนักกระเป๋าแล้ว สำหรับ economy จำกัดว่าใบนึงหนักได้ไม่เกิน 23kg แต่หนึ่งคนให้โหลดได้สองใบเลยถ้าเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ ยิ่งถ้านั่ง business หรือ first class นี่ขนกันไปได้ 60-90 กิโล ไม่ต้องพึ่งบริการส่งของทางเรือกันก็คราวนี้ล่ะค่ะ (เค้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับเหตุแผ่นดินไหวนะคะ แต่มีแพลนจะเปลี่ยนเพื่อให้เหมือนๆกับสายการบินทาง US อยู่แล้ว)


เที่ยวบินนั้นตอนต้นเมษาของ ANA ขนาดว่ารวม UA และ TG มาเป็นสามไฟลท์ในเที่ยวบินเดียวกันแล้วที่นั่งก็ยังว่างค่ะ แต่ก็ไม่ได้ว่างขนาดว่าโล่งโจ้ง แต่ว่างประมาณว่าทุกคนสามารถเลือกนั่งริมทางเดินได้โดยไม่มีใครคนอื่นมาขนาบข้างๆน่ะค่ะ (แต่ทุกแถวก็มีคนนั่งกันหมดนะคะ)


มาถึงนาริตะก็แน่นอนค่ะว่าต้องเจอมาตรการประหยัดไฟ บันไดเลื่อนปิดหลายๆจุด ตรง immigration ก็โล่งดีผ่านได้สบายค่ะ (แต่ปกติเรามีแสตมป์ re-entry ก็เข้าช่อง re-entry คนมักไม่เยอะอยู่แล้วค่ะ เคยมีคนเข้าใจผิดว่า re-entry คือช่องสำหรับคนที่เคยมาญี่ปุ่นแล้ว มาอีกรอบให้เข้าช่องนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เลยนะคะ re-entry นี่คือต้องมีสแตมป์ re-entry ติดอยู่ในพาสปอร์ตเพิ่มจากวีซ่าเลยค่ะ อย่างเราถือวีซ่านักเรียนเดินทางต่างประเทศบ่อยๆก็มีซื้อ multiple re-entry เป็นสแตมป์สี่เหลี่ยมติดอยู่ในพาสปอร์ตค่ะ)


ถึงแม้บันไดเลื่อนจะมีปิดเพราะประหยัดไฟ แต่บันไดเลื่อนที่จำเป็น เช่น แถวที่ต้องลากกระเป๋าเดินทางหนักๆเพื่อไปขึ้นรถไฟ พวกนี้ยังเปิดอยู่นะคะ แต่ก็จะเปิดน้อยลง ถ้าเดิมเคยเปิดสองอันคู่ก็ปิดเหลืออันเดียวอะไรทำนองนี้น่ะค่ะ

ตอนอยู่ไทยอัพเดตข่าวจากเพื่อนๆที่ทยอยกันกลับมาญี่ปุ่น ได้ยินว่า Keisei เปิดแต่แบบ Local จอดทุกสถานีก็เตรียมใจเมื่อยก้นมาแล้วล่ะค่ะ แต่โชคดีตอนเรามาถึง Limited Express มันกลับมาทุก 20 นาทีเหมือนเดิมแล้ว (นั่ง Keisei จากสนามบินนี่อย่าได้พลาดไปนั่งคัน Local เชียวนะคะ ไม่งั้นเมื่อยก้นกันกว่า 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว เราเคยพลาดมาทีนึงเข็ดมากค่ะ)


ลงรถไฟที่ Keisei Ueno Stn. เดินลากกระเป๋าสูดอากาศรายทางไป ดีใจไปว่า เย้...เราได้กลับมาแล้ว แต่ปรากฏว่ากลับไปที่ห้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันค่ะ...ตู้เย็นเราอีท่าไหนก็ไม่รู้ช่องแช่แข็งอ้าค้างเปิดอยู่ ของสดข้างในเลยต้องทิ้งหมด สุดๆของความเสียดายเลยช่วงนี้ยิ่งควรจะต้องช่วยๆกันใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าอยู่ด้วยค่ะเนี่ย เสียดายไม่พอแถมยังต้องมาแซะน้ำแข็งที่เกาะหนาเป็นภูเขาน้ำแข็งย่อมๆในตู้เย็นจนมือชากันไป(สอง)ข้างเลย

สาเหตก็คิดว่าคงเพราะของในช่องแข็งมันเยอะ(ตู้เย็นเล็กๆน่ะค่ะ) เจอ aftershock ลูกที่แรงๆเข้าไปฝาตู้เย็นก็เลยเปิดผลัวะด้วยประการฉะนี้ (เพราะในห้องพวกลิ้นชักก็โดนเขย่าจนเปิดอ้าค้างอยู่เหมือนกันค่ะ) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ตอนนี้ไปหาซื้อเข็มขัดมาติดล็อคฝาตู้เย็น รวมถึงลิ้นชัก และ ฝาตู้ต่างๆเรียบร้อยแล้วค่ะ (จริงๆของพวกนี้ดั้งเดิมเค้าเอาไว้กันไม่ให้เด็กเล็กๆไปเปิดตู้เปิดอะไรโดยไม่รู้เรื่องเอาน่ะค่ะ)


หลังจากจัดการตู้เย็นเสร็จก็ต้องจัดโน่นนี่ในห้องเลยยังไม่ได้ออกไปดูอะไรข้างนอกเท่าไหร่ มีแค่รีบจ่ายตลาดแล้วก็กลับบ้านค่ะ ที่อาเมโยโกะก็เห็นคนน้อยๆ แต่เนื่องจากมันเป็นเวลากลางวันวันธรรมดาด้วย ไม่เคยมาเวลานี้เลยไม่แน่ใจว่านี่คือปกติหรือเปล่า (แต่ถ้าเป็นวันหยุด ที่อาเมโยโกะจะแน่นมากจนแทบไหลไปตามคนเลยค่ะ)


เดินไปเจอร้านข้าวปลาดิบร้านนึงในซอกซอกหนึ่ง เห็นเมนูใหญ่ในป้ายนี้แล้วก็อยากจะเห็นของจริงจังค่ะ ของราคา 3980 yen เค้าบอกว่าถ้ากินหมดได้ใน 15 นาทีก็กินฟรีไปเลย ก็ยังสงสัยอยู่ว่าพวกปลา พวกอาหารทะเลมันไม่หนักท้องมากนี่นา คุ้มเหรอเนี่ยที่มีรายการกินฟรีนี้ แต่เนื่องจากไม่มีโอกาสเห็นของจริงสักทีเลยฟันธงอะไรไม่ได้เหมือนกันค่ะ ครั้นจะให้ไปลองเองเลยก็แบบว่ากลัวไม่ไหวน่ะค่ะ


เรื่องของการเดินทางจากไทยมาญี่ปุ่นตอนต้นเดือนเมษาก็ไม่มีอะไรมากค่ะ นอกจากที่ชาวต่างชาติที่เข้าญี่ปุ่นน้อยมากๆ ทั้งๆที่ตอนนี้อยู่ในฤดูซากุระบานแท้ๆ เราเองกลับมาหลังจากจัดการของที่บ้านเสร็จก็ต้องวิ่งโร่ไปปั่นการทดลองที่มหาลัยแล้วล่ะค่ะ ช่วยไม่ได้จริงๆว่าอุปกรณ์พวกนั้นไม่สามารถแบกกลับไปทำที่ไทยได้จำเป็นต้องกลับมาทำนี่เท่านั้น


เรื่องของโรงเรียนและมหาลัย


ตอนช่วงเดือนมีนาที่ตามข่าวจากที่ไทย อาการของโรงไฟฟ้าก็มีแต่ทรงหรือทรุดเท่านั้นค่ะ ปลายมีนาปกติจะเป็นพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนและมหาลัยต่างๆ มาปีนี้ก็งดกันไปตามระเบียบค่ะ ที่ Tokyo Univ. งดเรียบวุธ ส่วนที่ Keio Univ. ได้ยินว่าจัดเป็น virtual ceremony แทน ประมาณว่ามีการพูดอวยพรผ่านเน็ตกันแทน ส่วนใบปริญญาก็ไปรับกันเองที่ออฟฟิศค่ะ

แต่ถึงงานรับปริญญาจะยกเลิก แต่คนที่เค้าเตรียมตัวไว้แล้วถึงวันก็ได้ยินว่ายังแต่งฮากามะมาถ่ายรูปที่มหาลัยกันอยู่นะคะ นอกจากนี้แถวๆบริเวณที่ประสบภัย เด็กๆที่โรงเรียนโดนพัดหายไปกับซึนามิแล้วก็มีการจัดพิธีจบการศึกษากันให้ที่ศูนย์อพยพนั่นเลยค่ะ ก็ยินดีปนเศร้าน่ะนะคะเพราะหลายๆคนก็เสียญาติเสียคนรู้จักไปจากเหตุซึนามินั่น แต่ชีวิตใครยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไปค่ะ

ในส่วนของเราระหว่างที่อยู่ไทยก็ค่อยๆได้ข่าวว่ามหาลัยอื่นๆมีเลื่อนเปิดเทอมไปอีกเดือนบ้างอะไรบ้าง ก็รออยู่ว่าคณะเราที่โตไดจะมีเลื่อนกะเค้าบ้างไหมนะ นานวันเข้าจนคิดว่าคงไม่มีเลื่อนแล้วก็ค่อยได้จดหมายมาตามภาพค่ะ (จริงๆเปิดเทอมไม่เกี่ยวกับเราเท่าไหร่ เพราะนักเรียนวิจัยไม่มีปิดเทอมอยู่แล้วค่ะ)


สรุปคร่าวๆว่าเค้าเลื่อนเปิดคลาสจากปกติต้นเมษา ไปเป็นต้นพฤษภา หลังจบ Golden week ไปเลยทีเดียว ไม่พอยังมีบอกอีกว่าในช่วงเดือนเมษานี้ให้นักเรียนเรียนอยู่ที่บ้านไปไม่ต้องมามหาลัย สำหรับเด็กปริญญาโทปีสอง ถ้าอยากมาทำงานต้องได้รับการอนุญาตจากอาจารย์ที่ปรึกษาและ Dean ก่อน สำหรับเด็กปริญญาเอกก็ถ้าไม่มีการทดลองที่จำเป็นต้องทำก็ให้ไม่ต้องมามหาลัยค่ะ

ก็งงๆเหมือนกันค่ะว่าทำไมต้องห้ามมามหาลัยด้วยแฮะ??? ทำยังกะตอนไข้หวัดหมูระบาดแน่ะค่ะว่าไม่ให้มาเพื่อกันการแพร่ระบาด...เอ หรือเพราะต้องการประหยัดไฟ?? แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับอาจารย์ที่ปรึกษาเราเป็นหลักค่ะ อาจารย์บางท่านก็บอกให้นักเรียนอยู่ไทยไปก่อนรอสถานการณ์นิ่งกว่านี้ พร้อมทั้งสแกนหนังสือส่งอะไรไปให้อ่าน(กว่าพันหน้า)ระหว่างอยู่ไทยแทน

แต่สำหรับอาจารย์เราที่มีความคิดว่าที่โตเกียวปลอดภัยดี พวกเรายังสบายกว่าคนประสบภัยเยอะ และพวกเรายังคงมีหน้าที่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ชดเชยเผื่อคนที่ประสบภัยที่แม้อยากทำงานก็ไม่สามารถทำได้ด้วย นักเรียนแล็บเราก็กลับมาทำงานที่แล็บ มีมีตติ้งทุกอาทิตย์เหมือนเดิมตั้งแต่เมษาแล้วค่ะ แถมต้องเขียนรายงานเหตุผลที่ขอมามหาลัยส่งคณะเพื่อการนี้ด้วย

สรุปว่าแต่ละมหาลัยก็ต่างกันไปนะคะ ในขณะที่คณะเราเปิดช้าลง แต่จะให้มีคลาสชดเชยเพิ่มในวันเสาร์แทน มหาลัยอื่นบางมหาลัยก็กลับเลื่อนเปิดให้เร็วขึ้น อัดคลาสเข้าไปแม้แต่ในช่วงหยุด Golden week ด้วย (= อดหยุด) เพื่อว่าจะได้สามารถจบคลาสได้เร็วที่สุดก่อนที่อากาศจะเข้าช่วงร้อนสุดๆแล้วต้องมีการเปิดแอร์ตามห้องเรียนต่างๆค่ะ


เรื่องของโรงไฟฟ้า


ก่อนอื่นดูแผนที่กันก่อนค่ะ โรงไฟฟ้าคือจุด B สีเขียวก็จะเห็นว่าโตเกียวอยู่ห่างลงมาทางใต้ในระยะ 200-250 km ไม่ได้ใกล้โซนอพยพเลยสักนิด ต่อให้คอนเฟิร์มการ meltdown มาแล้วก็ตามโตเกียวก็ยังห่างจากเขตอพยพมาเยอะค่ะ (ข่าวยืนยัน meltdown เพิ่งมีประมาณกลางๆถึงปลายๆ พค นี้เองค่ะ เพราะก่อนหน้านั้นมันไม่สามารถลงพื้นที่เข้าไปสำรวจในโรงไฟ้าเพื่อยืนยันให้แน่นอนได้ และเรื่องสำคัญอย่างนี้ถ้ายังเอาชัวร์ไม่ได้เค้าก็ไม่ประกาศให้คนตกใจไปก่อน)


จะมี "แต่" ก็เรื่องที่ว่าในช่วงฤดูที่เกิดเรื่องนี้ลมจะพัดจากเหนือลงใต้ ดังนั้นก็มีรังสีที่อนุภาคเบาลอยตามลมมาบ้างค่ะ ถ้าดูเว็บรวมผลวัดรังสีทั่วประเทศยิ่งเห็นชัดค่ะ (เช่น //r.diim.jp/) ว่าอย่างจังหวัดที่อยู่ติด Fukushima เลยแต่อยู่ไปทางเหนือระดับรังสีน้อย จะมามากกองๆรวมกันหน่อยก็พวกจังหวัดที่อยู่มาทางใต้นี่ล่ะค่ะ ซึ่งโตเกียวแม้ไม่ได้ติด แต่ก็อยู่ด้านใต้ของฟุคุชิมะเหมือนกันก็เลยได้รังสีมามากกว่าจังหวัดทางเหนือๆค่ะ (เหตุการณ์โรงไฟฟ้านี้ ทำให้แม่นภูมิศาสตร์ญี่ปุ่นขึ้นอีกเยอะค่ะ โดยเฉพาะทาง Tohoku นี่จังหวัดไหนอยู่ไหนจำได้หมดเลย)

พวกอนุภาคเบาที่ว่าลอยตามลมมาได้ ส่วนใหญ่มักเป็น Iodine-131 ที่สถานะเป็นก๊าซ มีครึ่งชีวิตประมาณ 8 วันน่ะค่ะ ซึ่งพวกนี้ถ้าไม่กินหรือสูดเข้าไปในตัว(เยอะๆ) ติดอยู่ภายนอกก็ล้างออกได้ไม่อันตรายขนาดแตะผิวก็ผิวไหม้อะไรอย่างนั้นค่ะ ถ้าพวกที่ครึ่งชีวิตยาวอันตรายหน่อยแถมเบาลอยมาได้ก็ Cesium-134/-137 ค่ะ(เดี๋ยวพูดอีกทีตอนเรื่องน้ำดื่มในบล็อคถัดไปนะคะ) ส่วนพวกสารอันตรายสุดๆประมาณ plutonium ที่ครึ่งชีวิตของมันยาวยิ่งกว่าหนึ่งชีวิตของพวกเรา มันเป็นพวกอนุภาคหนักหน่อยลอยมาถึงโตเกียวไม่ไหว แต่ก็พวกหนักๆนี่ล่ะค่ะที่เป็นเหตุทำให้พื้นที่อพยพนั้นกลายเป็นที่ๆอยู่อาศัยไม่ได้ เพาะปลูกก็ไม่ได้ไปอีกหลายสิบปี

อธิบายหน่อยว่า "ครึ่งชีวิต" คืออะไร คือ พวกสารนิวเคลียร์นี่มันคือสารที่อะตอมไม่มีความเสถียรเหมือนสารปกติ ทำให้มีการคายพลังงานออกมาในรูปการแผ่รังสีอยู่ตลอดเวลา ความอันตรายของมันก็ขึ้นกับสองปัจจัยร่วมกัน คือ ความแรงของรังสีที่ปล่อยออกมา(มีรังสีหลายประเภทค่ะ) และ ระยะเวลา+ปริมาณที่เราได้รับรังสีค่ะ

ในชีวิตประจำวันเรา เช่น พวกบัตรทางด่วน แบบที่วิ่งผ่านเครื่องแล้วก็อ่านค่าบัตรได้จากในรถเราเลย พวกนี้ก็ใช้รังสีค่ะ แต่เป็นรังสีระดับอ่อนๆแค่ใช้กระดาษฟอยล์ห่อไว้ก็กันได้แล้ว แต่ถ้าพวกรังสีที่พลังงานสูงขึ้นอีก ถ้าได้รับเป็นระยะเวลานานติดต่อสะสมกันไปก็เป็นอันตรายในระยะยาวได้ ส่วนพวกรังสีที่แรงสุดๆอันนั้นก็คือ ได้แป๊บเดียวก็ส่งผลเสียได้ทันทีแบบไม่ต้องรอเลยค่ะ

แต่ในขณะเดียวกันสารกัมมันตภาพรังสีพวกนี้เมื่อเวลาผ่านไปมันจะค่อยๆสลายตัวไปตามหลักการที่เรียกว่า "ครึ่งชีวิต" ค่ะ อย่างครึ่งชีวิต 8 วันก็หมายความว่า ผ่านไป 8 วันมันจะสลายตัวเหลือแค่ครึ่งเดียว สมมติตอนแรกมีปริมาณอยู่ 16 แปดวันแรกผ่านไปจะเหลือแค่ 8 อีกแปดวันถัดไปจะเหลือแค่ 4 แล้วอีกแปดวันถัดไปก็เหลือ 2 --> 1 --> 0.5 --> 0.25 --> 0.125 ---> ... แล้วก็ลดลงด้วยอัตรานี้ไปเรื่อยๆค่ะ

ดังนั้นอย่างข่าวที่ออกช่วง มีนา ที่ไทยว่าพบมันฝรั่งจากญี่ปุ่นมีปริมาณรังสี(แต่ยังต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัย) ถ้าตามหลักครึ่งชีวิตก็แปลว่า ขนาดตอนยังไม่สลายยังวัดรังสีได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ถ้ารอไปอีกแปดวันเหลือรังสีครึ่งเดียวยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องกินแล้วอันตรายเลยค่ะ อย่าลืมนะคะว่าพวกเราใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับรังสีพวกนี้อยู่แล้วค่ะ สมัยนี้แทบไม่มีที่ที่ปลอดรังสี 100% แล้ว จะมีก็แต่ที่ที่ปริมาณรังสียังอยู่ในเกณฑ์ต่ำและปลอดภัยค่ะ

แอบลองหาข้อมูลไว้หน่อยว่า Hanamiyama ภูเขาดอกไม้ที่จังหวัด Fukushima ที่เราคิดอยากไปดูซากุระตอนกลางเมษามันเป็นไงบ้าง ก็จากแผนที่อยู่ที่จุด A สีเขียว ห่างจากโรงไฟฟ้าต้นเหตุประมาณ 60 km ค่ะ ดูในเว็บเค้าตอนมีนาและเมษาก็ยังมีอัพเดตสถานะดอกไม้อยู่เหมือนทุกปีนะคะ ท่าทางที่นี่คงไม่ได้รับความเสียหายจากซึนามิหรือโรงไฟฟ้าโดยตรง แต่ถึงจะอยากไปก็ไปยากค่ะ Shinkansen สาย Tohoku ช่วงเมษาก็ปิดๆเปิดๆไม่สะดวก เพิ่งจะมาเปิดวิ่งเต็มสายก็เมื่อ พค นี้เอง (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) สรุปว่า Hanamiyama ก็แห้วค่ะ (ใบไม้ผลิปีนี้แห้วไปหลายอย่างเลย)


ถ้าใครตามข่าวจะจำได้ว่าประมาณ 12 เมษา มีการประกาศเป็นทางการออกมาว่ามีการยกระดับอุบัติเหตุนิวเคลียร์ครั้งนี้ขึ้นเป็นระดับ International Nuclear Events Scale (INES) 7 ระดับสูงสุดเดียวกับ Chernobyl ของรัสเซียเมื่อ 1986 แล้วค่ะ
.
.
ก่อนลงรายละเอียด ทวนกันหน่อยนะคะว่าตอนเกิดใหม่ๆฟุคุชิมะเค้าจัดให้อยู่ระดับ INES 4 (Accident with local consequences) หรือ ก็คือส่งผลเฉพาะต่อคนในพื้นที่รอบๆใกล้ๆจุดเกิดเหตุเท่านั้น ก็คือตอนแรกที่ต้องอพยพคนในรัศมี 10-20 km แล้วก็มีแจก Iodine ให้คนในบริเวณนั้นได้ทานกันไว้ก่อนน่ะค่ะ อันนี้ก็เพื่อกัน Iodine-131 ที่เป็นรังสีโดยเฉพาะค่ะ ตัวนี้เป็นตัวที่ถูกปล่อยออกมาเยอะแถมเบาลอยไปได้ไกลอย่างที่อธิบายไว้ก่อนนี้

ปกติคนเราถ้าได้รับ Iodine เพียงพออยู่แล้วร่างกายก็จะไม่รับ Iodine มาสะสมเพิ่ม ดังนั้นการให้ทาน Iodine เม็ด(Iodine ไม่มีรังสี)ไว้ก่อนก็ช่วยกันการสะสมของ Iodine-131 ที่ปนรังสีได้ค่ะ แต่การทาน Iodine นี้ไม่ควรทานเองมั่วๆนะคะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ที่เค้าให้ทานกันนี่ก็เฉพาะคนในวงเสี่ยงสุดๆรอบโรงไฟฟ้าน่ะค่ะ คนที่ห่างมาเยอะถึงได้ Iodine-131 ไป ก็แค่นิดเดียวไม่จำเป็นต้องทานกันไว้
.
.
หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวประมาณหนึ่งอาทิตย์ (พิจารณาแยกเตา)ก็ได้รับการยกระดับเป็น INES 5 (Accident with wider consequences) หรือ ก็คือส่งผลในวงกว้าง เท่ากับเหตุ meltdown ที่ Pennsylvania's Three Mile Island เมื่อตอน 1979 ของอเมริกาค่ะ (meltdown คือ พื้นที่โดยรอบในวงกี่สิบ km ก็ว่าไปจะกลายเป็นที่ๆอยู่อาศัยและเพาะปลูกอะไรไม่ได้ค่ะ เพราะสารปฏิกรณ์ที่อันตรายมันหลอมละลายมากองแป้กอยู่ตรงนั้น และอาจมีปนเปื้อนลงไปในดินแถบนั้นด้วย)

จำได้ว่าช่วงที่ยกระดับหนนี้คือช่วงที่ตรวจพบรังสีในอากาศแถบโตเกียวสูงกว่าปกติ(ในบางช่วงเวลา) แล้วก็มีข่าวตรวจพบสารรังสีในน้ำประปาที่โตเกียวน่ะค่ะ หรือก็คือช่วงที่ลมพัดรังสีกระจายออกมา จนตรวจพบได้แม้ในที่ห่างๆนอกวงอพยพมาเยอะนั่นเองค่ะ รัศมีการอพยพก็เพิ่มเป็น 30 - 40 km แล้วด้วย
.
.
หลังจากนั้นผ่านมาจนถึง 12 เมษา หนึ่งเดือนผ่านไป เค้าก็ทบทวนปริมาณรังสีที่ปล่อยออกมารวมจากทั้งสามเตาที่มีปัญหา ในระยะเวลาตลอดหนึ่งเดือน แล้วประกาศยกระดับใหม่เป็น INES 7 (Major accident) ระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมาเท่ากับเชอร์โนบิลแชมป์เก่าตลอดกาล(ถึงปัจจุบัน)ค่ะ

แต่ช้าก่อนนะคะ ระดับ 7 เหมือนกันแต่ใช่ว่าจะอันตรายเท่ากันค่ะ อ้างอิงจากลิงค์เหล่านี้
Japan nuclear disaster tops scale (CNN: April 13, 2011)
Q&A: Is Fukushima as bad as Chernobyl? (CNN: April 13, 2011)
IAEA: Fukushima, Chernobyl Accidents Not Comparable Despite Severity (April 12, 2011)

สรุปว่าสิ่งที่ต่างกันระหว่างเชอร์โนบิลและฟุคุชิมะ คือ

1. ปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการหลังเกิดเหตุเชอร์โนบิลทันที คือต้องจัดการกับ Iodine-131 ที่ไปเกาะตามต่อมไทรอยด์ของผู้คนแถวนั้น(จากการสูดเข้าไป หรือ กินเข้าไป)ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ ตอนนั้นคนที่อยู่ใกล้เชอร์โนบิลก็เป็นคนที่ยากจนไม่มีปัญญาไปหา Iodine แผงๆมากินได้ก็เจอผลกระทบของ Iodine-131 เข้าไปเต็มๆ

แต่ของฟุคุชิมะมีการแจก Iodine ให้คนบริเวณนั้นกินกันไว้ทันที และ จนปัจจุบันก็ยังไม่พบผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชนอันเนื่องมาจากเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นี้ค่ะ (ที่มีคือ คนที่เข้าไปซ่อมโรงไฟฟ้านี่ล่ะค่ะ ข่าวล่าสุดต้นเดือน มิย เห็นว่ามีตรวจพบ 2 คนที่ได้รับรังสีเกินแล้วจากการที่เข้าไปซ่อมโรงงาน)

2. ในกรณีของเชอร์โนบิลนั้น มีการแผ่กัมมันตรังสีในระดับที่ยากต่อการเข้าไปในบริเวณโรงงานได้จนต้องปล่อยให้โรงงานมันตั้งร้างอยู่อย่างนั้นไปเป็นเวลานาน แต่ในกรณีฟุคุชิมะนั้นแม้แต่ตอนที่ข่าวนี้ออกมาคนก็ยังสามารถเข้าไปในบริเวณโรงงานเพื่อซ่อมแซมระบบได้อยู่(แต่ก็ต้องสวมชุดป้องกันนะคะ)

3. ทาง International Atomic Energy Agency (IAEA) ก็ยืนยันว่าฟุคุิมะต่างจากเชอร์โนบิลมากแม้จะใช้ระดับ 7 เหมือนกัน เมื่อตอนกลางเมษาปริมาณ radioactive ที่ปล่อยออกมา รวมในตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนของฟุคุชิมะยังเป็นแค่ 1/10 ของเชอร์โนบิลค่ะ (อัพเดตข่าวสดๆฟังมา ณ วันที่ 7 มิย 2011 ระดับรังสีรวมของฟุคุชิมะถึงปัจจุบันตอนนี้อยู่ที่ 1/7 ของเชอร์โนบิล)

4. ที่ระดับ 7 เหมือนกัน เชอร์โนบิลอยู่ที่ 7 แบบสุดโต่ง สมมติถ้าอีกหน่อยมีเพิ่มสเกลเป็น 7-, 7, 7+ ก็คือ เชอร์โนบิลคือ 7+ ส่วนฟุคุชิมะอยู่ที่ 7- เหตุการณ์ฟุคุชิมะต้องบอกว่าร้ายแรงมากๆๆๆ แต่ของเชอร์โนบิลต้องใช้คำว่าหายนะเลยค่ะถึงจะเหมาะสม

จากการอ่านข้อมูลทั้งหมด เราสรุปส่วนตัวได้ว่า นิยามของเชอร์โนบิล คือ สั้นๆแต่รุนแรงมาก มีปัญหาแค่เตาเดียวก็จริงนะคะ แต่เพราะแกนปฏิกรณ์ (Genshiro 原子炉) ระเบิดตู้มโดยตรง แถมเป็นในขณะที่เตาปฏิกรณ์กำลังเดินเครื่องทำงานอยู่เต็ม 100% ด้วย ดังนั้นแค่ในระยะเวลาสั้นๆก็ส่งฝุ่นกัมมันตภาพรังสีมหาศาลฟุ้งกระจายไปไกลถึงยุโรปกันเลย

ส่วนที่ฟุคุชิมะนี้ นิยามของมันคือ ทีละน้อย แต่มานานๆ ค่ะ ของที่ฟุคุชิมะแกนปฏิกรณ์ไม่ได้ระเบิดเหมือนเชอร์โนบิล(ที่ระเบิดคือ แก๊ส H2 ทำให้ตัวอาคารระเบิด ไม่ใช่ตัวแกนปฏิกรณ์นะคะ) รังสีส่วนใหญ่ก็อยู่ในตัวตึกตัวอาคารซะมาก(แต่ก็มีรั่วอะไรบ้าง) และ เตาปฏิกรณ์ก็อยู่ในสถานะที่โดนปิดไปแล้ว ที่เป็นปัญหาฉีดน้ำกันอยู่ตอนก่อนนี้ก็คือการ cool down ความร้อนที่ยังหลงเหลืออยู่(= ความร้อน 7% เทียบกับตอนเดินเครื่องอยู่)และซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวรอบแรกสุด ซึ่งรวมถึงการระบายน้ำที่เจือปนกัมมันตภาพรังสีด้วยค่ะ

แต่เนื่องจากที่ฟุคุชิมะมีปัญหาทีเดียวพร้อมกันหลายๆเตา และด้วยผลกระทบจาก tsunami และ aftershock ทำให้การซ่อมแซมเป็นไปได้ยากขึ้น น้ำดื่มก็ขาดแคลนอยู่แล้วก็ยังต้องหาน้ำมา cool down เตา เดี๋ยวๆ aftershock มาอย่างแรงไฟที่อุตส่าห์ต่อไว้ก็หลุดอีก เดี๋ยวๆมีเตือน tsunami พนักงานก็ต้องอพยพไปชั่วคราวแล้วค่อยกลับมาซ่อมต่อไรงี้น่ะค่ะ ไปๆมาๆเลยเป็นเดือนแล้วก็ยังไม่สามารถซ่อมแซมและคุมสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จซะที

สรุปว่าที่ได้รับยกระดับเป็นระดับ 7 เมื่อตอน เมษา นี่มันไม่ได้แปลว่าสถานการณ์มันอยู่ๆก็เลวร้ายลงกะทันหันนะคะ สถานการณ์มันก็คงตัวทรงๆทรุดๆของมันไปเรื่อยค่ะ แต่เค้าทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมด รวมผลกระทบที่ส่งออกมาจากทุกเตาที่มีปัญหา ในระยะเวลารวมเป็นเดือนแล้ว ก็เลยพิจารณายกระดับไปค่ะ
.
.
.
.
จริงๆเรื่องรังสีมันใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดกันเยอะ เพียงแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้เราไม่เคยคิดจะสนใจตรวจสอบกันเท่านั้นเองค่ะ ตอนหาข้อมูลเราเองยังตกใจว่าประเทศที่เราเคยถ่อบินไปเที่ยวนี่ ระดับรังสีเวลาปกติของเค้ามากกว่าระดับรังสีที่โตเกียวตอนไม่ปกติอย่างนี้ซะอีก แต่ตอนนั้นก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไป ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยค่ะ ทั้งกินทั้งเที่ยวทั้งอะไรต่ออะไร ไปช่วยเค้าสูบรังสีกลับมาเท่าไหร่แล้วไม่รู้ค่ะเนี่ย

อย่างข่าวในภาพนี้คือ ตั้งแต่ตอนที่รังสีในอากาศที่โตเกียววัดได้สูงสุดๆ 0.109 microSv/hour เมื่อตอนปลายมีนาแน่ะค่ะ ขนาดตอนนั้นว่ามากแล้ว ก็ยังน้อยกว่าเวลาปกติของ เกาลูน@ฮ่องกง(= 0.14 microSv/hour) และ สูงกว่านิวยอร์ค(= 0.095 microSv/hour) ลอนดอน(= 0.08 microSv/hour) และ สิงคโปร์(= 0.09 microSv/hour) นิดเดียวเท่านั้น แต่ ณ ตอนนี้ค่ารังสีในอากาศที่โตเกียวก็ต่ำลงเป็นแค่ประมาณ 0.06 - 0.07X microSv/hour แล้วค่ะ (ก่อนเกิดเรื่องนี้ ที่โตเกียวระดับรังสีในอากาศจะอยู่แค่ประมาณ 0.03X microSv/hour เท่านั้นค่ะ)

Credit ภาพข่าวจาก //www.businessweek.com/news/2011-04-01/hong-kong-radiation-exceeds-tokyo-even-after-nuclear-crisis.html

เทียบกับที่จีนแล้วยิ่งหนักกว่า จากภาพนี้(เราอ่านจีนไม่ออกแต่เพื่อนบอกมาค่ะ) คอลัมภ์ที่สามจากซ้าย คือ ค่ารังสีที่วัดได้ในเวลาปกติของเค้าอยู่แล้วโดยไม่เกี่ยวกับเหตุโรงไฟฟ้านี้ค่ะ (บอกเผื่อไว้ เดี๋ยวใครจะเถียงว่าลมมันพัดรังสีจากญี่ปุ่นไป) จะเห็นว่าบางที่ขนาดค่าปกติของเค้าก็ยังสูงลิบเลย จนเราเองก็ไม่แน่ใจว่าตรงนั้นนี่มันมีการรั่วไหลของรังสีแต่ไม่เป็นข่าวหรือเปล่า หรือ มีการใช้เชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดกัมมันตภาพรังสีเหมือนที่อังกฤษ (ในภาพเค้าใช้หน่วย nano ก็แค่เลื่อนทศนิยมไปทางซ้ายสามตำแหน่ง ก็ได้หน่วย micro แบบที่พูดกันมาแต่แรกแล้วค่ะ)

Credit ภาพข่าวจาก //haq.mep.gov.cn/gzdt/201103/t20110323_207392.htm

เพื่อความเข้าใจที่ใกล้ตัวยิ่งขึ้นมีข้อมูลจากไทยให้เทียบด้วยค่ะ ดูกันเลยว่าที่เมืองไทยที่(ยัง)ไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สักโรงนี่ อากาศปลอดภัยหรือเปล่า(ไม่นับเรื่องควันพิษ เพราะอันนั้นคนชินกันแล้ว จนลืมไปว่ามันคือสาเหตุของมะเร็งเหมือนๆกับที่กลัวรังสีกันนี่ล่ะค่ะ เพียงแค่ทำปฏิกิริยากับร่างกายคนละแบบเท่านั้น) เพิ่งไปเจอลิงค์ภาษาไทยของ JEducation บอกไว้ว่า....

Credit ภาพข่าวจาก //www.jeducation.com/news/?p=4885

ข้อมูลทั้งหมดเท่าที่เรารู้ก็ให้ไปหมดแล้วต่อไปก็แล้วแต่วิจารณญาณนะคะ เพราะสำหรับบางคนนี่ก็คือไม่ได้เลย...มีแค่นิดเดียวก็ไม่ได้ สงสัยอยู่ว่าอีกหน่อยดอยอินทนนจะไม่มีคนไทยไปเที่ยวรึเปล่าหนอ ก็ปริมาณรังสีเค้าสูงกว่า กทม ตั้ง 20 เท่า และสูงกว่าโตเกียวถึงเกือบ 14 เท่าแน่ะค่ะ

แต่ถ้าให้เราแนะนำ เราก็อยากบอกว่าคนมาเที่ยวแค่แป๊บๆไม่กี่วัน ไม่กี่อาทิตย์นี่ ระดับรังสีแค่ประมาณๆที่มีกันในประเทศ ในจังหวัดต่างๆ ที่คนเค้ายังอยู่อาศัยกันได้นี่ มันไม่ทันสะสมไปเป็นมะเร็งได้ในอนาคตหรอกค่ะ มะเร็งมันไม่ได้เป็นกันง่ายขนาดที่ว่าแค่เดินผ่านกันแป๊บๆก็เป็นแล้วหยั่งกะติดหวัดกัน แต่มันเกิดจากการค่อยๆสะสมในชีวิตประจำวันเราเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่าค่ะ (บอกก่อนว่าเราไม่ใช่หมอ และไม่เกี่ยวข้องกับสายแพทย์หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพแต่อย่างใด แค่คนเรียนวิศวะคนนึงค่ะ)

ดังนั้นที่ต้องห่วงว่าจะก่อมะเร็งให้(ยกเว้น มะเร็งจากกรรมพันธ์) เราว่ามันไม่ใช่สิ่งที่นานๆเราจะเจอสักที แต่ตัวร้ายเลยคือสิ่งที่เราเห็นและใช้มัน อยู่กับมันทุกๆวันนั่นล่ะค่ะ ส่วนคนที่เราคิดว่าสมเหตุสมผลถ้าจะกังวลเรื่องรังสีสะสมก็คือ คนที่ยังต้องอยู่ในสถานที่นั้นอีกนาน เพราะมีโอกาสสะสมได้หลายทางและสะสมได้นานกว่า หรือ คนที่เข้าไปในโซนอพยพรอบโรงไฟฟ้าที่ระดับรังสีสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัยนั่นล่ะค่ะ

กันไว้ดีกว่าแก้ก็จริง แต่ก็อย่าให้ถึงขั้นกระต่ายตื่นตูมเลยนะคะ (อันนี้ก็ท่องบอกตัวเองอยู่ค่ะ เวลาที่เกิดเรื่องให้ตกใจขึ้นมา) เดี๋ยวนี้อันตรายอยู่รอบตัวเราค่ะ จะกินโค้กก็บอกเดี๋ยวกระดูกพรุน...จะกินผักก็บอกมีสารพิษจากยาฆ่าแมลง...ใช้มือถือ(ที่ไทยน่ะค่ะ)ก็สัญญาณแรงโทรไปปวดหัวไปอีกหน่อยสมองจะเป็นไรมั๊ยเนี่ย...ตากแดดแรงก็เดี๋ยวมะเร็งผิวหนัง แล้วก็อีกร้อยแปดพันเก้าค่ะ

ถ้าแค่ใครพูดมาว่าไม่ได้เดี๋ยวเป็นมะเร็ง แล้วก็ใช้คติปลอดภัยไว้ก่อนโดยไม่อิงข้อมูลความเป็นจริงอะไรเลย ชีวิตนี้คงน่ากลุ้มไม่เบานะคะ อะไรๆก็ทำไม่ได้กินไม่ได้ไปซะหมด ยิ่งอยู่กรุงเทพนี่คงไม่ต้องออกมาเดินถนนกันเลยทีเดียวเพราะควันท่อไอเสียคลุ้งซะขนาดนั้น อาหารหรือน้ำร้านรถเข็นก็กินไม่ได้อีกเพราะสะอาดไม่ถึงมาตรฐานกันซะเยอะค่ะ

ส่วนเรื่องผลของโรงงานไฟฟ้าต่อผู้คนในโตเกียวนี่...ตอนนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ........

ถ้ายกเว้นผู้คนในเขตประสบภัย เอาแค่คนในโตเกียวรอบๆตัวเรานี่ ทุกคนกลับไปกังวลแต่กับงานๆๆและงานเหมือนเดิมแล้ว ไม่ใช่แต่คนญี่ปุ่นที่มีปฏิกิริยาต่อข่าวโรงไฟฟ้าน้อยลงมากๆๆๆ คนไทยและคนต่างชาติเองขนาดข่าวประกาศยืนยัน meltdown ออกมาอย่างเป็นทางการแล้วตอนกลางๆ พค (เห็นว่าจริงๆเริ่ม melt ไปตั้งแต่ 16 ชั่วโมง หลังแผ่นดินไหว 11 มีนาแล้ว แต่ไม่ได้ไหลหรือรั่วออกมา)

แต่...ไม่มีใครให้ความสนใจเลยค่ะ เห็นข่าวแล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก อืมๆ...รู้ไว้ใช่ว่า...แต่มันแบบว่า...งานมันยุ่งน่ะ ขอไม่ตกใจไม่อะไรละกันนะ เสียเวลาทำการทำงานหมด ไม่ทำตอนนี้เดี๋ยวอาจารย์เรา meltdown ขึ้นมาแทนล่ะซวยของแท้ไม่ต้องรอผลอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าเลยค่ะ


อ้อ...ในช่วงอยู่ไทยที่ตามข่าว เห็นว่ามีการประชุมเพื่อเพิ่มมาตรการความปลอดภัยให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทุกแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่นด้วยค่ะ เห็นแผนที่แล้วมีเยอะเชียว หาเจอกันมั๊ยเอ่ยว่าที่มีปัญหาตอนนี้อยู่ที่ตรงไหน ^^ (ยังไม่ได้ไปเช็คมาเทียบกันนะคะว่าอเมริกา หรือ อังกฤษ มีเท่าไหร่กันบ้าง)

Credit ภาพจาก //blogs.yahoo.co.jp/kazu_room_love2/38080065.html

กำแพงกันซึนามิแต่ก่อนทำไว้ 9 เมตรคิดกันว่าพอเหลือเฟือแล้ว มาเจอรอบนี้ซึนามิมีสูงถึง 22 เมตรเป็นประวัติการณ์(หรือก็คือซึนามิหนนี้เข้าโรงไฟฟ้าโรงไหน โรงนั้นก็ถึงคราวชะตาขาดค่ะ) ก็ต้องมีแผนปรับกำแพงกันใหม่ และ วางตัวสำรองไฟฟ้าให้สูงเหนือพื้นดินกว่า 40 เมตร บลาๆๆ

ช่วงต้น พค มีข่าวว่าโรงไฟฟ้าแถบ Chubu 中部 (ด้านล่างของแถบคันโต) มีการปิดไปบางส่วนเพื่อปรับความปลอดภัยให้ชัวร์ก่อนแล้วค่อยเปิดใหม่ แต่ข่าวนี้ไม่มีผลกับแถบคันโตเพราะไฟจากทางนั้นส่งเข้าคันโตไม่ได้อยู่แล้ว แล้วเค้าสามารถใช้ไฟจากทางโรงไฟฟ้าของแถบคันไซมาช่วยชดเชยส่วนที่ปิดไปได้ค่ะ (ถ้าฟังข่าวไม่ผิดนะคะ)


ส่วนข่าวโรงไฟฟ้าฟุคุชิมะที่มีปัญหาไม่ต้องแปลกใจนะคะว่าทำไมข่าวมันเยอะจัง เพราะเค้าอัพเดตรายงานความคืบหน้ากันทุกวั๊นทุกวันเลยค่ะ เข้าช่วงข่าวทีไรต้องมีรายงานให้ฟัง ขนาดว่าผ่านมาจะสามเดือนแล้วแต่ก็ไม่มีปล่อยให้เงียบหายไป จนตอนนี้ศัพท์โรงไฟฟ้าหลายคำเริ่มซึมเข้าสู่สมองเราโดยอัตโนมัติแล้วค่ะ

นอกจากข่าวในญี่ปุ่น ก็มีพวกข่าวเก็บตกเกี่ยวกับการต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศอื่นๆ (ในโตเกียวก็มีอยู่แป๊บนึงค่ะ) เช่น อินเดีย เกาหลี แถมเห็นข่าว NHK มีสัมภาษณ์นายกอภิสิทธิ์ด้วย บทสัมภาษณ์ก็ประมาณว่าโรงแรกที่ไทยวางแผนไว้ 2020 ซึ่งก็อีกนานค่ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาลชุดปัจจุบันอยู่แล้ว ตอนนี้แค่เอาตัวรอดจากกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้าไปให้ได้เป็นพอ

แต่ส่วนตัวเราคิดว่า ณ ตอนนี้พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นทางเลือกที่ฟังดูดีมีอนาคตมากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่ขาดไฟฟ้ากันแล้วแทบไม่เป็นอันทำอะไรกันเลย ถ้าไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมันถือเป็นพลังงานที่สะอาดก่อมลภาวะน้อยกว่าวิธีอื่น ผลิตไฟได้มากด้วยต้นทุนต่ำ แถมไฟฟ้าก็ผลิตได้แบบไม่มีขาดตอนด้วย เทียบกันกับ...

ใช้น้ำมัน...ที่ราคาแพงขึ้นทุกวันแถมจะหมดโลกในอีกกี่ปีก็ไม่รู้ค่ะเนี่ย กว่าจะเกิดน้ำมันได้ฟอสซิลหมักกันมาไม่รู้กี่ร้อยปีกี่พันปี แต่ตอนนี้อัตราการใช้ล้ำหน้าอัตราการเกิดน้ำมันไปแบบไม่เห็นฝุ่น อีกอย่างการเผาไหม้น้ำมันก็ทำให้เกิดมลภาวะอย่างที่รู้ๆกันค่ะ

พวกถ่านหินยิ่งแล้วใหญ่...ต้นไม้จะไม่เหลือให้ตัดอยู่แล้วแถมเผาทีก็ควันพิษฟุ้งเชียว

หรือ พวกพลังลมพลังน้ำดูสะอาดธรรมชาติดี...แต่ก็มาไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี...เอาไปปั่นไฟก็คงเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับตามแต่ฟ้าจะประทานมานั่นล่ะค่ะ

พลังงานแสงอาทิตย์ล่ะ...ฟังดูดีนะคะสำหรับประเทศแดดเยอะอย่างไทย...แต่เอาเข้าจริงแล้วโซลาเซลล์ปัจจุบันยังราคาแพง...แถมกำลังการผลิตไฟก็ไม่ได้เยอะอย่างที่คิดกัน...ถ้าจะให้ใช้ไฟกันได้เท่าปัจจุบันค่าไฟคงพุ่งพรวดล่ะค่ะ คำถามก็คือ ยอมกันจริงๆเหรอ...ปลอดภัยแต่แพงน่ะ?

อย่างเราก็ได้แต่พูดจากข้อมูลที่อ่านมาจากหลายแหล่ง แต่รายการทีวีญี่ปุ่นเค้าเจ๋งกว่านั้นค่ะ สำรวจข้อมูลมาสรุปวาดกราฟอะไรให้เสร็จสรรพเลย กราฟทางขวาในภาพล่างนี่ล่ะค่ะ คือ ราคาที่ใช้ในการผลิตไฟด้วยวิธีต่างๆ (เราไม่ทันดูมานะคะว่าราคานี้คือต่อหน่วยการผลิตไฟเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าเป็นต่อหนึ่งหน่วยการผลิตเดียวๆกันค่ะ)


กราฟทางขวาในภาพบนแปลได้ดังข้างล่างนี้ค่ะ ...
太陽光 Taiyo-hikari พลังงานแสงอาทิตย์ 49 yen
風力 Fu-ryoku พลังลม 10-14 yen
水力 Sui-ryoku พลังน้ำ 8-13 yen
火力 Ka-ryoku พลังความร้อน 7-8 yen
原子力 Genshi-ryoku พลังนิวเคลียร์ 5-6 yen
ปล. พลังความร้อนที่ว่าน่าจะหมายถึง การเผาไหม้ด้วยเชื้อเพลิงอย่างถ่านหิน น้ำมัน หรือ ก๊าซธรรมชาติ(มั้ง)นะคะ

... ชัดเลยว่านิวเคลียร์ถูกสุด และพลังงานแสงอาทิตย์นำโด่งแพงลิบลิ่วเลยค่ะ อย่างนี้จะให้ใช้จริงที่ไทยได้ยังไง แต่คำถามก็คือ ค่าความเสียหายในกรณีเกิดอุบัติเหตุล่ะ..เป็นเท่าไหร่กันบ้าง? (อันนี้เห็นในรายการทีวีพูดถึงอยู่ แต่เราไม่เห็นข้อมูลสรุปเปรียบเทียบเลยค่ะ ไม่รู้ยังสรุปตัวเลขไม่ได้หรือเค้าพูดแล้วแต่เราพลาดไปเองนะคะ)

ดูจากพลังงานทางเลือกเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน สรุปแล้วสำหรับเราคิดว่ายังไงสักวันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็คงต้องมีเพิ่มขึ้นค่ะ (นอกจากในอนาคตจะมีพลังงานทางเลือกใหม่ที่ดีกว่านี้และได้ผลจริงไม่ใช่แค่ในทางทฤษฏี) แต่ในช่วงหลายปีนี้ไม่ว่าประเทศไหนก็คงเพิ่มยากถึงยากมากกกก เพราะคนกำลังตื่นตัวกับเหตุการณ์ Fukushima กันอยู่ ... แม้แต่ประธานาธิบดีโอบาม่าที่ก่อนนี้เคยบอกว่าจะสร้างเพิ่มอยู่ ตอนนี้ก็พับแผนที่ว่าเก็บไปเลยค่ะ

แต่ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าให้ใช้ไฟกันฟุ่มเฟือย พอไฟไม่พอแล้วก็ตะบี้ตะบันสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ไปเรื่อยๆนะคะ ประหยัดไฟน่ะมันชัวร์อยู่แล้ว แต่ดูตามประวัติศาสตร์มนุษยชาติมันก็เห็นอยู่แล้วน่ะค่ะ ว่าความก้าวหน้าในวิวัฒนาการมันมาพร้อมกับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อการพัฒนาไม่มีวันหยุด ต่อให้ประหยัดยังไงปริมาณการใช้ไฟมันก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอยู่ดีล่ะค่ะ

ช่วยกันค้านช่วยกันตรวจสอบสอดส่องเพื่อความปลอดภัยน่ะมันดีค่ะ ใครจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เค้าจะได้ไม่สร้างมาชุ่ยๆ แต่หากในอนาคตเกิดเหตุที่กำลังการผลิตไฟไม่พอจนเป็นปัญหาระดับชาติขึ้นมาจริงๆจังๆ ถึงตอนนั้นก็ขอแค่อย่าค้านกันไม่ลืมหูลืมตา ไม่ฟังเหตุผล ไม่ดูข้อมูลข้อเท็จจริง อะไรๆก็ไม่ๆๆตลอด นิวเคลียร์ไม่เอา...ค่าไฟแพงขึ้นก็ไม่ได้...ให้ประหยัดไฟก็ไม่ร่วมมือ(แบบลงมือทำจริงๆไม่ใช่แค่พูด)...ขอดับไฟก็ไม่ยอมอีก แล้วสรุปว่าจะให้ทำยังไงล่ะคะเนี่ย ...

จะค้านอะไรก็อย่าไปยึดติดกับอุดมคติมากไปนัก..โลกเราไม่ใช่ยูโธเปียนะคะที่อะไรๆก็จะดีเลิศสมบูรณ์แบบไร้ความเสี่ยงไม่มีข้อด้อยไปได้ซะหมด ถ้าถึงเวลาต้องถกกัน(ไม่ใช่ทะเลาะกันนะ)เราก็อยากให้ถกกันบนหลักการของความเป็นจริง ข้อดีข้อเสียมียังไงก็แจงกันมาโดยมีหลักฐานสนับสนุน มีเหตุผลน่าเชื่อถือหน่อยน่ะค่ะ ลงท้ายหลักฐานใครแน่นกว่า มีเหตุมีผลสมควรมากกว่า ชั่งน้ำหนักแล้วมีข้อดีมากกว่าข้อเสียคนนั้นก็ชนะไป

ไม่ใช่ว่าเอาข่าวลือโคมลอย ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานใดๆสนับสนุนมาเป็นเหตุผลในการค้านลูกเดียว ..... ถ้าแบบนี้นี่..เพลียแทนคนที่จะต้องลงไปเถียงด้วยจริงๆค่ะ ถ้าเห็นท่าทางว่าคนที่จะถกด้วยเป็นแนวนี้ล่ะก็ เราคนนึงที่ขอเลือกจะรูดซิปปิดปากเงียบ ไม่เถียง ไม่แจงเหตุผล ไม่ให้ข้อมูล ไม่ขออะไรด้วยเลยค่ะ รู้สึกว่ามันจะเป็นการเหนื่อยมากเกินไป(แถมมีท่าว่าจะเหนื่อยฟรีๆอีกด้วย)


เรื่องของไฟฟ้า


เรื่องของ Keikaku-teiden 計画停電 หรือ Scheduled Blackout ที่กำหนดกลุ่มพื้นที่เป็นห้ากลุ่ม แล้วดับไฟทุกวันตามเวลาที่กำหนดกลุ่มละ 3 ชั่วโมง (บางที่โดนจัดเข้าไปทีสองกลุ่ม ก็ดับไปวันนึง 6 ชั่วโมงเลยค่ะ) ตอนประกาศดับไฟใหม่ๆเราก็คิดแต่ว่าถ้าเราโดนดับของในช่องแข็งเราจะเป็นไรไหมนะ(แต่ตอนนั้นอากาศยังหนาวอยู่ค่ะ) ฟังดูแล้วก็ไม่เดือดร้อนรุนแรงเท่าไหร่แค่ไม่ค่อยสะดวกสบายเหมือนเดิม

แต่ช่วงที่กลับไทยไป(กลางถึงปลายมีนา) ตามข่าวจาก NHK ก็ค่อยเข้าใจค่ะว่าการดับไฟทุกวันๆเนี่ยมันส่งผลกระทบมากแค่ไหน โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมนี่ผลกระทบมันรุนแรงอย่างที่เราไม่คาดคิดเลยค่ะ เช่น ข่าวโรงงานทำขนมปังที่ปกติเครื่องเดิน 24hr แถมตอนช่วงมีนานั้นต้องรีบผลิตรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เจอดับไฟแค่สามชั่วโมงก็จริง แต่ด้วยขั้นตอนในการเตรียมและอะไรต่างๆ ก็กลายเป็นว่าวันนึงเค้าต้องหยุดสายพานการผลิตถึงหกชั่วโมงเพื่อการนี้ และก็เป็นอย่างนี้ไปทุกวันๆที่โดนดับไฟ

หรืออย่างโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็คโทรนิคส์ที่ต้องการไฟฟ้าต่อเนื่องหลายวันเพื่อการผลิต ก็พลอยไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนตามออเดอร์ได้เพราะ Scheduled Blackout นี่ล่ะค่ะ สรุปว่า Scheduled blackout นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่เราและหลายๆคนเคยคิดกันเลยนะคะ ส่งผลถึงขั้นการหยุดชะงักของอุตสาหกรรมและการผลิตเลยทีเดียว ในระดับธุรกิจรายย่อยอย่างร้านขายอาหารต่างๆ ก็มีปัญหากับการเก็บรักษาของสดที่ต้องการความเย็นอีกค่ะ

ตอนที่เรากลับมาญี่ปุ่นตอนต้นเมษา Scheduled Blackout ก็ไม่มีแล้ว แต่เรื่อง Setsuden 節電 หรือ ประหยัดไฟยังมีอยู่ค่ะ ร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้อจะดูมืดกว่าปกติหน่อย ประมาณเปิดไฟดวงเว้นดวง / บางตึกปิดลิฟท์ให้เดินขึ้นบันไดเอา / บันไดเลื่อนในสถานีรถไฟปิดบางอัน(แต่อันที่จำเป็น หรือลิฟต์ก็ยังเปิดอยู่นะคะ) / ตู้ขายตั๋วรถไฟบางตู้ปิด / ไฟของตู้ขายน้ำอัตโนมัติก็ปิด(แต่ยังกดน้ำได้อยู่) / ร้านอาหารนอกจากพวกร้าน 24hr ก็ปิดไวกว่าแต่ก่อน และเมนูไม่มีให้เลือกมากนัก / โรงอาหารมหาลัยก็เปิดแค่มื้อกลางวัน

เรื่องประหยัดไฟก็ดำเนินมาเรื่อยและคงเป็นงี้ไปอีกเป็นปี(หรือหลายปี)ล่ะค่ะ ช่วง พค อากาศไม่ร้อนไม่หนาวบางอย่างเลยหย่อนไปได้ ร้านต่างๆที่เราเห็น ณ ตอนนี้เปิดไฟในร้านกันสว่างเหมือนปกติแล้วนะคะ / บันไดเลื่อนบางอันที่เคยเห็นปิดก่อนหน้านี้ก็มีเปิดกลับมาบ้าง(แต่ก็ไม่ทั้งหมดนะคะ) / พวกไฟป้ายชื่อดึกหรือร้านค้าเราก็เห็นเปิดบ้างแล้วค่ะ(แต่ไม่เปิด 100% จนสว่างไสวเท่าแต่ก่อน) / โรงอาหารที่มหาลัยเราก็เห็นเปิดยาวเหมือนปกติ เมนูก็มีเท่าๆกับปกติเลยค่ะ


ที่มหาลัยเรา เมื่อตอนต้นเมษากลับมาก็เจอปิดลิฟต์บางตัว(แต่ตอนนี้เปิดเทอมเป็นทางการแล้ว ลิฟต์ทุกตัวกลับมาเปิดใช้แล้วค่ะ) ปิดเตาไฟฟ้าส่วนกลางไม่ให้ใช้(ปัจจุบันก็ยังปิดอยู่) ถอดปลั๊กเครื่องอุ่นฝาส้วมออกเป็นต้นค่ะ


นอกจากนี้เรื่องประหยัดไฟก็ส่งผลให้ตู้ ATM สาขาเล็กๆต่างๆถูกปิดไม่ให้ใช้บริการไปด้วยค่ะ Post Office สาขาใหญ่หน้ามหาลัยเราที่แต่ก่อนเปิดทุกวันถึงดึกดื่น เดินไปกดเงินกันสบายๆ ตอนนี้แค่ 17-18:00 ก็ปิดให้บริการแล้วค่ะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นะคะ สถานการณ์แบบนี้ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันจะเอาแต่ให้สะดวกสบายได้เหมือนเมื่อก่อนมันก็ไม่ได้น่ะค่ะ (ล่าสุดกลางเดือน มิย ไปอีกทีป้ายที่บอกเวลาว่าจะปิดเร็วกว่าปกติที่ Post office นี้หายไปแล้วค่ะ)


เมื่อต้นเมษานี่ ATM สาขาเล็กๆหลายสาขาโดนปิดให้บริการไปเลยค่ะ ต้องเดินกันไกลหน่อยเพื่อไปโอนเงินอะไรกันตามสาขาใหญ่ๆ แต่ตั้งแต่ปลาย พค มานี้ก็ทยอยกันเปิดกลับมาแล้วค่ะ แต่ก็จะมีจำกัดระยะเวลาเปิดทำการให้สั้นลงกว่าปกติแทน

อีกหนึ่งผลกระทบจากการดับไฟ คือ เรื่องการคมนาคมขนส่งค่ะ โดยเฉพาะรถไฟนี่ตัวดีเลย ตอนที่ไฟไม่พอหนักๆรถไฟในโตเกียวหยุดวิ่งไปเพียบ จะไปไหนทีต้องเข้าเว็บดูประกาศของบริษัทรถไฟนั้นๆกันรายวันเลยว่าสายไหนวิ่งบ้าง และวิ่งกันถึงกี่โมง พวกรถด่วน(ที่ไม่หยุดทุกสถานี)ก็น้อยลงเยอะเหลือเป็นพวก Local แทน การส่งของในญี่ปุ่นที่ปกติส่งวันนี้พรุ่งนี้ได้(กรณีอยู่จังหวัดเดียวกัน) หรือ อยากให้ส่งถึงเวลาไหนก็สั่งได้เป๊ะๆ ก็กลายเป็นต้องเผื่อดีเลย์ไว้ไม่สามารถระบุเวลาแน่นอนได้ค่ะ

แต่ ณ เวลานี้เรื่องคมนาคมขนส่งเราเห็นว่ามันกลับมาเกือบปกติแล้วล่ะค่ะ รถไฟปกติวิ่งกันเยอะๆในโตเกียวกลับมามีรอบเรื่อยๆวิ่งถึงเที่ยงคืนเหมือนเดิมแล้ว แต่ถ้าเป็นพวกรถด่วนแบบพิเศษๆแนวๆชินคันเซนที่เน้นวิ่งไกลๆข้ามจังหวัดอะไรพวกนี้ รอบจะลดลงกว่าแต่ก่อนค่ะ (ถ้าพลาดรถด่วนๆพิเศษพวกนั้นไปก็ต้องนั่งรถไฟธรรมดา ถึงช้าหน่อย ที่นั่งไม่ค่อยสบาย แต่ถูกกว่านะคะ)

ยังไงก็ตามปัญหาไฟไม่พอในหน้าร้อนที่กำลังคืบคลานมานี้(แล้วอาจยาวไปถึงหน้าหนาวและหน้าร้อนถัดๆไป) ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องรอลุ้นค่ะว่าเค้าจะจัดการกันยังไง จะโดนดับไฟหรือไม่ยังไงแค่ไหน ซึ่งก็ได้ข่าวว่า TEPCO ยื่นขอเงินกู้ฉุกเฉินไว้เตรียมวางแผนรับมือกันบ้างแล้ว

ช่วง พค มีบางวันโตเกียวอุณหภูมิมีขึ้นถึง 27 องศา ทำให้การใช้ไฟวันนั้นพุ่งไป 90% ของกำลังการผลิต บางวันเริ่มรู้สึกร้อนอบอ้าวอยากจะเปิดแอร์บ้างแล้วแต่ก็ยังทนไม่เปิดกันค่ะ (CO-OP ชั้นใต้ดินในมหาลัยก็ยังไม่เปิดแอร์ วันที่ร้อนๆนั้นเข้าไปแล้ว อย่างอบอ้าวเลย ) ยังไม่ได้ร้อน max ขนาดผิวไหม้เหมือนตอน สค แต่ก็เริ่มรู้สึกว่าคนรอบข้างแผ่รังสีความร้อนออกมาได้แล้วน่ะค่ะ (มิย นี้ก็เริ่มร้อนหลายวันแล้วค่ะ ช่วงไหนพายุฝนเข้าก็เย็นลง เผลอๆบางทีก็เย็นลงทีเดียว 10 องศาเลยค่อนไปทางหนาวนิดๆค่ะ)


มาตรการและสินค้าประหยัดไฟ หรือ สำรองไฟ หรือ สำหรับใช้เวลาไฟดับ(防災グッズ Bosai-guzzu) สำหรับหน้าร้อนนี้ก็ทยอยกันออกมาเป็นซีรี่ย์เลยค่ะช่วงนี้ มีน่าสนใจหลายอย่างเลย เรามีรวบรวมไว้แต่ขอแยกไว้เป็นบล็อคอื่นละกันนะคะ แบบว่ามันมีหลายอย่าง

นอกจากนี้ก็ได้ฟังข่าวแว้บๆด้วยว่าหลายบริษัท มีการวางแพลน(บางแห่งก็เริ่มทำไปแล้ว)เปลี่ยนวันหยุด แทนที่จะเป็นเสาร์อาทิตย์ก็เปลี่ยนไปวันอื่นแทน เพื่อเป็นการถัวเฉลี่ยการใช้ไฟที่สูงในวันทำงานลงไปวันอื่นแทนค่ะ ก็เห็นว่าร้านอาหารแถบใกล้เคียงที่พึ่งลูกค้าจากบริษัทเหล่านั้นเป็นหลักก็อาจต้องเปลี่ยนวันหยุดตามกันไปด้วย

ที่แน่ๆอย่างนึงคือ หน้าร้อนปีนี้งาน Hanabi หรือ ดอกไม้ไฟหน้าร้อน มีประกาศยกเลิกออกมาหลายที่แล้วค่ะ (โชคดีว่าปีก่อนใส่ยูกาตะใหม่ไปถ่ายรูปไว้เยอะแล้ว ขาดแต่รูปยูกาตะแบบมี Hanabi เป็นแบ็คชัดๆ) ก็ไม่รู้ว่าลงท้ายจะเหลือจัดสักกี่งานบ้างนะคะ เสียดายเหมือนกันค่ะ เราเองก็ไม่ได้ฟังสาเหตุการยกเลิกมาชัดๆนะคะ แต่เดาเอาว่าน่าจะมีส่วนจากเหตุผลเหล่านี้ :
- งด matsuri เพื่อไว้ทุกข์กับผู้เสียชีวิต
- งานนี้ใช้งบเยอะ (ได้ยินว่าจุดดอกไม้ไฟลูกนึงใช้เงินประมาณแสนเยน งานเล็กๆก็จุดกัน 2000 กว่าลูกแล้ว งานใหญ่ยิ่งจุดกันเป็นหมื่นสองหมื่นลูกเลยค่ะ)
- หน้าร้อนมีแนวโน้มจะมีปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอในแถบคันโต คนมารวมกันเยอะๆอาจให้บริการรถไฟ ห้องน้ำ และ อะไรต่างๆโดยเฉพาะในเหตุฉุกเฉินไม่ได้





สำหรับบล็อคนี้หมดแค่นี้นะคะ แค่นี้ก็ยาวเฟื้อยยยยยยยยยแล้ว ใครไม่รักการอ่านจริงไม่น่าจะอ่านจบได้นะคะเนี่ย เรื่องแผ่นดินไหวและอาหารน้ำดื่ม ขอยกไปบล็อคหน้านะคะ


รวมลิงค์บล็อคสรุปสถานการณ์

1. @Tokyo เรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่องนั้น สถานการณ์ต่างๆตั้งแต่กลับมาโตเกียว :: เรื่องโรงเรียน โรงไฟฟ้า และ ไฟดับ
2. @Tokyo เรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่องนั้น สถานการณ์ต่างๆตั้งแต่กลับมาโตเกียว :: เรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินไหว และ ของกิน


--------------------------------------------------------------

รูปในนี้(นอกจากที่แค็ปเว็บมา)มาจาก Sony Alpha NEX-5 + Alpha E 18-55mm OSS ที่กลายเป็นกล้องห้อยติดตัวเราล้วนๆค่ะ ย่อ usm ใส่โลโก้ไม่ค่อยได้แต่งอะไร


>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2554    
Last Update : 22 มีนาคม 2556 19:02:56 น.
Counter : 4061 Pageviews.  

[[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 1st Episode:: The WHITE of Plum Flower and Sakura


>> กระทู้บันทึกนักเดินทางใน pantip@blueplanet


เนื่องด้วยไม่มีเวลาจะมานั่งเขียนสองรอบเหมือนปกติ (เวอร์ชั่นนึงลงบล็อค อีกเวอร์ชั่นลงกระทู้) หนนี้เลยเล่นง่ายเขียนมันทีเดียวลงสองที่เลยนะคะ แต่ในกระทู้จะสั้นกว่าพอควร เพราะโพสบอร์ดสาธารณะไม่อยากจะเวิ่นเว้อนอกเรื่องท่องเที่ยวไปมากค่ะ ส่วนในบล็อคก็จัดเต็มมาเลยเพราะยังไงก็พื้นที่ส่วนตั๊วส่วนตัว เวิ่นเว้ออย่างนี้ประจำอยู่แล้ว
..
..
.
.
ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนกันไหม แต่เราเป็นคนนึงค่ะที่เคยคิดว่าฤดูใบไม้ผลินี่สีสันไม่สดใสเท่าฤดูใบไม้ร่วงเลย ในขณะที่ใบไม้ร่วงมีสีเหลืองสดใสของใบแปะก๊วย มีสีแดงเพลิง สีส้มแป๊ด ของต้นเมเปิ้ลและต้นไม้อื่นๆที่ใบเปลี่ยนสีเตรียมร่วงรับฤดูหนาว แต่ฤดูใบไม้ผลิในญี่ปุ่น พูดปุ๊บ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ใครๆก็นึกถึงคงไม่พ้น ซากุระ ดอกไม้ประจำชาติอันโด่งดังของเค้านั่นเอง

เราใช้ชีวิตอยู่โตเกียวมาเข้าปีที่ห้าแล้ว บ้านก็อยู่ใกล้สวนอุเอโนะซะด้วย เห็นติดต่อกันมาหลายปี ปีหลังๆนี่เริ่มเบื่อๆไปบ้างเหมือนกันค่ะ เดินไปดูแค่พอได้รู้สึกเหมือนได้ร่วมบรรยากาศฮานามิประจำปีกะเค้าบ้างเท่านั้น แต่ไอ้ความตื่นเต้นเป็นพิเศษอะไรนี่หมดไปตั้งแต่ปีแรกๆแล้ว

เราเนี่ยเปรยกับคนรอบตัวอยู่เรื่อยว่าฤดูใบไม้ผลิน่ะเหมาะกับการถ่ายพวกมาโครมากกว่า ในขณะที่พวกชอบถ่ายวิว ถ่ายมุมกว้างอย่างเรา ฤดูใบไม้ร่วงเวิร์คกว่าตั้งเยอะ เหตุก็เพราะว่าเราเป็นพวกชอบสีสันสดใสนี่ล่ะค่ะ ซากุระโดยทั่วไปสีอ่อนออกไปทางขาวและดอกเล็กๆจิ๋วๆ ถ้าถ่ายรูปมุมกว้างออกมาแล้วฟ้าไม่เป็นสีฟ้าใสล่ะก็ รูปจะออกมาขาวจั๊วะไปหมด ต้องถ่ายเจาๆะดอกซากุระถึงจะออกมาสวย ในขณะที่ฤดูใบไม้ร่วง แม้จะโชคร้ายฟ้าไม่ใส แต่เฉพาะสีจี๊ดๆของใบไม้ก็ช่วยให้รูปสดใสขึ้นมาได้โขแล้ว

มาปีนี้....กลับคำแทบไม่ทันเลยค่ะ เพิ่งจะซึ้งว่าฤดูใบไม้ผลิญี่ปุ่นมีอะไรมากกว่าซากุระจริงๆเอาปี(ที่น่าจะเป็นปี)สุดท้ายนี่เอง ปีนี้เรายอมแพ้ไปเรียบร้อยแล้วว่าไม่สามารถตามไปเก็บได้หมดจริงๆค่ะ...แบบว่ามันเยอะมากกกแถมตัวเองก็กำลังยุ่งมากกกกกด้วย แต่ขนาดว่าเก็บไม่หมดนี่ก็ได้วิวสวยๆสีสันสดใสมาเพียบแล้วล่ะค่ะ เลยเป็นที่มาของชื่อ The Colors of Spring in Japan นี้

คอนเซปต์ใหม่สำหรับตัวเองคือ ทั้งใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงน่ะสีสดใสได้ทั้งคู่นั่นล่ะค่ะ ใบไม้ผลิจะสดใสแบบหลากหลายสี แต่ติดดินหน่อย เพราะพวกทุ่งดอกไม้จะเตี้ยๆซะเป็้นส่วนมาก (แต่ใครแพ้เกสรดอกไม้ก็ต้องระวังนะคะ อย่างปี 2011 นี้นี่เกสรดอกไม้แรงมากๆเลย) ส่วนใบไม้ร่วงจะสดใสแบบรายล้อม มองได้ตั้งแต่แหงนหน้ายันก้มหน้า แต่ก็จะคุมโทนสีแดงทั้งหมด (ตามหลักการผสมแสงแล้ว สีเหลือง = แดง + เขียว)

เอาเป็นว่าเฉพาะแค่ที่เราได้ไปมาในปีนี้ก็ได้สีสวยๆมาขนาดนี้แล้วล่ะค่ะ ภาพที่เห็นนี่ไปดูของจริงและถ่ายรูปมาเองกับมือนะคะไม่ได้ไปขโมยแบนเนอร์เว็บใครเค้ามา ^^



เกริ่นที่มาที่ไปของชื่อธีมเรียบร้อย ก็เริ่ม Episode 1 กันกับ WHITE สีขาวของฤดูใบไม้ผลิที่ขาเที่ยวญี่ปุ่นคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วนะคะ ส่วนสีอื่นๆที่เป็นที่เที่ยวแปลกๆหน่อยก็ตามคิวในบล็อคถัดๆไปค่ะ (ที่ว่าแปลกคือ แปลกกว่าที่เที่ยวปกติที่คนไทยชอบมาเที่ยวกันหน้าใบไม้ผลิน่ะค่ะ เพราะว่าฤดูนี้คนไทยก็เน้นมาเที่ยวดูแต่ซากุระกัน)

Episode 1 นี้จะพูดหลายหัวข้อหน่อย ทั้งเรื่องเที่ยวของเราและเรื่องแนะนำสถานที่เที่ยวอื่นๆที่เราแพลนไว้ปีนี้(แต่แห้ว)ด้วยค่ะ สามารถเลือกคลิกข้ามๆหัวข้อไปได้จากลิงค์ข้างล่างนี้นะคะ
1. WHITE แรกของปีกับดอกบ๊วย
2. แห้วๆๆ กับ Kawazu-zakura
3. เริ่มต้นเส้นทางสู่ The White of Sakura
4. เดินทางต่อสู่ WHITE Sakura @Shinjuku

สำหรับลิงค์รวมทุก Episode ของ The Colors of Spring in Japan 2011 จะเขียนอยู่ที่ด้านล่างสุดของหน้านี้นะคะ


WHITE แรกของปีกับดอกบ๊วย


>> คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ในอัลบั้มดอกบ๊วยบน OneDrive

สำหรับใบไม้ผลิปีนี้ The white of spring ของเราจริงๆเริ่มมาก่อนหน้าตั้งแต่ ต้นเดือนมีนา กับดอกบ๊วย (Ume) ในกระทู้รีวิวที่ blueplanet ก่อนหน้านี้แล้วล่ะค่ะ

[ REVIEW @TOKYO ] เริ่มต้นฤดูชมดอกไม้ 2011 กับเทศกาลชมดอกเหมย(ดอกบ๊วย) ณ Yushima Tenjin
//topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2011/03/E10327672/E10327672.html

ช่วงเดือนมีนาที่อากาศยังหนาวอยู่ ในแถบโตเกียวและจังหวัดรอบข้างอยู่ในช่วงฤดูดอกบ๊วยบานพอดีค่ะ(สำหรับปีนี้) ดอกบ๊วยนี่พอได้เห็นของจริงก็ต้องบอกว่าสวยน่ารักไม่แพ้ซากุระเลยนะคะ ถ้าดูแค่ดอกเผินๆ ใครๆจะพาลเหมาว่าเป็นซากุระด้วยซ้ำ ที่แถมพิเศษมาคือดอกบ๊วยนี่กลิ่นหอมด้วยล่ะค่ะ มีการขายดอกบ๊วยเป็นกิ่งๆให้ซื้อกลับเป็นที่ระลึกกันได้


สิ่งที่ดอกซากุระและดอกบ๊วยต่างกันคือลักษณะกิ่งและลักษณะการออกดอกค่ะ ถ้าสังเกตเทียบกันจะๆก็จะเห็น ดอกซากุระไม่ว่าพันธ์ไหนก็จะมีลักษณะเด่นที่ดอกจะขึ้นรวมกันเป็นช่อๆ ถ้าตอนบานฟูเต็มต้นมองกิ่งต้นซากุระจะเห็นซากุระเป็นช่อๆ(กลมๆบ้าง รีๆบ้่าง)ติดเต็มไปหมดเลยค่ะ แต่สำหรับดอกบ๊วยแม้หน้าตาดอกดูเผินๆจะคล้ายซากุระ แต่ถ้าถอยห่างมาหน่อยจะเห็นว่ากิ่งของต้นบ๊วยมันจะดูเปลือยๆกว่าซากุระและชี้ๆหน่อยน่ะค่ะ


อธิบายยากจังคือต้นบ๊วยนี่เราจะมองเห็นกิ่งเห็นก้านมันได้ชัดแม้แต่ในช่วง full bloom น่ะค่ะ เหตุก็เพราะว่าดอกบ๊วยมันขึ้นเรียงเป็นแนวยาวไปตามกิ่ง ไม่ได้เกาะเป็นช่อบังกิ่งเหมือนซากุระนั่นเอง


เอาเป็นว่าถ้าลองไปหารูปเทียบกันจะๆจะอ๋อค่ะ ว่า anatomy ของสองชนิดนี้ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าดูแค่ตัวดอกก็จะสับสนได้ง่ายกว่า เพราะในฤดูนี้ดอกไม้หน้าตาประมาณนี้มักโดนเหมาเป็นซากุระไปซะหมด (รูปข้างล่างกิ่งชี้ๆนี่ต้นบ๊วยหมดเลยนะคะ)


ตอนที่กลับไปไทยเราเห็นที่ชั้นบนของ CTW มีประดับต้นดอกสีชมพูของปลอมเอาไว้ในธีมฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่นด้วย ปีก่อนๆเราก็เคยคิดว่ามันคือต้นเลียนแบบซากุระ แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะ ดอกแบบนั้น กิ่งแบบนั้น จริงๆมันคือต้นเลียนแบบดอกบ๊วยต่างหาก (สังเกตอีกอย่างคือ พวกภาพวาด clipart ทั้งหลาย ถ้าซากุระเค้าจะวาดกลีบเรียวนิดนึงมีรอยหยักที่ขอบ แต่ถ้าดอกบ๊วยจะวาดกลีบดูกลมๆค่ะ)

Credit ภาพดอกซากุระจาก //www.eonet.ne.jp/~bmwkanai/AI4.htm
Credit ภาพดอกบ๊วยจาก //matome.naver.jp/odai/2129766261792246401/2129766533392314803


อีกหนึ่งประโยชน์ของต้นบ๊วยก็คือลูกของมันที่ใช้ไปทำเหล้าบ๊วย Ume-shu 梅酒 นั่นเองค่ะ พี่คนไทยเค้าบอกว่าเหล้านี่ที่ไทยแพง โดยเฉพาะลูกบ๊วยในขวดนี่ถึงกับต้องเป่ายิ้งฉุบแย่งกันเลย ปกติเราไม่ดื่มเหล้า(เหตุเพราะไม่รู้สึกว่ามันจะอร่อยตรงไหนน่ะค่ะ ขมจะตาย ) แต่อยู่นี่เคยอยากรู้อยากเห็นลองจิบดูครึ่งจิบค่ะ ก็หวานกว่าเหล้าปกติน่ะค่ะพอได้อยู่ (แต่ก็ไม่ดื่มอยู่ดี)

Credit ภาพจาก //www.backpackers-miyajima.com/blog_e/2010/05/plum-wine.html

ที่แล็บมีปาร์ตี้ทีไรเห็นเหล้าบ๊วยขวดทรงกระบอกสีเขียวๆ(แบบมีลูกบ๊วยด้วย)ประมาณรูปด้านบนเกือบทุกทีเลยค่ะ(แต่จำยี่ห้อที่เค้าชอบดื่มกันไม่ได้ รู้แค่ยี่ห้อในภาพบนนี่ได้ฟังโฆษณาจนติดหูเลยค่ะ You wanna 酔(よ)わないウメッシュ ... You wanna Yowanai Umesshu) เพิ่งมารู้ทีหลังว่าถึงจะเป็นเหล้า เค้าก็มีเวอร์ชั่นแพ็คเกจกล่องกระดาษอย่างภาพล่างนี้ด้วยนะคะ ดูเผินๆหยั่งกะ calpis เลย แต่พวกนี้ก็น่าจะไม่มีลูกบ๊วยที่ข้างใน(มั้ง)

Credit ภาพจาก //www.suntory.co.jp/news/2009/l_img/l_10339-1.jpg

อีกอย่างที่ไม่เคยรู้จนกระทั่งปีที่ 5 นี้ก็คือเรื่องที่ว่าช่วงเดือน พค นี่เข้าสู่ฤดูหมักเหล้าบ๊วยแล้วค่ะ เห็นว่าแต่ละบ้านก็มักจะหมักใส่โหลใหญ่ๆไว้ รออย่างน้อยสามเดือนก็เอามาดื่มกันได้ ตามซุปเปอร์ก็สนับสนุนเป็นอย่างดี พอถึงฤดูที่บ๊วยดิบออกก็รีบวางขายอุปกรณ์สำหรับหมักต่างๆไว้ให้พร้อมเลยค่ะ มีลองหาข้อมูลดูเจอวิธีหมักทั้ง Ume-shu 梅酒 เหล้าบ๊วย และ Ume juice 梅ジュース (อันนี้จะแปลว่า "น้ำบ๊วย" เฉยๆก็แปลกๆ จะบอกว่า "น้ำหวานรสบ๊วย" ก็ตลกๆนะคะเนี่ย) เดาว่าหมักเอาตามแต่ละบ้านชอบล่ะมั้งคะ แต่อย่างญี่ปุ่นนี่เดาว่าน่าจะหมักเหล้ากันซะมาก เห็นดื่มกันเก๊งเก่งแต่ละคน(ทั้งชายและหญิง)

รูปด้านล่างนี่เป็นตัวอย่างการหมักเหล้าบ๊วยค่ะ อยู่ญี่ปุ่นอะไรๆก็วาดเป็นภาพการ์ตูนประกอบคำอธิบายทั้งนั้น น่ารักแถมเข้าใจง่ายดีด้วย )

Credit แต่ละภาพเล็กมาจาก //jizakewine.com/sake%20htm/umesyu04.htm
..
..
.
.
ก่อนที่บล็อคจะกลายพันธ์เป็นสารคดีเหล้าบ๊วย หรือ ตำนานรักดอกเหมย ไปซะก่อน ขอกลับมาที่เรื่องเดินทางเที่ยวๆของเราก่อนนะคะ (ดอกบ๊วย = plum flower = ดอกเหมย)

จริงๆปีนี้เราก็มีแพลนมากมายเกี่ยวกับดอกบ๊วยนี่ ด้วยความที่เป็นคนชอบวิวแบบสวนกว้างๆ เลยเล็งสวนดอกบ๊วยไว้หลายแห่งที่ไม่ไกลโตเกียว ตั้งใจว่าจะลองไปจอย Ume-matsuri 梅祭り เพิ่มอีกสักที่สองที่นอกจากที่ไปมาแล้วแถวบ้านค่ะ เช่น

青梅公園(おうめ・こうえん) Oume-koen
Tokyo Stn. --> Oume Stn ( Tokkyu 890 yen, 99 minutes)
//www.omekanko.gr.jp/ume/kaika/index.htm

偕楽園 Kairakuen
Ueno Stn. (@Tokyo) ---> Mito Stn. (@Ibaraki) ---> Bus
Normal train 3820 yen 79 minutes + Bus 15 minutes
//www.kairakuen.u-888.com/umematuri/index.html

โดยเฉพาะอันหลังนี่เคยวาดแพลนไว้ถึงขนาดว่าอยากลองไปค้างง่ายๆสักคืน จะได้แวะ Fish market หานาเบะปลาอังโกะที่ว่าขึ้นชื่อแถบอิบารากิมากิน (เค้าว่ามันมีคอลลาเจนที่หัวเยอะน่ะค่ะ) แล้วเที่ยวถ่ายรูปสวน Kairakuen ที่มีต้นบ๊วยกว่า 3,000 ต้นให้หนำใจไปเลย

แต่แล้วก็อย่างที่รู้ๆกันค่ะ เหตุการณ์ Higashi-nihon Daishinsai 東日本大震災....แผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อวันที่ 11 มีนา รวมถึงเหตุการณ์โรงไฟฟ้าด้วย ช่วยเป่าคนต่างชาติกลับไปทำใจที่ประเทศบ้านเกิดตัวเองกันได้ซะเกือบเกลี้ยงเลย เราเองก็หลังจากพยายามทนความเครียดและวิตกจริตจากข่าวอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ไม่ไหว หอบงานกลับไปทำที่ไทยชั่วคราวแทน ก็เป็นเหตุให้เราพลาดบรรดาดอกบ๊วยทั้งหลายที่แพลนจะไปดูเพิ่มด้วยประการฉะนี้อย่างที่ร่ายยาวไว้ใน บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เลยน่ะค่ะ

แปะภาพดอกบ๊วยอัลบั้มเดียวที่ได้ไปถ่ายมาปีนี้จากแถวบ้านหน่อยนะคะ อันนี้เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เราภูมิใจเลย ถ้าสนใจตามไปที่ อัลบั้มใน OneDrive ได้ค่ะ แบบว่าวันนั้นอะไรๆมันก็เหมาะเจาะพอดี ทั้งดอกไม้บานเต็มที่ ทั้งอากาศดี ฟ้าใส อุปกรณ์เราก็พร้อม ได้ภาพดอกไม้งามหยดมายิ่งกว่าที่เคยถ่ายซากุระได้อีกค่ะ เสียดายว่าไม่มีเวลามาเขียนบล็อคให้เต็มๆ


แถมให้อีกว่าวันที่ 3 มีนา เป็นวัน Hina Matsuri 雛祭り ด้วยค่ะ ในช่วงเดือนมีนานี้หลายๆที่ทั่วประเทศญี่ปุ่นก็เลยจะมีการจัดเทศกาลวางโชว์ตุ๊กตาฮินะอลังการให้ได้ไปถ่ายรูปกัน รูปนี้ถ่ายมาจากตู้โชว์เล็กๆจากศาลเจ้าที่เราไปดูดอกบ๊วยมาค่ะ (บางที่ก็จัดให้ดูกันตั้งแต่มกรา ลากยาวมาจนหมดมีนาเลยนะคะ แวะไปดูกันสบายๆ)


ค้นเจอในเว็บของจังหวัด Ibaraki 茨城県 (ที่มีสวน Kairakuen ที่เราคิดจะไปค้างคืนกินนาเบะปลาอังโกะน่ะค่ะ) ที่แนะนำที่ท่องเที่ยวของจังหวัด ตรงนี้ ว่ามีการจัดวางตุ๊กตาฮินะแบบ outdoor เรียงเต็มบันไดสูงๆเลยด้วยค่ะ แปลกน่าสนใจไปอีกแบบ (ลิงค์ที่ให้ไว้มีแนะนำที่เที่ยวตามฤดูของจังหวัดไว้ค่ะ ภาษาอังกฤษด้วย)

Credit ภาพจาก //www.ibarakiguide.jp/wp_kanko/news_english/daigo-hina-matsuri-doll-festival.html

สรุปง่ายๆว่าตั้งแต่หน้าหนาวยังไม่ทันจะหมด ซากุระยังไม่ทันจะบาน ก็มีทัวร์ชมดอกไม้สวยๆให้วิ่งไปได้ทั่วแล้วค่ะเนี่ย เสียดายว่าปีนี้เราอด


แห้วๆๆ กับ Kawazu-zakura


ดอกไม้อีกชนิดที่ปีนี้เราพลาดไปเพราะเหตุแผ่นดินไหวก็คือ Kawazu-zakura 河津桜 ที่แถบ Atami ค่ะ อันนี้ไม่ขาวแต่ชมพู๊ชมพูเลย

Credit ภาพจาก //www.kawazuzakura.net/kaika/sasahara/cmfdiary.cgi

河津桜まつり Kawazu-zakura Matsuri
Tokyo Stn. ---> Atami Stn. ---> Kawazu Stn.
ช่วงแรกถ้านั่งรถด่วนชินคันเซนก็ประมาณ 1 ชั่วโมง ช่วงครึ่งหลังนั่งรถไฟธรรมดาก็ 80 นาที (1730 เยน) ค่ะ
//www.kawazuzakura.net/

みなみの桜と葉の花まつり Minami-no-sakura to Nanohana Matsuri
Kawazu Stn. ---> Izukyu-shimoda Stn. ---> Bus
Local train = 480 yen, 14 minutes, Bus 25 minutes
//minami-izu.jp/diary/diary.cgi

ตั้งแต่เห็นโบรชัวร์โปรโมทการท่องเที่ยว Izu 伊豆 ที่หน้าปกเป็นซากุระสีชมพู๊ชมพูของที่นี่ เราก็หมายมั่นปั้นมือว่าปีนี้จะไปดูให้ได้เลยค่ะ กำลังเบื่อซากุระสีขาวๆในโตเกียวอยู่พอดี ตามกำหนดการปกติซากุระที่นี่จะพีคประมาณกลางเดือน กพ แต่ปีนี้ด้วยอากาศหนาวนาน ก็เลทมากว่าสองสัปดาห์พีคในตอนต้นมีนาค่ะ

ไหนๆคิดจะไปแล้ว ก็แพลนแวะดูอย่างอื่นน่าสนใจระหว่างทางไปด้วยเลยค่ะ เริ่มจากที่แรกอยู่แถวๆสถานี Atami ที่ชินคันเซนจากโตเกียวไปสุดที่จังหวัด Shizuoka 静岡県 ก่อนจะต้องเปลี่ยนเป็นรถไฟธรรมดาลงแหลม Atami ไปต่อค่ะ มีสวนดอกบ๊วย(ที่ดูเหมือนจะ)น่าสนใจสองแห่ง (ส่วนตัวสนใจอันหลังมากกว่า เพราะดูเป็นบรรยากาศกว้างๆภูเขาๆธรรมชาติๆไม่ใช่แนวสวนในเมือง แถมมีต้นบ๊วยหลักพันต้นเลยค่ะ จำไม่ได้ว่า 2 หรือ 3 พันต้น)

熱海梅園公園(あたみばいえん・こうえん) Atami-baien Koen
Ume-matsuri 8 Jan 2011 ~ 6 Mar 2011
Tokyo Stn. ---> Atami Stn.
Kodama Shinkansen 3750 yen, 51 minutes
//www.city.atami.shizuoka.jp/icity/browser?ActionCode=content&ContentID=1115955824739&SiteID=0

Credit ภาพจาก //www.city.atami.shizuoka.jp/icity/browser?ActionCode=content&ContentID=1115955824739&SiteID=0

湯河原梅林(ゆがわら・うめばやし) Yugawara Ume-bayashi
Ume-matsuri 5 Feb 2011 ~ 13 Mar 2011 เวลา 9:00~16:00
Atami Stn. (熱海) ---> Yugawara Stn. (湯河原)
รถไฟธรรมดา 180 yen, 6 minutes
//www.yugawara.or.jp/saisin/umenoutage/kaika.html

Credit ภาพจาก //www.kanagawa-kankou.or.jp/topics/ume/yugawara.htm

พอลงแหลม Atami ไปแล้ว นิดนึงก่อนจะถึง Kawazu ที่ดู Kawazu-zakura ก็มีจัดเทศกาลตุ๊กตาฮินะอยู่ด้วยค่ะ อยู่ใกล้ๆกับ Kawazu Stn. นั่งรถไฟธรรมดาแป๊บเดียวเอง ทีแรกก็แพลนว่าแวะดูนี่ซะด้วยเลย ตุ๊กตาฮินะแบบเต็มรูปแบบนั่งเต็มบันไดแขวนเต็มห้องเลยค่ะ แล้วตรงสถานีนั้นก็มี Onsen 温泉 ชื่อดังด้วย

雛(ひな)のつるし飾り(かざり)まつり
20 Jan 2011 ~ 31 Mar 2011 เวลา 9:00~17:00
Atami Stn. (熱海) ---> Izu-inatori Stn. (伊豆稲取)
มีแต่รถไฟธรรมดาใช้เวลา 85 min 1470 yen (นั่งรถไฟนี้ต่ออีก 6นาที ก็ถึง Kawaza Stn.)
//www.kinunokai.com/

Credit ภาพจาก //www.kinunokai.com/

อุตส่าห์วางแพลนโน่นนี่ไว้....แต่แล้ว...ก็เมื่อวันที่ 11 มีนา นั่นล่ะค่ะ ตอนกำลังนั่งเช็คกระทู้ดอกบ๊วยของตัวเองในพันทิปอยู่ กะว่าเดี๋ยวจะออกไปซื้อตั๋วรถไฟเตรียมไป Izu ในวันพรุ่งนี้ แผ่นดินไหวก็มาเลย อยู่ญี่ปุ่นมาเข้าปีที่ห้า แม้กระทั่งตอนเจอแผ่นดินไหวครั้งแรกในชีวิต เส้นประสาทยังไม่เคยกระตุกเลยสักนิดค่ะ แต่หนนี้ไหวแรงน่ากลัวแบบไม่เคยคาดฝันมาก่อน ก็ถึงกับวิ่งไปมุดโต๊ะตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกเลยล่ะค่ะ ของในห้องก็ตกล้มกระจัดกระจายเละไปหมดอย่างที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราจริง (บรรยายละเอียดกว่านี้อยู่ใน บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > ศุกร์ 11 มีนา 2011 นะคะ)

เจอเรื่องแบบนี้เข้าไปแน่นอนว่าหมดอารมณ์เดินทางไปเที่ยวสนิทเลยค่ะ ต่อให้รถไฟที่ไปมันเปิดกลับมาวิ่งก็ไม่คิดจะไปแล้ว คนไทยรอบตัวทุกคนพร้อมใจกันมาใช้ชีวิตอยู่หน้าทีวี เฝ้าข่าวอัพเดต NHK ตลอด 24 hours กัดกร่อนสุขภาพจิตตัวเองไปวันๆ เสียงเตือนแผ่นดินไหวเจ้ากรรมก็มาทุกๆ 5-10 นาที จนไม่สามารถนอนหลับพักผ่อนให้สนิทได้ ช่วงนั้นเราเองก็ข้าวปลากินไม่ลง ไม่อยู่ในภาวะพร้อมทำอะไรได้สักอย่างค่ะนอกจากจ้องทีวีไปวันๆ

ซากุระสีชมพู๊ชมพูนี้ก็เป็นอันแห้วไปด้วยประการฉะนี้ล่ะค่ะ แต่ก็ยังคิดไว้อยู่นะคะว่าต้องหาโอกาสไปสักครั้ง ถึงอีกหน่อยจะกลับไทยไปแล้วก็ยังอยากกลับมาเก็บที่นี่ให้ได้ค่ะ ทดแทนที่แห้วไปครั้งนี้ ถ้าหนหน้าได้มาเมื่อไหร่ก็กะแก้แค้น..จัดเต็มไปเลย หานอนเรียวกังดีๆ มีเซ็ตอาหารหรูๆ แช่น้ำแร่ชื่อดังของแถบนั้น ดูเทศกาลตุ๊กตาฮินะ(จัดในช่วงเดือนมีนาของทุกปี) ดูสวนดอกบ๊วยใกล้ๆ แล้วก็ที่เที่ยวอื่นๆแถวนั้นอีกค่ะ ไหนๆเคยหาข้อมูลไว้แล้ว


เริ่มต้นเส้นทางสู่ The White of Sakura


White Sakura แรกของเราในปีนี้จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากที่สวนอุเอโนะค่ะ เห็นทีแรกก็ตอนลากกระเป๋าไปสนามบินนาริตะเมื่อตอนมีนานั่นเอง เคยบรรยายไปแล้วว่าความรู้สึกตอนที่ลากกระเป๋าไปนาริตะเมื่อตอนมีนานั่น เป็นอะไรที่ลืมไม่ลงเลย เดินผ่านซากุระสองต้นหน้าสวนอุเอโนะที่กำลังบานสวยอยู่(ตั้งแต่กลางมีนา)ก็ยิ่งหดหู่บอกไม่ถูกว่าช่วงเวลานี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังรอคอยจะได้สนุกสนานกับดอกไม้ที่กำลังทยอยกันบานแท้ๆ


แต่เอาตามสถานการณ์ปัจจุบัน ณ ขณะนี้เลย เราเห็นว่าทุกอย่างมันกำลังค่อยๆดีขึ้นค่ะ แม้จะกลับเป็นเหมือนเดิมเป๊ะๆไม่ได้ เพราะเหตุว่ากำลังผลิตไฟฟ้าลดลงจากเดิม(และคงจะเป็นไปอีกนาน)จนอาจไม่เพียงพอในบางช่วงฤดู(หนาว+ร้อน) และ ปริมาณรังสีในอากาศที่เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่มีน้อยมากๆๆๆ แต่เทียบกับระดับรังสีในเมืองท่องเที่ยวหลายๆเมืองทั่วโลกแล้ว เราก็เห็นว่าระดับที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่โตเกียวนี่ถือว่าชิวมากค่ะ

จริงๆเรื่องรังสีมันใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดกันเยอะ เพียงแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้เราไม่เคยคิดจะสนใจตรวจสอบกันเท่านั้นเอง ตอนหาข้อมูลเราเองยังตกใจว่าประเทศที่เราเคยถ่อบินไปเที่ยวนี่ ระดับรังสีเวลาปกติของเค้ามากกว่าระดับรังสีที่โตเกียวตอนไม่ปกติอย่างนี้ซะอีก แต่ตอนนั้นก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไป ไม่ได้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยค่ะ ทั้งกินทั้งเที่ยวทั้งอะไรต่ออะไร ไปช่วยเค้าสูบรังสีกลับมาเท่าไหร่แล้วไม่รู้เนี่ย :P

ที่มาของข่าว //www.businessweek.com/news/2011-04-01/hong-kong-radiation-exceeds-tokyo-even-after-nuclear-crisis.html

เรื่องผลของโรงงานไฟฟ้าต่อผู้คนนี่...ตอนนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ ถ้ายกเว้นผู้คนในเขตประสบภัยที่ยังลำบากอยู่ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์อพยพมามากกว่า 2 เดือนแล้ว เอาแค่คนในโตเกียวรอบๆตัวเรานี่ ทุกคนกลับไปกังวลแต่กับงานๆๆและงานเหมือนเดิมแล้วค่ะ

ไม่ใช่แต่คนญี่ปุ่นที่มีปฏิกิริยาต่อข่าวโรงไฟฟ้าน้อยลงมากๆๆๆ ณ ขณะนี้ แต่คนไทยและคนต่างชาติเองขนาดข่าวประกาศยืนยัน meltdown ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ก็ยังไม่มีใครให้ความสนใจเป็นพิเศษเลย เห็นข่าวแล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก อืมๆ...รู้ไว้ใช่ว่า...แต่มันแบบว่า...งานมันยุ่งงงง ขอไม่ตกใจไม่อะไรละกันนะ เสียเวลาทำการทำงาน ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไปค่ะ ถ้าตอนนี้ไม่ทำงานเดี๋ยวจะได้ดิ้นตายจริงๆแน่ตอนโดนอาจารย์โกรธเอา
..
..
.
ในอาทิตย์แรกของเดือนเมษาที่เรากลับไปญี่ปุ่น พอออกจาก Keisei Ueno Stn. ก็ผ่านซากุระต้นนี้ที่หน้าสวนอุเอโนะบานรออยู่แล้ว


แม้ก่อนหน้านั้นเราจะบ่นเบื่อซากุระสีขาวๆอยู่ แต่หลังเหตุการณ์ภัยพิบัตินี้ พอได้กลับมาเห็นซากุระบานสวยๆอย่างนี้อีกครั้งแล้วก็ดีใจและชื่นใจมากเลยค่ะ อย่างน้อยวันร้ายๆมันก็มีข้อดีว่าทำให้เรารู้ถึงความสำคัญของวันเวลาปกติของเรามากขึ้น ความหมายของคำว่า "ปกติสุข" นี่เพิ่งจะซึ้งเอาตอนนี้ล่ะค่ะ หลังจากเจอเหตุร้ายๆอย่างนี้เข้าไป อย่างน้อยขอแค่ให้ได้กลับมาเป็นปกติ ได้กลับมามีความสุขตามปกติตามอัตภาพ เหมือนก่อนหน้านั้น ได้แค่นี้ก็น่าดีใจมากแล้วล่ะค่ะ

มันทำให้เรามองเห็นค่าและความสำคัญของแต่ละวันในชีวิตประจำวันเรามากขึ้นจริงๆ แม้งานจะยุ่ง แม้จะอดนอน แม้จะมีเรื่องให้บ่นโน่นนี่นั่นบลาๆๆ แต่เรายังสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ ยังสามารถรู้รสอร่อยๆของอาหารได้ ยังสามารถเดินสูดอากาศข้างนอกได้อย่างเต็มปอด แถมบางเวลายังแอบแว่บจากงานไปช้อปแก้เครียดได้อีก แค่นี้ก็ happy ได้แล้วล่ะค่ะ พูดจริงๆนะเนี่ย เหนื่อยและเครียดเรื่องงาน กับ การมีความสุขในชีวิตได้นี่มันคนละเรื่องกันสำหรับเราค่ะ

เห็นข่าวตอน Disneyland เปิดวันแรกว่าคนญี่ปุ่นไปรอนับหมื่น ดีใจกันจนน้ำตาไหล บางคนอาจมองว่าแค่สวนสนุกเปิดนี่อะไรจะต้องดีใจกันเว่อร์ขนาดนั้น แต่เราคิดว่าเราเข้าใจนะคะ ว่าที่เค้าดีใจกันน่ะเพราะมันเป็นสัญญาณว่าวันเวลาปกติสุขของเค้าที่เหมือนกันกับก่อนจะเกิดเรื่อง มันกำลังจะค่อยๆฟื้นคืนกลับมาน่ะค่ะ

หรือตอนสนามบินเซนไดเปิดที่มีเครื่องเที่ยวแรกจากฮาเนดะมาลง บรรดาเจ้าหน้าที่และแอร์โฮสเตสก็มาถือป้ายต้อนรับกันซะใหญ่โต ทีวีก็ฉายภาพแอร์คนนึงยืนต้อนรับไปปาดน้ำตาป้อยๆไป เพราะดีใจที่สนามบินของเค้ากำลังจะได้กลับมาดำเนินการตามเดิมแล้วน่ะค่ะ
..
..
.
.
เขียนมาถึงตรงนี้ ถ้าถามว่าทำไมเราถึงกำหนดให้ WHITE เป็นสีของซากุระล่ะ

นั่นก็เพราะมันคือความรู้สึกแรกของเราในวันที่ได้มาเห็นซากุระของจริงในแผ่นดินญี่ปุ่นนี้เป็นครั้งแรกค่ะ ด้วยความที่แต่ก่อนก็ไม่ได้สนใจท่องเที่ยว อ่านแต่จากในการ์ตูน(ก็แถวๆโดราเอมอนและการ์ตูนผู้หญิงภาพขาวดำนั่นล่ะค่ะ)ก็พลอยนึกว่าลุคดอกไม้อ่อนหวานแบบซากุระนี่ มันต้องสีชมพู(อ่อน)แน่ๆเลย

มาเห็นของจริงครั้งแรก(ก็ที่สวนอุเอโนะล่ะค่ะ) ก็แอบผิดคาดเหมือนกันว่า อ้าว..ไม่ชมพูนี่นา..ขาวจั๊วะเชียว แม้พันธ์สีชมพูจะมีอยู่บ้าง แต่ในโตเกียวโดยรวมแล้วสีขาวก็เยอะกว่ามากค่ะ

ภาพข้างล่างนี้มาจากซากุระที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด...ใกล้ยิ่งกว่าที่สวนอุเอโนะ ซึ่งจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากซากุระที่มหาลัยโตได...บ้านหลังที่สองของเราในญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ (ช่วงนี้กำลังคิดๆจะยกระดับให้เป็นบ้านหลังที่ 1 แทนแล้วด้วย)


ถนนฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลมหาลัยโตไดที่เราต้องเดินผ่านทุกวันเป็นดงซากุระของแคมปัสฮงโกะนี้ กลับจากไทยมาก็เจอกำลังขาวฟูเต็มที่อย่างในภาพข้างบนเลยค่ะ จากภาพจะเห็นเลยว่าซากุระมันขาวจริงๆนะคะ ดูๆไปบางทีก็นึกถึงภาพถ่าย infrared ที่ทำให้สีต้นไม้กลายเป็นสีออกขาวๆว่าดูคล้ายๆกับตอนที่ซากุระเต็มต้นอย่างนี้เลยค่ะ ไม่แปลกใจว่าทำไมเคยเจอมุกที่แกล้งให้สับสนระหว่างหิมะตกและกลีบซากุระร่วง(ในการ์ตูน) ก็เพราะว่ามันสีขาวๆเหมือนกันอย่างนี้นี่เองค่ะ

ถ่ายมาทุกปี ปีนี้ก็ถ่ายอีกค่ะ ลานฮานามิที่ข้างสนามฟุตบอลของมหาลัย แล็บใครต่อแล็บใครมาปูเสื่อเฮฮากันใหญ่ในวันอากาศดีๆ (แอบอ่านใน FB คนไทยมาว่า ที่แล็บเค้าไปนั่งฮานามิกัน คุยแต่เรื่องผู้หญิงและเรื่องXXX น่ากลัวไปกันชายล้วนแน่ๆเลยค่ะ)


ถึงจะถ่ายมาทุกปีแล้ว ปีนี้ก็ขออีกค่ะ เหมือนเป็นธรรมเนียมประจำปีว่าต้องมีรูปถ่ายที่ระลึกของซากุระเอาไว้เป็นหลักฐานว่าเราได้ผ่านฤดูใบไม้ผลิในญี่ปุ่นไปอีกปีแล้ว นอกจากว่าถ่ายมาทุกปีแล้ว ก็ยังแถมว่าเป็นต้นเดิมๆทุกปีด้วยค่ะ ก็แบบว่าซากุระต้นนี้ที่ย้อยลงมาข้างๆสนามฟุตบอล มันกิ่งต่ำถ่ายง่ายที่สุดน่ะค่ะ ไม่ต้องแบกเทเลมาส่องก็ได้รูปเจาะๆอย่างนี้มาได้


พูดถึงฤดูใบไม้ผลิที่โตไดต้นที่ popular ที่สุดก็ไม่พ้นต้นนี้ล่ะค่ะ


เสียดายว่าภาพถ่ายไม่สามารถสื่อความสวยของดอกไม้ได้เท่าเห็นด้วยตา ต้นนี้ทุกปีจะมีดอกสีชมพูเล็กๆ ตอนที่บานเต็มต้นจะดูนิ่มๆมองไปเหมือนน้ำแข็งเกล็ดหิมะราดน้ำเชื่อมสีชมพูอ่อนเลยค่ะ น่ารักมากกกกก (เหมือนจะเคยได้ยินคุณป้าคนญี่ปุ่นที่มาทัวร์มหาลัยปีก่อนๆ พูดว่ามันไม่ใช่ซากุระ แต่เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่ามันตกลงใช่หรือไม่กันแน่)


เหตุผลที่เราบอกว่าต้นนี้ popular ไม่ใช่อะไร แต่เพราะมันเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่อยู่ใกล้หอนาฬิกา...สัญลักษณ์ของโตไดมากที่สุดค่ะ จะถ่ายรูปให้เห็นว่ามาถึงโตไดแล้วนะในฤดูใบไม้ผลิ ก็ต้องมุมนี้เท่านั้นเลย


ถึงมุมจะคล้ายๆกับที่ถ่ายมาเมื่อปีก่อน = ปี 2010 (ใน บล็อคนี้) แต่ขออีกสักใบเถอะนะคะ ก็ปีนี้(อาจ)เป็นปีสุดท้ายของเราที่โตไดแล้ว


ช่วงต้นเมษาที่ต้นสีชมพูข้างหอนาฬิกาบานเต็มที่มักเป็นช่วงอากาศกำลังดี ไม่หนาวมากเกินไป มานั่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าหอนาฬิการับแดดอุ่นๆตอนกลางวันนี่สบ๊ายสบายค่ะ


ไหนๆพามาดูซากุระที่โตไดแล้ว ก็อดพูดถึงแปะก๊วยกันสักนิดไม่ได้ ณ ตอนต้นเดือนเมษา ใบอ่อนๆแบบในภาพเริ่มขึ้นมาดูเป็นตุ่มๆตามกิ่งโกร๋นๆแล้วค่ะ แต่ ณ เดือน พค นี้ก็งอกออกมาเป็นใบแปะก๊วยสีเขียวๆเล็กๆรูปร่างแบบที่เราคุ้นตากันแล้ว แล้วก็คงใบใหญ่ขึ้น สีเขียวเข้มขึ้นเรื่อยๆกว่าจะเหลืองอีกทีตอนปลายปีโน่น


ช่วงต้นเมษานี้ไม่ว่าที่ไหนเราก็เห็นต้นแปะก๊วยโดนเล็มกิ่งซะเกลี้ยงเลยค่ะ ในภาพก็คือที่โตไดนี่เอง เทียบต้นด้านหน้ากับด้านด้านหลังจะเห็นว่าต้นด้านหน้าโดนเล็มกิ่งเล็กๆฝอยๆออกไปหมดแล้วค่ะ ก็เป็นขยะกิ่งไม้กองโตเบ้อเริ่มเทิ่มเลย



เดินทางต่อสู่ WHITE Sakura @Shinjuku


>> คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ในอัลบั้มภาพเต็มของซากุระส่วนนี้ใน SkyDrive

แม้จะเพิ่งมี aftershock ลูกใหญ่มาเมื่อ 7 เมษา แถมด้วยเตือนภัยซึนามิ 1 เมตร(แต่สุดท้ายก็ไม่มี) แต่คุณพี่ชายเราก็หาได้แคร์ไม่ค่ะ ยังคงบินมาเที่ยวสงกรานต์ที่ญี่ปุ่นตามกำหนดการเดิม วันแรกเราก็พาไปดูซากุระในโตเกียว ลองชวนไปกิน Sushi-zanmai สาขา Ueno (เพิ่งเปิดมาได้สองปีกว่าๆ) ก็ไป แถมกินเฉยเลยค่ะ เราก็นึกว่าคนมาจากไทยสดๆจะอินเทรนด์กลัวไม่กล้ากินปลาที่ญี่ปุ่นซะอีก ^^

ร้าน Sushi-zanmai นี้ ตอนหลังเกิดเรื่องใหม่ๆ เรามีเดินผ่านก็เห็นเงียบแทบไม่มีคน ร้านก็ปิดไฟมืดๆ (ผู้คนเก็บตัวตามข่าวในบ้านกันเป็นส่วนใหญ่ และ หลายบริษัทก็ประกาศหยุดด้วย) เห็นแต่คนเรียกลูกค้ายังยืนทำงานแข็งขันหน้าร้านตามปกติ แต่กลับไปอีกทีต้นเมษาเนี่ย คนนั่งกินกันเต็มร้านเหมือนเดิมเลยค่ะแต่ถ่ายภาพไม่ทันประตูปิด (ตอนอยู่ในร้านไม่กล้าถ่าย เพราะจะรบกวนลูกค้าคนอื่นน่ะค่ะ ถ่ายแต่จานตัวเอง)


ในภาพเป็นสลัดปลา Katsuo สั่งแยกมาจากชุด Maguro-zanmai ของโปรดเราอีกที ชื่อว่าสลัดแต่มาจานเบ้อเริ่มเลยกินแทบไม่หมดกันเลยล่ะค่ะ


บันไดเลื่อนที่สถานี JR Ueno ตอนต้นเมษาก็ยังปิดอยู่บางอันค่ะ (แต่สองอาทิตย์ถัดไป บันไดเลื่อนเดียวกันนี้ มันเปิดแล้วล่ะค่ะ) แต่ถ้าเดินสำรวจดีๆเราก็ยังเห็นลิฟต์เปิดอยู่สำหรับคนมีกระเป๋าใบใหญ่ๆมานะคะ บอกเผื่อไว้ใครมาเจอช่วงประหยัดไฟจะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงบันไดกันค่ะ


เนื่องจากคุณพี่ชายมาเที่ยวญี่ปุ่น(ค้างบ้านเรา)บ่อยมาก สวนอุเอโนะเค้าก็ไปมาบ่อยมากเหมือนๆเรานี่ล่ะค่ะ ปีนี้เลยพาไปอีกสวนซากุระชื่อดังของโตเกียวที่ Shinjuku กันบ้างที่สวน Shinjuku Gyoen ค่ะ เหยียบชานชาลาปุ๊บก็เห็นป้ายสวนอยู่ตรงหน้าอันนึงแล้ว


สวนนี้มีทางเข้าหลายทาง ลงได้หลายสถานี ถ้าไปในช่วงซากุระนี้ยิ่งไปไม่ยากเลยค่ะ มีป้ายชี้บอกทางไปตลอด


โดยรวมแล้วซากุระที่นี่ก็เป็นพันธ์สีขาวซะเป็นส่วนมากคล้ายที่สวนอุเอโนะเลยค่ะ


แต่ส่วนตัวแล้วขอบอกว่าสองสวนนี้บรรยากาศต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยค่ะ ในขณะที่สวนอุเอโนะเน้นซากุระต้นสูงๆลิบๆต้องเงยคอชมความงามแบบห่างๆ เอาเทเลบ้องยาวๆส่องเพื่อจะได้ภาพซากุระมาแบบใกล้ๆ สวนชินจูกุนี้เป็นซากุระต้นเตี้ยๆกิ่งย้อยๆให้เราได้ไปถ่ายรูปคลุกวงในกับดอกซากุระแบบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลยค่ะ เรียกว่าเดินเข้าไปให้ซากุระล้อมรอบตัวเราแล้วถ่ายรูปได้เลย


ถ้าใครเหมือนเราคือ อยากถ่ายรูปแบบใกล้ชิด เห็นดอกซากุระเห็นกลีบชัดๆล้อมอยู่รอบตัวล่ะก็ แนะนำว่าสวนที่ชินจูกุนี้เหมาะมากค่ะ (แต่ก็อย่าไปจับดอกไม้กันรุนแรงนะคะ ช่วยกันระวังให้คนมาทีหลังเค้าได้ดูดอกไม้สวยๆบ้าง อาศัยมุมกล้องช่วยเอาก็ได้ซากุระล้อมเพียบ ใกล้มือ ใกล้นิ้ว ใกล้หน้าสุดๆแล้วค่ะสำหรับสวนนี้)

สองพี่น้องไปสวนนี้มาเมื่อวันที่ 8 เมษา ถึงจะเป็นวันศุกร์และเป็นเวลาที่คนยังไม่เลิกงานกัน แต่ในช่วง full bloom sakura อย่างนี้ สวนดังอย่างที่นี่เงียบและโล่งแบบนี้ก็ต้องบอกว่าผิดปกติมากล่ะค่ะ นอกจากคนญี่ปุ่นแล้วแทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเลย


เราไม่เคยมาสวนนี้ในวันธรรมดาแถมเวลาทำงานอย่างนี้ด้วยก็จริงนะคะ แต่เทียบความดังแล้วสวนนี้กับสวนอุเอโนะดังไม่น่าจะแพ้กัน ที่อุเอโนะเราเห็นทุกปีว่าขนาดวันธรรมดากลางวันแสกๆ แต่ถ้าเป็นช่วงซากุระบาน(หรือแม้แต่เริ่มโรยไปแล้ว)ล่ะก็ คนก็ยังเยอะแยะไปหมดถ่ายรูปมาติดแต่หัวคนทุกทีไป

ภาพล่างนี้เป็นภาพเปรียบเทียบจาก 4 เมษา 2009 สองปีก่อนที่เราเคยมาที่สวนชินจูกุนี้นะคะ แต่ตอนนั้นเป็นวันสุดสัปดาห์ด้วยคนเลยแน่นไปหมดเลยค่ะ (แต่สองวันถัดไป วันที่ 10 เมษา 2011 ที่เป็นวันอาทิตย์และอากาศดี ได้ยินว่าที่ชมซากุระทุกแห่งในโตเกียวแน่นไปด้วยคนญี่ปุ่นค่ะ ส่วนเรานั้นเก็บตัวอยู่บ้านค่ะ ไม่อยากไปเบียดคนกะเค้า)


คิดในแง่ดีว่าคนน้อยๆอย่างนี้ก็ทำให้เรามีโอกาสถ่ายรูปสบายๆเลยค่ะ ไม่ติดหัวคน จะถ่ายมุมไหนนานแค่ไหนก็ได้ไม่รบกวนคนอื่น ไม่ต้องต่อคิวใคร ถ้ามาจากทางเข้า Sendagaya Gate คนจะน้อยหน่อยค่ะ และจะค่อยๆหนาตาขึ้นเรื่อยๆ พอมาใกล้ฝั่ง Shinjuku ก็เริ่มเห็นเสื่อมาปูฮานามิกันบ้างแล้วค่ะ (อิจฉาคู่ในภาพนี้มากกก >,< )


ลานในภาพนี้คือลานเดียวกับในภาพจากปี 2009 ค่ะ วันศุกร์ที่เราไปก็ว่างๆหน่อยอย่างนี้ล่ะค่ะ เสื่อยังไม่เต็มพื้นที่ มีเหลือพอให้โยนจานร่อนวิ่งเล่นอะไรกันได้อยู่ เมื่อ 2009 ที่เราไปนี่ เรียกว่าต้องค่อยๆย่องเลาะผ่านรอยต่อของแต่ละเสื่อกันเลย


มาหนนี้นอกจากว่าได้ถ่ายรูปแบบมีซากุระล้อมรอบ แถมไม่มีหัวคนมาเกะกะซะเต็มอิ่มแล้ว ก็มีซากุระต้นนี้่ล่ะค่ะที่ประทับใจเรามากๆ เป็นซากุระที่น่ารักมากที่สุดที่เราเคยเห็นมาในชีวิตสี่ปีกว่าที่ญี่ปุ่นนี้เลย ลุคน่ารัก บอบบาง และ หวานๆแบบนี้ล่ะค่ะ คือ ลุคของซากุระที่เราเคยจินตนาการไว้ก่อนหน้าที่จะได้มาเห็นของจริงที่ญี่ปุ่น จินตนาการเพิ่งจะมาเป็นจริงเอาปีที่ 5 นี้เอง


ต้นนี้นี่เดินๆอยู่ก็เด้งเข้าตามาแต่ไกลเลยค่ะเพราะคนยืนรุมถ่ายรูปกันเยอะมาก พอลองเข้าไปดูใกล้ๆแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย ดอกสีชมพูอ่อนๆ บานเป็นตุ้มกลมๆติดฟูเต็มทุกกิ่ง ดูนิ่มๆฟูๆน่ารักแบบอธิบายไม่ถูกเลยล่ะค่ะ เสียดายว่าเราไม่สามารถจะถ่ายทอดมันออกมาได้ดีพอด้วยภาพถ่ายใบนี้ พยายามแล้วนะคะ แต่ถ่ายยังไงๆมันก็ออกมาไม่สวยไม่น่ารักเท่าที่เห็นด้วยตาจริงๆสักที


ใกล้ๆกับต้นซากุระสุดน่ารักตะกี้เจอพุ่มอะไรไม่รู้หลากหลายสีสวยไปอีกแบบค่ะ มีทั้งสีชมพูอ่อนและเข้ม(อยู่ลิบๆ) สีเหลือง สีขาว และ สีเขียว


...ตามธรรมเนียมก็ต้องขอเอาตัวเข้าไปบดบังทัศนวิสัยในการรับชมภาพบ้างนะคะ เอาไว้เป็นที่ระลึก(ของเรา)


หลังจากสวนนี้ก็มีแวะไปเอาของที่ชิบุยะค่ะ เค้าโทรมาบอกว่าซ่อมเสร็จตั้งหลายอาทิตย์แล้ว ไหนๆมาแล้วก็อยากถ่ายฮาจิโกะให้ติดซากุระด้วย แต่ชิบุยะคนเยอะไม่เคยเปลี่ยน ขี้เกียจเบียดเข้าไป แถมต้องหลบคนเพื่อหามุมถ่ายเสยซากุระอีกค่ะ เลยเอาแค่พอเพียง...ให้อยู่ได้ในเฟรมเดียวกันก็พอแบบนี้


ปิดท้ายวันชมซากุระที่ชินจูกุด้วย Jankara Ramen ที่ harajuku นะคะ ไม่ได้เกี่ยวกับซากุระตรงไหนหรอกค่ะเพียงแต่เหตุการณ์มันต่อเนื่องกันพอดี เนื่องจากไม่ค่อยได้มาแถวนี้เลยไม่ได้กินราเม็งยี่ห้อนี้มาหลายปีแล้ว (นานๆที)กินแต่ Ichiran Ramen ใกล้บ้าน


อยู่มาเข้าปีที่ห้าแล้ว จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่เราสามารถกินราเม็งได้หมดชาม แทบจะถ่ายภาพคู่กับชามราเม็งว่างๆไว้เป็นที่ระลึกกันเลย (แต่ก็ไม่ได้ถ่ายมาค่ะ แบบว่าอายคนญี่ปุ่นที่นั่งกันเต็มร้าน ตอนชามเต็มๆก็ถ่ายไปแล้ว ชามว่างๆก็ยังจะถ่ายอีก )


แต่ไหนแต่ไรกินราเม็งจนเส้นจุกคอแล้วก็ไม่เคยหมดเสียที ไม่รู้ว่า Jankara Ramen นี่มันชามเล็ก หรือ ว่าเรากินเก่งขึ้นกันแน่ค่ะเนี่ย แต่ตอนชามวางมาทีแรกก็คิดอยู่นะคะว่า เอ๊ะ..ทำไมชามเล็กจัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกว่า Ichiran ramen ปัจจุบันก็ยังกินไม่หมดอยู่เหมือนเดิมค่ะ

คือ jankara นี่เครื่องมันเยอะ แต่ Ichiran นี่เส้นมันเยอะ ซึ่งเราถนัดแบบแรกมากกว่า เป็นผู้หญิงประหลาดชอบกินเนื้อเยอะๆเหมือนผู้ชายน่ะค่ะ (ไปนั่งพวกร้านแฮมเบอเกอร์หรือสเต๊กแนวจานด่วนทีไร ทั้งร้านแทบจะมีเราเป็นลูกค้าผู้หญิงที่มาคนเดียวเดี่ยวๆเกือบทุกทีเลยค่ะ)

Episode แรกนี้ขอจบไว้ที่ตรงนี้ก่อนนะคะ ขอไปปั่นงานต่อแล้วค่าาาาา



The Colors of Spring in Japan 2011

1. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 1st Episode:: The WHITE of Plum Flower and Sakura
2. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 2nd Episode:: The WHITE Spirit of Japanese
3. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 3rd Episode:: The WHITE of Sakura-Panda
4. [[[ The Colors of Spring in Japan 2011 ]]] 4th Episode:: The YELLOW of Nanohana กับประสบการณ์โดนน้องแกะ...
5.
6.



รูปถ่ายค่อนข้างหลากหลายมีทั้ง Canon EOS Kiss X3 + EF-S 15-85 + EF 70-200mm 4L IS บางภาพก็มาจาก Sony Alpha NEX-5 + Alpha E 18-55mm OSS ถ้าใครสังเกตออกว่าภาพไหนมาจากกล้องไหน แสดงว่าพร้อมแล้วค่ะสำหรับการตัดสินใจว่า Mirrorless + Lens kit สามารถแทน Beginner DSLR + Lens ไม่คิตได้หรือไม่ (แต่คู่ชกนี้ฝั่ง mirrorless เสียเปรียบเยอะ เพราะราคา NEX + เลนส์คิตสองตัว ยังไม่เท่าราคาเลนส์ Canon ที่เอามาสู้กันสักตัวเลยค่ะ )


>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 5 เมษายน 2558 18:25:28 น.
Counter : 16771 Pageviews.  

บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > พุธ 16 มีนา 2011


อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ขอหลบความเครียดมาพักทำใจหน่อยเถอะนะ

คำเตือน บล็อคนี้เป็นแค่บันทึกเรื่องที่ผ่านมาแล้ว(ตั้งเกือบเดือน) ไม่ใช่การรายงานสถานการณ์สดจากโตเกียวแต่อย่างใด สถานการณ์ปัจจุบันคิดจะเขียนอยู่ในบล็อคหน้า(ถ้ามีเวลาและมีอารมณ์ในการเขียนเพียงพอ)

ต่อจากบล็อคก่อนที่นั่งพิมพ์บันทึกกันข้ามวันข้ามคืนบนพื้นแข็งๆของสนามบินนาริตะ ขึ้นวันใหม่มาอย่างคนขาดการอัพเดตข่าวสารแบบ real-time 24 hours จาก NHK (ผล คือ สบายใจขึ้นมาก) เวลาประมาณสักหกโมงเช้าที่ อะไรๆก็พิมพ์เสร็จไปหมดแล้ว เราก็เริ่มออกเดินเล่นยืดเส้นยืดสายในสนามบินให้ก้นหายเป็นตะคริวซะหน่อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่ค้างที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนยังคงหลับอุตุกันอยู่เลย


ยังไม่ทันจะเจ็ดโมงเช้าดี แต่ดูสิ พ่อครัวร้านซูชิในสนามบินตื่นมาเตรียมร้านแล้ว ขยันกันดีจริงๆเลยนะเนี่ย จะว่าไปลูกค้าในสนามบินตอนนี้ก็เยอะเป็นประวัติการณ์(ที่ไม่ค่อยดี)จริงๆนั่นล่ะ นอกจากลูกค้าที่มาบินออกแล้วก็ยังมีลูกค้าที่มาอาศัยนั่งๆนอนๆ ยึดเอาสนามบินเป็นบ้านชั่วคราวด้วย


ลากกระเป๋าเดินวนรอบสนามบินไปเรื่อยๆ ผ่านไปเจอเคาเตอร์เช็คอินของ Business/First class เขียนป้ายแปะไว้ว่าเคาเตอร์จะเปิด 7 โมง แต่ Economy อย่างเรานั้นไม่เกี่ยวกันอยู่แล้ว ก็กะว่าจะรีบไปเช็คอินตั้งแต่ 3 ชั่วโมงก่อนหน้าเลยเพื่อความชัวร์ (ไฟลท์บิน 10:50 am) เดี๋ยวเดินเล่นชิวๆเสร็จก็คงไปเช็คอินได้สบายๆตอน 7:50 am โอ๊ย..เวลาเหลือเฟือ (เดินทางต่างประเทศปกติ ถ้ามาเช็คอินก่อน 3 ชั่วโมงก็มักเจอเคาเตอร์ว่างๆคิวแทบไม่มีเลย)

แต่หลัก "สบายๆถ้ามาสามชั่วโมงก่อนบิน" นั้นกลายเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ในสถานการณ์ไม่ปกติอย่างนี้ เริ่มจะรู้ตัวก็ตอนที่เดินลากกระเป๋าตุเลงๆไปเห็นแถวอะไรไม่รู้คนต่อคิวกันยาวเฟื้อยเชียว เดินเรื่อยๆมาเรียงๆไล่ตามไปดูจนถึงหัวแถว ปรากฏว่ามันคือแถวของเคาเตอร์เช็คอิน Economy ที่เดี๋ยวเราเองก็ต้องใช้นี่เอง อุแม่เจ้า!ยังไม่ทันจะเจ็ดโมงเช้า เคาเตอร์ยังไม่ทันจะเปิด แต่หางแถวยาวไปกว่าครึ่ง Wing แล้วเหรอเนี่ย ตายๆๆ จากที่ขาไปตะกี้เดินชิวๆอยากรู้อยากเห็นไปเรื่อย ขากลับนี่แทบจะวิ่งเขย่งก้าวกระโดดกลับมาเลย รีบแยกร่างกระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วไปต่อคิวกะเค้าทันที ไม่น่าประมาทไปเลยนะเนี่ย ถ้ารู้ซะงี้จะมานั่งต่อคิวหน้าเคาเตอร์มันตั้งแต่ตีห้าเลย ไหนๆก็ตื่นอยู่ทั้งคืนอยู่แล้ว

ระหว่างที่ต่อแถวที่สปีดการขยับสุดแสนจะเชื่องช้า ก็มองซ้ายขวาสำรวจสภาพในสนามบินไปเรื่อย เทียบกับตอนที่เรามาถึงเมื่อวานตอนเย็น เช้านี้คนเยอะขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด สนามบินตรงเคาเตอร์เช็คอินคนแน่นไปหมด น่ากลัวว่าข่าวโรงไฟฟ้าเมื่อวานจะมีผลมากกว่าที่เราคิดนะเนี่ย มองประตูทางเข้าอยู่นี่เห็นคนเข้ามาไม่ได้ขาดเลย แต่ละคนคลุมหัวมีผ้าคาดปากพร้อม(เช้านี้มีฝนตก ยิ่งน่ากลัวเรื่องฝนปนรังสี) มีกรุ๊ปคนจีนถือป้ายว่าสถานทูตจีนยืนอยู่เพียบหลายสิบคนแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกไหน นักเรียนหรือเจ้าหน้าที่สถานทูตก็ไม่รู้?


สิ่งที่รู้ๆคือ ทั้งคิวด้านหน้าและด้านหลังที่เราต่ออยู่เนี่ยมีแต่คนจีนล้วนๆเลย ที่น่าโมโหก็คือเจอคนจีนแซงคิวนี่สิ เป็นผู้ชายยังหนุ่มๆแท้ๆนะแซงคิวผู้หญิงได้หน้าตาเฉยเลย หนอย..ทำเดินมาเนียนเสียบข้างๆกรุ๊ปคนจีนด้านหน้าเราที่ดันยืนกันเป็นกลุ่มไม่เป็นระเบียบจนทำให้แถวดูเหมือนมีแตกแพร่งเล็กๆ คนที่มาแซงเราแซงแล้วก็มีทำเป็นคุยภาษาจีนกับคนจีนกรุ๊ปข้างหน้านั้นด้วยนะ แต่เราเห็นอยู่น่ะว่าไม่ได้มาด้วยกันสักหน่อย แถมคนในกลุ่มก็ไม่ได้หันมาให้ความสนใจเท่าไหร่ด้วย แยกกันมาชัดๆแบบนี้

หลังจากพลาดโดนคนจีนแซงไปแล้วจากนั้นก็ระวังตัวตลอด เข็นกระเป๋าไปติดคิวหน้าไม่ยอมเปิดโอกาสให้ใครมาแซงอีกเลย อารมณ์เสียนะเนี่ยต้องมาเจอพวกขี้เอาเปรียบชอบแซงคิวแม้แต่ตอนแบบนี้ อดนึกถึงตอนไปไต้หวันไม่ได้ จำแม่นมากๆว่าระหว่างรอคิวเพื่อเอาภาพที่ระลึกของ Taipei101 อยู่ๆกรุ๊ปคนจีนแผ่นดินใหญ่(ไม่ใช่จีนไต้หวัน)ก็เดินมาแทรกที่ด้านหน้าเฉ๊ย เรานี่ส่งสายตาจ้องแบบไม่มีเกรงใจเลย พวกเค้าหันมามองแล้วมีชะงักกับรังสีอำมหิตไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังคงยืนกรานจะแซงคิวเราต่อไป พนักงานต้องออกปากว่าให้ไปต่อคิวพวกนั้นถึงจะยอมไป

พักเรื่องน่าหงุดหงิดไปต่อเรื่องเช็คอินกันต่อ ต่อแถวไปได้สักพักก็เริ่มมีเจ้าหน้าที่มาพยายามเดินจัดระเบียบให้ยืนกันเป็นสองแถวดีๆ ไม่จับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่เนื่องจากคนเยอะมาก แถวยาวมาก เจ้าหน้าที่เลยไม่เพียงพอ สุดท้ายก็ได้แต่คอยระวังคิวของตัวเองให้ดีที่สุดไปเพราะเวลานี้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถให้การดูแลเราอย่างทั่วถึงได้ ค่อยๆกระดึบๆมาจนในที่สุดก็ถึงโค้งสุดท้าย ผ่านเข้ามาอยู่ตรงแถวที่หน้าเคาเตอร์เช็คอินแล้ว ตรงนี้ก็ไม่ได้ดีกว่าข้างนอกนัก แถวขดไปขดมาเหมือนตอนเล่นเกมส์ Snake ที่เลเวลสูงๆยังไงยังงั้น ดีว่ามีกั้นไว้ดีเลยเบาใจเรื่องพวกชอบเนียนแซงคิวไปได้บ้าง

ตอนที่อีกแค่หนึ่งขดครึ่งก็จะถึงคิวเราอยู่แล้วอยู่ๆก็มีประกาศว่า "ผู้โดยสารท่านใดที่ไปเที่ยวบินเวลา 11:00 am ขึ้นไป เนื่องจากมีการแคนเซิลไฟลท์ จึงขอให้ยังไม่ต้องมาต่อคิวเช็คอินและรอประกาศอัพเดตต่อไป" ได้ยินทีแรกนี่ใจหล่นไปตาตุ่มเลยว่าอุตส่าห์ต่อคิวมาเป็นชั่วโมงต้องมาออกจากแถวอย่างนี้น่ะนะ แต่พอคิดดูดีๆไฟลท์เรามัน 10:50 นี่นา ฟู่..รอดมาได้ฉิวเฉียด เบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลาต่อคิวไปประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งได้ (เน้นด้วยว่านี่ขนาดเริ่มต่อตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเช้านะเนี่ย)

พอได้ Boarding pass มาอยู่ในมือแล้วก็เบาใจไประดับนึง ออกจากเคาเตอร์เช็คอินมา แถวต่อคิวของ economy ยาวอลังการล้านแปดยิ่งกว่าตอนที่เราไปต่อใหม่ๆซะอีก เมื่อตอน(เกือบ)เจ็ดโมงยังเป็นแถวคู่ยาวประมาณครึ่ง South wing ผ่านมาชั่วโมงครึ่งหางแถวตอนนี้ยาวไปจนสุด Wing แถมอ้อมต่อไปไหนก็ไม่รู้แล้ว แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นบวกกับยังมีเวลาก็เลยเดินไล่แถวไปดูมา

เทียบจากแผนที่ของ Narita Airport Terminal 1 แบบคร่าวๆ พอให้เห็นภาพว่าคิวคนเช็คอิน ณ เช้าวันนั้นยาววววววมากแค่ไหน (คลิกที่รูป เพื่อดูภาพใหญ่ได้นะ) ไม่นับแถวที่ขดไปขดมาอยู่ตรงหน้าเคาเตอร์เช็คอินกระเป๋า แถวด้านนอกก็ลากยาวตั้งแต่เคาเตอร์ E ไปตามเส้นประสีแดงในภาพเลย ยาววนเข้าไปอ้อมในโซนร้านอาหารจนวกกลับมาใน South wing อีกรอบโน่นแน่ะ

Credit แผนที่จาก //www.narita-airport.jp/en/guide/map/apt14f.pdf

สอดรู้สอดเห็นเสร็จแล้วก่อนจะเข้าเกตก็เดินวนหา Post Office ซะหน่อย ก็ตั้งใจจะบริจาคเงินเข้ากาชาดญี่ปุ่น (日本赤十字社 にっぽんせきじゅうじしゃ Nippon-sekijujisha) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั่นล่ะ แต่ปรากฏว่า Post office ยังปิดอยู่เลย แถมมีคนมาต่อคิวรอข้างหน้าแล้วด้วย กว่าเรามารอตรงนี้อีกเกิดพลาดผ่าน immigration ไม่ทัน ตกไฟลท์เอาจะยุ่ง สุดท้ายเลยยังไม่ได้บริจาคเงิน (แต่ ณ ตอนที่พิมพ์อยู่นี่บริจาคไปเรียบร้อยแล้ว เข้ากาชาดญี่ปุ่นตรงๆเลยนี่ล่ะชัวร์สุดว่าถึงทุกบาททุกสตางค์ = ทุกเยน)

เมื่อไม่มีอะไรทำแล้วก็รีบเข้าเกตไปก่อนดีกว่า ทั้งๆที่แถวเช็คอินยาวและคนเยอะขนาดนั้น แต่ในขั้นตอนผ่าน immigration นี่กลับไม่นานเท่าไหร่นะ ต่อคิวเล็กน้อยตามปกติแต่ก็ไหลลื่นผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว ภาพนี้กะจะถ่ายมานานแล้วล่ะ ตอนเห็นทีแรกก็แปลกใจเหมือนกันว่านอกจากพวกของสด ผัก และ ผลไม้แล้ว หมอนอิงสามเหลี่ยมแบบไทยๆ(イネワラを使用した三角マクラ)นี่ก็ถือเป็นของต้องห้ามด้วยนะเนี่ย เคยคิดจะซื้อเป็นของฝากอาจารย์อยู่เลยอดเลย


เข้า immigration มาได้แล้วทีนี้ยิ่งโล่งเลย ณ ตอนนั้นนี่ค่อนข้างสบายใจและอารมณ์ดีมากพอจะแวะซื้อของ(ที่ลืมหยิบกลับมา)ที่ Fasola Duty Free ด้วย การได้อยู่ห่างข่าวเครียดๆ แถมไม่ต้องวิตกจริตกลัวอยู่ตัวคนเดียวในห้องนี่ช่วยให้ผ่อนคลายได้เยอะจริงๆนะ ยิ่งมองวิวฟ้าใสๆข้างนอกไปด้วยแล้ว ยิ่งไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรที่เราจะต้องเป็นกังวลไปขนาดนั้นเลย วันนี้มันก็เหมือนๆกับวันเวลาปกติที่ผ่านมาของเราที่ญี่ปุ่นนี่ล่ะ (แต่อย่างว่า เปลี่ยนใจไม่กลับไทยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว)


หลังจากช็อปเสร็จก็เดินไปหา Shower room ตามคำสั่งของคุณแฟน ส่วนตัวไม่เคยรู้เลยนะว่ามีบริการห้องอาบน้ำด้านในเกตสนามบินด้วย แต่คุณแฟนเค้าเคยใช้บริการมาก่อน หนนี้เลยบอกให้เราไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสื้อที่ใส่เดิมให้มัดใส่ถุงเก็บให้มิดชิด(เพื่อเอาไปแยกซักทีหลัง) แล้วค่อยขึ้นเครื่องไป เดินวนๆหาอยู่แป๊บนึงก็เจอละ อยู่ลึกลับไปนิดนึง ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมาเท่าไหร่ ราคาค่าบริการตกที่ Shower only 1000yen/30min , Single day room 1500yen/first hour และ 750yen/hour ต่อๆไป , Twin day room 2400yen/first hour และ 1200yen/hour ต่อๆไป


คุณแฟนสั่งมาแค่อาบน้ำ แค่คิดสารตะดูแล้วครึ่งชั่วโมงรวมอาบน้ำ สระผม และเป่าผม เราไม่มีทางทำทันหรอก(ผมยาวมาก) ไหนๆจะเอาชั่วโมงนึงแล้วเอาแบบ Day room มีเตียงให้นอนเอนหลังพักด้วยดีกว่า ว่าแล้วก็จ่ายไป 1500yen ได้กุญแจห้อง พร้อมเซ็ตน้ำดื่ม ทิชชู่ และ แปรงสีฟันแบบนี้มา


บริการ Shower room นี้หรูกว่าที่คิดไว้ซะอีกคล้าย business hotel ย่อมๆเลย สวยและสะอาดมากๆ


Day room แบบ Single เข้าไปจะมีเตียงเล็กๆแบบมีนาฬิกาปลุกฝังอยู่หัวเตียง ข้างเตียงมีตะกร้าใส่ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่และเล็กอย่างละผืน (สลิปเปอร์ใส่ในห้องก็มีให้)


ถ้านอนบนเตียงมองไปปลายเตียงก็มีที่แขวนเสื้อ มีโต๊ะกระจก ไดร์เป่าผม และ โทรศัพท์ภายในแบบนี้


สุดท้ายจากเตียงมองไปประตูก็จะมีห้องอาบน้ำเล็กๆอยู่ (ห้องส้วมจะอยู่แยกด้านนอก)


โดยรวมแล้วถึงจะห้องเล็กๆแต่ก็สะอาดสะอ้าน เป็นส่วนตัว พักผ่อนสบายมากๆเลย รีบอาบน้ำเป่าผมแล้วก็พอมีเวลาให้เอนหลังหลับตานอนแป๊บนึง (ขอ wake up call เอาไว้ด้วยกันนอนหลับเพลิน) เสียดายว่าเสียเวลาต่อคิวด้านนอกนานไป เลยไม่สามารถนอนพักนานกว่านี้ได้ เค้าอุตส่าห์แถมให้อีกสิบกว่านาทีแต่ก็ไม่ได้ใช้เพราะต้องรีบออกไปขึ้นเครื่องซะแล้ว ยังไงก็ตามแอบติดใจบริการนี้ไปเรียบร้อย ถ้ามีไฟลท์ไหนบินยาวๆจัดหนักๆอาจกลับมาใช้บริการห้องนอนแบบนี้อีกครั้ง สบายกว่าไปนั่งหลับหน้าเกตแล้วต้องคอยหนีบสัมภาระทุกสิ่งอย่างไว้กับตัวตั้งเยอะ (ว่าแต่สนามบินที่อื่นมีบริการแบบนี้บ้างมั๊ยเนี่ยถ้าเราไม่ได้ถือพวกบัตร Elite ของสายการบินต่างๆ)

เพิ่งจะชาร์จแบตได้นิดนึงแต่ก็ได้เวลาต้องวิ่งขึ้นเครื่องแล้ว ระหว่างทางเชื่อมเข้าเครื่องบินมองไปเห็นเครื่อง TG อยู่ไวๆ ถ้าไปลำนั้นคนไทยคงเพียบแน่นต้องเจอคนรู้จักแหงๆเลย ไอ้การใจร้อนยอมจ่ายแพงในกรณีนี้ก็ถือว่ามีข้อดีอีกอย่างคือไม่ต้องเอาหน้าโทรมๆของคนอดหลับอดนอนไปประจานให้คนรู้จักรู้ อีกอย่างคือไม่ประทับใจการบริการของแอร์ TG มาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย ถ้าไม่ใช่กรณีที่ราคาตั๋ว TG ถูกสุดก็ไม่เคยคิดจะใช้เลย ส่วนสายการบินที่เลิฟมากๆมีสามอันคือ JAL, ANA และ Singapore Airlines แบบว่าบริการทุกระดับประทับใจจริงๆ (แต่อาหารบนเครื่อง จะติดใจของ Delta ชั้น Business class มากที่สุด)


หลังจากที่ต้องเครียดอยู่คนเดียวมาได้ห้าหกวัน นี่ก็คงจะเป็นบทสรุปแล้วก่อนจะถึงเวลาที่เราต้องกลับมาโตเกียวอีกครั้ง มื้อสุดท้ายปิดบันทึกคืออาหารบนเครื่องของ ANA อุด้งผัดนี่อร่อยกว่าที่คิดไว้เสียอีก(เดี๋ยวนี้มี Miso soup ร้อนๆให้ดื่มด้วยล่ะ) แอร์คนญี่ปุ่นก็ยังบริการเยี่ยมเช่นเคย ไม่ผิดหวังที่เลือกจ่ายแพงให้สายการบินนี้


และแล้วก็มาถึงสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย คนมารับนี่เห็นหน้าเราแล้วถึงกับน้ำตาไหลเลยเหตุเพราะเป็นห่วงเรามาก ก็แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะที่เรายืนกราน(ยัง)ไม่ยอมกลับไทยอยู่ซะหลายวัน เป็นเหตุให้คนที่บ้านเป็นห่วงเป็นกังวลกันขนาดนี้ แต่ข่าวที่ไทยก็เสนอเว่อร์เกินความจริงไปจริงๆอ่ะ ทำให้ครอบครัวของคนไทยที่อยู่ที่นี่แต่ละคนพากันตกใจกลัวกันเกินจำเป็น แล้วก็พลอยเอาข่าวทางโน้นมาไซโคคนที่อยู่ญี่ปุ่นต่ออีกทอด จนแต่ละคนที่ญี่ปุ่นเครียดจะเป็นโรคประสาทกันซะให้ได้ (บางคนถึงกับประกาศกร้าวเลยว่าถ้าใครอยากจะช่วยเค้าในสถานการณ์นี้จริงๆ ขอให้เลิกมาไซโคให้เค้ากลับไทยซะที)


อ้อ..เห็นที่บ้านบอกว่าที่ไทยออกข่าวว่ามีการตรวจวัดรังสีคนที่มาจากญี่ปุ่น รู้สึกว่าข่าวจะออกก่อนเรามาถึงอีกนะเห็นใครๆก็ถามกัน แต่เราไม่เห็นโดนตรวจอะไรเลยอ่ะ ไม่เห็นแม้แต่โต๊ะสำหรับตรวจวัดรังสีที่ว่าเลยด้วยซ้ำ เดาว่าถ้ามีตรวจจริงก็คงไม่ได้ตรวจจริงจังตลอดเวลาหรอกมั้ง หรือถ้าคิดในแง่ร้ายหน่อยก็อาจจะตั้งโต๊ะตรวจเฉพาะตอนนักข่าวอยู่หรือเปล่าเนี่ย (ถามคนไทยคนอื่นๆที่กลับมาในช่วงตั้งแต่เมื่อวานถึงวันนี้ ไม่เห็นมีใครจะโดนตรวจเลยสักคน มีแต่บางคนที่ที่บ้านดูข่าวที่ไทยมากจนกังวล สั่งให้ไปตรวจรังสีเอาเองที่โรงพยาบาล ผลก็คือไม่พบรังสีแปลกปลอมเกินระดับปกติแต่อย่างใด)

ปิดท้ายบล็อคนี้ด้วยเรื่องที่มีเกริ่นไปหน่อยเมื่อท้ายบล็อคที่แล้วว่าด้วยการที่คนต่างชาติอย่างเราๆที่ไปกิน ไปอยู่ ไปเที่ยว ไปอาศัยใช้ทรัพยากรต่างๆของประเทศญี่ปุ่น(แลกกับการทำวิจัย ทำงานให้ โดยผลงานออกมาในนามของประเทศญี่ปุ่น) แต่พอเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นกลับบินหนีกลับประเทศไปซะหมด ให้ความรู้สึกว่าไม่รักกันจริง กอบโกยแต่สิ่งดีๆจากเค้า แต่พอเค้าลำบากกลับเฉดหัวส่งอย่างไม่ใยดี ซึ่งเราเองก็ไม่ปฏิเสธว่าตัวเองก็รู้สึกผิดในใจอย่างนี้อยู่เป๊ะๆ โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครคนอื่นมาช่วยพูดสะกิดจิตใต้สำนึกให้ด้วยซ้ำ (ศัพท์ใหม่ที่ญี่ปุ่น フライ人 Furai-jin = Fly jin หมายถึง คนต่างชาติที่พากันหนีออกจากญี่ปุ่นหลังเกิดเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุคุชิมะ)

ต่อจากนี้จะมีการ spoil หนังเก่าหลายๆเรื่องด้วยว่าเป็นอะไรที่เราคิดว่าอธิบายเปรียบเทียบเหตุการณ์นี้ได้ดีที่สุดแล้ว ถ้าใครเคยดูเรื่อง The day after tomorrow (2004) หนังแนววันสิ้นสุดของโลก อากาศเปลี่ยน น้ำท่วม พายุหิมะถล่ม จนเมืองต่างๆในอเมริกาถูกหิมะถมกลายสภาพเป็นภูเขาหิมะย่อมๆไป บ้านเอย ตึกเอย ถูกคลุมซะมิดแทบไม่เหลือสภาพดั้งเดิม

Credit ภาพจาก //chacalog.exblog.jp/blog.asp?iid=&acv=2010-03-01&dif=m&opt=2&srl=10260037&dte=2010-03-23+22%3A38%3A13.000

ส่วนตัวแล้วเราก็โอเคกับหนังเรื่องนี้นะก็ทำได้ดีและซึ้งพอใช้ได้ แต่ตั้งแต่ดูครั้งแรกแล้วคุณแฟนออกจากโรงหนังมาก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยว่าตัวเอกคนที่เป็นพ่อน่ะทำอะไรไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เพียงแค่เพราะอยากรักษาสัญญากับลูกชายจนต้องออกเดินทางฝ่าอันตรายอย่างไม่มีเหตุผล จนเป็นเหตุให้เพื่อนตัวเองต้องบาดเจ็บ และ เสียชีวิตไปในระหว่างทาง ผลสุดท้ายสิ่งที่ได้ก็เพียงแค่ดีใจที่ได้เจอกันเร็วขึ้น ซึ้งที่ได้เสี่ยงตายเพื่อรักษาสัญญากับลูกชาย แทนที่จะรอให้อะไรๆสงบก่อนแล้วค่อยเดินทางไปเจอ ก็แค่เจอกันช้านิดหน่อย ผิดหวังบ้างเล็กน้อย แต่แค่นั้นมันไม่ตายหรอกและที่สำคัญก็คือ ไม่ต้องมามีคนตายอย่างนี้ด้วย

พอเราช่วยค้านหน่อยว่าคนเพื่อน(ที่เสียชีวิตระหว่างทางเพราะตกทะลุหลังคาห้างที่เป็นกระจกลงไป)เค้าเต็มใจเดินทางไปด้วยเอง เต็มใจสละชีวิตเพื่อรักษาชีวิตของเพื่อนๆเองนะ คนพ่อเค้าก็ไม่ได้บังคับอะไรสักหน่อย เค้ายิ่งห้ามไม่ให้เพื่อนไป กะจะลุยไปเองคนเดียวด้วยซ้ำ ตอนเพื่อนจะตกเค้าก็ช่วยเต็มที่แล้วและก็ไม่ยอมปล่อยมือจนนาทีสุดท้ายเลยนะ

คุณแฟนก็สวนกลับมาว่าก็แล้วถ้าคนพ่อเค้าไม่ไปซะแต่แรกก็คงไม่ต้องมีคนมาตายใช่มั๊ยล่ะ ถามหน่อยว่าเดินทางไปแล้วได้อะไรมั่ง ช่วยลูกก็ไม่ได้ช่วยเพราะอยู่ไกลกัน ตัวเองก็ลำบาก แถมยังพลอยพาเพื่อนไปลำบากอีก แล้วถ้าตัวเองตายไปเพียงเพราะอยากจะรักษาสัญญานี่มันจะคุ้มกันมั๊ย พ่ออาจกลายเป็นวีรบุรุษในใจลูก แต่ก็กลายเป็นคนไม่มีตัวตนให้ลูกได้อยู่พึ่งพิงอีกต่อไป ก็แค่ความปลื้มใจภูมิใจประเดี๋ยวประด๋าว เทียบกับการสูญเสียพ่อทั้งคนไปได้ซะที่ไหน ถ้าแค่ยอมให้ลูกผิดหวังนิดหน่อยแลกกับการมีชีวิตรอดปลอดภัยทั้งคู่ อย่างไหนมันดีกว่าล่ะ ถ้าอยากจะช่วยเรื่องข้อมูลเรื่องอะไรก็พยายามหาทาง หาวิธีโดยไม่ต้องไปเสี่ยงอะไรขนาดนั้นไม่ได้เหรอ ถ้าเกิดตายไประหว่างทางก็ให้ข้อมูลหรือคำแนะนำอะไรลูกไม่ได้อยู่ดี สู้รอไม่กี่วันเหตุการณ์สงบค่อยไปหากันนี่มีเหตุมีผลและมีความเป็นไปได้มากกว่าเยอะ

สรุปว่าเถียงไปก็โดนคุณแฟนสวนกลับเป็นชุดเลย จากที่ดูหนังจบมาคนกำลังซึ้งๆเล่นเอาอารมณ์กร่อยไปซะสนิท เราเองน่ะเข้าใจประเด็นของหนังนะว่าต้องการสื่ออะไรที่มัน Emotional touch สุดโต่งในเรื่องของอารมณ์โดยไม่ได้คิดจะบาลานซ์ในเรื่องของเหตุผลตามความเป็นจริงเท่าไหร่ ไอ้สถานการณ์ประมาณว่า ขอแค่ให้ได้ช่วยเพื่อนถึงเสี่ยงตายก็ยอม หรือ ต่อให้ต้องเสี่ยงตายแค่ไหน ต้องฝ่ากับระเบิด วิ่งผ่านห่ากระสุน ขอแค่ได้ไปได้ยินคำกระซิบสุดท้ายจากปากเพื่อนที่กำลังสิ้นใจตายกับหู(หรือก็คือที่วิ่งไปเนี่ย ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย) แค่นี้เสี่ยงแค่ไหนก็คุ้มแล้ว(ขากลับก็ต้องวิ่งฝ่าอันตรายกลับมาอีกรอบ) อะไรทำนองนี้น่ะมันเรียกเรตติ้งจากคนดูที่ชอบอินไปกับหนังได้ดีนักแล

หรืออย่าง Titanic (1997) เรื่องดัง สุดโปรดของเรา ที่ดูทีแรกน้ำตาไหลแทบหมดตัวกลางโรงหนัง (อายนะแต่กลั้นไม่อยู่จริงๆ) พอมาเจอ Subtitle เวอร์ชั่นคุณแฟนเข้าหน่อยนี่เล่นเอาอารมณ์ซึ้งๆหายหดหมดไม่มีเหลือ กลับไปดูอีกรอบนี่แทบจะต้องนั่งสมาธิกันล่วงหน้า เพื่อเค้นให้เกิดอาการอินขั้นสุดกับเนื้อเรื่องของหนังถึงจะเรียกน้ำตาจากฉากนั้นได้ (จากที่เดิมนี่น้ำตาไหลได้เองยังกะน้ำตกไนแอการ่า) แนะนำว่าใครที่ไม่อยากเสียฟีลลิ่งเวลาดูเรื่องนี้ควรเลิกอ่านบล็อคนี้ไปซะตอนนี้เลย

คงจำกันได้ฉากท้ายๆที่คนลงไปลอยคอในทะเลน้ำแข็งกันหมดแล้ว ที่แจ็คสละที่ข้างบนประตูให้โรสแต่ตัวเองต้องแช่ทะเลน้ำแข็งจนตัวแข็งโป๊กไปแทน ตอนที่มีเรือช่วยเหลือมาโรสต้องแกะมือแจ็คออก ปล่อยให้แจ็คจมลงไปในทะเลก่อนที่ตัวโรสเองจะว่ายน้ำไปเอานกหวีดจากตำรวจใกล้ๆเพื่อมาเป่าขอความช่วยเหลือ

Credit ภาพจาก//techland.time.com/2010/04/15/12-disaster-movies-better-than-titanic/

คำบรรยายเวอร์ชั่นคุณแฟนเค้าว่ายังงี้ >> ฉากนี้น่ะเห็นมั๊ยว่าโรสน่ะฆาตกรชัดๆ ยังไม่ทันจะรู้แน่เลยว่าแจ็คตายจริงหรือเปล่า แค่ไม่ตอบรับทันทีแค่นี้ดันปล่อยจมน้ำตายไปซะแล้ว เนี่ยจริงๆแล้วแจ็คคงคิดในใจว่า เฮ้ย..ยังๆ ฉันยังไม่ตายนะโรส แค่ตัวแข็งพูดไม่ออกขยับไม่ได้เฉยๆ ตอบช้าแค่นี้ถึงกับต้องวิสามัญฆาตกรรม ปล่อยกันให้จมน้ำตายเลยเหรอ โอ๊ย..โรส..เดี๋ยวๆ บุ๋มๆๆๆ << ยิ่งถ้าได้ฟังแบบ Original soundtrack ของคุณแฟนพร้อมท่าทางจมน้ำประกอบของเค้าด้วยล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่าฮากลิ้ง ไม่เหลือแม้แต่หยาดหยดของความซาบซึ้งอีกต่อไป -*-

ออกทะเลน้ำแข็งไปซะไกลเลย กลับๆมาที่เรื่องเหตุการณ์ในญี่ปุ่นกันต่อ ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเราเคยร่วมสุขกับประเทศญี่ปุ่นกับคนญี่ปุ่นมาแล้ว ถึงเวลาเค้ามีทุกข์เราก็ควรจะต้องอยู่ร่วมทุกข์และเผชิญความยากลำบากไปกับเค้าด้วยสิ นี่แหล่ะคือส่วนที่เป็นเรื่องของอารมณ์ ไม่ปฏิเสธสักนิดว่าเราเองก็รู้สึกอย่างนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ แม้อยู่คนเดียวจะกลัวแค่ไหนแต่ก็ยังไม่อยากจะทิ้งที่นี่ ไม่อยากจะทิ้งชาวญี่ปุ่นที่เรารักและผูกพันหนีกลับไทยไปคนเดียว แม้ที่บ้านจะเป็นห่วงอยากให้รีบๆกลับ เราก็พยายามอธิบายไปว่าข่าวที่ไทยน่ะมันเสนอเกินจริงนะ จริงๆมันไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก ทั้งๆที่ในใจเราเองน่ะทั้งกลัวทั้งเครียดจนแทบอยากจะบ้าไปซะวันละหลายเวลา (บ่อยยิ่งกว่าจำนวนครั้งในการกินยาแก้อักเสบต่อวันซะอีก)

ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ทนอยู่ต่อเนี่ยไม่ใช่เพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติหรือเพื่ออะไรทั้งสิ้น แต่เพื่อตัวของเราเองนั่นล่ะ ยอมรับเลยว่าเราไม่ใช่คนดีขนาดที่จะยอมอยู่ในสถานการณ์ใกล้บ้าเพื่อคนอื่นได้ แต่ ณ ตอนนั้นเราทนไม่ได้ที่จะต้องเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจ รู้สึกเหมือนกับว่าเราเป็นพวกทิ้งกันในยามยาก ไม่รักประเทศญี่ปุ่น ไม่รักคนญี่ปุ่นจริง ถึงได้หนีไปในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ ที่แย่ยิ่งกว่าคือไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ ทิ้งงานไปกลางคันในขณะที่อาจารย์เราและคนทำงานคนอื่นๆในโตเกียวเค้ายังสามารถรับผิดชอบต่องานของเค้าเพื่อขับเคลื่อนสังคมให้ดำเนินต่อไปได้กันอยู่เลย

ซึ่งไอ้ความกลัวต่อความรู้สึกผิดของเรานี่ก็ต้องแลกมาด้วยความเป็นกังวลของคนที่ไทยแทน น้องสาวบอกว่าถ้าเราไม่กลับไปเค้าคงจะบ้าก่อนเราเพราะวันๆคนโน้นคนนี้โทรมาถามกันให้จ้าละหวั่น (ในฐานะเค้าเป็นคนกลางเวลาเราติดต่อกับที่บ้าน) แต่ละคนก็ดูข่าวที่ไทยแล้วก็ห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็อย่างที่รู้ๆกันว่า เราไม่สามารถหลีกหนีความรู้สึกผิดนี้ไปได้พ้น ที่อุตส่าห์ทนมาหลายวันก็แค่เป็นการยืดเวลาออกไปเท่านั้นเอง ลงท้ายความกลัวก็เป็นฝ่ายชนะเราไปจนได้ ถ้าคนญี่ปุ่นคนไหนจะโกรธจะว่าเราเป็นพวก フライ人 Furai-jin เราก็คงทำได้แค่ก้มหน้ารับความจริงนี้ไป

แต่ข้อสังเกตอย่างนึงที่เห็นทั้งจากตัวเองและคนรอบข้างคือ ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นที่รู้จักและคุ้นเคยกับพวกเราๆดี เค้ากลับโล่งใจซะด้วยซ้ำ ที่เรากลับไทยไปซะได้ จะได้ไม่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังกลัวแบบนี้ แถมพวกนักเรียนอย่างเราๆก็รู้กันว่าใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ภาษาก็ใช่จะแข็งแรงฟังข่าวญี่ปุ่นได้แตกฉาน(ในกรณีของเรา โดยเฉพาะข่าวโรงไฟฟ้าที่ใช้ศัพท์เฉพาะเยอะมาก) คนญี่ปุ่นที่เรารู้จักในช่วง 5-6 วันที่เรายังอยู่ญี่ปุ่นนี่ เค้าก็คอยแมสเซจมาถามบ่อยๆว่าเรายังโอเคไหม กลัวไหม และ อื่นๆอีกมากมาย สำหรับคนเหล่านี้แล้วเค้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเรา(ทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจ)มากกว่าที่จะคิดโกรธที่เราไม่อยู่ร่วมสถานการณ์ไปกับเค้า เพราะว่ากันจริงๆแล้วเค้าก็รู้ล่ะว่าถึงเราอยู่ ก็ไม่สามารถช่วยอะไรใครได้จริงๆ แค่เอาตัวเองให้รอดได้นี่ก็สุดๆแล้ว

สำหรับในแง่ของเหตุและผล ก็อย่างที่บอกว่าผู้หญิงต่างชาติตัวคนเดียวอย่างเราจะทำอะไรกับสถานการณ์ใหญ่ขนาดนี้ได้ ดีที่สุดก็คือช่วยบริจาคเงิน และเอาตัวให้รอดปลอดภัยไม่ไปเพิ่มตัวเลขสถิติผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตให้เค้าเท่านั้น ถ้าจะมีอะไรที่เราทำได้ก็คงเป็นแค่การทำหน้าที่ของเราในฐานะนักเรียนวิจัยให้ดีที่สุดด้วยการไปมหาลัยและทำวิจัยต่อ แต่พยายามฮึดสู้ขึ้นมายังไงก็ยังไม่พอเสียที ความกลัว ความเครียด จากข่าวที่โหมกระหน่ำเล่นงานซะจนสภาพจิตใจเป็นง่อย จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ออกไปทำงานที่มหาลัยกะเค้า

สุดท้ายแล้วการที่เราอยู่ญี่ปุ่นต่อไปนี่ถ้าตามเหตุและผลเราสามารถช่วยอะไรคนญี่ปุ่นเค้าได้มั๊ย? สามารถช่วยให้เค้าอุ่นใจว่าคนต่างชาติอย่างเรายังไม่ทิ้งเค้าไปเหรอ?...ก็เปล่า คนที่ไม่เคยคุยกันก็ยังคงไม่เคยคุยกัน เป็นบุคคลแปลกหน้าต่อกันเหมือนเดิม เราจะอยู่หรือเค้าจะไม่อยู่ก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นใจแต่อย่างใด มีก็แต่คนที่เค้ารู้จักเรานี่ล่ะ ที่ต้องมาคอยพะวงเป็นห่วงเราไปด้วยอีกคน เอ๊ะ..หรือเราสามารถไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ไปเป็นอาสาสมัครตามแหล่งหลบภัยหรือช่วยระดมทุนและสิ่งของต่างๆได้เหรอ?...ก็ทำไม่ได้อีกนั่นล่ะ ภาษาญี่ปุ่นออกจะต๊อกต๋อยขนาดนี้ ยิ่งเวลาตกใจๆล่ะก็เอาแค่คุยกับข้างห้องให้เค้ารู้เรื่องที่เราอยากจะพูดได้นี่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วเนี่ย

สรุปแล้วนอกจากว่าตัวเองจะไม่ต้องรู้สึกผิดในใจ ก็ไม่มีสิ่งไหนที่เป็นผลดีทางรูปธรรมที่เราสามารถทำออกมาได้ในสถานการณ์นี้เลย จะช่วยทางใจก็ได้แค่กับในหมู่คนไทยด้วยกันที่ยังยืนหยัดเป็นเพื่อนกันอยู่ในแถบโตเกียวเท่านั้นล่ะ (แต่สุดท้ายทุกคนก็ตัดสินใจไปกันหมด เล่นเอาเราใจแป้วเผ่นกลับตามไปเลย)

เทียบกับว่าถ้าเรากลับไทยซะล่ะ เราสามารถจะสงบจิตสงบใจและเริ่มเขียนรายงานทำงานของเราต่อได้(แม้จะทำการทดลองไม่ได้เพราะขาดอุปกรณ์)....คนที่บ้านและคนรู้จักที่ญี่ปุ่นก็ไม่ต้องกังวลว่าผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเรา จะช็อคตายคาห้อง หรือโดนเสื้อผ้าล้มทับแบน ถูกฝังอยู่โดยไม่มีใครรู้ไปหรือเปล่า...และที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือ เราไม่ต้องไปแย่งใช้สาธารณูปโภคกับชาวญีปุ่นในช่วงเวลาขาดแคลนอย่างนี้ ทั้งไฟ ทั้งน้ำประปา ทั้งอาหาร น้ำดื่มต่างๆ ส่วนที่เราต้องกินต้องใช้ก็สามารถให้คนอื่นๆเค้าไปใช้ได้แทน อันนี้ล่ะผลที่เห็นได้ชัดที่สุด ในเมื่อเราช่วยอะไรชาวญี่ปุ่นในแง่จิตใจก็ไม่ได้ อย่างน้อยในแง่ทรัพยากรคิดซะว่าเราไม่ไปแย่งเค้าใช้ได้บ้างก็ยังดี

ในแง่เหตุผลนี้ถ้าจะเทียบ ก็คงต้องเป็นหนังเรื่อง The mist (2007) นี่เลย

Credit ภาพจาก //www.senov.net/notes/2009/01/the-mist.html

เอาจริงๆเราไม่ชอบหนังเรื่องนี้เลยสักนิด เหตุก็เพราะมันมีความเป็นจริงมากเกินไปไม่ใช่หนังแนว Emotional touch แบบสองสามเรื่องที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ใน The mist นี่ดำเนินเรื่องด้วยเหตุและผลตามหลักความเป็นจริงจริงๆ โลกของมนุษย์ที่ความหวาดกลัวสามารถทำให้คนเห็นแก่ตัวและร้ายกาจได้อย่างไม่น่าเชื่อ โลกแห่งสัจธรรมที่ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวและหวาดกลัวความตาย โลกที่ไม่มีพระเอกหนังฮอลลีวู้ดที่ตัดสินใจอะไรก็ถูกต้องตรงเผงไปซะหมดอย่างกะมีไทม์แมชชีนนั่งไปแอบดูอนาคตมา โลกที่ผลลัพธ์ไม่ได้จบแบบ happy ending หรือ sad ending แต่ซาบซึ้งกินใจเสมอไป

สำหรับพวกชอบซึ้งและอินตามไปกับหนังอย่างเราแล้ว The mist นี่ผิดสเป็คไปมากๆ ที่ดูจนจบก็เพราะอยากรู้ว่าจะจบยังไงเท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยคิดจะย้อนกลับมาดูอีก เพราะดูแล้วมันเครียดอ่ะเหมือนโลกแห่งความจริงมากเกินไป อารมณ์เดียวกับดูข่าวผู้ประสบภัยกำลังทำร้ายกันเองเพื่อแย่งเสบียงอาหาร ดูไปทอดถอนใจในความจริงอันโหดร้ายไป เนี่ยเครียดอย่างงี้เลยอ่ะหนังเรื่องนี้

ซึ่งก็นี่ล่ะที่เราอยากจะบอก สถานการณ์นี้มองด้วยอารมณ์เป็นยังไง มองด้วยเหตุผลเป็นยังไง ย้ำอีกครั้งว่าเราไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใดว่าเรารู้สึกแย่และรู้สึกผิดมากๆที่ไม่สามารถอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวญี่ปุ่นได้ตลอดรอดฝั่ง(แต่ ณ ตอนที่พิมพ์อยู่นี่กลับมาโตเกียวแล้ว) เรื่องความเครียด ความกังวล วิตกจริตจนไม่สามารถทำงานได้ก็ยอมรับว่าเป็นที่เรานั่นล่ะที่ผิดเองที่ไม่สามารถจะสงบนิ่งได้เพียงพอ แต่ถ้าในแง่เหตุผลแล้วด้วยสภาพของเราในตอนนั้น ก็บอกได้เต็มปากเลยว่า เราอยู่ญี่ปุ่นอย่างไร้ประโยชน์ไปวันๆจริงๆ จะใช้คำว่า absolutely useless ก็คงไม่เกินไปนัก ตัวเองก็ไม่พร้อมพอจะทำงานได้ คนที่บ้านก็เป็นห่วง คนที่ญี่ปุ่นก็เป็นห่วง ทั้งไฟทั้งน้ำทั้งอาหารก็ต้องคอยรีบไปซื้อมาตุนไว้แย่งคนญี่ปุ่นเค้ากินเค้าใช้ซะอีก

แน่นอนว่าทุกคนมีแง่มุมที่เป็นอารมณ์และเหตุผลของตัวเอง ถ้าแค่พูดเอามันเอาสะใจก็พูดได้ว่า >> ผู้นำญี่ปุ่นน่าจะสั่งแบนพวก フライ人 Fly jin พวกนี้ไม่ให้กลับเข้าประเทศอีกเลย โทษฐานทิ้งกันในยามยาก << แต่ถ้าจะพูดตามความเป็นจริง ผู้นำประเทศญี่ปุ่น ไม่ใช่ผู้คุมประเทศ นายกนาโอโตะ คัง ไม่ใช่ กั๊ดดาฟี่ ของลิเบีย ที่จะใช้อารมณ์นำเหตุผล บริหารประเทศตามแต่สะใจตัวเองโดยไม่คิดถึงผลกระทบและความสูญเสียที่มากกว่าที่จะตามมา เรามั่นใจว่านายกของประเทศที่ชื่อญี่ปุ่นน่ะ ไม่มีทางจะปล่อยให้ความคิดแบบเอาอารมณ์นำสุดโต่งและขาดเหตุผลแบบนี้ออกมาสู่สาธารณะเป็นอันขาด (แต่ถ้าเค้าคิดในใจก็อีกเรื่องนึง ไม่ว่ากัน ทุกคนมีสิทธิคิดได้) ถ้าผู้นำประเทศไหนก็ตามสามารถประกาศอะไรแบบนี้ออกมาได้จริง ก็คงเรียกได้ว่าเป็นผู้คุมประเทศจริงๆนั่นล่ะ แต่เป็นประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จนะ ไม่ใช่ประเทศเสรีประชาชนอีกต่อไป

จะว่าไป กั๊ดดาฟี่ ของลิเบีย นี่โชคดีจริงๆ ข่าวที่ญีปุ่นดึงความสนใจของทั่วโลกไปจากลิเบียจนหมด ช่วงนั้นจะทำอะไรก็ไม่มีนักข่าวคอยจับตามอง สงสัยอยู่ว่าโดมิโน่ของการประท้วงล้มรัฐบาลเผด็จการของประเทศในแถบนั้นจะมาสุดทางลงที่ประเทศลิเบียแล้วล่ะมั้งเนี่ย

เท่านี้เป็นอันจบแล้วสำหรับบันทึกหกวันของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์(สำหรับเรา)ครั้งนี้ ใครจะผิดหรือถูกยังไงก็แล้วแต่ว่าใครจะเลือกมองหรือให้ความสำคัญในแง่มุมไหนมากกว่ากัน สำหรับบางคนคุณค่าทางใจอาจสำคัญที่สุด แม้ไม่สามารถเห็นหรือจับต้องได้ แต่ก็สามารถจะส่งผลดีได้ยิ่งกว่าที่วัตถุหรือสิ่งของใดๆจะให้ได้ แต่สำหรับอีกบางคนคุณค่าทางใจนั้นก็มีความไม่แน่นอนมากเกินไป ร้อยคนมองก็รู้สึกไปร้อยอย่าง บางคนอาจว่าดี บางคนอาจว่าแย่ สรุปแล้วเสี่ยงเกินไปที่จะไปยึดติด ทำตามหรือฝากความหวังไว้อย่างจริงจัง ที่สำคัญคือคุณค่าทางใจไม่สามารถเติมท้องใครให้อิ่ม ไม่สามารถรักษาบาดแผลให้คนเจ็บ หรือ ทำให้ผู้ประสบภัยที่เหน็บหนาวอบอุ่นขึ้นได้ การลงมือทำให้เห็นผลออกมาเป็นรูปธรรมจะๆนี่สิถึงจะชัวร์ที่สุด

ณ ตอนที่เขียนบันทึกวันสุดท้ายนี้ จริงๆเรากลับมาโตเกียวได้หลายวันแล้วล่ะ aftershock ลูกใหญ่ๆก็เจอไปหลายลูกแล้ว สถานการณ์อัพเดตในโตเกียวมีมากมายหลายเรื่อง คิดว่าจะเขียนบล็อคอยู่เหมือนกันแต่ทั้งนี้ก็ต้องดูตามเวลาและจังหวะที่เอื้ออำนวยด้วย เพราะเนื้อหายุบยิบเยอะแยะมากมายไปหมดแถมต้องปั่นการทดลองชดเชยช่วงที่กลับไทยไปด้วย

---------------------------------------------------------------------

รวมบันทึกทั้งหมดของเหตุการณ์นี้

1. บันทึก จากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > ศุกร์ 11 มีนา 2011
2. บันทึก จากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > เสาร์ 12 มีนา 2011
3. บันทึก จากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > อาทิตย์ 13 มีนา 2011
4. บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > จันทร์ 14 มีนา 2011
5. บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > อังคาร 15 มีนา 2011
6. บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > พุธ 16 มีนา 2011

----------------------------------------------------------------------

ทั้ง หมดถ่ายด้วย Sony NEX-5 + Sony Alpha E 18-55 OSS โหมด P โลด ค่า ISO, WB ทุกอย่างจัด auto ไปให้หมด ถือกล้องมือเดียวแล้วกดทุกภาพ (รู้สึกว่ามือไม่นิ่งเอาซะเลย ภาพหาความคมแทบไม่ได้) ย่อเอาง่ายๆด้วย photoscape


>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 10 เมษายน 2554    
Last Update : 3 พฤษภาคม 2554 19:40:57 น.
Counter : 3214 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.