W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 

Tokyo Banana Heart ฉลองวันวาเลนไทน์แสนเศร้า

ตอนนี้ก็แปดโมงเช้าญี่ปุ่นแล้ว ก็เข้าวันวาเลนไทน์แล้วล่ะนะ วาเลนไทน์ปีนี้เซ็งอีกแล้ว คุณแฟนอุตส่าห์ว่าง แต่เราดันติดปั่นงานซะเอง

เดดไลน์เหลืออีกไม่กี่วัน ดันเจออาจารย์เร่งให้ส่งให้ตรวจก่อนเร็วๆอีก เกือบตลอดอาทิตย์อยู่แล็บเกือบเช้าทุกวันเลย วันนี้(จริงๆเมื่อวาน)ก็เพิ่งเดินกลับจากแล็บตอนหกโมง(เช้า)ครึ่งนี่เอง ช่วงนี้กางเกงหลวมโพรก ลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ

เข้าเรื่องสักที วาเลนไทน์นี่ ทั้งที่ไม่ได้ต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นแท้ๆนะ แต่คนญี่ปุ่นเค้าเอาจริงเอาจังกันมากเลย กับเทศกาลนี้

ที่เคยอ่านมาในการ์ตูนก็เห็นสาวๆต้องวุ่นกับการทำขนม หาของขวัญโน่นนี่เตรียมให้แฟน หรือ ทำใจเตรียมสารภาพรัก เอาจริงๆเรื่องพวกนี้จริงแค่ไหนไม่รู้เหมือนกัน เพราะที่แล็บมีแต่ผู้ชายล้วน ไม่มีเืพื่อนผู้หญิงคนญี่ปุ่นจริงๆจังๆ ให้คุยเืรื่องกุ๊กกิ๊กพวกนี้เลยสักคน

ตอนอยู่ไทยเราก็ฉลองตามประสา ก็แลกของขวัญกันกับคุณแฟน ซื้อดอกไม้หรืออะไรรูปหัวใจเล็กๆน้อยๆ แจกใครๆบ้าง เพื่ออินกับเทศกาลซะหน่อย

แต่ที่ญี่ปุ่นนี่แบ่งกันชัดเลยว่า วาเลนไทน์คือ ผู้หญิงให้ผู้ชาย ส่วนผู้ชายน่ะจะให้ตอบแทนตอนวัน white day แล้วไอ้การให้ตอบนี่ล่ะ ที่เราไม่นึกว่ามันจะต้องจริงจังกันขนาดนั้น (แต่ก็คงไม่ทุกคนหรอกมั้งนะ ที่จะซีเรียสกับเรื่องการให้คืน)

ย้อนอดีตหน่อย เมื่อปีก่อน เดินผ่านซุ้มช็อคโกแลตก็เลยไปเดินเลือกมาเล่นๆ ซื้อถูกๆมากล่องนึงไม่ได้คิดอะไร เอาไปให้อาจารย์เป็นช็อคตามธรรมเนียม (ปีนั้นเกิดนึกอยากลองร่วมเทศกาลกับเค้ามั่ง)

อาจารย์ก็ตกใจนิดๆ ว่าไม่เคยมีนักเรียนให้ช็อคมาก่อน (แหง ล่ะเด็กในแล็บอาจารย์มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น) แล้วก็บอกเราด้วยว่าเดี๋ยววัน white day เค้าจะให้ของคืน

เราก็ตกใจกลับสิ แค่ให้เล่นๆเท่านั้นเอง ปฏิเสธยังไงว่าไม่ต้องๆ ไม่ใช่ของแพงอะไรเลย(จริงๆคือของถูกๆด้วยซ้ำ แบบแพงๆมันเปลืองตังค์โดยใช่เหตุ) แต่อาจารย์ก็ยืนกรานว่าไม่ได้ เป็นธรรมเนียมว่าต้องคืน -"-

แล้วเดือนถัดมาก็ได้คืนจริงๆ ดูดีกว่าช็อคที่เราให้เยอะเลย เป็นชุดตุ๊กตาฮินะเซ็ทเล็กๆ มีตัวเจ้าหญิงกับเจ้าชาย น่ารักเชียว ญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ได้มาก็จับมาถ่ายรูปทำเป็นการ์ดแล้วส่งไปขอบคุณอาจารย์อีกรอบ สรุปให้กันไปให้กันมา


ลืมบอกว่า ช่วงก่อนวัน white day จะมีเทศกาล hina-matsuri เรียกว่าเทศกาลเด็กผู้หญิงหรือเปล่านะ ที่จะเอาพวกตุ๊กตานี่มาตั้งบนแท่น แล้วมีเด็กๆผู้หญิงมาฉลองกัน อาจารย์ก็เลยเห็นว่าเหมาะพอดีมั้ง ดีกว่าขนมละกัน

มาปีนี้ อย่างแรกคือ ยุ่ง อย่างสองคือ ไม่อยากให้ต้องลำบากมาคืนกันไปมาอีก ก็เลยไม่เอาดีกว่า ไม่ซื้อให้ใคร(ตามธรรมเนียม) แล้ว

แต่ก็ยังมี(ตั้งใจ)ซื้อให้คุณแฟนอยู่ ไปเจอร้าน Tokyo banana ที่ไม่ได้ไปซะนาน ที่สถานีโตเกียว มีผลิตภัณฑ์รูปหัวใจ ฉลองเทศกาลกะเค้าซะด้วย สมกับเป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ มีผลิตภัณฑ์แบบใหม่ๆออกกันทุกเทศกาล

แบบใหม่ มีสองแบบ Tokyo banana heart กับ Ichigo-heart (Strawberry heart) ซื้อแล้ว ก็พยายามหาจังหวะถ่ายที่เค้าจัดไว้สวยๆในตู้นะ แต่คนเดินไปเดินมาตลอด ถ่ายตู้ชัดๆมาไม่ได้เลย


ซื้อ Tokyo banana Heart อันเล็กสุดมา หนึ่งกล่องสี่ชิ้น ใส่มาในถุงแบบพิเศษเฉพาะเทศกาลน่ารักเชียว อัน ichigo คล้ายๆช็อคโกแลตรูปหัวใจ ไม่ชอบกินช็อคเลยไม่เอามา


จริงๆซื้อมา กะเอาไปให้คุณแฟนน่ะนะ แต่ดันกลายเป็นต้องงดทุกอย่าง มาฉลองวาเลนไทน์คนเดียวกับกองงานซะงั้น เดินกลับบ้านมา(ตอนหกโมงเช้า)เนี่ยหิวก็หิว มองซ้ายมองขวา หาอะไรกินก่อนเข้านอน(นอนตอน แปดโมงเช้า -"- ) ก็เจอเจ้าเีนี่ยตั้งอยู่ เลยจัดการกินมันซะเองเลย

กล่องด้านในสีเรียบๆ ด้านข้างกล่องเขียนว่า
People gather to TOKYO from here and there with memories of their home. And then, TOKYO gets everyone's home town. TOKYO BANANA


ป้ายข้างในกล่องอีกสักหน่อย เรื่องทำอะไรออกมาหน้าตาสวยๆน่ารักน่าใช้นี่ คนญี่ปุ่นไม่แพ้ใครจริงๆ


ด้านในกล่องมี 4 ชิ้นแยกซองกันเรียบร้อย เป็นเค้กสีน้ำตาลคล้ายพวกขนมอบ ไม่เหมือนเวอร์ชั่นปกติที่เป็นเค้กสปองค์สีเหลือง (ก่อนนั้นเจอ tokyo banana แบบ chocolate เหมือนกันนะ ออกรุ่นใหม่กันอยู่เรื่อยๆจนจำไม่ค่อยได้)


และแล้วก็ถึงเวลาเข้าปากสักที กลิ่นกล้วยงี้เต็มปากเลย กินแล้วรู้สึกนึกถึงเค้กกล้วยหอมที่ไทยเหมือนกันนะ ให้อารมณ์คล้ายๆกัน แ่ต่ความร่วนของเนื้อแล้วก็ส่วนไส้ต่างกันอยู่


สรุปก็อร่อยดีนะ ถ้าไปเจออีกทียังมีขายอยู่ก็จะซื้อมากินเล่นล่ะ (แต่แบบนี้รู้สึกว่ากินเยอะๆ น่าจะเลี่ยนนิดๆนะ บอกไม่ถูก) แต่ขนมพวกนี้เสียตรงเก็บได้ไม่นานหมดอายุประมาณ 10 วันเอง (แ่ต่เอาจริงๆ เราก็เก็บไว้เกินประจำนะ อากาศเย็นๆไม่น่ามีปัญหา)

อู้มาขอมีส่วนร่วมกับวาเลนไทน์กะเค้าได้แค่นี้ ได้เวลาเข้านอน(นอนตอนเช้า?)แล้ว ตื่นมาก็ต้องปั่นงานต่ออีก




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2552 6:18:56 น.
Counter : 6276 Pageviews.  

ความรู้สึกดีๆในต่างแดน (เหตุเกิด ณ ร้านอาหารเกาหลีที่เดิม)

ครั้งนึงในบล็อคแรกของเรา เคยพูดถึงร้านอาหารเกาหลีใกล้บ้านเราไ้ว้ และปรากฏการณ์ที่เห็นคนขายวิ่งจู๊ดยังกะกระต่ายเพื่อคืนเงินที่ลูกค้า(ยัดเยียด)มาให้เกินไป ที่นี่

เรื่องราววันนี้ก็เกิดขึ้นที่เดิมอีกครั้ง ร้านนี้เลย (บอกแล้วว่าขาประจำ)


ต้องย้อนไปนิดหนึ่งก่อน เมื่อประมาณอาทิตย์ก่อน เราได้แวะไปกินร้านนี้อีกครั้งหลังจากซื้อกับข้าวเสร็จ เครื่องขายตั๋วอาหารที่นี่รับได้สูงสุดคือแบงค์ 1000yen เท่านั้น ตอนนั้นเรามีแต่แบงค์ 5000yen ก็เลยต้องแลกแบงค์กับคนขายก่อน

ก่อนหน้าเรามีลูกค้าเพิ่งเข้ามาหลายคนเหมือนกัน คนขายก็เลยมัวยุ่งๆกับอาหารบนเตาอยู่ ก็รีบล้วงๆเข้าไปในที่เก็บเงินที่เตรียมไว้แตกแบงค์แล้วยื่นมาให้เรา

เรารับมาแล้วก็ยืนงงๆอยู่ เพราะเราส่งให้เค้าไป 5000yen แต่ไอ้ปึกแบงค์พันเยนที่เค้าให้มาเนี่ย มันมากกว่าห้าใบชัวร์ๆ

งงๆไปสองสามวิ แล้วก็ทักเค้า あのー อะไรก็ว่าไป แล้วก็บอกว่าตะกี้ให้แบงค์ห้าพันนะ ไม่ใช่แบงค์หมื่น รู้ตัวแล้ว เค้าก็เอากลับไป แล้วยื่นปึกใหม่มาให้เราแทน คราวนี้ห้าใบไม่ผิด เรื่องวันนั้นก็จบลงไป ไม่มีอะไร

ผ่านมาอีกหนึ่งอาทิตย์ เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา วันไปซื้อกับข้าวอีกเช่นเคย วันนี้ของเยอะมากๆ(จริงๆก็ของเยอะทุกที) แบกถุงพะรุงพะรังไปหมด เดินเข้าร้านเดิม ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่

บังเอิญคนที่รับตั๋วอาหารเราคือ คนอาทิตย์ก่อนทีหยิบเงินผิดปึกให้เรา เค้าก็ยิ้มให้เรา แล้วก็ทักทายด้วยว่า "ช้อปปิ้งของเยอะจังเลยนะ" แถมตอนเอาอาหารมาให้ก็ยังยิ้มทักให้อีกด้วย

ทักทายลูกค้ามันก็ไม่แปลก เราก็ทานที่นี่บ่อยคุ้นหน้าหลายๆคน เค้าก็ยิ้มทักทายเราประจำ ประมาณความรู้สึกว่า "อ้ะ มาทานอีกแล้วเหรอ"

แต่คนนี้เนี่ย เราเพิ่งมาเจอหลังๆไม่กี่เดือนนี่เอง แล้วเจอทีไรก็ไม่เห็นแกเคยยิ้มเลยสักครั้งเดียว ไม่ถึงกับทำหน้าบึ้งตึง แต่หน้าเค้าจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์เป็นมิตรเท่าไหร่น่ะ แอบดูอาวุโสและดุๆกว่าคนอื่น

จริงๆวันนั้นนี่เค้าอาจจะกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษก็ได้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราหรอก แต่อยู่ๆเราก็นึกได้ขึ้นมา ว่าคนที่เราเคยเห็นวิ่งไล่ตามลูกค้าเพื่อคืนเงินเนี่ย คือ เค้าคนนี้นี่เอง (จำได้ว่าคนที่หน้าดุๆ ซึ่งทั้งร้านนี้ เห็นอยู่คนเดียวนี่ล่ะ)

ร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นจะยิ้มเลย มีมาวันนี้เกิดยิ้มแย้ม ทักทายเราอย่างดี เลยอดนึกไม่ได้ว่าเพราะเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนที่หยิบเงินผิดให้เราหรือเปล่านะ

อาจจะแค่คิดไปเอง แต่ความรู้สึกดีๆนี่คิดไปเองก็คงไม่เสียหายอะไรหรอก อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกว่า เพราะเราดีกับเค้า(ไม่มุบมิบ) เค้าก็เลยดีตอบกับเรา

มันอธิบายไม่ถูกเลยนะ แต่มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ การบริการปกติก็ดีอยู่แล้วล่ะ แต่วันนี้มันรู้สึกเหมือนมีความรู้สึกเป็นมิตรบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาจากปกติ เพียงแค่คำทักทาย และยิ้มให้แค่นั้นล่ะ

ไอ้เหตุการณ์วิ่งตามไปคืนเงินเนี่ย มันไม่ได้เกิดกับตัวเราก็จริง แม้เราจะเป็นแค่ผู้เห็นเหตุการณ์ จำนวนเงินก็นิดเดียว แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้รับความซื่อตรงและซื่อสัตย์ บริการที่จริงใจจากเค้า จนอดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้

พอถึงคราวที่เค้าผิดพลาดบ้าง เราก็เลยไม่ลังเลที่จะตอบแทนความซื่อตรงของเค้ากลับไปเช่นกัน

เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ล่ะ ที่มาวันนี้ทำให้เรารู้สึกอิ่มใจยังไงบอกไม่ถูก การที่ได้รับความจริงใจมา และได้มีโอกาสส่งความจริงใจคืนไป จนเค้ารับรู้ได้ เกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน ที่แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ ระหว่างคนที่มาจากคนละชาติคนละภาษา ที่ไม่เคยคุยกันยาวเกินสองประโยคเลย
(คนร้านนี้คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่า เพราะมักไปกินคนเดียวไม่ได้พูดอะไร )


จริงๆแล้วเค้าอาจไม่ได้คิดอะไรอย่างนี้ก็ได้นะ แต่เอาน่ะ เรารู้สึกดีๆ ก็โอเคแล้วล่ะ




 

Create Date : 17 มกราคม 2552    
Last Update : 17 มกราคม 2552 15:11:46 น.
Counter : 1069 Pageviews.  

อยู่โตเกียวมา2ปีแล้ว บางทีก็เกิดเบื่อการช้อปปิ้งขึ้นมาได้เหมือนกันนะเนี่ย + christmas cake brochure

เมื่อสองอาทิตย์ก่อน(ก่อนจะปั่นพรีเซนต์)แวะไปช้อปปิ้งที่ชิบุยะสถานที่ช้อปสุดโปรดตลอดเวลาสองปีที่อยู่ญี่ปุ่นมา ก่อนหน้านั้นยุ่งๆวุ่นๆเลยไม่ได้ไปมาสักเดือนหรือสองเดือนได้ ประกอบกับช่วงนี้ติด Internet shopping เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าขาดการอัพเดตเสื้อผ้าใหม่ๆเท่าไหร่(แล้วก็ขี้เกียจแต่งตัว แต่งหน้า ทำผมก่อนไปด้วย)

Shopping therapy คำนี้สาวๆคงรู้จักกันดี เวลาอารมณ์เสียๆขอให้ได้ช้อป ได้เสียเงินสักหน่อยเถอะ ได้ของถูกใจเมื่อไหร่จะอารมณ์เสียมาจากไหน ก็หายเป็นปลิดทิ้งได้อย่างกะโกหก 555 แต่กลับกันถ้าอุตส่าห์มาช้อปให้หายเซ็ง แต่เดินยังไง๊ยังไงก็ไม่ได้ของถูกใจเนี่ย เซ็งเพิ่มอีกเป็นทวีคูณ วันนั้นก็เป็นวันนึงที่อุตส่าห์ไปช้อปปิ้งแต่แทบไม่ได้อะไรกลับมาเลย

เดินจนทั่วตั้งแต่ 109-2, Zara, 109 (ที่ชิบุยะเราเดินอยู่สามตึกนี้เท่านั้นล่ะ OICITY เดินอันที่อยู่ใกล้บ้านได้อยู่แล้ว) ยี่ห้อ(ที่เคย)โปรดทั้งหลายก็เข้าไปดูหมดตั้งแต่ Barbie, Liz Lisa, Pinky girls ลองไปหลายตัวเหมือนกันแต่ไม่ถูกใจเลยสักตัว ยังไงกันน้อต่างกับเมื่อสองปีก่อนที่มาญี่ปุ่นใหม่ๆโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นมาถึงใหม่ๆก็ช่วงๆใบไม้ร่วงนี่ล่ะ อู๊ย มองไปทางไหนก็มีแต่ชุดน่ารักๆ เสื้อโค้ท รองเท้าบู๊ตขนๆ เสื้อไหมพรม เดรสขนกระต่ายนุ่มๆอุ่นๆ ถุงน่องสารพัดสีทั้งหลาย ตอนอยู่ไทยอยากใส่แต่ก็ไม่เคยได้ใส่มาก่อนเล้ย(คนเค้าจะหาว่าบ้าเอา ร้อนจะตายดันใส่เสื้อหนา)

มาวันนี้ผ่านมาสองฤดูใบไม้ร่วง นี่เป็นใบไม้ร่วงที่สามแล้ว มองไปทางไหนเหรอก็เห็นแต่อะไรที่เคยเห็นๆมาทั้งนั้น
...เดรสตัวนี้นี่ผ้าเดียวกันลายเดียวกันกับปีก่อนเลย เอามาเปลี่ยนทรงแค่เนี้ย เล่นง่ายจัง
...กระโปรงตัวนี้นี่โห เป๊ะเลย เหมือนตัวนั้นที่ซื้อมาแล้วปีก่อนๆ ตอนนั้นเป็นเดรส ผ้าเหลือมาปีนี้เอามาเป็นกระโปรงแทนเหรอเนี่ย
...เอิ่ม อันนี้จำได้ว่าปีก่อนยังเคยขอลองอยู่เลยนะ เปลี่ยนแค่จากสั้นมาเป็นยาวแค่นี้ ไปได้อีกปีแล้ว
...เจ้าเสื้อ เจ้ากางเกง แบบนี้ก็เห็นขายได้ทุกใบไม้ร่วงเลย ขายแล้วขายอีก ก็ยังอุตส่าห์ขายได้อีกนะเนี่ย

อุตส่าห์อยากมาซื้อเสื้อผ้า อยากมาเสียเงิน อยากได้ชุดใหม่เต็มที่ แต่มองยังไง๊ยังไงก็ยังไม่เจออันไหนปิ๊งพอเลย พวกเสื้อผ้าหน้าหนาวนี่พยายามไม่อยากซื้อมาซ้ำๆกันมากด้วยเพราะใช้ที่ไทยไม่ได้ ถ้าเป็นเสื้อช่วงใบไม้ผลิหรือหน้าร้อนนี่ยังไม่เท่าไหร่ มีเยอะก็ใช้ที่ไทยได้ หรือจะขายต่อส่งต่อให้ใครก็ง่ายกว่าเยอะ

เซ๊งเซ็ง เซ็งหนักกว่าเดิมอยากได้ของแต่ก็ไม่ได้ดั่งใจ พอไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าแล้วงบวันนี้ก็เลยเหลือบานตะไท หันไปหาซื้อของกินกับขนมที่อยากกินดีกว่าไม่ได้ซื้อของกินจากแถวนี้กลับไปกินนานแล้ว อยากกินอะไรซื้อให้หมดเลยงานนี้ ผ่านสถานีดั๊นบังเอิญเงยหน้าไปสบตากับผู้ชายที่เดินผ่านเลยโดนตามชวนทำไบต์อีก(คือ ทำงานพิเศษนั่นล่ะ แต่ส่วนใหญ่ที่มาชวนแบบนี้ มีแต่งานทำนองเพื่อนเที่ยวทั้งนั้น พวกนี้เห็นผู้หญิงมาคนเดียวก็เดินตามงี้ตลอดล่ะ) เดินตามเสนอราคาอยู่นั่นล่ะ สองใบ สามใบ..เจ็ดใบ.. (ที่ญี่ปุ่นเรียก แบงค์หมื่นเป็นใบๆ หนึ่งใบก็คือหมื่นเยนนั่นเอง) เดินๆหนีไปไม่หันไปสนใจเป็นอันจบเรื่อง

สรุปวันนี้เสียเงินกับค่าของกินต่างๆไม่น้อย ตามนี้

...ชีสเค้กหนึ่งแท่งกับชูครีมสองก้อน(อันนึงรสมันเผา 焼きいも limited สำหรับหน้าใบไม้ร่วง อีกอันคือคุกกี้ชู กรอบๆหน่อยอร่อยดี) จาก Beard papa


...กับข้าวสองกระปุกจากร้านขายกับข้าวจีน (เห็นอย่างนี้นี่เกือบสองพันเยนนะเนี่ย)


...Cheese usagi (กระต่ายเนย)หนึ่งกล่องแปดชิ้น อันนี้ชอบกินมาก เป็นเค้กนิ่มๆตระกูลเดียวๆกับ Tokyo banana ขอฝากขึ้นชื่อของโตเกียวนั่นล่ะ แต่อันนี้ไส้จะผสมชีสไปด้วย ชอบกินสุดๆ ^^ ถ้าไม่ติดว่าเจ้าพวกนี้เก็บได้แค่ประมาณอาทิตย์เดียว อาจมีซื้อไปตุนเวลาอดอยากแล้ว


...Krispy Kreme รสออริจินัลหนึ่งกล่อง(สิบสองชิ้น กะไปเผื่อให้คนอื่นด้วย ไม่ได้กินเองหมดหรอก) จากสาขาที่เพิ่งเปิดไม่นานตรงข้ามกับตึก 109 อันนี้นี่ยืนรอประมาณยี่สิบนาที ยืนรอไปก็ดูโดนัทผ่านห้องกระจกใสไปเรื่อยๆ เห็นโดนัทค่อยๆผ่านมาตามรางเลื่อน(อัตโนมัติหมดเลย) ตั้งแต่ลงทอด พลิกกลับด้าน จนถึงเคลือบน้ำตาล
...ถุงกระดาษเล็กๆบนกล่องคือ ชิ้นทีสิบสาม เค้าจะแจกให้คนที่ยืนรอซื้อทุกคนอยู่แล้ว(ต่อให้มาหลายคน ซื้อแค่คนเดียวก็ได้แจกกันทุกคน คนละชิ้น) ตอนได้มานี่ยังร้อนๆเลยล่ะ แต่ตอนนั้นไม่ไหว ท้องอืดมากๆกินไม่ลงแล้วก็เลยยืนถือจนมันเย็น แล้วก็ขอให้เค้าใส่ถุงให้อย่างนี้แหล่ะ
...จำได้เห็นมีโดนัทชิ้นนึงมันไม่พลิกกลับด้านตอนลงทอด ก็รอดูอยู่ว่าแล้วชะตากรรมมันจะเป็นไงต่อ สักแป๊บนึงพนักงานเดินมาดู คีบชิ้นนั้นขึ้นมา แล้วโยนทิ้งถังขยะไปเลย ตกใจนะเนี่ยนึกว่าจะแค่จับมันพลิกก็เสร็จแล้ว คนญี่ปุ่นใกล้ๆยังบอกเลยว่า もったいない (ประมาณว่าเสียดายของ)


...สุดท้ายยังไปกินข้าวร้านอาหารไทยอีก กินคนเดียวนี่ล่ะปาไป 2000 กว่าๆเยน ผู้หญิง กินคนเดียว กับข้าวหนึ่งอย่าง น้ำแกงหนึ่งถ้วย(แต่ถ้วยนี่คือ เค้ากะให้กินกันได้หลายๆคน) ข้าวหนึ่งจาน ทั้งหมดนี้ไม่ได้แบ่งใครเลย ทำไปได้ เดินกลับบ้านอย่างอืดมากๆแน่นท้องไปหมด

ตอนซื้อ Cheese usagi มีหยิบโบรชัวด้านล่างนี้จากที่ร้านมาด้วย ตอนนี้เปิดให้สั่งจองเค้กคริสมาสต์กันได้แล้ว ดูรูปแล้วสวยน่ารักน่าซื้อจริงๆ ขนมญี่ปุ่นนี่หน้าตาสวยไปซะทุกอย่างเลย


ปัญหาคือเราไม่ชอบของหวาน(นานๆทีกินน่ะได้) แถมเค้กญี่ปุ่นกินมากี่หนไม่ถูกปากสักที (ชอบกินแต่เค้กบัตเตอร์ร้าน S&P กับเค้กส้มร้านต้นกกที่ไทย) มันเป็นเค้ก sponge เนื้อไม่แน่นหวานแปลกๆอ่ะ (ที่ไทยปะป๊าสอนให้กินแต่เค้กบัตเตอร์มาตลอด) ต่อให้ชอบหน้าตามันแค่ไหนแต่คงไม่สั่งล่ะ แต่ก็อดเสียดายไม่ได้นะสวยน่ารักขนาดนี้ ก็ขอเก็บภาพถ่ายไว้ดูเป็นที่ระลึกหน่อยดีกว่า (ถ่ายกลางคืนภาพสีไม่ชัดขัดใจเอามากๆ เพิ่งมารู้ตอนทิ้งโบรชัวไปแล้ว เลยต้องปรับต้องแต่งแสงกันหน่อย)

ก่อนอื่นขอภาพรวมก่อน


เจาะๆทีละก้อนเลยทีนี้ ขออภัยคนถ่ายฝีมือห่วย ภาพในโบรชัวจริงๆสวยกว่านี้ร้อยเท่า









แหม จริงๆถ้าเบื่อช้อปปิ้งได้อย่างนี้บ่อยๆนี่เงินคงเหลือบาน เอาไปซื้อของดีๆที่อยากกินแทนได้เต็มที่เลย (จริงๆก็ไม่ได้งกกับเรื่องกินหรอก แต่ถ้าช้อปมาเยอะก็เกิดความรู้สึกไม่อยากซื้อของแพงมากินให้มันบาลานซ์กันหน่อย ไม่งั้นแพงกับแพงพอดีเงินไม่เหลือกัน)




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2551 21:50:36 น.
Counter : 6310 Pageviews.  

ตกกะใจหมด นึกว่าโดนผีหลอกกลางถนนกรุงโตเกียวซะแล้วสิเนี่ย

เรื่องเพิ่งเกิดหมาดๆเลยยังไม่ถึง 15 นาทีดี(ตอนก่อนเริ่มเขียน) ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจไม่ถึงนาทีนั้นที่ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม นึกว่าจะได้ใส่หลวงพ่อโกย โกยอ้าววิ่งกลับไปนอนค้างมหาลัยซะแล้วคืนนี้

จขบ เป็นคนกลัวผีเอามากๆ จริงๆไม่ใช่แค่ผี แต่กลัวไม่หมดทุกอย่างเลยมากกว่า แมลงก็กลัว สัตว์ประหลาดก็กลัว เลือดก็กลัว อะไรที่ขยับได้กลัวไปหมดแม้กระทั่งหมาและแมว (ดูอยู่ห่างๆน่ะได้ แต่เมื่อไหร่มันวิ่งเข้าใส่ เราวิ่งหนีทันที นึกดูแล้วก็ท่าจะบ้าเนอะ มันไม่เคยมาทำอะไรสักหน่อยทำไมถึงไปกลัวก็ไม่รู้) พวกหนังแนวเลือดสาด ควักตับไตไส้พุง หรือหนังสยองขวัญเขย่าประสาทแนว shutter หรือ คนเห็นผี อะไรทำนองนี้ไม่เคยคิดจะดู ขนาดแค่เห็นผ่านๆแว็บๆ อ่านที่คนเขียนย่อๆยังเก็บไปจิตหลอนซะหลายวัน โดยเฉพาะเวลาเข้าห้องน้ำจะประสาทมากเป็นพิเศษ กลัวว่าลืมตามาแล้วจะเห็นหน้าอื่นที่ไม่ใช่หน้าเราในกระจก หรือนั่งส้วมก็กลัวจะมีอะไรโผล่ขึ้นมา

สมัยเด็กๆยิ่งเป็นมากกว่านี้อีก ดูเฟรดดี้(ใครทันรู้จักมั่งเนี่ย)เสร็จ คืนนั้นนอนไม่หลับต้องไปนอนเบียดกันกับน้อง กลัวหลับไปตื่นมาจะเลือดสาดเหมือนในหนัง (เรากลัวเลือดมากกกก เห็นเลือดทีมือไม้อ่อนจนถึงขั้นจับปากกาเขียนหนังสือไม่ได้ ต้องพักไปสักหลายนาทีเลย เพราะเหตุนี้ล่ะถึงไม่เคยคิดจะเรียนแพทย์) ดูเกรมลินจบก็นอนระแวงไปทั้งคืนกลัวจะมีตัวเกรมลินโผล่มาจากใต้เตียง ซอกตู้ สรุปตาค้างอีกแล้ว (ตอนนี้มาดูแล้ว ออกจะน่ารัก ไม่เห็นน่ากลัวเลย)

สมัยอยู่ไทยถึงกลัวก็ยังดีว่าอยู่ที่บ้านมีคนที่บ้านอีกตั้งเยอะแยะ อุ่นใจหน่อย แต่ตอนนี้มาอยู่ญี่ปุ่นคนเดียว แถมในละแวกที่อยู่ไม่มีเพื่อนคนไหนอยู่ใกล้ๆเลย งานนี้ก็ต้องระวังรักษาตัวกันสุดฤทธิ์ อะไรที่เสี่ยงจะทำให้ประสาทหลอนขึ้นมาพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ดู ไม่อ่าน ไม่ข้องเกี่ยว ทุกอย่าง (แต่ตอนกระทู้เล่าเรื่องผีห้อง @Japan แอบอ่านไปหน่อยกลัวเหมือนกันนะนี่ แต่คิดซะว่าเค้าคงไม่มาหาเราหรอก เพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง 55) เคยมีเพื่อนจะเอา shutter มาให้ดูก็ไม่เอาคืนกลับไปเลย (ขนาดผู้ชายทั้งแท่งตั้งหลายคนดูกัน คืนนั้นยังนอนกันไม่หลับเลย แล้วจะเอามาให้เราดู ใช้อะไรคิดเนี่ย เราอยู่คนเดียวนะจ๊ะ ประสาทกลับขึ้นมาใครจะมาช่วย -"- )

จะเข้าเรื่องแล้ว(วกไปซะไกล) เราเป็นพวกนอนดึก(เกือบเช้า)ตื่นสาย(ไม่เที่ยงไม่ตื่น) ก็เป็นนักเรียนวิจัยจะทำวิจัยกี่โมงก็ได้ขอให้มีงานส่งเป็นใช้ได้ ด้วยพฤติกรรมการตื่นนอนแบบนี้ก็เป็นที่รู้กันโดยปริยายว่า กว่าเราจะตื่น และแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จ ไม่บ่ายสามบ่ายสี่โมงเย็นไม่เคยโผล่ไปแล็บ (ยกเว้นมีคลาสหรือมีตติ้ง) แน่นอนว่าไปสายโด่งขนาดนี้จะกลับเร็วได้ไงโดนอาจารย์เหล่เอาพอดีว่ายายนี่งานการไม่ทำ ดังนั้นเราก็เลยรั้งตำแหน่งคนที่อยู่แล็บดึกที่สุดมาตลอดระยะเวลาสองปีกว่า แทบไม่เคยมีใครได้เห็นว่าเรากลับบ้านกี่โมง เหตุผลนึงก็เพราะบ้านใกล้จะเดินกลับเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องง้อรถไฟนั่นเอง

คนที่แล็บ(ชายเกือบล้วน)ก็เคยถามบ่อยๆว่าเดินกลับดึกๆคนเดียวแถมผู้หญิงอีกไม่กลัวเหรอ(ไม่นับตอนที่อยู่ทำงานจนยันฟ้าสว่าง) เราก็ตอบไปสิว่ากลัวอะไรล่ะ เดินมาสองปีแล้ว ที่ญี่ปุ่นปลอดภัยจะตาย แถมนี่ยิ่งในรั้วมหาลัยเลย อีกอย่างคนจะซวยจะกลับตอนคนเยอะหรือน้อยก็ซวยอยู่ดี คนน้อยก็กลัวเจอลอบทำร้าย จี้ ปล้น บลาๆๆ คนเยอะก็กลัวจะเจอโรคจิตแบบที่ออกข่าวทีวีระยะหลังๆอีก(เช่น ข่าวที่อากิบะ) พูดไปเรื่อยแต่จริงๆก็คือเปลี่ยนเวลานอนให้เหมือนคนปกติไม่ได้สักทีต่างหาก (อ้อ แต่อยู่ไทยไม่เคยทำอย่างนี้นะคะ ฟ้ามืดมาไม่ออกไปไหนแล้วค่ะ ยังเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเองอยู่)

ก็อยู่อย่างนี้ทำอย่างนี้มาสองปีกว่าแล้วไม่เคยมีปัญหาอะไร ไม่นับตอนโดนขโมยงัดห้องที่เล่นเอาหลอนนอนไม่หลับไปเป็นอาทิตย์ๆ(ก็ไม่มีที่อื่นให้ซุกหัวนอนแล้ว ก็ต้องนอนมันห้องที่เพิ่งโดนงัดมาหมาดๆนี่ล่ะ) วันนี้เดินกลับจากแล็บมาเที่ยงคืนครึ่งกว่าๆอยู่ตรงถนนใหญ่แล้วยิ่งไม่น่ากลัว เดินฮัมเพลงประกอบ "สวรรค์เบี่ยง" ไปพลางๆ มืดแล้วไม่มีคน ร้องยังไงก็ไม่มีใครได้ยิน 555 เดินๆอยู่สายตาก็ไปเจอะวัตถุรูปร่างประหลาดตรงริมถนน เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆสีดำสนิท รูปร่างยึกยือๆประหลาดๆบอกไม่ถูกว่ามันเป็นทรงอะไร ซึ่งริมถนนเนี่ยนอกจากรั้วกับตู้ไปรษณีย์แล้ว มันไม่น่าจะมีอะไรอย่างอื่นอีกนะ

ระหว่างที่ชะลอฝีเท้าลง สมองส่วนประมวลผลและส่วนจินตนาการก็เริ่มทำงานพร้อมกัน และส่งความคิด(ที่ค่อนข้างงี่เง่า)ออกมาตามลำดับ ดังนี้

- เฮ้ย สัตว์ประหลาด (เอิ่ม มีเหตุผลมากๆเลย สัตว์ประหลาดกลางถนนโตเกียว)

- เอ๊ะ ไม่สิสัตว์ประหลาดอะไรจะมาอยู่ตรงนี้(นั่น เริ่มฉลาดขึ้นแล้ว) รูปร่างดำๆตันๆแบบนี้น่าจะเป็นมอเตอร์ไซต์ใครมาจอดทั้งไว้ข้างถนนมากกว่า (อ่ะแหม อันนี้ค่อยดูสมเป็นเด็กวิศวะหน่อย) สงสัยคลุมผ้าดำไว้แน่ๆเลย

- (เริ่มใช้สายตาที่อุตส่าห์ทำเลซิคมาเพิ่มขึ้น เพื่อหาข้อมูลสนับสนุนข้อสันนิษฐานมอเตอร์ไซต์หน่อย) แต่ เอ รูปร่างมันดูยังไงก็ไม่เหมือนมอเตอร์ไซต์เลยน้า รูปร่างแปล๊กแปลก ตันๆแต่เตี้ยๆยังไงพิกลล้อก็ไม่เห็นมี อ้อ สงสัยเป็นรั้วถนนแน่เลย วันนี้คงมีรถวิ่งชนตรงนี้แหงๆรั้วเลยยับเยินรูปร่างพิลึกเชียว (อันนี้ก็ยังพอใช้ได้ เพราะตลอดแนวถนน นอกจากรั้วแล้วมันไม่ควรมีอย่างอื่นเลย)

- เขม้นมองต่อว่ามันชนอีท่าไหนนี่ ถึงบิดได้พิลึกขนาดนี้ แต่ เฮ้ย ทำไมเห็นเหมือนมือคนพาดอยู่ด้วยล่ะ

- (สมองส่วนเหตุผลเริ่มฝ่อ ประสาทเริ่มกินช่วยเร่งให้สมองส่วนจินตนาการทำงานเต็มสูบ แถมยังรวมเอาสมมติฐานด้านบนมาปู้ยี่ปู้ยำผสมได้ใน บัดดล)
หรือว่า
หรือว่า
มีรถมอเตอร์ไซต์วิ่งมาเกิดอุบัติเหตุที่รั้วตรงนี้
มีคนช่วยเอาผ้ามาคลุมสถานที่เกิดเหตุให้ แล้วมือที่เห็นน่ะคือมือที่โผล่ออกมาของผู้ประสบเหตุ
ถ้างั้น ถ้างั้น
เดินผ่านไปตรงนั้นจะมี เลือดหรือเปล่า จะมีคนเอาดอกไม้มาวางเคารพหรือเซ่นสถานที่เกิดเหตุมั๊ย .......

คิดถึงตรงนี้ก็ไม่ไหวแล้วค่า จินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว หยุดเดินทันทีรู้สึกอะไรๆในท้องมันโหวงเหวงไปหมด เอาไงดีจะกลั้นใจวิ่งผ่านไปเลยดีมั๊ย(ทางผ่านเกือบถึงบ้านแล้ว) เอ หรือจะย้อนกลับไปทางเดิมแล้วข้ามถนนไปเดินฝั่งตรงข้ามดี เอ หรือจะกลับไปแล็บซะเลยดีเนี่ย

เราเป็นพวกที่เวลาประสาทกินจะทำอะไรไม่ถูกค่ะ สัญชาติญาณการเอาตัวรอดไม่ค่อยมี กลัวแทนที่จะหนีก็ดันยืนรากงอกอยู่ตรงนั้น เวลาตกใจนึกว่าขโมยมาแทนที่จะรีบโทรตำรวจหรือส่งเสียงบอกใครๆ กลับวิ่งไปมุดใต้โต๊ะนั่งตัวสั่น -"- ตัวเองยังเซ็งตัวเองเลยอาการแบบนี้ เพราะงี้ล่ะเลยได้ยืนมองวัตถุต้องสงสัยต่อไปสักหลายวินาที พอมีเวลาให้บัวได้โผล่พ้นน้ำกะเค้า

เอ๊ะ มือยังขยับได้ด้วย แสดงว่าไม่ใช่คนเสียชีวิตแล้วสิ ใจชื้นขึ้นนิดนึงจ้องต่อว่าตกลงมันอะไร คราวนี้เต็มๆตาแล้วค่ะไอ้วัตถุลึกลับนั่นจริงๆมันคือ ผู้ชายและผู้หญิงสองคน นั่งยองๆอยู่ริมถนนนั่นเอง ก่อนจะหาว่าเราตาถั่วลองอ่านด้านล่างก่อนว่าทำไมเราถึงจินตนาการไปขนาดนั้นได้กะอีแค่คนนั่งอยู่ริมถนน

- ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว คนญี่ปุ่นหน้าหนาวเน้นแต่งโทนดำ ยิ่งคนทำงานแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดำสนิทค่ะ และสองคนที่ว่านี้ก็แต่งตัวดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมใส่เสื้อโค้ทด้วยมันก็เลยเห็น body outline ไม่ชัดเหมือนพวกเสื้อหน้าร้อน

- ผู้หญิงสงสัยจะเมา เลยมาอ้วกอยู่ข้างถนนตรงท่อน้ำทิ้ง คนจะอ้วกยืนสงสัยกลัวจะเลอะเทอะก็เลยนั่งยองๆลงอ้วกก้มหน้าหาพื้น ผู้ชายก็นั่งลงติดกัน(ติดแบบแนบสนิทเลยล่ะ)ประคองผู้หญิงที่อ้วกเอาอ้วกเอาไว้ มือข้างนึงพาดไหล่ผู้หญิงอยู่ (แถมนั่งไม่เงยหน้าอีกต่างหาก)

- ตรงจุดนั้นเป็นช่วงตรงกลางเสาไฟฟ้าสองต้นพอดี เลยค่อนข้างมืด

- เราใส่หูฟัง ก็ได้ยินแต่เสียงเพลงล่ะค่ะ เสียงอย่างอื่นก็โดนเสียงรถบนถนนกลบหมดแล้ว

สรุปจากสี่ข้อนี้ สิ่งที่เราเห็นจากระยะไกลก็คือ อะไรสักอย่างรูปร่างตันๆ ดำสนิท(ก็เล่นแต่งดำ แถมก้มเห็นแต่หัวดำๆให้ทางเราอีก) มีส่วนโค้งแปลกๆ(ก็คือ outline ของทั้งสองคนที่นั่งซะติดกันสนิทนั่นล่ะค่ะ) เห็นแต่มือโผล่มาจากปลายแขนเสื้อหนึ่งข้าง(ก็มือของผู้ชายข้างที่โอบไหล่ผู้หญิงอยู่นั่นเอง) หมอบอยู่ริมถนน ก็เลยเป็นที่มาของอาการใจหายใจคว่ำไปหลายนาทีนี้นี่เอง

เฮ้อ เดินเลยผ่านมาก็ยังแอบหันไปดูอีกหน่อย ใจก็นึกแปลกใจว่าเราคิดไปได้ยังไงเนี่ย จินตนาการล้ำเลิศจริงจริ๊ง แต่ล้ำเลิศในด้านไม่สร้างสรรอะไรดีๆ แต่จะพาตัวเองเดือดร้อนประสาทกินเอาแทน อยู่ญี่ปุ่นมาสองปีกว่านี่เป็นประสบการณ์เฉียด...ครั้งแรกของเรา ถ้าไงก็อย่าได้มีอีกเลยนะประสบการณ์บางเรื่องน่ะถึงไม่มีก็ไม่ทำให้เรามีเรื่องพูดคุยในวงสนทนาน้อยลงหรอก


ปล. แวะมาเพิ่มรูปหน่อย แถวๆนี้ล่ะที่เกิดเหตุวันก่อน (รูปนี้ถ่ายมาทีหลัง แต่เวลาประมาณๆเดียวกัน) แต่ที่ไหนไม่บอก :P




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2551 21:25:49 น.
Counter : 888 Pageviews.  

วันนี้จบปริญญาโทผ่านเรียบร้อยแล้วค่า & เรื่องเล่าสัตว์โลกน่ารัก(จริงเหรอ?)จากออสเตรเลียนิดหน่อย

และแล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้วันพรีเซนต์เพื่อจะจบปริญญาโทสักที ไม่อยากจะบ่นเลยว่าช้ามากๆแม้แต่อาจารย์ยังบอกเลยว่าทำไมกำหนดการมันถึงช้ายืดยาดขนาดนี้ สิงหาเดือนปิดเทอมคนอื่นๆกลับไปเยี่ยมบ้านกันหมด แต่เรากระดิกไปไหนไม่ได้เพราะต้องรอเวลาส่งเล่มและพรีเซนต์ให้เสร็จก่อน T_T บ่นอีกเรื่องคือ จบเทอมตอนเดือนกันยาเนี่ย รู้สึกเหมือนลูกเมียน้อยยังไงไม่รู้ พิธีในหอประชุมก็ไม่มีให้ (พอไม่มีพิธีที่บ้านเลยยกเลิก ไม่มาญี่ปุ่นเลย รอทีเดียวตอนปริญญาเอก) มีแต่ปาร์ตี้กันเอง กับเพื่อนๆ ไม่มีสาวๆใส่ฮากามะมารวมกลุ่มเดินถ่ายรูปกันเต็มสนามหน้าหอนาฬิกาเหมือนงานพิธีตอนเดือนมีนาเล้ย เงียบเหงาจัง คนส่วนน้อยก็อย่างนี้ล่ะนะ ปีนี้เลยอดได้ลองใส่ฮากามะไปโดยปริยาย


วันสำคัญแท้ๆ มีเรื่องให้ใจไปอยู่ตาตุ่มตั้งแต่เช้าเลย กำหนดการคิวเราพรีเซนต์ 11:10 ก็ตื่นมาบรรจงแต่งตัวแต่งหน้าตั้งแต่แปดโมงกว่าๆ แพทเทิร์นง่ายๆสำหรับการพรีเซนต์ทางการคือ เชิ้ตขาวไม่มีลวดลาย สูทดำ กระโปรงดำความยาวเท่าเข่า และรองเท้าคัตชูสีดำสนิท ประมาณเก้าโมงกว่าๆอยู่ๆคนแล็บเดียวกันที่จะจบพร้อมกัน SMS มาถามว่าอยู่ไหน วินาทีนั้นใจไปอยู่ตาตุ่มเลยอ่ะ นึกว่าเฮ้ยตายแล้วเค้าเมลมาตามตัวเราเพราะเราต้องไปนั่งฟังตั้งแต่พรีเซนต์คนแรกหรือเปล่าเนี่ย นาทีนั้นนี่นรกลอยมารำไรอยู่ตรงหน้าเลย แค่สายมีตติ้งปกติอาจารย์ยังดุเลย แต่นี่เล่นสายวันพรีเซนต์จบ งานนี้ตายๆๆๆๆแน่ๆ ฆ่าตัวตายชัดๆ จากก่อนอ่านแมสเซจยังแต่งหน้าแต่งตาไม่เสร็จดี ด้วยแรงขับจากนรกนี่เสร็จทันทีในสามนาที เตรียมสวมวิญญาณหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งจังหวัดไม่เหลี่ยวหลังออกจากบ้านโดยด่วน


ก่อนออกจากจุดสตาร์ทโทรถามเจ้าของ SMS ตัวดีเสียก่อนว่าเรื่องเป็นไง (อาจารย์โกรธมากมั๊ยเนี่ย) สรุปว่าไม่มีอะไรแค่ถามเฉยๆ โธ่เอ๋ย ทีหลังพิมพ์ยาวกว่านั้นหน่อยก็ได้นะจ๊ะ ใจหายใจคว่ำกันไปหมดเลยแทบวิ่งออกจากบ้านทั้งที่ปัดมาสคาร่าไปแค่ด้านเดียวเลย
ค่อยยังชั่วนรกเปลี่ยนเป็นสวรรค์ ขอนิมนต์หลวงพ่อโกยกลับก่อน แล้วก็เลยขอเวลาแต่งหน้าต่ออีกสักหน่อยน่ะ ตะกี้มันรีบ เร็วแต่ไม่ค่อยเนี้ยบเท่าไหร่ ถึงไม่คิดว่าอาจารย์คณะนี้จะสนใจดูหน้าตาคนพรีเซนต์ว่ารองพื้นมาเนี้ยบหรือเปล่า ปัดขนตามาเด้งมั๊ยก็ตาม แต่ด้วยความเชื่อส่วนตัวว่า First impression นั้นสำคัญมากๆวันนี้เลยแต่งด้วยเครื่องสำอางที่ผ่านการทดลองและการันตี(โดยตัวเอง)มาแล้วว่าเลิศ


สไลด์ก็เช่นกันต่อให้ตัวงานไม่ได้ดีเลิศเลอแต่ถ้าเราทำพรีเซนต์งามๆนำเสนอดีๆ งานธรรมด๊าธรรมดาก็ดูเลิศหรูอลังการได้ไม่แพ้กัน (โดยเฉพาะสำหรับอาจารย์ท่านที่ไม่ได้ major ทางสายวิจัยของเราโดยตรง :P เพราะถ้าคนเมเจอร์เดียวกันเค้ารู้หมดล่ะว่าเนื้องานนี้มันดีแค่ไหน) อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเราทุ่มเททำกับการพรีเซนต์งานครั้งนี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาขอบอกว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว คนฟัง(คนอื่นที่ไม่ใช่อาจารย์)มัวไปชื่นชมกับ flash animation ที่บรรจงวาดมาดึงดูดความสนใจ จนไม่ค่อยหันมาวิจารณ์ตัวงานเท่าไหร่


สรุปว่าพรีเซนต์ผ่านไปด้วยดี อาจารย์บอกว่าเราน่าจะได้ผลสำหรับ Master course เป็น Excellent และก็ผ่านเข้า Ph.D. course ด้วยดี ถามเพื่อนๆคนอื่นๆเค้ามักจะบอกว่าคำถามของอาจารย์ที่สอบจะ きびしい (เข้มงวด) มาก แต่เรากลับเฉยๆนะเนี่ยสงสัยเขาจะเรียกว่าเกิดอาการด้านชาหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เพราะในแล็บมีคนค่อยช่วยสับเละอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่พรีเซนต์ progress โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลจาก reviewer จากคอนเฟอร์เรนซ์ล่าสุดเนี่ย โหย คำถามของเหล่าอาจารย์นี่เด็กๆไปเลย เพราะบรรดา reviewer เนี่ยเค้ารู้จริงและเข้มงวดจริงแถมมันไม่เห็นหน้ากันไม่รู้จักกัน (double blind review) ด้วยเลยด่าเราได้แบบไม่มีเลี้ยง ไม่ต้องมาเป็นห่วงกังวลกลัวเสียความรู้สึกหรือกลัวจะโดนคนแค้นแล้วมาปาระเบิดที่บ้านทีหลังเลย คิดดูเล่นเอาเจ้าของงานอย่างเราน็อคและจิตตกไปได้เป็นอาทิตย์ๆ อาการนี้เค้าเรียกว่าเจ็บจนชินหรือเจ็บจนด้านชาล่ะมั้งเนี่ย


จบแล้วก็มีไปกินข้าวฉลองกับเพื่อนๆที่จบพร้อมๆกันซะหน่อย ไปกันห้าคน คนไทยหนึ่ง(เราเอง) คนสิงคโปร์สองคน คนจีนหนึ่ง คนออสเตรเลีย อีกหนึ่ง ทั้งหมดนี้สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ 95% ในบรรดาห้าคนนี้ รู้ตัวได้แบบไม่ต้องคิดนานเลยว่าคนทีห่วยอังกฤษที่สุดในกลุ่มมิใช่ใครที่ไหนคือ เรานั่นเอง T_T คนสิงคโปร์คนนึงเค้าจบตรีจากอเมริกา อีกคนก็จบจากอังกฤษ คนออสเตรเลียไม่ต้องพูดถึงเพราะเค้าnative ส่วนคนจีนนั้นรู้สึกจะไม่ได้ไปต่อประเทศอื่นที่ใช้อังกฤษนะแต่พูดลื่นไหลมากๆ ศัพท์อะไรเนี่ยใช้ได้ดีจริงๆ >,< มีคนไทยคนนี้เองที่อ่อนด้อยกว่าคนอื่นเค้าแอบงงไปบางมุกที่เค้าหัวเราะกันแต่เราฟังไม่ทันอ่ะ ไม่เข้าใจด้วยว่ามุกนั้นมันตลกเหรอ


เรื่องน่าสนใจที่ได้จากการคุยกัน ก็เริ่มจากที่เราถามคนออสเตรเลียว่า เค้าเคยไป Great barrier reef หรือเปล่ามันมีฉลามรึเปล่าเนี่ย ไอ้ตอนถามถึงฉลามเนี่ยถามเล่นๆนะไม่คิดว่าจะมีจริงหรอก นึกว่าฉลามทำร้ายคนน่ะมันคงมีแต่ในหนังเท่านั้นเอง แต่ปรากฏเค้าตอบมาว่ามันมีจริงๆอ่ะ บอกว่าทุกๆปีก็จะมี 5-10 รายโดยประมาณที่เจอ shark attack เข้าซึ่งนี่ก็คือรวมถึงโดนฉลามกินด้วยนะเหมือนในหนังเลยล่ะ ทั้งโต๊ะคราวนี้เลยสนใจกันใหญ่ว่า เฮ้ย มีจริงๆเหรอเนี่ย สถานที่เที่ยวโด่งดังอย่างนี้ยังมีฉลามอีกเหรอ แถมมีทำร้ายคนจริงๆ กินคนจริงๆด้วย ไอ้ white shark ตัวใหญ่ๆฟันคมๆแบบในหนังเรื่อง Jaw น่ะ คนออสเตรเลียบอกว่าใช่แบบนั้นก็มีเหมือนกัน คราวนี้ช่วยกันซักใหญ่ว่า ได้ความน่าสนใจมาหลายอย่างเช่น ตรงนั้นเค้าก็เปิดกันโล่งๆไม่มีรั้ว titanium อะไรกั้นเหมือนในเรื่อง Deep blue sea (นี่ก็เว่อร์ไปหน่อย) หรอกแต่ก็มี shark patrol คอยสอดส่องดูแลเหมือนกัน


เจ้าตัวคนเล่าบอกว่าตอนเค้าดำน้ำครั้งนึง(ไม่รู้ที่ Great barrier reef หรือเปล่า) เคยเจอฉลามด้วย โชคดีว่าตอนนั้นฉลามมันไม่หิว 555 (ไม่งั้นคงไม่ได้รอดมาเล่าเรื่องอยู่ตอนนี้) เค้าบอกว่าจริงๆฉลามไม่น่ากลัวเท่ากระแสน้ำนะ เหมือนว่าแถวนั้นภายนอกดูสงบแต่จริงๆข้างใต้คลื่นแรงอะไรต่างๆจะจมน้ำอะไรง่ายกว่าเจอฉลามอีก สำหรับคนต่างชาติอย่างเราฟังเรื่อง shark attack ก็อู้หู อื้อหือ กันไปตามเรื่อง แต่เค้าว่าคนออสเตรเลียเค้าชินกันแล้วกับพวก animal attack อะไรพวกนี้ เทียบๆไปก็เหมือนกับคนญี่ปุ่นที่ชินแล้วกับการเกิดแผ่นดินไหวน่ะแหล่ะ (คนสิงคโปร์เล่าให้ฟังว่า ตอนเค้าเจอแผ่นดินไหวที่นี่ครั้งแรกตอนอยู่กับบ้านโฮส เค้านี่รีบวิ่งลงมากะออกจากบ้านโดยด่วน แต่ปรากฏว่าคุณป้าโฮสนั้นยังนั่งลงพู่กันจีนวาดลายแจกันอะไรไม่รู้ อย่างสงบนิ่งและสบายใจ )


นอกจากเรื่องฉลามแล้วยังได้รู้เบื้องหลังสัตว์โลก(ที่เคยคิดว่า)น่ารักอีกหลายอย่างของที่นั่นจากคนท้องถิ่นโดยตรง คิดว่าคนส่วนใหญ่ก็น่าจะเหมือนเราคิดว่าโคอาล่าเนี่ยเป็นสัตว์ที่น่ารักน่าชังซะไม่มี ตัวเท่าตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์(คิดเอาเองไม่เคยเห็นมาก่อน) เกาะต้นไม้กินใบยูคาลิปตัส แค่นั่งทำตัวอ้วนๆน่ารักน่าหยิกไปวันๆเท่านั้นเองพอแล้วชีวิตนี้ แต่จากปากคำคนพื้นเมืองเค้าบอกว่าที่เราเห็นๆน่ะมันถูกเทรนด์มาดีแล้ว ถ้าเป็น wild koala นี่เค้าบอกไม่น่ารักอย่างที่เราคิดหรอก(แถมบางทียังออกแนวน่าตื้บอีกต่างหาก) ที่เราบอกว่าตัวคงเท่าเท็ดดี้แบร์น่ะเค้าบอกว่าไม่ใช่ จริงๆตัวอ้วนใหญ่มากๆ ดูตามไซส์มือที่เค้ากะให้ดูนี่ เอ่อ แน่ใจนะว่านั่นหมีโคอาล่าไม่ใช่หมีแพนด้าพุงพลุ้ยจากจีนหรือหมีขาวลืมลดน้ำหนักจากแถบขั้วโลกน่ะ เค้าบอกว่ามันอ้วนขนาดที่ถ้าเราขับรถชนมัน(โคอาล่าจะข้ามถนน กรุณาระวังนะคะ ^_^ ) เราจะรู้สึกประมาณว่า ตุ้บๆ เหมือนวิ่งชนผนังนวมอะไรอย่างนั้น อ้วนอย่างนี้ปีนเกาะต้นไม้มันไม่หักเอาเหรอเนี่ยสงสัยจริงๆ หรือไอ้ภาพที่เราเห็นน่ะจริงๆมันเกาะต้นไม้ขนาดใหญ่สักห้าคนโอบ?


พฤติกรรมความแสบของสัตว์โลกน่ารักตัวนี้ที่เพื่อนคนนี้ได้เจอมานี่ ฟังแล้วฮามาก ครั้งนึงเห็นว่าอุตส่าห์จะยื่นขนมหรือใบยูคาลิปตัสอะไรสักอย่างไปให้เจ้าโคอาล่าด้วยความเอ็นดู๊เอ็นดู ปรากฏว่าโดนหมีเมิน เมินไม่พอนะยังหันมาถ่มน้ำลายใส่อีก (จินตนาการภาพว่า หมีหันหน้ามาทำหน้าเชิดๆแล้วถุ๊ยใส่) โอ้โฮ ถามจริงๆว่าเคยไปทำอะไรให้มันหมั่นไส้เอาหรือเปล่านี่ ท่าทางมันจะแค้นนะเนี่ย :P อีกเรื่องที่ฟังแล้วแปลกดีคือเรื่อง โคอาล่าเมายา?? ฟังแล้วงงไหม โลกนี้มันแย่ถึงขนาดว่าแม้แต่หมียังไม่เว้นติดยากับเค้าด้วยเหรอเนี่ย ....
แซวเล่นๆแต่จริงๆไม่ใช่อย่างนั้น เค้าบอกประมาณว่าไอ้ใบยูคาลิปตัสก็คล้ายๆเป็นยาสำหรับโคอาล่าน่ะแหล่ะ วันๆมันก็นั่งกินนั่งเมายาเคลิ้มไปได้ทั้งวัน ขาดยาเมื่อไหร่โคอาล่าเหล่านั้นจะหงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ไม่น่าเข้าใกล้เป็นอย่างยิ่ง (เทียบไปแล้วเราว่าคล้ายผู้หญิงเวลารอบเดือนมามากกว่านะ ^_^ )


จากการสอบปากคำชาวท้องถิ่น สรุปได้ความว่าคนที่นั่นเค้าชินแล้วกับเรื่องเกี่ยวกับ animal animal ทั้งหลาย นอกจากฉลาม โคอาล่า ก็ยังมีสารพัดสัตว์อื่นๆอีกมากมายทั้ง จิงโจ้  wombat สารพัด(ชื่ออื่นๆจำไม่ได้แล้ว) ในตัวเมืองอาจไม่มีพวกพฤติกรรม "กรุณา หยุดรถให้ จิงโจ้/โคอาล่า ข้ามถนน" หรือ "โปรดระวัง Gangaroo attack" หรือ "เล่นน้ำกรุณาระวัง โดนสัตว์โลกแสนรักขโมยชุดชั้นใน" หรือ "กรุณางดเว้นการแข่งรถกับจิงโจ้(อารมณ์ว่าเราขับรถไป จิงโจ้ก็โดดดึ๋งๆอยู่ข้างๆ ไปพร้อมกัน)" สักเท่าไหร่แต่นอกเมืองออกมาโดยเฉพาะในเมืองที่เค้าคนนี้อยู่มันเป็นเรือ่งปกติมากๆเลยทีเดียว ป้ายสัญญาณจราจรให้ระวังจิงโจ้อะไรนี่เห็นว่ามีจริงๆ และที่กระจกหน้ารถจะต้องมีการติด bar เอาไว้เพราะเมื่อไหร่ที่เราขับรถจะไปชนจิงโจ้เข้า เมื่อนั้นมันจะโดดขึ้นมาบนรถเราและเราก็จะได้ Gangaroo's face มาประทับกระจกหน้าเต็มๆแบบเห็นกันในระยะหนึ่งฟุตเลยทีเดียว bar ที่ติดไว้เห็นว่ามีไว้เพื่อป้องกันกรณีนี้นี่เอง


ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเอง แต่ได้ฟังเค้าเล่าแล้วก็สนุกดี โลกนี้มีเรื่องที่เราไม่รู้อีกเยอะแยะ คนออสเตรเลียคนนี้จบตรีที่ประเทศตัวเอง โทที่ญี่ปุ่น และกำลังจะไปต่อเอกที่ Cambridge (@Cambride) ณ ประเทศอังกฤษ (ได้ยินเค้าพูดกันว่าไปที่อะไร Kingๆ นี่ล่ะ เป็น school หนึ่งในมหาลัยรึเปล่าไม่รู้ เพราะเราไม่ค่อยรู้เรื่องมหาลัยในอังกฤษเท่าไหร่ เพิ่งรู้วันนี้เองเนี่ยว่ามหาวิทยาลัยชื่อ Cambridge เนี่ยมันมีอยู่หลายแห่งมากๆ แต่ของแท้ที่ดังน่ะต้องเป็นอันที่อยู่เมือง Cambridge) สุดท้ายแล้วเห็นว่าอยากไปมอเมริกาด้วยนะจะได้ครบๆไปเลย ดูท่าทางคงทำได้อยู่แล้วล่ะคนนี้ หายห่วง



ปล. ข้อเขียนนี้อ้างอิงจากการฟังเพื่อนเล่ามาเท่านั้นนะคะ คนเขียนไม่ได้ไปประสบพบเจอด้วยตัวเอง ไม่ได้ดูรายการจำพวก discovery channel หรือ animal planet มาชาติเศษแล้ว ธรรมชาติสัตว์เหล่านี้จริงๆเป็นเช่นไรไม่ทราบจริงๆค่ะ
ข้อความบางส่วนก็มีเสริมแต่งบ้างเพื่ออรรถรสในการเขียนของคนเขียน




 

Create Date : 04 กันยายน 2551    
Last Update : 4 กันยายน 2551 15:50:21 น.
Counter : 1217 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.