ความรู้สึกดีๆในต่างแดน (เหตุเกิด ณ ร้านอาหารเกาหลีที่เดิม)
ครั้งนึงในบล็อคแรกของเรา เคยพูดถึงร้านอาหารเกาหลีใกล้บ้านเราไ้ว้ และปรากฏการณ์ที่เห็นคนขายวิ่งจู๊ดยังกะกระต่ายเพื่อคืนเงินที่ลูกค้า(ยัดเยียด)มาให้เกินไป ที่นี่ เรื่องราววันนี้ก็เกิดขึ้นที่เดิมอีกครั้ง ร้านนี้เลย (บอกแล้วว่าขาประจำ) ต้องย้อนไปนิดหนึ่งก่อน เมื่อประมาณอาทิตย์ก่อน เราได้แวะไปกินร้านนี้อีกครั้งหลังจากซื้อกับข้าวเสร็จ เครื่องขายตั๋วอาหารที่นี่รับได้สูงสุดคือแบงค์ 1000yen เท่านั้น ตอนนั้นเรามีแต่แบงค์ 5000yen ก็เลยต้องแลกแบงค์กับคนขายก่อน ก่อนหน้าเรามีลูกค้าเพิ่งเข้ามาหลายคนเหมือนกัน คนขายก็เลยมัวยุ่งๆกับอาหารบนเตาอยู่ ก็รีบล้วงๆเข้าไปในที่เก็บเงินที่เตรียมไว้แตกแบงค์แล้วยื่นมาให้เรา เรารับมาแล้วก็ยืนงงๆอยู่ เพราะเราส่งให้เค้าไป 5000yen แต่ไอ้ปึกแบงค์พันเยนที่เค้าให้มาเนี่ย มันมากกว่าห้าใบชัวร์ๆ งงๆไปสองสามวิ แล้วก็ทักเค้า あのー อะไรก็ว่าไป แล้วก็บอกว่าตะกี้ให้แบงค์ห้าพันนะ ไม่ใช่แบงค์หมื่น รู้ตัวแล้ว เค้าก็เอากลับไป แล้วยื่นปึกใหม่มาให้เราแทน คราวนี้ห้าใบไม่ผิด เรื่องวันนั้นก็จบลงไป ไม่มีอะไร ผ่านมาอีกหนึ่งอาทิตย์ เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา วันไปซื้อกับข้าวอีกเช่นเคย วันนี้ของเยอะมากๆ(จริงๆก็ของเยอะทุกที) แบกถุงพะรุงพะรังไปหมด เดินเข้าร้านเดิม ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ บังเอิญคนที่รับตั๋วอาหารเราคือ คนอาทิตย์ก่อนทีหยิบเงินผิดปึกให้เรา เค้าก็ยิ้มให้เรา แล้วก็ทักทายด้วยว่า "ช้อปปิ้งของเยอะจังเลยนะ" แถมตอนเอาอาหารมาให้ก็ยังยิ้มทักให้อีกด้วย ทักทายลูกค้ามันก็ไม่แปลก เราก็ทานที่นี่บ่อยคุ้นหน้าหลายๆคน เค้าก็ยิ้มทักทายเราประจำ ประมาณความรู้สึกว่า "อ้ะ มาทานอีกแล้วเหรอ" แต่คนนี้เนี่ย เราเพิ่งมาเจอหลังๆไม่กี่เดือนนี่เอง แล้วเจอทีไรก็ไม่เห็นแกเคยยิ้มเลยสักครั้งเดียว ไม่ถึงกับทำหน้าบึ้งตึง แต่หน้าเค้าจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์เป็นมิตรเท่าไหร่น่ะ แอบดูอาวุโสและดุๆกว่าคนอื่น จริงๆวันนั้นนี่เค้าอาจจะกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษก็ได้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราหรอก แต่อยู่ๆเราก็นึกได้ขึ้นมา ว่าคนที่เราเคยเห็นวิ่งไล่ตามลูกค้าเพื่อคืนเงินเนี่ย คือ เค้าคนนี้นี่เอง (จำได้ว่าคนที่หน้าดุๆ ซึ่งทั้งร้านนี้ เห็นอยู่คนเดียวนี่ล่ะ) ร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นจะยิ้มเลย มีมาวันนี้เกิดยิ้มแย้ม ทักทายเราอย่างดี เลยอดนึกไม่ได้ว่าเพราะเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนที่หยิบเงินผิดให้เราหรือเปล่านะ อาจจะแค่คิดไปเอง แต่ความรู้สึกดีๆนี่คิดไปเองก็คงไม่เสียหายอะไรหรอก อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกว่า เพราะเราดีกับเค้า(ไม่มุบมิบ) เค้าก็เลยดีตอบกับเรา มันอธิบายไม่ถูกเลยนะ แต่มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ การบริการปกติก็ดีอยู่แล้วล่ะ แต่วันนี้มันรู้สึกเหมือนมีความรู้สึกเป็นมิตรบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาจากปกติ เพียงแค่คำทักทาย และยิ้มให้แค่นั้นล่ะ ไอ้เหตุการณ์วิ่งตามไปคืนเงินเนี่ย มันไม่ได้เกิดกับตัวเราก็จริง แม้เราจะเป็นแค่ผู้เห็นเหตุการณ์ จำนวนเงินก็นิดเดียว แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้รับความซื่อตรงและซื่อสัตย์ บริการที่จริงใจจากเค้า จนอดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ พอถึงคราวที่เค้าผิดพลาดบ้าง เราก็เลยไม่ลังเลที่จะตอบแทนความซื่อตรงของเค้ากลับไปเช่นกัน เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ล่ะ ที่มาวันนี้ทำให้เรารู้สึกอิ่มใจยังไงบอกไม่ถูก การที่ได้รับความจริงใจมา และได้มีโอกาสส่งความจริงใจคืนไป จนเค้ารับรู้ได้ เกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน ที่แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ ระหว่างคนที่มาจากคนละชาติคนละภาษา ที่ไม่เคยคุยกันยาวเกินสองประโยคเลย (คนร้านนี้คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่า เพราะมักไปกินคนเดียวไม่ได้พูดอะไร ) จริงๆแล้วเค้าอาจไม่ได้คิดอะไรอย่างนี้ก็ได้นะ แต่เอาน่ะ เรารู้สึกดีๆ ก็โอเคแล้วล่ะ
Create Date : 17 มกราคม 2552
Last Update : 17 มกราคม 2552 15:11:46 น.
Counter : 1069 Pageviews.
ตกกะใจหมด นึกว่าโดนผีหลอกกลางถนนกรุงโตเกียวซะแล้วสิเนี่ย
เรื่องเพิ่งเกิดหมาดๆเลยยังไม่ถึง 15 นาทีดี(ตอนก่อนเริ่มเขียน) ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจไม่ถึงนาทีนั้นที่ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม นึกว่าจะได้ใส่หลวงพ่อโกย โกยอ้าววิ่งกลับไปนอนค้างมหาลัยซะแล้วคืนนี้ จขบ เป็นคนกลัวผีเอามากๆ จริงๆไม่ใช่แค่ผี แต่กลัวไม่หมดทุกอย่างเลยมากกว่า แมลงก็กลัว สัตว์ประหลาดก็กลัว เลือดก็กลัว อะไรที่ขยับได้กลัวไปหมดแม้กระทั่งหมาและแมว (ดูอยู่ห่างๆน่ะได้ แต่เมื่อไหร่มันวิ่งเข้าใส่ เราวิ่งหนีทันที นึกดูแล้วก็ท่าจะบ้าเนอะ มันไม่เคยมาทำอะไรสักหน่อยทำไมถึงไปกลัวก็ไม่รู้) พวกหนังแนวเลือดสาด ควักตับไตไส้พุง หรือหนังสยองขวัญเขย่าประสาทแนว shutter หรือ คนเห็นผี อะไรทำนองนี้ไม่เคยคิดจะดู ขนาดแค่เห็นผ่านๆแว็บๆ อ่านที่คนเขียนย่อๆยังเก็บไปจิตหลอนซะหลายวัน โดยเฉพาะเวลาเข้าห้องน้ำจะประสาทมากเป็นพิเศษ กลัวว่าลืมตามาแล้วจะเห็นหน้าอื่นที่ไม่ใช่หน้าเราในกระจก หรือนั่งส้วมก็กลัวจะมีอะไรโผล่ขึ้นมา สมัยเด็กๆยิ่งเป็นมากกว่านี้อีก ดูเฟรดดี้(ใครทันรู้จักมั่งเนี่ย)เสร็จ คืนนั้นนอนไม่หลับต้องไปนอนเบียดกันกับน้อง กลัวหลับไปตื่นมาจะเลือดสาดเหมือนในหนัง (เรากลัวเลือดมากกกก เห็นเลือดทีมือไม้อ่อนจนถึงขั้นจับปากกาเขียนหนังสือไม่ได้ ต้องพักไปสักหลายนาทีเลย เพราะเหตุนี้ล่ะถึงไม่เคยคิดจะเรียนแพทย์) ดูเกรมลินจบก็นอนระแวงไปทั้งคืนกลัวจะมีตัวเกรมลินโผล่มาจากใต้เตียง ซอกตู้ สรุปตาค้างอีกแล้ว (ตอนนี้มาดูแล้ว ออกจะน่ารัก ไม่เห็นน่ากลัวเลย) สมัยอยู่ไทยถึงกลัวก็ยังดีว่าอยู่ที่บ้านมีคนที่บ้านอีกตั้งเยอะแยะ อุ่นใจหน่อย แต่ตอนนี้มาอยู่ญี่ปุ่นคนเดียว แถมในละแวกที่อยู่ไม่มีเพื่อนคนไหนอยู่ใกล้ๆเลย งานนี้ก็ต้องระวังรักษาตัวกันสุดฤทธิ์ อะไรที่เสี่ยงจะทำให้ประสาทหลอนขึ้นมาพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ดู ไม่อ่าน ไม่ข้องเกี่ยว ทุกอย่าง (แต่ตอนกระทู้เล่าเรื่องผีห้อง @Japan แอบอ่านไปหน่อยกลัวเหมือนกันนะนี่ แต่คิดซะว่าเค้าคงไม่มาหาเราหรอก เพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง 55) เคยมีเพื่อนจะเอา shutter มาให้ดูก็ไม่เอาคืนกลับไปเลย (ขนาดผู้ชายทั้งแท่งตั้งหลายคนดูกัน คืนนั้นยังนอนกันไม่หลับเลย แล้วจะเอามาให้เราดู ใช้อะไรคิดเนี่ย เราอยู่คนเดียวนะจ๊ะ ประสาทกลับขึ้นมาใครจะมาช่วย -"- ) จะเข้าเรื่องแล้ว(วกไปซะไกล) เราเป็นพวกนอนดึก(เกือบเช้า)ตื่นสาย(ไม่เที่ยงไม่ตื่น) ก็เป็นนักเรียนวิจัยจะทำวิจัยกี่โมงก็ได้ขอให้มีงานส่งเป็นใช้ได้ ด้วยพฤติกรรมการตื่นนอนแบบนี้ก็เป็นที่รู้กันโดยปริยายว่า กว่าเราจะตื่น และแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จ ไม่บ่ายสามบ่ายสี่โมงเย็นไม่เคยโผล่ไปแล็บ (ยกเว้นมีคลาสหรือมีตติ้ง) แน่นอนว่าไปสายโด่งขนาดนี้จะกลับเร็วได้ไงโดนอาจารย์เหล่เอาพอดีว่ายายนี่งานการไม่ทำ ดังนั้นเราก็เลยรั้งตำแหน่งคนที่อยู่แล็บดึกที่สุดมาตลอดระยะเวลาสองปีกว่า แทบไม่เคยมีใครได้เห็นว่าเรากลับบ้านกี่โมง เหตุผลนึงก็เพราะบ้านใกล้จะเดินกลับเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องง้อรถไฟนั่นเอง คนที่แล็บ(ชายเกือบล้วน)ก็เคยถามบ่อยๆว่าเดินกลับดึกๆคนเดียวแถมผู้หญิงอีกไม่กลัวเหรอ(ไม่นับตอนที่อยู่ทำงานจนยันฟ้าสว่าง) เราก็ตอบไปสิว่ากลัวอะไรล่ะ เดินมาสองปีแล้ว ที่ญี่ปุ่นปลอดภัยจะตาย แถมนี่ยิ่งในรั้วมหาลัยเลย อีกอย่างคนจะซวยจะกลับตอนคนเยอะหรือน้อยก็ซวยอยู่ดี คนน้อยก็กลัวเจอลอบทำร้าย จี้ ปล้น บลาๆๆ คนเยอะก็กลัวจะเจอโรคจิตแบบที่ออกข่าวทีวีระยะหลังๆอีก(เช่น ข่าวที่อากิบะ) พูดไปเรื่อยแต่จริงๆก็คือเปลี่ยนเวลานอนให้เหมือนคนปกติไม่ได้สักทีต่างหาก (อ้อ แต่อยู่ไทยไม่เคยทำอย่างนี้นะคะ ฟ้ามืดมาไม่ออกไปไหนแล้วค่ะ ยังเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเองอยู่) ก็อยู่อย่างนี้ทำอย่างนี้มาสองปีกว่าแล้วไม่เคยมีปัญหาอะไร ไม่นับตอนโดนขโมยงัดห้องที่เล่นเอาหลอนนอนไม่หลับไปเป็นอาทิตย์ๆ(ก็ไม่มีที่อื่นให้ซุกหัวนอนแล้ว ก็ต้องนอนมันห้องที่เพิ่งโดนงัดมาหมาดๆนี่ล่ะ) วันนี้เดินกลับจากแล็บมาเที่ยงคืนครึ่งกว่าๆอยู่ตรงถนนใหญ่แล้วยิ่งไม่น่ากลัว เดินฮัมเพลงประกอบ "สวรรค์เบี่ยง" ไปพลางๆ มืดแล้วไม่มีคน ร้องยังไงก็ไม่มีใครได้ยิน 555 เดินๆอยู่สายตาก็ไปเจอะวัตถุรูปร่างประหลาดตรงริมถนน เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆสีดำสนิท รูปร่างยึกยือๆประหลาดๆบอกไม่ถูกว่ามันเป็นทรงอะไร ซึ่งริมถนนเนี่ยนอกจากรั้วกับตู้ไปรษณีย์แล้ว มันไม่น่าจะมีอะไรอย่างอื่นอีกนะ ระหว่างที่ชะลอฝีเท้าลง สมองส่วนประมวลผลและส่วนจินตนาการก็เริ่มทำงานพร้อมกัน และส่งความคิด(ที่ค่อนข้างงี่เง่า)ออกมาตามลำดับ ดังนี้ - เฮ้ย สัตว์ประหลาด (เอิ่ม มีเหตุผลมากๆเลย สัตว์ประหลาดกลางถนนโตเกียว) - เอ๊ะ ไม่สิสัตว์ประหลาดอะไรจะมาอยู่ตรงนี้(นั่น เริ่มฉลาดขึ้นแล้ว) รูปร่างดำๆตันๆแบบนี้น่าจะเป็นมอเตอร์ไซต์ใครมาจอดทั้งไว้ข้างถนนมากกว่า (อ่ะแหม อันนี้ค่อยดูสมเป็นเด็กวิศวะหน่อย) สงสัยคลุมผ้าดำไว้แน่ๆเลย - (เริ่มใช้สายตาที่อุตส่าห์ทำเลซิคมาเพิ่มขึ้น เพื่อหาข้อมูลสนับสนุนข้อสันนิษฐานมอเตอร์ไซต์หน่อย) แต่ เอ รูปร่างมันดูยังไงก็ไม่เหมือนมอเตอร์ไซต์เลยน้า รูปร่างแปล๊กแปลก ตันๆแต่เตี้ยๆยังไงพิกลล้อก็ไม่เห็นมี อ้อ สงสัยเป็นรั้วถนนแน่เลย วันนี้คงมีรถวิ่งชนตรงนี้แหงๆรั้วเลยยับเยินรูปร่างพิลึกเชียว (อันนี้ก็ยังพอใช้ได้ เพราะตลอดแนวถนน นอกจากรั้วแล้วมันไม่ควรมีอย่างอื่นเลย) - เขม้นมองต่อว่ามันชนอีท่าไหนนี่ ถึงบิดได้พิลึกขนาดนี้ แต่ เฮ้ย ทำไมเห็นเหมือนมือคนพาดอยู่ด้วยล่ะ - (สมองส่วนเหตุผลเริ่มฝ่อ ประสาทเริ่มกินช่วยเร่งให้สมองส่วนจินตนาการทำงานเต็มสูบ แถมยังรวมเอาสมมติฐานด้านบนมาปู้ยี่ปู้ยำผสมได้ใน บัดดล) หรือว่า หรือว่า มีรถมอเตอร์ไซต์วิ่งมาเกิดอุบัติเหตุที่รั้วตรงนี้ มีคนช่วยเอาผ้ามาคลุมสถานที่เกิดเหตุให้ แล้วมือที่เห็นน่ะคือมือที่โผล่ออกมาของผู้ประสบเหตุ ถ้างั้น ถ้างั้น เดินผ่านไปตรงนั้นจะมี เลือดหรือเปล่า จะมีคนเอาดอกไม้มาวางเคารพหรือเซ่นสถานที่เกิดเหตุมั๊ย ....... คิดถึงตรงนี้ก็ไม่ไหวแล้วค่า จินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว หยุดเดินทันทีรู้สึกอะไรๆในท้องมันโหวงเหวงไปหมด เอาไงดีจะกลั้นใจวิ่งผ่านไปเลยดีมั๊ย(ทางผ่านเกือบถึงบ้านแล้ว) เอ หรือจะย้อนกลับไปทางเดิมแล้วข้ามถนนไปเดินฝั่งตรงข้ามดี เอ หรือจะกลับไปแล็บซะเลยดีเนี่ย เราเป็นพวกที่เวลาประสาทกินจะทำอะไรไม่ถูกค่ะ สัญชาติญาณการเอาตัวรอดไม่ค่อยมี กลัวแทนที่จะหนีก็ดันยืนรากงอกอยู่ตรงนั้น เวลาตกใจนึกว่าขโมยมาแทนที่จะรีบโทรตำรวจหรือส่งเสียงบอกใครๆ กลับวิ่งไปมุดใต้โต๊ะนั่งตัวสั่น -"- ตัวเองยังเซ็งตัวเองเลยอาการแบบนี้ เพราะงี้ล่ะเลยได้ยืนมองวัตถุต้องสงสัยต่อไปสักหลายวินาที พอมีเวลาให้บัวได้โผล่พ้นน้ำกะเค้า เอ๊ะ มือยังขยับได้ด้วย แสดงว่าไม่ใช่คนเสียชีวิตแล้วสิ ใจชื้นขึ้นนิดนึงจ้องต่อว่าตกลงมันอะไร คราวนี้เต็มๆตาแล้วค่ะไอ้วัตถุลึกลับนั่นจริงๆมันคือ ผู้ชายและผู้หญิงสองคน นั่งยองๆอยู่ริมถนนนั่นเอง ก่อนจะหาว่าเราตาถั่วลองอ่านด้านล่างก่อนว่าทำไมเราถึงจินตนาการไปขนาดนั้นได้กะอีแค่คนนั่งอยู่ริมถนน - ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว คนญี่ปุ่นหน้าหนาวเน้นแต่งโทนดำ ยิ่งคนทำงานแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดำสนิทค่ะ และสองคนที่ว่านี้ก็แต่งตัวดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมใส่เสื้อโค้ทด้วยมันก็เลยเห็น body outline ไม่ชัดเหมือนพวกเสื้อหน้าร้อน - ผู้หญิงสงสัยจะเมา เลยมาอ้วกอยู่ข้างถนนตรงท่อน้ำทิ้ง คนจะอ้วกยืนสงสัยกลัวจะเลอะเทอะก็เลยนั่งยองๆลงอ้วกก้มหน้าหาพื้น ผู้ชายก็นั่งลงติดกัน(ติดแบบแนบสนิทเลยล่ะ)ประคองผู้หญิงที่อ้วกเอาอ้วกเอาไว้ มือข้างนึงพาดไหล่ผู้หญิงอยู่ (แถมนั่งไม่เงยหน้าอีกต่างหาก) - ตรงจุดนั้นเป็นช่วงตรงกลางเสาไฟฟ้าสองต้นพอดี เลยค่อนข้างมืด - เราใส่หูฟัง ก็ได้ยินแต่เสียงเพลงล่ะค่ะ เสียงอย่างอื่นก็โดนเสียงรถบนถนนกลบหมดแล้ว สรุปจากสี่ข้อนี้ สิ่งที่เราเห็นจากระยะไกลก็คือ อะไรสักอย่างรูปร่างตันๆ ดำสนิท(ก็เล่นแต่งดำ แถมก้มเห็นแต่หัวดำๆให้ทางเราอีก) มีส่วนโค้งแปลกๆ(ก็คือ outline ของทั้งสองคนที่นั่งซะติดกันสนิทนั่นล่ะค่ะ) เห็นแต่มือโผล่มาจากปลายแขนเสื้อหนึ่งข้าง(ก็มือของผู้ชายข้างที่โอบไหล่ผู้หญิงอยู่นั่นเอง) หมอบอยู่ริมถนน ก็เลยเป็นที่มาของอาการใจหายใจคว่ำไปหลายนาทีนี้นี่เอง เฮ้อ เดินเลยผ่านมาก็ยังแอบหันไปดูอีกหน่อย ใจก็นึกแปลกใจว่าเราคิดไปได้ยังไงเนี่ย จินตนาการล้ำเลิศจริงจริ๊ง แต่ล้ำเลิศในด้านไม่สร้างสรรอะไรดีๆ แต่จะพาตัวเองเดือดร้อนประสาทกินเอาแทน อยู่ญี่ปุ่นมาสองปีกว่านี่เป็นประสบการณ์เฉียด...ครั้งแรกของเรา ถ้าไงก็อย่าได้มีอีกเลยนะประสบการณ์บางเรื่องน่ะถึงไม่มีก็ไม่ทำให้เรามีเรื่องพูดคุยในวงสนทนาน้อยลงหรอก ปล. แวะมาเพิ่มรูปหน่อย แถวๆนี้ล่ะที่เกิดเหตุวันก่อน (รูปนี้ถ่ายมาทีหลัง แต่เวลาประมาณๆเดียวกัน) แต่ที่ไหนไม่บอก :P
Create Date : 18 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2551 21:25:49 น.
Counter : 888 Pageviews.
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [? ]
บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ