W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 
October 2008 @France: 1st day: Bordeaux sightseeing

กว่าจะได้เริ่มเรื่องท่องเที่ยวจริงๆ ก็ปาไปบล็อคที่สามแล้ว เชื่อหรือยังคะว่าเราเป็นพวกเพ้อเจ้อชอบเขียนอะไรยาวๆจริงๆอย่างที่เคยเกริ่นไว้ ^^

เรามีเวลาอยู่ที่เืมือง Bordeaux นี้ประมาณสามคืนสามวันกว่าๆนะคะ แต่ได้เดินเที่ยวจริงอยู่สองวัน(วันนึงโดด conference ออกมาเพราะหัวข้อวันนั้นไม่ค่อยเกี่ยวกับงานเราเท่าไหร่) ที่เหลือวันนึงเข้าพรีเซนต์ที่งานอยู่ที่ conference ทั้งวัน และอีกวันรีบไปสนามบินเพื่อเดินทางเข้าปารีสค่ะ

จริงๆเมืองนี้ highlight อยู่ที่การไปชิมไวน์ค่ะ(เพราะเค้าดังทางด้านนี้) ในโปรแกรมของทาง conference ก็มีพาไปทัวร์ชิมไวน์และกิน dinner ร้านเก่าแก่ของเมืองด้วย(Chateau Giscours) แต่อย่างที่บอกเราไม่ดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ แถมทัวร์ที่ว่าไปทีหกชั่วโมงกลับเที่ยงคืนโน่น เราเลยไม่้ไปค่ะ (เสียดายอยู่เหมือนกันค่ะ ว่าอดกินอาหารฝรั่งเศสแบบ full course เลยฟรีอีกต่างหากเพราะรวมอยู่ในค่าลงทะเบียน conference แล้ว)

จากตรงนี้จะค่อยๆเล่าทีละวัน ต่อจากตอนก่อน หลังจากเช็คอินโรงแรมเก็บของที่ห้องเรียบร้อยแล้วนะคะ

-------------------------------------------------------------------------------------------


**** 1st day in France and 1st day in Bordeaux


ถึงตอนนี้ก็เก็บของเรียบร้อยมีเวลาทั้งวันให้เที่ยวได้ค่ะ แต่ก่อนอื่นจะออกไปเที่ยวไปถ่ายรูปก็ขอแปลงโฉมซะก่อน เพราะนั่งเครื่องกว่าจะมาถึงนี่สภาพ so before มากๆค่ะถ่ายรูปออกมานี่คงไม่แม้แต่คิดจะกลับไปดูอีก เริ่มด้วยอาบน้ำซะหน่อย ทาครีม แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางที่คัดเลือกมาแล้วว่างานไหนงานนั้นไม่เคยพลาด(เผอิญไม่ได้เกิดมาโชคดีพอที่จะตื่นปุ๊บสวยปั๊บเลยน่ะค่ะ) รวบผมขึ้นซะหน่อยเพื่อประหยัดเวลาการสระไดร์ สุดท้ายก็เปลี่ยนชุด ใส่โค้ตกันหนาว ถุงน่องดำ และบู๊ตยาวส้นสูงสีดำคู่เก่ง(ยอมหอบหิ้วบู๊ตยาวมา กะว่ากันหนาวได้และถ่ายรูปออกมาจะได้สวยๆ แต่ก็แลกกับพื้นที่ในกระเป๋าและการต้องเดินตะลอนๆบนส้นสูงไปแทน)


--- Make-up is Magic (ส่วนนี้สำหรับคนรักสวยรักงามนะคะ) ---

เวลามาเที่ยว เราก็จะเน้นถ่ายรูปใช่ไหมคะ แล้วใครล่ะจะอยากให้รูปที่ระลึกออกมาดูไม่ดี(ยกเว้นถ้าไปทะเล เล่นน้ำ อาจแต่งหน้าไม่ได้) เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นโดยเฉพาะมาเที่ยวนี้ค่าตั๋วแพงใช่ย่อย(แม้จะไม่ได้จ่ายเองก็ตาม) ให้มาเองคงไม่มาดังนั้นรูปที่ระลึกนี่สำคัญมากๆอยากให้ออกมาสวยที่สุด(เท่าที่หน้าตาจะอำนวย) แต่มาเที่ยวจะให้แบกเครื่องสำอางและ accessory มาเผื่อพร้อมรองรับได้ทุกสถานการณ์น้ำหนักจะไม่พอเอา(แถมตอนตุเลงๆแบกขึ้นรถไฟที่ปารีส สภาพคงดูไม่จืดแน่ๆ) ก็เลยเลือกๆมาเฉพาะที่(เราเห็นว่า)จำเป็น adaptใช้ได้สะดวก และมั่นใจแล้วว่ามันดีมาล่ะค่ะ(พวกที่อยู่ระหว่างการทดลอง ขอไม่เสี่ยงเอามาทดลองเวลาไปเที่ยวค่ะ เพราะพลาดทีนี่ฟ้องอยู่ในรูปไปตลอดแก้ตัวไม่ได้แล้ว)

สำหรับเรานั้นจะเน้นอันดับหนึ่งเลยว่าหน้าต้องเนียน ไม่ดูมัน ไม่ดูโทรม (อย่างน้อยก็ให้โทรมน้อยที่สุด) ที่เราใช้มาตลอดเวลาเดินทาง(และได้รูปสวยๆกลับไป) คือ smashbox เบสม่วง -> cle de peau Liquid foundation(เราผิวแห้งค่ะ) -> concealer ปิดแพนด้า(เผอิญว่าเราเป็นญาติกับแพนด้าอย่างเหนียวแน่นน่ะค่ะ) -> แป้งฝุ่น la mer (อันนี้เผอิญขอแบ่งน้องมาเป็นกระปุกเล็กๆเลยพกเดินทางง่ายกว่าอันอื่น) ส่วนพวก shading, highlight, finishing powder เราคิดว่าไม่จำเป็นมากถึงกับต้องแบกข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วย (แต่ถ้ามีที่เหลือก็ขอ highlight ติดมาอันเพราะเราขาดแคลนดั้งพอควร) ในสี่ตัวข้างบนที่พูดถึงนี้ key สำคัญเลยของเรา คือ รองพื้นค่ะ แต่หมายถึงเฉพาะยี่ห้อนี้นะคะเพราะมันถูกกับหน้าและผิวเราช่วย boost ให้หน้าปกติดูเด้งขึ้น และทำให้หน้าที่โทรมดูดีขึ้นได้ค่ะ (ยิ่งถ้าวันไหนหน้าดีอยู่แล้วใช้อันนี้ีอีกนี่ ส่องกระจกทีเคลิ้มไปเลยค่ะ 555) ใครเล่นห้องแป้งอาจคุ้นๆว่าเห็นเราเชียร์รองพื้นยี่ห้อนี้บ่อยๆแต่ก็ไม่ได้เป็นม้านะคะ ดีกับเราไม่ดีกับคนอื่นเยอะแยะไปค่ะ


สำหรับ point make-up เราเอาแค่กรีดอายไลเนอร์สีธรรมชาติ(ดำหรือน้ำตาลเข้ม)ปกติ เลือกเอาอันที่เราคิดว่าติดหนึบ ติดทนที่สุดมาเลยกะว่าเขียนทีเดียวไม่ต้องมาเติมกันอีก สำหรับเราคือ in2it หรือไม่ก็ l'oreal (สีดำรุ่นจิ้มจุ่มทั้งคู่) พกอายไลเนอร์แบบดินสอ shu uemura drawing pencil สีน้ำตาลเข้มอีกแท่งไว้ถมอินเนอร์และเขียนขอบตาล่างนิดหน่อย ไม่เล่นสีอะไรที่ตามากค่ะเสียเวลาแต่ขอลง eyelid base ของ LM หน่อยนึง(จำเป็นสำหรับเราคนเดียวนะคะ เพราะเราหนังตามั้นมันค่ะอะไรก็เอาไม่อยู่มีตัวนี้อันเดียวที่ลองมาแล้วพอช่วยได้) อย่างมากสุดถ้าจะเอา eyeshadow มาก็สีครีมลงเป็นเบสที่เปลือกตา และสีดำคัดเบ้าตาสักหน่อย ดัดขนตา ปัดมาสคาร่า(เอาที่ปัดทีเดียวอยู่ทั้งวัน หลังๆเราจะใช้มาจอลิก้าน่ะค่ะ) เขียนคิ้วที่แหว่งๆ(ถ้าคิ้วไม่แหว่งไม่โกร๋นก็ไม่เขียนล่ะค่ะงานนี้) จริงๆปกติเราจะปัดมาสคาร่าย้อมสีคิ้วด้วยแต่หนนี้ดันลืมเอามาค่ะก็คิ้วดำๆไป


บลัชออนเอามาอันเดียวค่ะแต่กะให้ใช้ได้ทุกงาน เราเอาบลัชแข็งแบบตลับของ Jill stuart ที่มีแบ่งสี่สีมา วันพรีเซนต์ทางการก็วนๆแค่ตรงสีอ่อนๆ วันเที่ยวก็วนทุกสีให้แก้มชมพูๆ แต่จริงๆบลัชออนเราว่าไม่ปัดก็ไม่ต่างกันมาก เพราะเวลาถ่ายรูปมาจะเห็นสีแก้มชัดก็ต้องปัดเข้มๆเท่านั้นล่ะค่ะ ปัดอ่อนๆปกติจะเห็นด้วยตาแต่ไม่เห็นด้วยเลนส์เท่าไหร่ยิ่งกลางแสงธรรมชาติด้วยแล้ว เราเน้นให้ปากดูมีสีหน่อยและไม่แห้งมากกว่า ก็พกลิปมันซิลิโคนหนึ่งหลอดและลิปสติกสีธรรมดาๆอีกแท่ง (เราเป็นคนไม่นิยมการแต่งปากซีดๆค่ะ) แต่ถ้าใครถนัดพวก tint หรือตระกูล multiple ก็อันเดียวได้ทั้งแก้มทั้งปากเลย สะดวกดีค่ะ แต่เผอิญเราไม่มีสักอันเลย ตบท้ายขอพกกระดาษซับมันกับแป้งผสมรองพื้น(ของแซมเปิ้ลได้มาฟรี)ไว้เติมแบบเร่งด่วนระหว่างวัน(ประมาณว่าซับๆตบๆเสร็จ ขอเหลือบกระจกแค่สามวิก็พอค่ะ เสร็จแล้ว)


อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้คือผมค่ะ ไปเที่ยวยาวๆโอกาสจะแวะห้องน้ำรวบผม หวีผม รัดผมใหม่ก็น้อยใช่ไหมคะ แถมวันไหนฝนตกลมพัดหัวกระเจิดกระเจิงอีก เราเตรียมการโดยการไปยืดผมหน้าที่ร้านค่ะเท่านี้ผมด้านนี้ก็หายห่วงไปได้(ยืดมาสักพักแล้วนะคะไม่ใช่จะมานี่เลยเพิ่งยืด) ส่วนผมด้านหลังที่เหลือทั้งหมดก็ใช้คลิปสองตัวนี้ในรูปจัดการค่ะ

หน้าตาก็ดูเป็นคลิปธรรมดาใช่ไหมคะ แต่ขอบอกว่ามันไม่ธรรมดานะ เราซื้อมาด้วยความบังเอิญจากห้างโตคิวที่ชิบุยะ เห็นเค้ากำลังสาธิตการทำผมอยู่ เจ้าคลิปอันนี้นี่พลังยึดสุดยอดค่ะตัวเดียวสามารถม้วนเก็บผมเราได้อยู่ทั้งหัวเลยค่ะ แต่ใช้สองตัวจะเซฟกว่าและเล่นได้หลายทรงด้วยค่ะ ทรงสิ้นคิดของเราวันไหนขี้เกียจสระผมหรือหัวยุ่งหรืออากาศร้อนมากๆ คือ รวบผมทั้งหมดเหลือผมกรอบหน้านิดหน่อย บิดผมเป็นเกลียวให้แน่น ดึงให้เป๋มาด้านซ้ายแล้วหนีบคลิปสองตัวนี้เข้าที่ตรงมวยค่ะ หนีบแบบไม่ต้องใช้ฝีมือกันเลยก็อยู่ค่ะ แค่นี้ก็ไม่เห็นหัวยุ่งๆ ไม่มีผมมาระคอให้เกะกะ แถมผมเป๋ข้างนี่ทำให้ดูหน้าหวานๆขึ้นอีกด้วยนะคะ มาคราวนี้เอาแบบเซฟเลยเอาคู่สีน้ำตาลมาไม่เอาแบบสีสันหรือพวกมีตุ้งติ้งห้อยค่ะ


--- Continue travelling ---

ว่าจะไม่นอกเรื่องแล้วก็นอกไปจนได้ค่ะ อดไม่ได้ประสาคนอ่านห้องโต๊ะเครื่องแป้งเกือบทุกวันมาสามปีกว่าแล้ว(ตั้งแต่ยังเป็นห้องย่อยในสวนลุม) เอาเป็นว่าแต่งตัวพร้อมแล้วก็ออกไปข้างนอกเลยค่ะ ก่อนออกก็ขอแผนที่จาก reception และถามเรื่องย่านร้านอาหารต่างๆมาให้เรียบร้อย(หิวข้าวแล้วค่ะ) ใกล้เที่ยงแล้วมีแดดเลยไม่หนาวเท่าตอนเช้า ท้องฟ้างี้สีฟ้าใสปิ๊งเชียวค่ะ(ตลอดทริปนี้ มีวันนี้วันเดียวล่ะค่ะที่ได้เจอแดดที่เหลือครึ้มฟ้าครึ้มฝนเกือบตลอดเลย T_T)

ด้วยเหตุว่าไม่ใช่เมืองหลวงอะไรๆก็ดูกว้างขวางโล่งตา ไม่ค่อยมีตึกอัดกันแน่นเท่าไหร่ เดินไปบล็อคนึงก็เจอต้นไม้หรือสวนย่อมๆทีนึงค่ะ ร่มรื่นมากๆ ตึกต่างๆก็เน้นแนวอนุรักษ์นิยมได้อารมณ์ยุโรปเก่าๆมากค่ะ เดินๆไปก็ต้องคอยข้ามรางรถไฟบ่อยๆไม่มีที่กั้นไม่มีไฟเขียวไฟแดงนะคะ มองซ้ายมองขวากันเองว่าไม่มีรถ รถไฟ(รถราง?)ที่ว่านี้น่ะรูปร่างเป็นรถหัวจรวด(รึเปล่า?)ดูใหม่เอี่ยมอ่อง วิ่งเอื่อยๆสะท้อนแสงแดดวิบๆสวนผ่านไปมาเป็นระยะๆค่ะ (อารมณ์วิ่งช้าหน่อยค่อยๆอวดโฉมไปเรื่อยๆเหมือนเป็นของประดับเมืองเคลื่อนที่ได้เลยค่ะ เราว่าดูเหมาะกว่าไว้ให้คนนั่งชมเมืองมากกว่าเน้นไว้เพื่อการเดินทางอีกนะคะ)


ตอนเรานั่งรถเข้าโรงแรมคนยังน้อยอยู่เลยแต่ออกมาอีกทีตรงที่เป็นทางเดินเลียบแม่น้ำนี่คนเพียบเลยค่ะ ยิ่งเดินคนยิ่งเยอะขึ้นเยอะขึ้น ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งครอบครัวเพื่อนฝูงมากันเต็มไปหมดเลย แรกสุดตั้งใจหาร้านอาหารก่อนค่ะ แต่กว่าจะถึงย่านที่ทางโรงแรมแนะนำ(จริงๆก็ไม่ไกลค่ะ แป๊บเดียวก็เดินถึง)มาก็แวะเถลไถลถ่ายรูปไปหลายที่เหมือนกัน ถนนที่นี่ทุกๆครั้งที่มีทางแยกจะมีป้ายปักบอกชื่อถนนหรือไม่ก็เป็นแผ่นป้ายเหล็กแปะไว้ที่มุมตึกตลอดว่าด้านไหนคือถนนชื่ออะไร ขนาดจอมหลงอย่างเรายังเดินได้ไม่หลงเลยค่ะ(ตราบใดที่ยังไม่ทำแผนที่หาย)

เดินๆไปก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าวันอาทิตย์ทั้งทีทำไมร้าน(อาหาร)หลายๆร้านขึ้นป้ายว่าปิดแฮะ เจอคล้ายๆที่จัดงานสวนสนุก(คล้ายพวกงานวัดที่ไทยมั้งคะ มีร้านเล่นเกมส์เยอะแยะ)ก็ปิดเงียบเครื่องไม่เดินไม่มีคน ทั้งที่วันอาทิตย์มันน่าจะเป็นวันที่คนมากินมาเล่นมากที่สุดนี่นา ร้านอาหารที่เปิดๆส่วนใหญ่เห็นเป็น cafe แนวๆแซนด์วิช สลัด แถมเมนูฝรั่งเศสเป็นพรืด อ่านไม่ออก รูปก็ไม่มี แล้วแต่ละร้านคนเยอะทั้งนั้นตอนเที่ยงๆแบบนี้ เรายังไม่อยากไปแบ๊ะๆใบ้ๆตอนร้านเค้ายุ่งๆคนเยอะๆก็เลยได้แต่ผ่านไปก่อนยังไม่กิน พยามยามมองหาพวกร้าน fastfood แนวๆ McDonald KFC อะไรทำนองนี้เหมือนกันนะคะ เพราะสั่งง่ายจิ้มเบอร์เอาก็เสร็จ แล้วอาหารก็พอรู้ๆอยู่แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่เดินยังไงก็ยังหาไม่เจอสักร้านเลยค่ะ


ทางผ่านผ่าน Tourism information centerพอดีก็มองหาไว้เลยว่าตรงไหนที่เราต้องขึ้นรถ jet bus กลับสนามบิน แต่หาไม่เจอค่ะ เจอแต่สถานีทีขึ้นรถไฟหัวจรวดวิ่งสวยไปสวยมานั่นอย่างเดียว เลยต้องเข้าไปถามข้างในเค้าก็จิ้มแผนที่มาให้ ก็ออกมาเดินเข้าถนนที่เค้าบอกด้านหน้ามีรถไฟขบวนเล็กๆสีแดงๆอยู่น่าจะมีไว้ให้นักท่องเที่ยว(แต่ก็จอดเงียบอีกแล้ว เอ๊ะ ยังไงกันนักท่องเที่ยวออกจะเดินกันขวักไขว่ กลับไม่เปิดให้บริการซะงั้น) เดินๆไปถ่ายรูปไปจนสุดทะลุถนนอีกด้านแล้วก็หาไม่เจออยู่ดี ไหนแฮะป้ายรถบัส ต้องเดินย้อนกลับมา นี่ถ้าไม่บังเอิญเห็นคาตาว่ารถ jet bus มาจอดตรงนั้นพอดีไม่มีทางหาป้ายเจอแน่ค่ะ ดูสิคะป้ายแค่นี้(ที่วงไว้สีแดง)ต้องไปส่องกันใกล้ๆถึงจะเห็นเขียนว่า airport อยู่เกือบต้นถนนเลยตรงข้ามขบวนรถสีแดงนั่นเอง เดินผ่านมาสองสามรอบแล้วแต่นึกว่าป้ายห้ามจอดรถธรรมดาซะอีก


ยังไงก็แล้วแต่หาป้ายรถบัสเจอ แถมเห็นรถมาจอดกับตาแล้วก็วางใจได้ว่าขากลับสนามบินไม่มีปัญหาแล้วทีนี้ จากจุดตรงข้ามกับ tourism information center ตะกี้ (ตรงปากซอยที่มีรถไฟสีแดงๆนั่นล่ะค่ะ) ถ้ามองไปทางขวาผ่านลานหินก็จะเห็นลานกว้างมากค่ะ ที่ตรงข้ามโรงแรม The Regent พอดีเป๊ะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่เรา(บังเอิญ)เดินมาเจอค่ะ ได้ลงในโบชัวร์เป็นหนึ่งในสิบสถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำของเมืองนี้ค่ะ Grand Theatre นั่นเอง


ตึกใหญ่เป็นสง่าเด่นอยู่หน้าลานกว้างเลยล่ะค่ะ เสาด้านหน้าทรงกรีก(หรือโรมันคะ?)ต้นใหญ่สูงปรี๊ดแต่ละต้นมีรูปปั้นท่าทางต่างๆกันอยู่ตรงกันที่ตรงด้านบน มองไปตึกขาวๆตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าๆก็สวยดีค่ะ ด้านในเหมือนว่าจะเข้าชมได้แต่อย่างว่าเราเป็นพวกชะโงกทัวร์ค่ะดูแต่ด้านนอกก็พอแล้ว ที่ด้านหน้านอกจากเป็นลานกว้างๆอย่างที่เห็นก็มีรางรถไฟ(เจ้ารถรางวิ่งเอื่อยๆนั่นล่ะค่ะ)ผ่าน ไปจอดป้ายอยู่ตรงช่วงหักศอกหน้าโรงละครนี่ล่ะค่ะถ้าไม่อยากเดินก็นั่งรถรางนี่ได้ เราคิดว่ามันคงวนรอบเมืองครบทุกสถานที่ดังๆค่ะ ถ้าซื้อบัตรวันหรือบัตรเหมาสามวันก็ขึ้นลงรถรางรสบัสได้ไม่จำกัดค่ะ (ไม่รวมรถบัสไปสนามบินนะคะ) แต่ความเห็นส่วนตัวเราว่าเดินเอาก็ได้ค่ะแต่ละที่ไม่ได้เดินไกลกันมากเท่าไหร่ เดินถึงกันได้เกือบหมดเลย ในโบชัวร์ของเค้าเองยังเขียนเลยว่าเที่ยว Bordeaux ใน 60 นาที (ประมาณว่านั่งรถไฟแดงๆที่ใช้ท่องเที่ยวเมืองของเค้า วนไปประมาณชั่วโมงนึงก็ผ่านเกือบครบทุกสถานที่แนะนำแล้วน่ะค่ะ)


ถ่ายรูปไปนิดหน่อยก็เดินต่อค่ะหิวแล้ว(Grand theatre นี่เดี๋ยวจะเดินผ่านอีกหลายหนค่ะ) ยังหาอะไรกินไม่ได้เลย ร้านไหนๆก็แน่นไปซะหมด เดินเลี้ยวซ้ายที่ Grand Theatre กลับถนนใหญ่เลียบริมแม่น้ำอีกที เดินไปยังไม่ทันเท่าไหร่เลยเจอจุดที่คาดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังอีกแล้ว(เบอร์4)


คนเยอะแยะถ่ายรูปกันใหญ่ทั้งจากถนนฝั่งเดียวกันและถ่ายจากถนนฝั่งตรงข้าม ได้ไงล่ะเราก็ต้องเอามั่งค่ะ จุดนี้เรียกว่า Place de la Bourse ค่ะเป็นลานหินมีตึกทรงยุโรป(ดูเก่าแก่อีกแล้ว)ล้อมเป็นวง(เกือบ)กลม ที่ตรงกลางลานมีน้ำพุอันเบ้อเร่อเลยค่ะ highlight ของที่นี่เราว่าคือน้ำพุนี่ล่ะค่ะ ไม่รู้ประวัติความเป็นมาอะไรเหมือนกันค่ะเพราะอ่านฝรั่งเศสไม่ออก(งวดนี้มาเที่ยวเมืองนี้แบบไปตายเอาดาบหน้าเลยค่ะ ไม่มีหามาก่อนเลย) รู้แต่ที่เตะตาเรามากๆคือ ทำไมน้ำมันต้องเป็นสีแดงด้วยล่ะเนี่ย? เดาเอาง่ายๆว่าคงตั้งใจสื่อถึงไวน์ที่เป็นของดังของเมืองนี้นั่นเอง อีกอย่างที่สงสัยคือ ทำไมรูปปั้นต้องห่มผ้าสีชมพูด้วย? อันนี้เพิ่งมาสงสัยทีหลังเพราะไปเจอบ่อน้ำพุอื่นที่นี่ก็ห่มผ้าสีชมพูอีก แต่ในโบชัวร์ท่องเที่ยวไม่เห็นห่มเลย หรือว่าจะห่มให้เฉพาะหน้าหนาว???


ถ่ายตรงนี้เสร็จก็หิวไม่ไหวแล้วค่ะ ตรอกที่ทางโรงแรมแนะนำมาก็อยู่แถบๆนี้เองล่ะค่ะ ประมาณว่าจุดท่องเที่ยวดังร้านก็เยอะ เดินไปๆมาๆหาอะไรที่มันไม่ใช่แซนด์วิชและร้านดูไม่ปลอดคนจนวังเวงเกินไปนัก ก็ได้เป็นร้านนี้ล่ะค่ะ(เบอร์1) อาหารมื้อแรกที่ฝรั่งเศสคือ ร้านอาหารจีน -"- มีคนดูแลผู้ชาย(น่าจะคนจีน)คนเดียวพูดอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พอใบ้ๆแบ๊ะๆกันได้เข้าใจ ข้าวสวยกับไก่ผัดเห็ดอะไรสักอย่าง ตอนดูชื่อในเมนู(มีภาษาอังกฤษแต่ไม่มีภาพ)ฟังดูดีนะคะ (เห็ดที่ชื่อฟังแล้วนึกถึง สุนัขพันธุ์ที่พระนางมารีอังตัวเน็ตเลี้ยงน่ะค่ะ) แต่เห็นของจริงแล้วนึกถึงร้านอาหารตามสั่งที่เมืองไทยทันทีเลย กินแล้วยิ่งนึกถึงเมนูข้าวราดหน้าไก่ที่สีฟ้า(แต่นี่ไก่แข็งๆหน่อยสงสัยจะเนื้อหน้าอก) แต่ก็เอาน่ะค่ะหิวแล้วอะไรก็กินทั้งนั้นล่ะ ดีกว่าแซนด์วิชละกันแถมทำมาร้อนๆเลย สนนราคาก็แค่ 8.50 euro เองไม่ได้แพงเว่อร์เหมือนที่ได้ยินคนขู่ให้ฟังหลายคนก่อนมา (ตอนนั้นยังไม่สำนึกค่ะว่ามื้อนี้จะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในทริปนี้แล้ว T_T) ระหว่างเรานั่งกินลูกสาวเจ้าของร้านก็คอยมาเล่นกับเราที่โต๊ะเป็นระยะๆ(เจ้าของร้านผู้หญิงกับลูกสาว ดูคล๊ายคล้ายคนไทย เหล่อยู่หลายหนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลองถามดู) ตอนเราออกไปก็บ๊ายบาย(ภาษาฝรั่งเศส)ให้ด้วย ^^

ออกจากร้านไปก็กลับเข้าลานน้ำพุเดิมค่ะ หาจังหวะเนียนๆที่คนน้อยหน่อยหันหน้ากล้องเข้ามาถ่ายรูปตัวเองไว้มั่ง เดี๋ยวจะไม่มีหลักฐานว่ามาแล้วจริงๆ :P แล้วก็เดินลงต่อไปทางถนนใหญ่เลียบแม่น้ำค่ะ (ภาพบนเบอร์2) แต่เดินๆไปก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ เริ่มชินแล้วว่าตึกมันก็ทรงโบราณแบบเดียวกันเรียงกันทั้งถนนนั่นแหล่ะ ก็เลยหันหัวกลับมาทางเดิม(ทางกลับโรงแรม) ผ่านลานน้ำพุเจ้าเก่าอีกรอบค่ะ (ภาพบนเบอร์3)

ตอนเดินขาลงเดินถนนด้านฝั่งน้ำพุเลยไม่ทันเห็น พอขากลับเดินมาฝั่งตรงข้ามถึงเห็นค่ะว่าตรงข้ามลานน้ำพุตะกี้มีลานอะไรไม่รู้มีน้ำเอ่อๆสูงไม่กี่นิ้วอยู่ คนงี้เพียบเชียวค่ะยืนบ้างนั่งบ้างอยู่รอบๆบ่อน้ำประหลาดๆนี่ เด็กๆนี่ยิ่งชอบใจถอดรองเท้าไปเดินเล่นลุยน้ำกันใหญ่เลย(น่ารักดีเลยแอบถ่ายรูปมา) เราก็เอามั่งค่ะยืนเก้ๆกังๆถ่ายซ้ายถ่ายขวาเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นล่ะ จริงๆคือถ่ายรูปเสร็จนานแล้วล่ะค่ะ แต่กำลังเล็งอยู่ค่ะว่าจะขอใครให้ช่วยถ่ายรูปให้ดีไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่มีรูปตัวเอง(แบบที่ไม่ใช่หน้าตัวเองบังไปแล้วครึ่งภาพ)กลับไปเลย

สุดท้ายก็ไปขอให้คุณป้าคนฝรั่งเศสที่มากันสองคนช่วยถ่ายให้ อาศัยเดินเข้าไปหายื่นชี้กล้องแล้วชี้ตัวเองก็เข้าใจกันค่ะว่าเราจะขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ คุณป้าก็ช่วยถ่ายให้อย่างดีค่ะกล้องเราซะอีกที่แบตจะหมดเลยเกเรหน้าจอดับอัตโนมัติอยู่เรื่อย ถ่ายเสร็จคุณป้าก็ยังถือกล้องอยู่ค่ะ เหมือนรอๆอะไรอยู่เราก็ไม่เข้าใจก็รอด้วย(ก็กล้องเราอยู่กะเค้าอ่ะค่ะ) สักพักก็สังเกตว่าน้ำในบ่อเนี่ยมันหายไปเกือบหมดแล้ว แล้วจู่ๆก็มีควันพุ่งมาทั่วบ่อเลยค่ะ เป็นนาทีทองของคนจะถ่ายรูปเลยทีเดียวค่ะ คุณป้ารีบให้เราเข้าไปถ่ายรูปก็ได้รูปช็อตควันมาเหมือนกัน แล้วพอควันจางหายไปน้ำก็จะรื้นขึ้นมาอีกค่ะ เป็นวงเวียนไป ควันมา->ควันหาย->น้ำขึ้น->น้ำลด ก็ขอบคุณคุณป้าไปแล้วก็ได้ฤกษ์หยุดเดินป้วนเปี้ยนรอบบ่อนี้ซะทีค่ะ


ตรงฝั่งถนนที่เลียบแม่น้ำนี่คนเยอะมากๆเลย มากันเป็นครอบครัวบ้าง มากับเพื่อนๆเป็นกลุ่มๆบ้าง นักท่องเที่ยวเองก็ไม่น้อยค่ะ กล้องสารพัดยี่ห้อเห็นเต็มไปหมดเลย คนเยอะๆดูคึกคักดีเราก็เลยเดินต่อไปทางด้านฝั่งที่เลียบแม่น้ำนี่ล่ะค่ะ แดดส่องมากำลังดีไม่ค่อยหนาวมาก(แต่ใส่โค้ตอยู่นะคะ) เดินๆไปนี่เขียวขจีตลอดทางเลยค่ะ มีปลูกโน่นปลูกนี่สีสวยๆเป็นแถวๆ(บางแถวดูเหมือนกะหล่ำปลีนะคะเนี่ย ยังนึกอยู่เลยว่านั่นเป็นแปลงผักสวนครัวหรือเปล่าหนอ) สังเกตคนรอบข้างก็ดูแฮปปี้กันทั้งนั้นเลยค่ะ

คู่รักเดินจูงมือกัน โอบเอวกัน นั่งอิงแอบซบพิงไหล่จุ๊บกัน ยิ้มให้กันท่าทางมีความสุขทุกคู่(อิจฉาอ่ะค่ะ คนมาคนเดียวเหงาเลยนะเนี่ย) พ่อแม่ก็เดินจูงมือลูกบ้าง ถือกล้องวีดีโอถ่ายรูปลูกๆที่กำลังวิ่งเล่นกันบ้าง สาวๆกลุ่มใหญ่ก็เดินคุยหัวเราะกันสนุกสนาน(เสียดายว่าฟังไม่ออก) มีนักดนตรีมาร้องเพลงอยู่คนเดียวให้คนผ่านไปผ่านมาฟัง(ซึ่งก็ฟังกันบ้างไม่ฟังบ้าง) เดินๆไปก็ระวังคนเล่นสเก๊ตและจักรยานที่วิ่งผ่านมาด้วย สรุปว่าบรรยากาศสดใสดีมากค่ะ มีโคมไฟหน้าตาแปลกๆเป็นระยะๆด้วยถ้าเปิดไฟตอนกลางคืนน่าจะสวย(แต่เสียดายว่าไม่ได้ออกมาดูสักวัน หลับคาเตียงตั้งแต่สองทุ่มทุกวัน)


เดินต่อมาเรื่อยๆใกล้ถึงโรงแรมแล้วค่ะ มองไปเห็นสวนสนุกที่ปิดอยู่ตอนขามามีเสียงดนตรีเสียงเครื่องเล่นดังมาแสดงว่าคงเปิดแล้ว(กว่าจะเปิดได้ นึกว่าจะปิดไปตลอดวันอาทิตย์ซะอีก) ก็เลยเดินข้ามถนนผ่านร่มต้นไม้สองฝั่งที่ยาวทอดไปตลอดถนนเล็กๆ(อยากถ่ายรูปกับซุ้มต้นไม้นี้มากๆแต่ไม่มีคนถ่ายให้อ่ะค่ะ T_T ) แล้วก็ไปสำรวจ(ดูอยู่ข้างนอก)สวนสนุกซะหน่อยเห็นรถไฟปีนขึ้นถึงจุดสูงสุดพอดีเลยแชะมาหนึ่งรูป (คล้ายๆไวกิ้งนะคะเราว่า รางครึ่งวงกลม ค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปสูงสุดแล้วก็ปล่อยลงมาให้รถไหลไปมา ซ้ายๆขวาๆอยู่บนรางนั่นล่ะค่ะ) ดูแล้วเห็นส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันน่าสนุกดีค่ะ แต่เราไม่เล่นแน่ๆ ทั้งชีวิตเล่นไวกิ้งหนเดียวตอนอยู่บนเครื่องนี่เกร็งและกลัวจนพูดอะไรไม่ออกเสียงไม่มี หลับตาปี๋เอาหน้าซบไหล่น้องสาวลูกเดียวค่ะ ลงมาได้นี่เดินแทบไม่ตรงทาง มึนหัวจะอ๊วกไปเป็นชั่วโมงๆเลย


คราวนี้ก็กลับมาที่โรงแรม ที่ซุกหัวนอนเราแล้วล่ะค่ะ อ่านเน็ตมาเยอะบอกว่าทางยุโรปเนี่ยถ้าอยากดื่มน้ำไม่แพงให้ไปซื้อน้ำตามซุปเปอร์มาตุนไว้ ตลอดทางที่เดินมาเราก็มองหาอยู่ตลอดนะคะแต่ไม่มีร้านไหนที่เปิดอยู่ มีหน้าตาเหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตเลยสักร้าน ก็เลยต้องกลับมาถามที่โรงแรมนี่ล่ะค่ะ คำตอบที่ได้คือ วันอาทิตย์ร้านส่วนใหญ่รวมทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่เปิดทำงานค่ะ ตอนแรกนึกว่าตัวเองฟังผิด เฮ้ย มีด้วยเหรอร้านเปิดวันธรรมดาแต่ปิดวันอาทิตย์ ก็ตลอดมาอยู่ที่ไทยรู้กันว่าร้านอาหารร้านซุปเปอร์เนี่ยทำยอดเยอะสุดก็เสาร์อาทิตย์นี่แหล่ะ


โชคร้ายว่าหนนี้ฟังไม่ผิดค่ะ คนฝรั่งเศสเค้าหยุดกันวันอาทิตย์จริงๆเพื่อให้คนได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวอะไรก็ว่าไป ถ้าในปารีสอาจยังมีที่เปิดดึกๆบ้างแต่ในเมืองด้านนอกแบบนี้ปิดเกลี้ยงค่ะ ก็ไขปริศนาที่สงสัยมาตั้งแต่เช้าได้แล้วล่ะค่ะว่าทำไมเดินๆไปนี่ ไอ้นู่นก็ปิด ไอ้นั่นก็ไม่เปิดบริการ อ๋อ เพราะงี้นี่เอง เราก็เลยพลอยอดได้น้ำดื่มไปด้วย ครึ่งลิตรขวดละ 3 euro ของทางโรงแรมก็ดื่มไม่ลงค่ะ ก็เลยนอนมันซะเลยกะว่าเก็บท้องไปกินบุฟเฟ่ต์โรงแรมมื้อเช้าแทน ข้างนอกหนาวแต่ในโรงแรมอุ่นมากก็เลยเปิดแอร์หน่อยแล้วซุกผ้าห่มหลับไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ก็เป็นอันหมดแล้วค่ะวันแรกของเราในฝรั่งเศส


Create Date : 07 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2551 14:35:24 น. 5 comments
Counter : 1633 Pageviews.

 
ตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ เมืองสวยดีค่ะ ดู บรรยากาศดี
รูปสวย ฟ้าใส แล้วก็ น้ำขึ้น น้ำลง ควันมา ควันหาย เนี่ยะ
น่าสนุกดีนะค่ะ อิ อิ อิ


โดย: merecat วันที่: 8 พฤศจิกายน 2551 เวลา:0:50:34 น.  

 
สวัสดีครับ..ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ..

รูปสวยๆทั้งนั้นเลยครับ..บรรยายก็เยี่ยมทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นครับ...

เรื่องราวเกี่ยวกับป้ายจอดรถนี่ก็น่าเห็นใจจริงๆครับ..ใครมันจะไปรู้เนอะ


โดย: pompier วันที่: 8 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:03:03 น.  

 
เล่าเรื่องได้สนุกมากเลยค่ะ ละเอียด เห็นภาพตามไปด้วย
อ่านก็เพลิน ดูเหมือนจะยาวแต่พี่ก็อ่านจนจบนะ อ่านได้สบายๆ มีภาพให้ดูประกอบด้วย สนุกดีออกค่ะ

ปล.พอดีพี่ชอบอ่าน มาเจอคนชอบเขียน แล้วมีภาพประกอบให้ด้วยเลยอ่านยาวเลยค่ะ คนชอบอ่านกับคนชอบเขียนเป็นเคมีที่เข้ากัน อย่างภาพน้ำพุสีไวน์ ถ้าไม่อ่านแล้วจินตนาการเองอาจจะคิดว่าเป็นน้ำพุสีเลือดก็ได้
แต่เมืองเค้าน่าอยู่น่าเที่ยวดีนะคะ ไม่จอแจมาก แต่ก็ดูมีสีสัน ชอบลานน้ำที่เด็กเดินเล่นได้ แล้วก็สลับกับ น้ำขึ้น น้ำลด มีควันด้วย ดูน่าสนุกมาก


โดย: tukuta วันที่: 9 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:42:35 น.  

 




สวัสดีค่ะ

ตามมาเที่ยว Bordeaux ค่ะ มุมมองเทียวแบบคุณเรายังไม่เคยได้ไปเลย
ขอบคุณนะคะ

Photobucket


โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 11 พฤศจิกายน 2551 เวลา:2:07:20 น.  

 
มะรืนจะสอบไฟนอลตัวสุดท้าย ก่อนส่งเปเปอร์กะไปビジネスゲーム合宿สุดโหดนะเนี่ย เรายังมีแก่ใจมาแอบเข้าพันทิปอ้ะ เบื่อจัง เมื่อไหร่จะปิดเทอมซะที

อิจฉาจังเลยได้ไปพรีเซนท์งานต่างประเทศบ่อยๆ ทำไมคณะเราไม่มีบ้างนะ ( เฮ้อ ) ทั้งๆที่มีconnectionกับมหาลัยตั้งหลายประเทศทั่วโลก เราอยากไปฝรั่งเศสจะแย่ จะไปสอยLV รุ่นハムステッドให้ได้เลย ที่ญี่ปุ่นขายแพงกว่าตั้งเกือบห้าหมื่นเยนแน่ะ ( แต่ก้คงไม่ได้ซื้อหรอกนะ ไม่มีเงินขนาดนั้น )

เดี๋ยวปิดเทอมเราจะอัพบล็อกนะจ๊ะ ว่างๆเข้ามาเที่ยวได้นะ


โดย: เราเองจ้า (มอนจะ ) วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:23:33:50 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.