W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 
October 2008 @France: Flight to Bordeaux & Airport shuttle bus & Hotel review

จากตอนก่อนที่เล่าที่มาที่ไปของทริปนี้ การขอวีซ่าและเอกสารที่จำเป็น(สำหรับคนอยู่ญี่ปุ่นนะคะ) และ sponsor ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายหลักของเราแล้ว จะเริ่มเล่าถึงการเดินทางแล้วค่ะ ยาวหน่อยนะคะคนเพิ่งเคยไปฝรั่งเศสครั้งแรก

ปล. เราเรียนเอกอยู่ที่ญี่ปุ่นนะคะ ดังนั้นหลายๆหนก็อาจยกอะไรที่ญี่ปุ่นมาเป็นข้อเปรียบเทียบกันบ้าง


**** Air France FROM Narita Airport TO Charles de Gaulle airport TO Bordeaux Merignac airport

เอาล่ะค่ะ เข้าเรื่องกันสักทีวันเดินทางเลือกเดินทางไฟลท์กลางคืนค่ะ กะว่าจะได้นอนตื่นไปเลยทีเดียว เนื่องจากจัดกระเป๋าไม่ทันเลยไม่ได้ใช้บริการแมวดำส่งกระเป๋าไปสนามบินนาริตะเหมือนปกติ ต้องถูลู่ถูกังกระเป๋าไปเอง ล้อกระเป๋าก็จะพังอยู่รอมร่อลากลำบากมาก แถมของที่ห้อยติดตัวก็ใช่ย่อย นอกจากกระเป๋าสะพายข้างใบเขื่องที่ไหล่ก็ยังมีทั้งกระเป๋าโน้ตบุค ทั้งกระบอกโปสเตอร์ที่ยาวจนยัดลงกระเป๋าเดินทางไม่ได้ และโค้ทเผื่อหนาว(มาก)อีกตัวที่ยัดไม่ลงเช่นกัน(เราสมบัติบ้าเยอะค่ะ)เลยต้องถือเอา เดินๆไปกระเป๋าก็สะดุดบ้าง โน่นหล่นบ้าง นี่หล่นบ้าง อนาถซะไม่มี สุดท้ายก็เลยแวะร้านร้อยเยนใกล้ๆซื้อถุงพลาสติกสีฟ้า(ในรูปด้านล่างเบอร์ 2) เพื่อรวมสมบัติทั้งหลายเข้าด้วยกันค่ะ


ขั้นตอนที่สนามบินนาริตะนั้นไม่มีปัญหาอะไร ผ่านฉลุยค่ะ เสียก็แต่ว่าอุตส่าห์มาก่อนตั้งสองชั่วโมงครึ่งแต่ก็มีแต่ที่นั่งตรงกลางเหลือ คิดหนักเลยตอนนั้นว่าถ้าคนข้างๆหลับลึกขึ้นมาจะเลอะ(ปจด)ไหมเนี่ยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เดินตรงดิ่งไปหาดิวตี้ฟรีทันทีเพราะ concealer ใกล้จะหมดกะมาซื้อใหม่ของ shu uemura ที่นี่ ปรากฏว่าที่ terminal1 ไม่มียี่ห้อนี้อ่ะค่ะก็โชคดีว่าไอ้ที่เหลือๆอยู่พอใช้ไปได้จนจบทริป

ระหว่างที่ต่อแถวขึ้นเครื่องนี่รู้สึกได้เลยถึงคลื่นสายตาที่มองมาที่ถุงร้อยเยนของเรา พอลองมองไปรอบๆก็เห็นล่ะค่ะว่าแต่ละคนเค้ามีกระเป๋าสำหรับเอาของขึ้นเครื่องมาเป็นทางการกันทั้งนั้น ถึงจะไม่ได้สวยหรูดูดีแบรนด์เนมแต่ที่เป็นถุงกร๊อบแกร๊บ สีแปร๋น แถมมีกระบอกอะไรโผล่มาแบบของเรานี่ไม่มีเลยจริงๆ ด้วยความหน้าบางแต่ก็ยังขี้เกียจหอบหิ้วของแต่ละชิ้นเลยได้แต่คิดในใจไว้ว่า ไว้รอให้ลงเครื่องก่อนเถอะจะเก็บถุงนี่โดยด่วนเลย หนหน้าจะไม่เอาไอ้ถุงนี่มาเดินถือขึ้นเครื่องอีกแล้ว อายเค้าอ่ะค่ะ

ขึ้นเครื่องได้ก็ตั้งท่านอนก่อนเลยค่ะ ด้านซ้ายสองคนเป็นคู่รักวัยรุ่นคนญี่ปุ่น ด้านขวาเป็นคนญี่ปุ่นผู้ชายท่าทางเหมือนจะมาคนเดียว(มั้ง) อาหารมีเสริฟสองมื้อ มื้อแรกเป็นจานร้อน(แน่นอนว่าเราเลือกปลาค่ะ) อีกมื้อก่อนถึงเป็นคล้ายๆอาหารเช้า จานปลาและสลัดแซลมอน กับครัวซองนั้นโอเคสำหรับเราค่ะอร่อยดี แต่แฮมกับชีสทั้งหลายนั่นไม่ชอบเลยค่ะบอกตรงๆ ไม่ชอบทานอาหารเย็นเท่าไหร่ก็เลยกินได้ไม่หมดตามธรรมเนียม สจ๊วตที่บริการอยู่แถวเรานั้นเป็นคนฝรั่งเศสผู้ชายผมขาวจั๊วะเลยค่ะ แต่ friendly มากๆค่ะยิ้มแย้มตลอดเวลาไม่ว่าจะพูดอะไร ขอบอกว่ากินขาดแอร์โฮสเตสเลยค่ะงานนี้ เม้าส์สาวญี่ปุ่นข้างๆนิดนึง ก่อนเครื่องจะลงเค้าหยิบ mask มา mask หน้าด้วยค่ะ แอบมองด้วยหางตาอยู่ว่าโหถึงขนาดพกติดตัวมาเลยนะเนี่ย เชื่อแล้่วว่าสาวญี่ปุ่นห่วงสวยมากจริงๆ


เวลาประมาณตีสามครึ่ง (ตามเวลาท้องถิ่นที่ฝรั่งเศส ช้ากว่าญี่ปุ่น 8hr) ถึงสนามบิน CDG ค่ะ แ่่น่นอนว่าสิ่งแรกที่เราทำพอลงจากเครื่องคือเก็บเจ้าถุงร้อยเยนเข้ากระเป๋าให้พ้นๆไปซะ ช่วงก่อนจะผ่าน immigration เค้ามีขอดูจดหมาย Invitation letter ด้วยควรเตรียมติดตัวไว้ให้พร้อมนะคะ เราไม่เคยต่อเครื่องอะไรอย่างนี้หรอกค่ะ แต่อาศัยว่าตามๆคนอื่นเค้าไป เห็นเค้ามุงอะไรก็มุงตาม (ถ้าไม่มุงก็คงไม่เห็นล่ะค่ะว่าไฟลท์ต่อของเราเนี่ยต้องเดินไปทาง terminal ไหน gate อะไร) สนามบินนี้ก็ป้ายต่างๆชัดเจนทีเดียวค่อยๆเดินตามไปไม่มีหลงค่ะ


ยิ่งเดินไปอะไรๆก็ยิ่งมืดและร้างขึ้นเรื่อยๆ พอไปถึง terminal 2D ปลายทางของเรานี่มืดสนิทเลยค่ะ มีแต่คนหาซอกหามุมนั่งหลับกันเป็นแถวๆ ร้านรวงอะไรไม่ต้องพูดถึงไม่มีสักร้าน ก็กระทั่งทางเข้า terminal ยังปิดมืดเลยอ่ะค่ะ จากที่คิดว่าจะได้เดินเล่น duty free ก็เลยแห้วไปด้วยประการฉะนี้ T_T (ก็ขนาดจะเข้าห้องน้ำยังหาไม่ได้เลย ต้องเดินย้อนกลับไปเข้าอีกไกล) ก็ได้แต่หาเก้าอี้มุมเหมาะๆนั่งกอดคอมพิวเตอร์หลับรอเวลา

กว่าจะได้เวลาเปิด terminal ก็หลับไปหลายตื่น(แต่ไม่สนิทสักตื่น) เล่นเกมส์ไพ่ในคอมแพ้ไปไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว (ก็เกมส์ solitaire แหล่ะค่ะไม่ได้เล่นนาน เล่นแบบไพ่สามใบกี่ทีๆก็เจอทางตันต้อง deal ใหม่ตลอดเลย) ก็เดินมึนๆเข้า terminal จัดการกดตั๋วที่เครื่องเช็คอินเลย แต่ได้เข้า terminal แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดีค่ะ ดีอย่างเดียวว่าได้แปรงฟันเข้าห้องน้ำซะหน่อย แต่ก็ไปนั่งหลับรอหน้า gate ที่ไร้ผู้คนเช่นเคยไม่มีร้าน duty free อันไหนเปิดสักร้านเลย หิวก็ไม่มีอะไรให้กินอีกตะหาก


ความรู้ใหม่จากทริปนี้คือ เพิ่งรู้ว่าสนามบินก็มีการปิดด้วยนะเนี่ย ก่อนนี้คิดมาตลอดว่าสนามบินและร้านรวงต่างๆจะเปิดตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังมีเครื่องบินขึ้นลงอยู่ (เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นที่สนามบินนี้ที่เดียวคะ?)

ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่องค่ะ เป็นไฟลท์ในประเทศ(บินแค่ไม่ถึงสองชั่วโมง)ก็เลยเครื่องเล็กๆ ไม่มีทีวีให้ดู ที่นั่งค่อนข้างว่างมาก เลยวางของ หรือลุกไปถ่ายรูปวิวนอกหน้าต่างได้สบายเลยงานนี้ มีน้ำและขนมปังครัวซองต่างๆมาให้กิน ก็คลายหิวไปได้บ้าง (อยากบอกว่าสจ๊วตไฟลท์นี้ หนุ่มๆหน้าตาดี๊ดีค่ะ คมเข้มเชียว แถม friendlyอีกแล้ว)


อ่ะค่ะ ไม่พูดมาก ไม่ทันได้หลับก็ถึงแล้วค่ะ Bordeaux เมืองที่ดังมากๆเรื่องไวน์ (แต่เราไม่ดื่มแอลกอฮอล์อ่ะค่ะ มาเสียเที่ยวมากๆ) ดังแค่ไหนก็เห็นได้ตั้งแต่สายพานรอกระเป๋าล่ะค่ะมีขวดไวน์ขวดเบ้อเร่อตั้งเด่นเชียว ระหว่างรอกระเป๋าเราก็ยืนถ่ายรูปไปเรื่อยๆค่ะ (แต่คนอื่นไม่เห็นมีใครถ่ายเลยแฮะ) ได้กระเป๋าก็เดินออกเลย ยังงงๆอยู่ว่านี่เราได้ผ่าน immigration หรือเปล่าเนี่ยหรือว่าเค้าไม่มี immigration ที่เมืองนี้กันเนี่ย


ออกจากสนามบินตอนแปดโมงกว่าๆ(เช้า) หนาวพอตัวเลยค่ะหายใจทีนี่ออกมาเป็นควันๆเลย เสื้อคลุมที่หอบหิ้วมาก็ได้ใช้ทันทีเลย


**** Jet bus from Bordeaux Merignac airport TO Mercure accor hotel

จากการศึกษาจาก internet วิธีที่น่าจะถูกกว่าแท็กซี่จากสนามบินนี้คือการขึ้น Jet bus ค่ะ เพราะระบบรถไฟในเมืองนี้ยังค่อนข้างจำกัดอยู่ในแถบตัวเมืองไม่มีออกมาถึงสนามบิน ออกจากสนามบินแล้วก็จะเห็นที่นั่งรอรถบัสเลยค่ะ (ออกทาง exit7) เนื่องจากเราหาข้อมูลจากเน็ตมาแล้วว่ารถนี้จอดสถานีอะไรบ้าง และเราต้องลงสถานีไหนก็เลยไม่ทันดูป้ายให้ละเอียดเลยเป็นเรื่องให้เสียเงินเพิ่มทีหลังค่ะ(เรื่องอะไรนั้นอ่านต่อไปจะรู้ค่ะ)


ใครมีสัมภาระก็ยัดเข้าใต้ท้องรถไป(จริงๆ มีผู้ชายผิวหมึกใส่สูทที่รอรถด้วยกันช่วยยกกระเป๋าเรายัดเข้าท้องรถให้ค่ะ) แล้วเดินขึ้นจ่ายเงิน 7 euro ให้คนขับ แล้วก็เลือกที่นั่งว่างตามใจเลยค่ะ จุดที่เราจะลงคือ Office de tourisme ซึ่งก็เกือบจะสุดทางอยู่แล้ว ก็นั่งไปถ่ายรูปวิวด้านนอกไปตามประสาคนไม่เคยมาฝรั่งเศส คิดว่าเดี๋ยวพอถึงป้ายเค้าก็จอดเองล่ะ แล้วถึงเราจะอ่านฝรั่งเศสไม่ออกแต่ถ้าเห็นป้ายก็รู้น่ะว่าต้องลงป้ายไหน (ติดมาจากระบบรถบัสที่ญี่ปุ่นว่า รถจะวิ่งด้วยเส้นทางเดิมๆผ่านทุกป้ายน่ะค่ะ) นั่งชิวๆไปเรื่อยๆไม่ได้รู้ตัวเลยค่ะว่าพลาดไปแล้ว เริ่มสำนึกได้ตอนมีคนลง ก็งงๆอยู่ว่าเฮ้ยทำไมเค้ารู้แฮะว่าต้องลงตรงนั้น คนขับก็ไม่มีพูดอะไรว่าถึงไหนแล้ว มองไปด้านนอกก็ไม่เห็นมีป้ายบอกเลยว่าตรงนั้นคือป้ายไหน ชักลุกลี้ลุกลนค่ะว่าเลยป้ายเรามาหรือยังเนี่ยแล้วจะรู้ได้ไงว่าตรงที่เราจะลงน่ะมันตรงไหน

มองซ้ายมองขวาหาตัวช่วยสักพัก ก็ตัดสินใจถามคนผู้ชายที่นั่งใกล้ๆ โชคดีว่าเค้าพูดอังกฤษคล่องเชียว(แต่ไม่ใช่คนฝรั่งเศส) เค้าเลยช่วยไปถามคนขับให้(ถามภาษาฝรั่งเศสนะคะ) ผลปรากฏคือ Jet bus นี้ขาออกจากสนามบินถ้าเราจะลงตรงไหนต้องบอกคนขับ ไม่งั้นเค้าจะอุปมาว่าเราไปลงปลายทาง (Gare St-Jean/Railway station) เราไม่ได้ลงปลายทางแต่ไม่ได้บอกเค้า เค้าก็เลยขับมาทางที่ไม่ผ่านจุดที่เราอยากจะลงค่ะ ซวยเลยงานนี้ (ย้อนไปดูในป้ายรถบัสที่สนามบินก็เขียนอังกฤษไว้ว่า Stop on request แต่ไม่ทันสังเกต น่าเขกหัวตัวเองจริงๆ)

ทีแรกเค้าก็แนะนำมาว่าให้เรานั่งต่อไปเพราะขาจาก Gare St-Jean กลับไปสนามบินเค้าจะต้องจอดทุกป้าย เดี๋ยวเราค่อยลงตอนนั้นก็ได้ แต่ไปๆมาๆเค้าแนะนำใหม่ว่าให้เรานั่ง taxi จากจุดปลายทางย้อนไปเลยจะดีกว่า(แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เราไม่ได้ถามเองค่ะ ก็พูดฝรั่งเศสไม่ได้นี่นา) ก็เลยได้ลงกันหมดคันรถที่สถานีปลายทางนี้เอง ก็ได้ผู้ชายคนเดิม(เสื้อแดงในภาพน่ะค่ะ)พาไปจุดเรียกแท็กซี่แล้วก็ถามราคาพร้อมบอกปลายทางให้คนขับแท็กซี่ให้เสร็จเลย เค้าบอกว่าเค้าว่างๆอยู่เพราะกว่ารถไฟเค้าจะมาก็อีกนาน เราก็ได้แต่ขอบคุณๆไป (แล้วก็ขอถ่ายภาพมาเป็นที่ระลึกหนึ่งใบ) นั่งแท็กซี่ไปใช้เวลาไม่นานค่ะ(แต่ก็โดนไป 12 euro ตามมิเตอร์ ค่าความไม่รอบคอบของตัวเอง) ระหว่างก็ถ่ายรูปข้างทาง สำรวจไว้ว่าเดี๋ยวจะออกมาเดินเที่ยวตรงไหน ตลอดทางฟ้าใสเชียว ถนนก็รถไม่เยอะ เห็นตึกทรงยุโรปเก่าๆสวยๆข้างทางเรียงรายเต็มไปหมด (ขับเลียบแม่น้ำด้วยน่ะค่ะ) แป๊บเดียวก็ถึงโรงแรมแล้วอันนี้ล่ะค่ะใกล้งาน conference โรงแรม Mercure accor hotel



**** Mercure accor hotels (Bordeaux cite mondiale centre de congres)

รีวิวโรงแรมสักหน่อยนะคะ โรงแรมนี้โคกับทาง conference ดังนั้นก็เลยได้ค่าที่พักราคาพิเศษ เหลือคืนละ 102 euro + 1.10 euro (tax) ก็ตกคืนละ 103.10 euro ค่ะส่วนอาหารเช้านั้นเป็นบุฟเฟ่ต์จ่ายแยกมื้อละ 14.00 euro กินที่วันก็จ่ายเท่านั้น (ทีแรกไม่รู้ค่ะ นึกว่าเป็นเซ็ตชาร์จรวมมาแล้ว ไม่งั้นไม่กินหรอกค่ะไม่คุ้มเอามากๆ ไม่อร่อยอีกด้วย)

ไปถึงโรงแรมเพิ่งสิบโมงเช้าเองค่ะ เช็คอินที่เคาเตอร์พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้และเค้ามีลิสต์รายชื่อแขกที่จองห้องผ่านทาง conference เตรียมไว้อยู่แล้วเลยง่ายเลยค่ะ จริงๆเวลาเช็คอินคือบ่ายสองแต่ก็ได้การ์ดเข้าห้องมาทันที ก็จัดการลากกระเป๋าขึ้นห้องเอง ภายในห้องนี่ขอบอกว่าผิดคาดมากๆค่ะ ฟังใครๆมาเยอะว่าโรงแรมที่ฝรั่งเศสนี่แคบและแพงมากๆ ขนาดคืนละร้อยยูโรยังได้แค่โรงแรมสามดาวแค่พออยู่ได้เท่านั้นแหล่ะ แบบมีไว้เพื่อซุกหัวนอนอย่างเดียวจริงๆอย่าไปคาดหวังอย่างอื่น

แต่ห้องที่เราได้นี่เราว่าใหญ่เลยล่ะค่ะ เปิดประตูมามีห้องส่วนแรกแคบๆเป็นห้องส้วมแยก กับตู้เสื้อผ้า และที่วางรองเท้าหน้าทางเข้า เปิดประตูไปอีกส่วนถึงเป็นส่วนห้องนอนตามภาพเลยค่ะ ถึงไม่ใหญ่เท่าโรงแรมที่ conference ที่ไต้หวันหนก่อน(แต่อันนั้นนี่ใหญ่เว่อร์ค่ะ อยู่คนเดียวแท้ๆ)แต่เราว่าก็ใหญ่มากแล้วค่ะสำหรับอยู่คนเดียว (ดูๆไปใหญ่กว่าห้องเราที่ญี่ปุ่นอีก)


เตียงนี่นอนคนเดียวดิ้นยังไงก็ไม่ตกเตียงค่ะ ข้างเตียงก็มีที่เหลือเดินตามสบาย (พอตั้งขาตั้งกล้องถ่ายรูปอีกต่างหาก :P ) ทีวีจอLCDยังดีมีช่องCNNภาษาอังกฤษที่ฟังรู้เรื่องอยู่ช่องนึง โต๊ะก็กว้างดีค่ะ และที่สำคัญโรงแรมนี้มีแอร์ติดค่ะ แต่ก่อนเคยคิดว่าแอร์เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของโรงแรมทั่วโลก(ตอนไปอเมริกาก็เห็นมีทุกแห่ง) มาเจอที่ฝรั่งเศสเลยรู้ว่าไม่ใช่ค่ะ โรงแรมส่วนใหญ่ที่นี่ไม่มีแอร์หรือฮีตเตอร์ติดมาเลย ถามคนฝรั่งเศสมาหลายคนเค้าบอกว่าปกติอากาศมันไม่เปลี่ยนต่างกันมาก(นานๆทีก็ทนๆร้อนทนๆหนาวเอา)แอร์เลยเป็นการลงทุนที่ไม่จำเป็นค่ะ ส่วน internet นั้นมีสัญญาณ wireless ทั่วโรงแรมแต่ต้องจ่ายเงินค่ะถึงจะใช้ได้ ไม่มีจุดไหนที่จะให้เราต่อเน็ตฟรีเลยค่ะ (แน่นอนว่าเราไม่ยอมจ่ายค่ะ ไปต่อเน็ตฟรีในงาน conference ดีกว่า)

เวลาเหลือเฟือก็เลยเดินเปิดโน่นนี่ไปเรื่อย แล้วก็ไปเจอตู้ล็อคกุญแจในภาพด้านบนที่วงแดงๆไว้ขวาสุดค่ะ เห็นมีกุญแจก็นึกว่าตู้เซฟ ยังนึกอยู่ว่า โหตู้ใหญ่นะเนี่ยแถมอยู่ที่แปลกๆ(ปกติมันน่าจะอยู่ในตู้เสื้อผ้านี่คะ) แต่หมุนออกมากลับกลายเป็นตู้เย็นไปซะได้ ยังข้องใจไม่หายเลยค่ะ เค้ากะให้เราใช้ตู้เย็นเป็นตู้เซฟ หรือว่าอะไรเหรอคะ ถึงต้องมีกุญแจล็อคตู้เย็นด้วย (แต่ที่แน่ๆ ทุกอย่างในตู้คิดเงินหมด น้ำแร่ครึ่งลิตร 3 euro ค่ะไม่มีฟรีเป็น compliment มาให้สักขวด)

มาที่ห้องน้ำบ้างก็กว้างขวางใช้ได้ค่ะ กระจกบานเบ้อเร่อมีที่ว่างด้านข้างให้เรากระจายเครื่องสำอางแต่งหน้าได้ตามสบายเลย และที่สำคัญมีไดร์เป่าผมให้พร้อมค่ะถึงจะรูปร่างเหมือนเครื่องดูดฝุ่นไปหน่อยก็ตาม (ไดร์เป่าผมนี่ของที่เราขาดไม่ได้เลยค่ะ ไม่มีแล้วจะขาดใจตายเอา ) แต่ไดร์อันนี้เจอคนเป่าผมนานๆแบบเรานี่ร้อนจี๋จนจับไม่ได้ ต้องเอาผ้าเช็ดตัวมาห่อเลยค่ะ


โดยสรุปแล้วเป็นโรงแรมที่ีดีและสวยเลยทีเดียวนะคะ ห้องกว้างขวาง(โดยเฉพาะถ้าเทียบกับโรงแรมถัดไปที่เราไปพักในปารีส) สะอาด บริการดีทุกอย่าง พนักงานที่ reception ก็ช่วยเหลืออย่างดีค่ะไม่ว่าเราจะถามอะไรก็ช่วยแนะนำให้หมด (ถามเค้าหมดตั้งแต่ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต ยันวิธีการเปิดแอร์ในห้องค่ะ มีรูปประกอบด้านล่าง เราเห็นแล้วงงค่ะ หน้าตาน่าจะเป็นที่เปิดแอร์แต่ไม่รู้ว่าควรหมุนยังไงเป็นแอร์ ยังไงเป็นฮีตเตอร์ค่ะ เพื่อความชัวร์ก็ถามเค้าเลย) โลเกชั่นก็ดีค่ะ เดินนิดเดียวก็เป็นย่าน downtown และย่านท่องเที่ยวเลยถือว่าอยู่ในแถบเจริญของเมืองเลยล่ะค่ะ ข้อเสียคือ หนึ่งอาหารเช้าแพงแต่ไม่อร่อยเลย และไม่มี internet ฟรีให้ใช้ (โรงแรมที่เคยพักที่อเมริกา อย่างน้อยถ้ามานั่งเล่นที่ล็อบบี้ก็ต่อเน็ตได้ฟรีน่ะค่ะ)





บล็อคนี้ชักยาวแล้วขอหยุดเท่านี้นะคะ ตอนหน้าจะไปเที่ยวภายในเมือง Bordeaux แล้วค่ะ (แต่ก็ไปไม่กี่ที่เองนะคะ) ต้องรีบปั่นบล็อคนี้ช่วงยังไม่หายหวัด(ตอนที่ใครๆก็พากันไล่ให้กลับบ้านไปนอนพักผ่อน)เพราะหายแล้วต้องกลับไปปั่นวิจัยเหมือนเดิมอู้ไม่ได้แล้วค่ะ


Create Date : 05 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2551 14:09:58 น. 2 comments
Counter : 1065 Pageviews.

 
เข้ามาอ่านจ้า เล่าได้สนุกมากค่า เห็นภาพตามเลย (ละเอียดดีด้วยค่ะ) แอบชอบกระเป๋าร้านร้อยเยนนะ แนวดีออก ที่คนเค้ามองคงเพราะว่ามันเก๋และเป็นไอเดีย

มาเล่าบรรยากาศในเมือง (ที่เที่ยว) เร็วๆนะคะ ชอบดูรูปสถานที่ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยเห็น พี่ก็เคยไปแค่ครั้งเดียวเองจ้า (เที่ยวแค่ปารีสกับใกล้เคียงเอง บอร์กโดว์ยังไม่เคยไปเลย) แต่พี่ไปกับลูก เดินทางกับเด็กได้อภิสิทธิ์ทู้กอย่างเลย อยากได้อะไรก็ได้ก่อน ไม่ต้องรอไม่ต้องต่อคิวให้เมื่อย (แต่ถ้าเลือกได้อยากไปแบบสาวโสดมากกว่า อิอิ)

ปล.พักผ่อนเยอะๆนะคะจะได้หายไวๆ อากาศเริ่มจะหนาวจริงจังแล้ว


โดย: tukuta วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:11:54 น.  

 


สวัสดีค่ะ

ทั้งรูปละเอียดเชียวค่ะ ตามคุณไปไมหลงแน่ๆเลย
ตามรอชอ Bordeaux ในมุมมองของคุณอยู่นะคะ

Photobucket


โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 11 พฤศจิกายน 2551 เวลา:1:50:18 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.