กฎหมาย ต้อง เป็นกฎหมาย
ไร้นาม ได้เข้าถึงถึงปรัชญา "All under heaven" ของจิ๋นซีอ๋อง และจิ๋นซีอ๋องเองได้รับรู้ในความเข้าใจของเหล่าศัตรูต่อตนเองอย่างถ่องแท้ "The only person that understands me is my sworn enemy." แต่...กฎหมาย ต้องเป็นกฎหมาย



ในสมัยต้นยุคจั้นกั๋ว ประมาณ 2,000 กว่าปีมาแล้ว ประเทศจีนแตกแยกเป็นเมืองใหญ่ 7 เมือง และมีเมืองเล็กเมืองน้อยอีกหลายเมือง มีอยู่เมืองหนึ่งชื่อเมืองฉิน เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางวัฒนธรรมล้าหลังและอ่อนแอ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เมืองฉินอ่อนแอก็เพราะกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่มีระเบียบวินัย พวกขุนนางและลูกท่านหลานเธอก็ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน อยู่เหนือกฎหมาย

มาถึงสมัยฉินเชี่ยงกงครองราชย์ พระองค์ทรงมีพระประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะปฏิรูปเมืองฉินให้เป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจร่ำรวยและมีทหารที่เข็มแข็งเกรียงไกร พอดีได้ ซังเอียง (?-338 ก่อนคริสต์ศักราช) มาช่วย ท่านเป็นรัฐบุรุษผู้มีความเก่งกายสามารถยอดเยี่ยงคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน ท่านได้วางรากฐานการปกครองโดยกฎหมายให้เมืองฉิน จนเจ้าเมืององค์ต่อๆ มา สามารถอาศัยพื้นฐานที่ท่านวางไว้ปราบเมืองอื่นๆ ราบคาบ และทำให้ประเทศจีนเป็นปึกแผ่น

ฉินเจิ้ง ปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิ ฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉิน

ซังเอียงกราบทูลฉินเชี่ยงกงว่า “การที่จะทำให้เมืองฉินมีเศรษฐกิจมั่งคั่ง มีกำลังทหารเข็มแข็งเกรียงไกรนั้น เบื้องต้นจะต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ จะต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีความผิดต้องลงโทษ มีความชอบต้องปูนบำเหน็จ เมื่อมีการปูนบำเหน็จความดีความชอบ ประชาชนก็จะมุมานะทำงาน ทำความดีความชอบอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เมื่อมีการลงโทษอย่างรุนแรง ประชาชนก็จะไม่กล้าทำผิดกฎหมาย เมื่อมีการลงโทษและปูนบำเหน็จ รัฐก็จะมีอำนาจบารมี การปฏิรูปเพื่อให้บ้านเมืองมั่งคั่งและเข็มแข็งย่อมจะดำเนินไปได้โดยสะดวก

เมื่อปี 359 ก่อนคริสต์ศักราช ซังเอียงได้ร่างกฎหมายปฏิรูปการปกครองขึ้นมาฉบับหนึ่ง และได้นำขึ้นถวายพระเจ้าฉินเชี่ยงกงเพื่อขอทรงวินิจฉันอนุมัติ ฉินเชี่ยงกงทรงเห็นชอบ มีพระราชโองการให้ประกาศบังคับใช้ทั่วอาณาจักรเมืองฉิน โดยที่ซังเอียงเกรงว่าประชาชนจะไม่เชื่อถือและไม่ยอมทำตามกฎหมายใหม่ เพื่อที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ของล้อเล่น ซังเอียงจึงได้ทำเรื่องแปลกประหลาดเพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชนขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ท่านได้ให้คนนำท่อนไม้ท่อนหนึ่งไปตั้งไว้ที่หน้าประตูเมืองด้านใต้ และออกประกาศให้ประชาชนรับทราบว่า “หากผู้ใดสามารถแบกท่อนไม้นี้ไปยังประตูเมืองด้านเหนือได้ จะได้รับรางวัลเป็นทอง 10 ตำลึง” ชั่วครู่เดียวก็มีคนแห่กันมาดูท่อนไม้เต็มไปหมด มีแต่คนพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันอึงคะนึง บ้างก็ว่า “สงสัยจะหลอกให้เรายกท่อนไม้เป็นการล้อเล่นมากกว่า” บ้างก็ว่า “ท่อนไม้แค่นี้ลูกชายคนเล็กของข้าก็ยกไหว ไม่เห็นต้องตั้งรางวัลถึง 10 ตำลึงทองเลย” มีแต่คนมุงดูและคอยดูว่าจะมีไอ้หน้าโง่คนไหนโดยต้มตุ๋น ซังเอียงเห็นมีแต่คนมุงดู ไม่มีใครแบกท่อนไม้ท่อนนั้น จึงประกาศเพิ่มรางวัลขึ้นเป็นห้าเท่า หากใครสามารถแบกท่อนไม้ไปยังประตูเมืองด้านเหนือจะได้รับรางวัล 50 ตำลึงทอง คราวนี้ยิ่งไม่มีใครกล้าไปแตะท่อนไม้เข้าไปใหญ่ เพราะยิ่งไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

ขณะที่ประชาชนมุงดูท่อนไม้และพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจกันอยู่นั้น ก็มีคนเซ่อๆ ซ่าๆ คนหนึ่ง ซึ่งมักจะถูกคนหยอกเล่นอยู่ประจำโผล่มาพอดี พวกจีนมุงก็เลยยุให้แบกท่อนไม้ไปยังประตูเมืองด้านเหนือ แล้วจะได้รางวัลเป็นทอง 50 ตำลึง ไอ้คนเซ่อซ่านั่นก็ไม่ได้คิดมาก รีบไปยกเอาท่อนไม้ขึ้นใส่บ่าแล้วเดินแบกไปยังประตูเมืองด้านเหนือ ประชาชนที่มุงดูอยู่ก็เฮโลตามไปดู เพื่อจะได้ไปเย้ยหยันไอ้เซ่อให้สนุกที่ถูกหลอกต้มให้แบกท่อนไม้ฟรีๆ

แต่ปรากฎว่า ซังเอียงได้ประกาศความดีความชอบของไอ้เซ่อซ่าว่าเป็นพลเมืองดีที่เชื่อฟังคำสั่งของรัฐ พร้อมกับมอบรางวัลเป็นทอง 50 ตำลึงให้ไอ้เซ่อซ่าทันที พวกจีนมุงเห็นดังนั้น จึงพากันรู้สึกเสียดายไปตามๆ กัน รู้อย่างนี้แบกไปนานแล้ว ถ้าพรุ่งนี้มีลาภอย่างนี้อีกจะไม่ยอมให้พลาดโอกาสเด็ดขาด

วันรุ่งขึ้น ผู้คนพากันมาที่หน้าประตูเมืองมืดฟ้ามัวดิน เพื่อมาดูว่าจะมีท่อนไม้อีกหรือไม่ คราวนี้ไม่เห็นมีท่อนไม้ แต่มีแผ่นประกาศของทางการแผ่นเบ้อเริ่มปิดอยู่บนกำแพง เป็นประกาศข้อบัญญัติกฎหมายใหม่มีสาระสำคัญดังนี้

1. ให้มีการทำสำมะโนครัว แบ่งครอบครัว 5 ถึง 10 ครอบครัวเป็นหนึ่งหมู่ ครอบครัวภายในหมู่จะต้องคอยสอดส่องตรวจสอบซึ่งกันและกัน ครอบครัวหนึ่งมีการทำผิดกฎหมาย อีก 9 ครอบครัวจะต้องไปแจ้งให้ทางการรู้ หากไม่แจ้งก็จะถูกลงโทษทั้ง 10 ครอบครัว ส่วนคนที่แจ้งให้ทางการรู้จะมีความดีความชอบเทียบเท่ากับสังหารข้าศึก คนที่ให้ที่หลบซ่อนแก่คนผิดจะได้รับโทษเท่ากับคนทำผิด

2. ประชาชนทุกคนจะต้องมีบัตรประจำตัว หากไม่มีบัตรประจำตัวจะไปไหนมาไหนไม่ได้ จะพักในโรงแรมไม่ได้

3. มีแต่ผู้ที่รบกับข้าศึกได้ชัยชนะเท่านั้นจึงจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ และยศถาบรรดาศักดิ์จะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความสามารถทางการทหาร พวกคนรวยหรือเชื้อพระวงศ์หากไม่มีความดีความชอบทางด้านการทหาร ก็จะไม่มียศถาบรรดาศักดิ์

4. การวิวาทประทุษร้ายกันจะถูกลงโทษหนักเบาตามโทษานุโทษ

5. ประชาชนเพาะปลูกหรือทอผ้าได้ผลผลิตมาก จะได้รับยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน ส่วนพวกเกียจคร้านก็ถูกจับไปเป็นทาสหลวงหมด ครอบครัวใดมีลูกชาย 2 คน โตเป็นผู้ใหญ่ ต้องแยกออกไปมีครอบครัวเอง มิฉะนั้นจะต้องเสียภาษีเพิ่ม

การปฏิรูปการปกครองของซังเอียงประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่มีใครกล้าทำผิดกฎหมาย เพราะซังเอียงยึดถือกฎหมายอย่างเคร่งครัด ท่านถือว่าทุกคนมีความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย ไม่ว่าผู้ใดจะมีอำนาจมากเพียงไร มีฐานะสูงเพียงไร เมื่อทำผิดกฎหมายก็จะต้องได้รับโทษเท่าเทียมกับประชาชนทั่วไป แม้แต่องค์รัชทายาททรงทำผิดกฎหมาย ซังเอียงก็ไม่ยอมละเว้น ได้จับเอาอาจารย์ของรัชทายาทมาลงโทษแทน จนเชื้อพระวงศ์อื่นๆ และขุนนางคนใหญ่คนโต หัวหดไปหมด

โดยที่ประชาชนเมืองฉินยอมทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด การปฏิรูปการปกครองของซังเอียงจึงประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ผลผลิตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมากมาย ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่มีโจรผู้ร้าย ทรัพย์สินของตกหล่นบนถนนก็ไม่มีใครหยิบฉวยไป กำลังทหารเข้มแข็ง ไม่มีใครกล้ามารุกราน บ้านเมืองสงบร่มเย็น

จะเห็นว่า เมืองฉิน เจริญก้าวหน้าขึ้นมาได้ก็เพราะประชาชนมีระเบียบวินัย และประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ประชาชนประเทศใดไร้ระเบียบวินัย และไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย ประเทศนั้นย่อมจะหวังความเจริญก้าวหน้าได้ยาก ก็อย่างสยามประเทศของเราทุกวันนี้ใครใคร่ทำผิดกฎหมายก็ทำไปสบายมาก ยิ่งสามารถรวมคนได้มากๆ ก็ยิ่งแสดงว่าชอบธรรม...

* * * * *

แหล่งข้อมูล : ส.สุวรรณ



Create Date : 14 ตุลาคม 2548
Last Update : 16 ตุลาคม 2548 3:06:43 น.
Counter : 599 Pageviews.

3 comment
ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว
Infernal Affair ไตรภาค นั้นสอนให้เราได้รู้ซึ้งของประเภทของคน และรู้จักหัดแยกแยะประเภทของคนให้ได้ บางที...คนดีแฝงอยู่ในมุมมืดและคนชั่วในคราบผู้ดี เปรียบดั่งตำราจีนโบราณสอนไว้...

“เลี่ยจื่อ” นักปราชญ์สำนักเต๋าสมัยจั้นกั๋ว ที่ไปหลงใหลศรัทธาความสามารถในการทำนายทายทักผู้คนของ จี้เสียน พ่อมดหมอผีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันว่า จี้เสียนสามารถทำนายความเป็นความตาย ความมีโชคอับโชคของผู้คนได้อย่างแม่นยำราวกับผีบอก เลี่ยจื่อ ถึงกับพูดกับอาจารย์ของตนอันมีนามว่า หูชิวจื่อหลินว่า “แต่เดิมกระผมคิดว่า อาจารย์เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ความสามารถเก่งกาจที่สุดในโลก บัดนี้ มีคนที่เก่งกาจกว่าอาจารย์เสียอีก”

หูชิวจื่อหลิน ตอบว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีลักษณะสองด้าน คือ ลักษณะภายนอก กับธาตุแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน คนธรรมดาทั่วไป ความคิดความรู้สึกภายในเป็นอย่างไรจะแสดงออกทางลักษณะภายนอกให้คนเขาเห็น หมอดูนายจี้เสียนจึงทำนายความจริงที่ซ่อนอยู่ในผู้คนทั่วไปได้แม่นยำ แกลองไปหานายจี้เสียนนั่น มาดูโหงวเฮ้งทำนายดวงชะตาของอาจารย์ทีสิ”

วันรุ่งขึ้น เลี่ยจื่อ พาจี้เสียนมาดูโหงวเฮ้งของหูชิวจื่อหลิน เมื่อดูเสร็จจี้เสียนกระซิบบอกเลี่ยจื่อด้วยอาการเศร้าสร้อยว่า “อาจารย์ของคุณใกล้จะสิ้นบุญแล้ว จะมีชีวิตอยู่อีกไม่เกินสิบวัน เพราะดูสีหน้าของท่านเหมือนเถ้าเปียก” เลี่ยจื่อเสียใจร้องห่มร้องไห้ นำคำทำนายของพ่อมดมาแจ้งให้อาจารย์ทราบ

หูชิวจื่อหลินบอกว่า “หากดูจากลัษณะภายนอกก็นับว่าเขาทำนายได้ถูกต้อง เพราะอาจารย์ได้แสดงจุดมรณะให้ปรากฏบนใบหน้าและร่างกายให้เขาเห็น เขาจึงทายว่าชีวิตของอาจารย์เหลือเพียงสิบวัน แกลองไปเชิญเขามาดูใหม่สิ”

วันที่สอง เลี่ยจื่อไปพาจี้เสียนมาดูโหงวเฮ้งของหูชิวจื่อหลินอีก เมื่อดูเสร็จ จี้เสียนบอกเลี่ยจื่ออย่างตื่นเต้นว่า “อาจารย์ของคุณโชคดีที่เมื่อวานได้พบข้า ทำให้โรคาพยาธิท่านหายเป็นปลิดทิ้ง ดูร่างกายจิตใจมีชีวิตชีวา” เลี่ยจื่อนำความไปบอกหูชิวจื่อหลิน หูชิวจื่อหลินกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะอาจารย์ได้แสดงลักษณะที่อบอวลด้วยชีวิตชีวาให้ปรากฏบนใบหน้าและร่างกาย ดุจดังลักษณะอ่อนโยนดีงามของฟ้าดินที่เอื้ออำนวยให้สรรพชีวิตเจริญงอกงาม ฉะนั้นแกไปพาเขามาดูอาจารย์อีกสักครั้งเถอะ”

วันต่อมา เลี่ยจื่อพาจี้เสียนมาพบหูชิวจื่อหลินอีก หลังจากดูโหงวเฮ้งเสร็จ จี้เสียนพูดกับเลี่ยจื่อว่า “โหงวเฮ้งอาจารย์คุณเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ข้าไม่สามารถทำนายดวงชะตาของท่านได้หรอก”

หูชิวจื่อหลินได้สั่งสอนเลี่ยจื่อว่า “ที่อาจารย์แกล้งเปลี่ยนแปลงลักษณะโหงวเฮ้ง 2-3 ครั้งจนพ่อมดหมอผีไม่สามารถทำนายดวงชะตาของอาจารย์ได้แน่นอน ก็เพื่อที่จะให้แกได้เรียนรู้ว่า สรรพสิ่งและมนุษย์ในโลกล้วนมีลักษณะสองด้าน คือลักษณะภายนอก กับลักษณะธาตุแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน ผู้คนทั่วไปมักมองแต่ภายนอก ไม่ได้มองทะลุเข้าไปสู่เบื้องลึกภายใน จึงมักจะดูสิ่งต่างๆ และดูคนผิดไป บางคนภายนอกดูสุขุม แต่ภายในใจร้อนรุ่ม บางคนข้างนอกดูเข็มแข็ง แต่ภายในอ่อนแอ เพราะฉะนั้น การคบหาสมาคมกับผู้คน อย่าถูกลักษณะภายนอกหลอกให้หลงใหล พึงยึดกุมธาตุแท้ที่ซ่อนอยู่ภายในให้ได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

การดูให้เห็นถึงธาตุแท้ของคน คงไม่ต้องถึงขนาดอาศัยญาณวิเศษอันใดดอก นักปราชญ์จีนสอนว่า การดูคนอย่าดูเพียงด้านเดียว ให้ดูหลายแง่หลายมุม จะได้ไม่โดนหลอก เมื่อดูคนผิดใช้คนผิดก็จะทำให้เกิดความเสียหายได้ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง หากไปเชื่อลักษณะภายนอก เห็นว่าเป็นคนมีคุณธรรมความสามารถแล้วไปเลือกให้เขามาปกครองบ้านเมือง แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคนที่มีคุณธรรมความสามารถอย่างที่เข้าใจ ก็รังแต่จะทำให้บ้านเมืองฉิบหายเท่านั้น

ในประวัติศาสตร์จีน มีจักรพรรดิหลายต่อหลายองค์ที่ขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจได้เพราะเสแสร้งทำตัวเป็นผู้มีคุณธรรมความสามารถ จนกระทั่งชนกชนนี ขุนนาง และประชาชนหลงเชื่อ แต่แท้จริงเป็นพวกทรราช พวกปิศาจคาบคัมภีร์ อย่างเช่น อ๋วงหมั่ง (45-25 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ปลายยุคราชวงศ์ตังฮั่น เป็นพระประยูรวงศ์ ทำตัวสมถะ มีชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย ปากพร่ำเอ่ยแต่คุณธรรม กล่าวอ้างถึงคัมภีร์จริยธรรมและคัมภีร์กตัญญูกถาของลัทธิหยูอยู่เสมอ มันแสดงตนให้ผู้คนได้เห็นว่าเป็นคนไม่สนใจลาภยศสักการ แต่ก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองมียศถาบรรดาศักดิ์สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีตำแหน่งราชการเป็นถึงสมุหนายกและสมุหกลาโหม ในที่สุดได้ลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิ และช่วงชิงราชบัลลังก์จากราชวงศ์ฮั่นสำเร็จ สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซิน ขณะปราบดาภิเษกยังทำเป็นร้องห่มร้องไห้เสียใจที่ไม่สามารถรักษาพระชนม์ชีพของจักรพรรดิไว้ได้

หรืออย่าง เอี๋ยงก่วง (จักรพรรดิสุยเอี๋ยงตี้ คริสต์ศักราช 569-618) เป็นทรราชที่มีชื่อเสียงเหม็นฉาวโฉ่มากในประวัติศาสตร์จีน ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิด้วยการปลงพระชนม์พระบิดาและพระเชษฐา หลังจากขึ้นครองราชย์ เอี๋ยงก่วงใช้ชีวิตสนุกสนานอย่างเต็มที่ จะเรียกเป็นจักรพรรดิเพลย์บอยก็คงไม่ผิด แต่ความสุขสำราญนั้นแลกมาได้ด้วยเลือดและน้ำตาของอาณาประชาราษฎร์ เอี๋ยงก่วงเป็นจักรพรรดิจอมโหดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน ท่านเห็นชีวิตคนเป็นเหมือนผักปลา ท่านสั่งฆ่าคนตามอำเภอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ขัดขวางความสุขสำราญของท่านต้องตายลูกเดียว ในหนังสือประวัติศาสตร์จีนได้ประกาศโทษของเอี่ยงก่วงไว้ว่า “แม้จะเอาลำไผ่จากเขาหนันซันทั้งเขามาบันทึกบาปกรรมที่ก่อไว้ ก็บันทึกไม่หมด แม้จะเอาคลื่นจากทะเลตงไห่ทั้งหมดมาชะล้างความชั่วร้ายที่ทำไว้ ก็ชะล้างไม่หมด” จะเห็นว่าเอี๋ยงก่วงช่างชั่วช้าสามารเลวเหลือเกิน แต่ก็คนที่ชั่วช้าสารเลวคนเดียวกันนี้แหล่ะ ก่อนที่จะได้อำนาจก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิ มีแต่คนสรรเสริญชื่นชมว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม ท่านหลอกลวงต้มตุ๋นใครต่อใครจนเปื่อย กว่าจะรู้ว่าถูกหลอกถูกตุ๋นก็สายเสียแล้ว

ก็อย่างที่คำพังเพยของจีนว่าไว้ไม่มีผิดที่ว่า “รู้จักคน รู้จักหน้า ไม่รู้จักใจ” หมายความว่า การจะรู้ลึกซึ้งถึงธาตุแท้ที่ซ่อนอยู่ภายในใจนั้นยาก ในหนังสือ “จวงจื่อ” มีอยู่ตอนหนึ่งได้อ้างถึงคำพูดของท่านขงจื้อว่า “โดยทั่วไปจิตใจของคนอันตรายยิ่งกว่าเขาสูงลำธารเชี่ยว คาดคะเนได้ยากกว่าธรรมชาติ ธรรมชาติยังมีฤดูกาล มีเวลาเช้าค่ำที่แน่นอน คนบางคนหน้าตาดูซื่อๆ แต่จิตใจล้ำลึกสุดจะหยั่งถึง บางคนดูหน้าตาอ่อนโยน แต่ภายในใจดุร้าย บางคนลักษณะภายนอกดูเป็นผู้ใหญ่นับถือ แต่ความจริงไม่ใช่ บางคนท่าทางดูมีจรรยามารยาท แต่จิตใจหยาบโลน บางคนดูภายนอกเข้มแข็ง แต่ที่แท้ภายในอ่อนแอ บางคนดูภายนอสุขุมแต่ภายในร้อนรุ่ม พวกที่ใฝ่หาคุณธรรมอย่างรีบร้อน เหมือนกับคนที่กระหายน้ำต้องการน้ำดื่ม ก็จะละทิ้งคุณธรรมไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับคนที่วิ่งหนีไฟฉันนั้น”

แม้แต่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านขงจื้อยังบ่นถึงความยากลำบากในการดูคนมาตั้งแต่เมื่อ 2,500 ปีก่อนแล้ว เสียงบ่นของท่านยังก้องอยู่ในรูหูของผู้คนตราบเท่าทุกวันนี้ แล้วเราก็ยังคงดูคนผิดมาเรื่อยๆ มันน่าช้ำใจไหมล่ะ

หลีคุน นักปราชญ์สมัยราชวงศ์หมิง ได้เขียนไว้ในหนังสือ “เซินอิ๋นอี่” คร่ำครวญว่า “คนถ่อยที่มีความรู้ความสามารถเป็นคนที่อันตรายมากที่สุด คนดีที่ไม่มีความรู้ความสามารถก็เป็นคนที่อันตรายที่สุดเช่นกัน”



Create Date : 14 ตุลาคม 2548
Last Update : 26 มกราคม 2549 1:33:15 น.
Counter : 449 Pageviews.

5 comment
มงคลชีวิต ฉบับรวมมิตร
พ.ศ.2504
ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีการสูญเสียใด ๆ ที่น่าเสียใจ เท่ากับการเสียเวลา เสียเวลาเพียงหนึ่งวินาที ก็เท่ากับสูญเสียส่วนหนึ่งของชีวิต อายุที่เราได้นั้นคือชีวิตที่เราสูญเสียไป

ความกังวลใจ คือ ศัตรูของชีวิต อดีตคือความฝัน อนาคตคือความไม่แน่นอน ปัจจุบันเท่านั้นที่เราจะแก้ไขได้ ไม่มีใครสร้างความเดือดร้อนให้แก่เราได้นอกจากตัวเราเอง

พ.ศ.2505
การทำความดี มีได้ทุกโอกาส

ความประมาททำให้พลาดจากความดี

ความดี ให้ความอิ่มใจในเบื้องหลัง ให้ความสมหวังในเบื้องหน้า

ความชั่ว ให้ความขุ่นใจในเบื้องหลัง ให้ความผิดหวังในเบื้องหน้า

จงพอใจในชีวิตของตัวเอง โดยมิต้องไปเปรียบเทียบชีวิตของผู้อื่น

พ.ศ.2506
ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นคนอาภัพอับโชคที่สุด

ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นคนโชคดีที่สุด

มัวเมาในสิ่งที่ตนได้ หลงใหลในสิ่งที่ตนมี คือการสร้างเรือนจำขังตัวเอง

เห็นโทษในสิ่งที่ตนได้ เห็นภัยในสิ่งที่ตนมี คือความเป็นอิสระในโลก

พ.ศ.2507
…คาถากันความทุกข์…
เมื่อได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ให้เสกคาถาว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เมื่อสิ่งเหล่านี้เสื่อมสิ้นไปจะได้ไม่เป็นทุกข์ใจ
เมื่อประสบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ให้เสกคาถาว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะได้ไม่ทุกข์ทรมานใจ

…การแก้ปัญหา…
การแก้ปัญหายุ่งยากของชีวิตไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มปริมาณ หรือแก้ด้วยการหลบหนี แต่จะแก้ได้ด้วยการศึกษาให้รู้เหตุที่มาของความยุ่งยากนั้น การค้นให้พบต้นเหตุนั้นแล คือการแก้ปัญหาชีวิต

พ.ศ.2508
ถ้าทำใจร้อน จะร้อนใจภายหลัง

ถ้าทำมักง่าย จะวุ่นวายภายหลัง

ถ้าเห็นแก่ได้ จะเสียใจภายหลัง

ถ้าเห็นแก่กิน จะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม

ถ้าพูดพล่อย ๆ จะเสื่อมถอยความนับถือ

ถ้าสบายเมื่อหนุ่ม จะกลุ้มใจเมื่อแก่

ถ้าทำตามใจชอบ จะได้รับสิ่งที่ไม่ชอบใจ

ถ้าทำบาปแลกบุญ จะขาดทุนเรื่อยไป

ถ้าเห็นแก่ธรรม สุขเลิศล้ำตลอดกาล

พ.ศ.2509
คนที่ไม่รักษาเวลา คือคนฆ่าตัวเอง

อดีตคือความฝัน ปัจจุบันคือภาพมายา อนาคตคือความไม่แน่นอน

ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่ตัวเราเอง

โกรธคนอื่น เหมือนจุดไฟเผาตัวเอง

เมตตาคนอื่น เหมือนสร้างบ้านให้ตัวเอง

อย่าระแวงคนอื่น ยิ่งกว่าระวังตัวเอง

ชีวิตไม่พอกับตัณหา เวลาไม่พอกับความต้องการ

ที่พักครั้งสุดท้ายของชีวิต คือป่าช้า

พ.ศ.2510
ถ้าทำตัวแข่งกับสังคม ความล่มจมจะตามมา

ถ้าทำงานเห็นแก่หน้า จะพบปัญหาเรื่อยไป

ถ้าทำตัวเห็นแก่ได้ อย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง

ถ้ากลัวเกินไป จะทำอะไรไม่สำเร็จ

ถ้ากล้าจนเกินงาม จะพบกับความเดือดร้อน

ถ้าขาดความพอดี จะเป็นหนี้ตลอดกาล

ถ้าหวังแต่สนุก จะพบความทุกข์มหันต์

ถ้าขาดความยั้งคิด ชีวิตจะหมดความหมาย

ถ้าทำใจให้สงบ จะพบกับความสุขเยือกเย็น

พ.ศ.2511
ถ้ามีความพอดี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก

ถ้ามีแต่ความงก จะเป็นยาจกในเรือนเศรษฐี

ถ้ามีเมตตาจิต จะมีญาติมิตรทั่วบ้าน

ถ้าเมตตาเกินประมาณ จะพบคนพาลทั่วเมือง

ถ้าคิดถึงแต่ความหลัง จะพบรังแห่งความเศร้า

ถ้ามีแต่ความมัวเมา จะพบความปวดร้าวภายหลัง

ถ้าทำดีเพื่อเด่น จะถูกเขม่นจากญาติมิตร

ถ้าทำความดีด้วยน้ำจิต จะมีชีวิตอยู่อย่างสบาย

ถ้าหวังพึ่งแต่คนอื่น จะต้องกลืนน้ำตาตัวเอง

ถ้ารู้จักใช้เวลา ชีวิตจะมีค่ากว่านี้

พ.ศ.2512
อย่าพยายามทำคนอื่นให้เหมือนใจเรา เพราะเราก็ทำให้เหมือนใจคนอื่นไม่ได้

อย่าทำตัวเป็นผู้รับฝ่ายเดียว จงทำตัวเป็นผู้ให้ด้วย

อย่าทำตัวให้เด่นกว่างาน จงพยายามทำงานให้เด่นกว่าตัว

อย่าทำบ้านให้แข็งแรงกว่าพื้นฐาน จงทำพื้นฐานให้แข็งแรงกว่าบ้าน

อย่าพยายามทำสิ่งที่ได้ให้เท่ากับใจ จงพยายามทำใจให้เท่ากับสิ่งที่ได้

พ.ศ.2513
ถ้าไม่กินอยู่เท่าที่มี จะได้เป็นเศรษฐีเงินกู้

ถ้ามั่วสุมกับอบายมุข จะพบความทุกข์ในเบื้องปลาย

ถ้าทำหูเบาเอาเขาว่า จะต้องน้ำตาตกใน

ถ้าพูดโดยไม่คิด เท่ากับพ่นลมพิษใส่คนอื่น

ถ้าจริงจังกับโลกเกินไป จะต้องตายเพราะความเศร้า

ถ้าต้องการความเป็นอิสระ ให้พยายามชนะตัวเอง

ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ จะพบความสุขได้ที่ไหน

ถ้าไม่ยอมปล่อยวาง จะพบกับความว่างได้อย่างไร

ถ้าหาความสุขจากความมัวเมา เท่ากับจับเงาในกระจก

พ.ศ.2514
ถ้าอยากเป็นคนงาม อย่าวู่วามโกรธง่าย

ถ้าอยากเป็นคนสบาย อย่าเบื่อหน่ายความเพียร

ถ้าอยากเป็นคนมั่งมี อย่าเป็นคนดีแต่จ่าย

ถ้าอยากเป็นคนนำสมัย อย่าทำลายวัฒนธรรม

ถ้าอยากเป็นคนมีเกียรติ อย่าเหยียดหยามคนอื่น

ถ้าอยากมีความรู้ อย่าลบหลู่อาจารย์

ถ้าอยากหาความสำราญ อย่าล้างผลาญสมบัติ

ถ้าอยากเป็นคนมีอำนาจ อย่าขาดความยุติธรรม

ถ้าอยากเป็นคนดัง อย่าหวังความสงบ

พ.ศ.2515
เป็นอยู่เท่าที่มี ดีกว่าเป็นเศรษฐีเงินผ่อน

ทำการงานอยู่กับบ้าน ดีกว่าสุขสำราญในบ่อน

แสวงลาภจากการงาน ดีกว่าบนบานบวงสรวง

ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู

รักกันฉันท์พี่น้อง ดีกว่าเงินทองเป็นไหน ๆ

ปิดปากไว้ไม่พูดจา ดีกว่านินทาเพื่อนบ้าน

ยอมลำบากเมื่อหนุ่ม ดีกว่าจะกลุ้มเมื่อแก่

อยู่คนเดียวอย่างสงบ ดีกว่าคลคนพาล

คอยตักเตือนตัวเอง ดีกว่าเพ่งโทษคนอื่น

ทำความดีแล้วดัง ดีกว่าถูกชังเพราะทำชั่ว

พ.ศ.2516
ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นคนอาภัพอับโชคที่สุด

ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นคนโชคดีที่สุด

มัวเมาในสิ่งที่ตนได้ หลงใหลในสิ่งที่ตนมี คือการสร้างเรือนจำขังตัวเอง

เห็นโทษในสิ่งที่ตนได้ เห็นภัยในสิ่งที่ตนมี คือความเป็นอิสระในโลก

พ.ศ.2524
ขยันหมั่นไว้จะได้ดี แต่อย่ามีความโลภ

หวังได้ทรัพย์จากการพนัน คือความเพ้อฝันของคนสิ้นคิด

ความหลงใหลอบายมุข คือความทุกข์ของครอบครัว

ปัญหาเศรษฐกิจและจิตใจ ต้องแก้ไขพร้อมกัน

การพัฒนาที่ถูกทาง คือการเสริมสร้างคนดี

ดูคนดี ดูที่การกระทำ ดูผู้นำ ดูที่การเสียสละ

ศัตรูของประเทศชาติ คือประชาราษฎร์ขาดความสามัคคี

ความคิดริษยา เหตุที่มาของการแตกแยก

ชีวิตที่ยุ่งยาก เพราะมีความอยากมากเกินไป

ทุกข์ยากที่อุปาทาน สุขสำราญที่ปล่อยวาง

หมั่นนึกถึงความตาย คืออุบายแห่งความไม่ประมาท

พ.ศ.2525
คนเกียจคร้านไม่เอางาน เป็นคนพิการสากล

คนที่หวังพึ่งโชคชะตา เป็นคนปัญญาอ่อน

คนที่ท้อถอยเบื่อหน่าย เป็นคนตายก่อนหมดอายุ

คนที่มัวเมาเอาแต่เงิน จะหางเหินจากญาติมิตร

กินเหล้าเพื่อเข้าสังคม เป็นค่านิยมที่ผิด

ภัยที่น่ากลัวคือความตาย ทางแห่งความฉิบหายคืออบายมุข

ไม่หลงของเก่า ไม่เมาของใหม่ เป็นหัวใจการพัฒนา

คนเก่ง ๆ มีมาก คนที่หายากคือคนดี

ความวิตกกังวลใจ เป็นโรคร้ายของชีวิต

ความยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นอุบายสร้างสันติ

พ.ศ.2526
ตัวอย่างที่ไม่ดีในสังคม สร้างค่านิยมที่ให้โทษ

ความง่ายอยู่ที่ปาก ความยากอยู่ที่ทำ

ทำดีไม่มีประมาณ ก่อความรำคาญให้คนอื่น

สู้รบแบบพุทธะ คือการเอาชนะด้วยตัวเอง

ระวังหูของเรา ดีกว่าเฝ้าปิดปากคนอื่น

เหนื่อยกายหลับสนิท เหนื่อยจิตหลับไม่ลง

พยับแดดลวงตา โลกมายาลวงใจ

ไม่หยุดไม่ถึงพระ ไม่ละไม่ถึงธรรม

พ.ศ.2527
ลำบากเพราะการงาน ดีกว่าสำราญแล้วกลุ้ม

มั่งมีเพราะประหยัด อัตคัตเพราะฟุ่มเฟือย

คุณความดีมีมาก ส่วนที่หายากคือคนทำความดี

ทำอะไรตามใจว่า สร้างปัญหาให้ตัวเอง

อามิสเป็นเพียงสิ่งอาศัย ความสุขใจอยู่ที่ความสงบ

ความสุขที่ได้จากตัณหา มีค่าเท่ากับความทุกข์

สะดวกนักมักมักง่าย สบายนักมักลืมตัว

การรู้จักปล่อยวาง เป็นวิถีทางสงบสุข

พ.ศ.2528
เหล้าไม่ได้ทำให้คนเมา คนต่างหากเมาเหล้า

สัตว์ไม่ได้โหดร้ายกว่าคน คนต่างหากโหดร้ายกว่าสัตว์

ศีลธรรมไม่ได้เสื่อม คนต่างหากเสื่อมจากศีลธรรม

ความสุขไม่ได้อยู่ที่ความสมปรารถนา การรู้จักทำใจ
เมื่อไม่สมปรารถนาต่างหากเป็นความสุข

พ.ศ.2529
สังคมวุ่นวาย เพราะอบายมุข

ทำแล้วไม่พูด ดีกว่าพูดแล้วไม่ทำ

มีทรัพย์อับปัญญา จะพาให้เดือดร้อน

เป็นอยู่อย่างเรียบง่าย คืออุบายการประหยัด

แต่งแต่กายไร้ค่า ถ้าไม่แต่งใจ

คิดเอาแต่ได้ จะเสียใจภายหลัง

เป็นอยู่อย่างบัณฑิต จะมีชีวิตอย่างปลอดภัย

จงทำตามความถูกต้อง อย่าทำเพราะความถูกใจ

ทำอารมณ์ให้ผ่องใส เป็นอุบายแก้ทุกข์

พ.ศ.2530
พัฒนาไปจะไร้ผล ถ้าทุกคนหวังแต่เงิน

อยู่นานไปจะไร้ชาติ ถ้าขาดความสามัคคี

คิดไปก็ไร้คุณ ถ้ามัววุ่นแต่คิด

ทำไปก็ไร้ค่า ถ้าไม่กล้าจะทำจริง

ยิ่งทำไปยิ่งได้บุญ ถ้าเกื้อกูลกันและกัน

ภาวนาไปให้ใจสงบ จะได้พบสันติภาพ

พ.ศ.2531
บอกบุญบ่อย ๆ จะถ่อยศรัทธา
บอกถูกเวลา ศรัทธาเจริญ

ถ้าผูกใจเจ็บ จะเจ็บใจเรา
ถ้าเมตตาเขา ใจเราสบาย

ความคิดริษยา พาใจให้วุ่น
เมตตาการุณ อบอุ่นไมตรี

ความกังวลใจ เป็นภัยเป็นพิษ
สำรวมความคิด ชีวิตเบิกบาน

โลกที่สับสน เพราะคนวุ่นวาย
จะสุขสบาย เป็นเรื่องของคน

ถ้าปล่อยก็ว่าง ถ้าวางก็เบา ถ้าเอาก็หนัก

พ.ศ.2532
ถ้าจะพัฒนาเขา ให้พัฒนาตัวเราก่อน

ขยันไม่สันโดษ ทุกข์โทษจะตามมา

บ้านเมืองจะพินาศ เพราะคนในชาติกอบโกย

ระฆังดังเมื่อคนตี คนดีไม่ต้องตีก็ดัง

ลืมอะไรก็ลืมได้ แต่อย่าหลงใหลลืมตัว

ทำอะไรตามอารมณ์ ทุกข์ระทมจะตามมา

หลงทางเหนื่อยกาย หลงงมงายให้แต่โทษ

ความดีอยู่ที่การเสียสละ ชัยชนะอยู่ที่ขันติธรรม

พ.ศ.2533
ดูตัวเราคอยเฝ้าดูความผิด ดูญาติมิตรให้พินิจความดี

หลงอามิสมืดมัวตา หลงปริญญาเพิ่มมานะทิฐิ

ขับรถช้า ๆ เทวดาคุ้มครอง ขับรถคะนองผีจองเฝ้าป่าช้า

หญิงชายจะไร้เพศ ถ้าปฏิเสธศีลธรรม

โลกนี้ไม่มีปัญหา ถ้าศึกษาให้รู้ความจริง

สิ่งที่ได้มาเปล่าคือความเฒ่าชรา สิ่งที่ต้องแสวงหาคือคุณค่าของชีวิต

โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง

พ.ศ.2534
ความร้อนอบอ้าวจะมาก่อนฝน ความลำบากยากจน จะมาก่อนความสุข

โลกนี้แจ่มใสสำหรับคนใจกว้าง โลกนี้เวิ้งว้างสำหรับคนใจดำ

วาจาอ่อนหวานลูกหลานใกล้ชิด วาจาเป็นพิษญาติมิตรห่างไกล

อดีตจะหมดจดอนาคตจะสดใส ต้องแก้ไขที่ปัจจุบัน

ถ้าถือคนบ้า ถ้าท้าคนเมา ถ้าเข้าคนผิด จะเป็นพิษแก่ตัว

พ.ศ.2535
ทำดีไม่ได้ผล เพราะทำตนลุ่ม ๆ ดอน ๆ

มีเงินล้นฟ้า ไม่เท่าค่าของคน

ทำความดีแล้วตาย ดีกว่าอยู่สบายไม่ทำประโยชน์

คนดียินดีทำงาน คนอันธพาลระรานทำลาย

ผู้ใหญ่หลงลืมตัว น่ากลัวกว่าเด็กดื้อ

สัตว์ตายเพราะเหยื่อ คนถูกเบื่อเพราะอามิส

พ.ศ.2536
ขับรถซิ่ง ซิ่ง จะวิ่งไปตาย

ขับรถมักง่าย จะตายฟรีฟรี

เห็นคนเมา เท่ากับเห็นคนบ้า

เห็นขี้ยา เหมือนเห็นคนตาย

ถ้าไม่อยากยากจน อย่าทำตนเป็นคนมั่งมี
ถ้าอยากเป็นเศรษฐี ให้ทำทีเป็นคนจน


เมาสุราพาให้ประมาท เมาอำนาจพาชาติล่มจม

ความดังไม่คงที่ ความดีไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่ระวังปาก ได้ศัตรู ไม่ระวังหู ขาดหมู่ญาติมิตร

ชีวิตจะผิดหวัง ถ้ามัวแต่นั่งนอนคอย



Create Date : 14 ตุลาคม 2548
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2548 22:50:15 น.
Counter : 510 Pageviews.

28 comment
1  2  

Mistory
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]