กฎหมาย ต้อง เป็นกฎหมาย
ไร้นาม ได้เข้าถึงถึงปรัชญา "All under heaven" ของจิ๋นซีอ๋อง และจิ๋นซีอ๋องเองได้รับรู้ในความเข้าใจของเหล่าศัตรูต่อตนเองอย่างถ่องแท้ "The only person that understands me is my sworn enemy." แต่...กฎหมาย ต้องเป็นกฎหมาย
ในสมัยต้นยุคจั้นกั๋ว ประมาณ 2,000 กว่าปีมาแล้ว ประเทศจีนแตกแยกเป็นเมืองใหญ่ 7 เมือง และมีเมืองเล็กเมืองน้อยอีกหลายเมือง มีอยู่เมืองหนึ่งชื่อเมืองฉิน เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางวัฒนธรรมล้าหลังและอ่อนแอ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เมืองฉินอ่อนแอก็เพราะกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่มีระเบียบวินัย พวกขุนนางและลูกท่านหลานเธอก็ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน อยู่เหนือกฎหมาย มาถึงสมัยฉินเชี่ยงกงครองราชย์ พระองค์ทรงมีพระประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะปฏิรูปเมืองฉินให้เป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจร่ำรวยและมีทหารที่เข็มแข็งเกรียงไกร พอดีได้ ซังเอียง (?-338 ก่อนคริสต์ศักราช) มาช่วย ท่านเป็นรัฐบุรุษผู้มีความเก่งกายสามารถยอดเยี่ยงคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน ท่านได้วางรากฐานการปกครองโดยกฎหมายให้เมืองฉิน จนเจ้าเมืององค์ต่อๆ มา สามารถอาศัยพื้นฐานที่ท่านวางไว้ปราบเมืองอื่นๆ ราบคาบ และทำให้ประเทศจีนเป็นปึกแผ่น ฉินเจิ้ง ปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิ ฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉิน ซังเอียงกราบทูลฉินเชี่ยงกงว่า การที่จะทำให้เมืองฉินมีเศรษฐกิจมั่งคั่ง มีกำลังทหารเข็มแข็งเกรียงไกรนั้น เบื้องต้นจะต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ จะต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีความผิดต้องลงโทษ มีความชอบต้องปูนบำเหน็จ เมื่อมีการปูนบำเหน็จความดีความชอบ ประชาชนก็จะมุมานะทำงาน ทำความดีความชอบอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เมื่อมีการลงโทษอย่างรุนแรง ประชาชนก็จะไม่กล้าทำผิดกฎหมาย เมื่อมีการลงโทษและปูนบำเหน็จ รัฐก็จะมีอำนาจบารมี การปฏิรูปเพื่อให้บ้านเมืองมั่งคั่งและเข็มแข็งย่อมจะดำเนินไปได้โดยสะดวก เมื่อปี 359 ก่อนคริสต์ศักราช ซังเอียงได้ร่างกฎหมายปฏิรูปการปกครองขึ้นมาฉบับหนึ่ง และได้นำขึ้นถวายพระเจ้าฉินเชี่ยงกงเพื่อขอทรงวินิจฉันอนุมัติ ฉินเชี่ยงกงทรงเห็นชอบ มีพระราชโองการให้ประกาศบังคับใช้ทั่วอาณาจักรเมืองฉิน โดยที่ซังเอียงเกรงว่าประชาชนจะไม่เชื่อถือและไม่ยอมทำตามกฎหมายใหม่ เพื่อที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ของล้อเล่น ซังเอียงจึงได้ทำเรื่องแปลกประหลาดเพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชนขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ท่านได้ให้คนนำท่อนไม้ท่อนหนึ่งไปตั้งไว้ที่หน้าประตูเมืองด้านใต้ และออกประกาศให้ประชาชนรับทราบว่า หากผู้ใดสามารถแบกท่อนไม้นี้ไปยังประตูเมืองด้านเหนือได้ จะได้รับรางวัลเป็นทอง 10 ตำลึง ชั่วครู่เดียวก็มีคนแห่กันมาดูท่อนไม้เต็มไปหมด มีแต่คนพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันอึงคะนึง บ้างก็ว่า สงสัยจะหลอกให้เรายกท่อนไม้เป็นการล้อเล่นมากกว่า บ้างก็ว่า ท่อนไม้แค่นี้ลูกชายคนเล็กของข้าก็ยกไหว ไม่เห็นต้องตั้งรางวัลถึง 10 ตำลึงทองเลย มีแต่คนมุงดูและคอยดูว่าจะมีไอ้หน้าโง่คนไหนโดยต้มตุ๋น ซังเอียงเห็นมีแต่คนมุงดู ไม่มีใครแบกท่อนไม้ท่อนนั้น จึงประกาศเพิ่มรางวัลขึ้นเป็นห้าเท่า หากใครสามารถแบกท่อนไม้ไปยังประตูเมืองด้านเหนือจะได้รับรางวัล 50 ตำลึงทอง คราวนี้ยิ่งไม่มีใครกล้าไปแตะท่อนไม้เข้าไปใหญ่ เพราะยิ่งไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ขณะที่ประชาชนมุงดูท่อนไม้และพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจกันอยู่นั้น ก็มีคนเซ่อๆ ซ่าๆ คนหนึ่ง ซึ่งมักจะถูกคนหยอกเล่นอยู่ประจำโผล่มาพอดี พวกจีนมุงก็เลยยุให้แบกท่อนไม้ไปยังประตูเมืองด้านเหนือ แล้วจะได้รางวัลเป็นทอง 50 ตำลึง ไอ้คนเซ่อซ่านั่นก็ไม่ได้คิดมาก รีบไปยกเอาท่อนไม้ขึ้นใส่บ่าแล้วเดินแบกไปยังประตูเมืองด้านเหนือ ประชาชนที่มุงดูอยู่ก็เฮโลตามไปดู เพื่อจะได้ไปเย้ยหยันไอ้เซ่อให้สนุกที่ถูกหลอกต้มให้แบกท่อนไม้ฟรีๆ แต่ปรากฎว่า ซังเอียงได้ประกาศความดีความชอบของไอ้เซ่อซ่าว่าเป็นพลเมืองดีที่เชื่อฟังคำสั่งของรัฐ พร้อมกับมอบรางวัลเป็นทอง 50 ตำลึงให้ไอ้เซ่อซ่าทันที พวกจีนมุงเห็นดังนั้น จึงพากันรู้สึกเสียดายไปตามๆ กัน รู้อย่างนี้แบกไปนานแล้ว ถ้าพรุ่งนี้มีลาภอย่างนี้อีกจะไม่ยอมให้พลาดโอกาสเด็ดขาด วันรุ่งขึ้น ผู้คนพากันมาที่หน้าประตูเมืองมืดฟ้ามัวดิน เพื่อมาดูว่าจะมีท่อนไม้อีกหรือไม่ คราวนี้ไม่เห็นมีท่อนไม้ แต่มีแผ่นประกาศของทางการแผ่นเบ้อเริ่มปิดอยู่บนกำแพง เป็นประกาศข้อบัญญัติกฎหมายใหม่มีสาระสำคัญดังนี้ 1. ให้มีการทำสำมะโนครัว แบ่งครอบครัว 5 ถึง 10 ครอบครัวเป็นหนึ่งหมู่ ครอบครัวภายในหมู่จะต้องคอยสอดส่องตรวจสอบซึ่งกันและกัน ครอบครัวหนึ่งมีการทำผิดกฎหมาย อีก 9 ครอบครัวจะต้องไปแจ้งให้ทางการรู้ หากไม่แจ้งก็จะถูกลงโทษทั้ง 10 ครอบครัว ส่วนคนที่แจ้งให้ทางการรู้จะมีความดีความชอบเทียบเท่ากับสังหารข้าศึก คนที่ให้ที่หลบซ่อนแก่คนผิดจะได้รับโทษเท่ากับคนทำผิด 2. ประชาชนทุกคนจะต้องมีบัตรประจำตัว หากไม่มีบัตรประจำตัวจะไปไหนมาไหนไม่ได้ จะพักในโรงแรมไม่ได้ 3. มีแต่ผู้ที่รบกับข้าศึกได้ชัยชนะเท่านั้นจึงจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ และยศถาบรรดาศักดิ์จะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความสามารถทางการทหาร พวกคนรวยหรือเชื้อพระวงศ์หากไม่มีความดีความชอบทางด้านการทหาร ก็จะไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ 4. การวิวาทประทุษร้ายกันจะถูกลงโทษหนักเบาตามโทษานุโทษ 5. ประชาชนเพาะปลูกหรือทอผ้าได้ผลผลิตมาก จะได้รับยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน ส่วนพวกเกียจคร้านก็ถูกจับไปเป็นทาสหลวงหมด ครอบครัวใดมีลูกชาย 2 คน โตเป็นผู้ใหญ่ ต้องแยกออกไปมีครอบครัวเอง มิฉะนั้นจะต้องเสียภาษีเพิ่ม การปฏิรูปการปกครองของซังเอียงประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่มีใครกล้าทำผิดกฎหมาย เพราะซังเอียงยึดถือกฎหมายอย่างเคร่งครัด ท่านถือว่าทุกคนมีความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย ไม่ว่าผู้ใดจะมีอำนาจมากเพียงไร มีฐานะสูงเพียงไร เมื่อทำผิดกฎหมายก็จะต้องได้รับโทษเท่าเทียมกับประชาชนทั่วไป แม้แต่องค์รัชทายาททรงทำผิดกฎหมาย ซังเอียงก็ไม่ยอมละเว้น ได้จับเอาอาจารย์ของรัชทายาทมาลงโทษแทน จนเชื้อพระวงศ์อื่นๆ และขุนนางคนใหญ่คนโต หัวหดไปหมด โดยที่ประชาชนเมืองฉินยอมทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด การปฏิรูปการปกครองของซังเอียงจึงประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ผลผลิตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมากมาย ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่มีโจรผู้ร้าย ทรัพย์สินของตกหล่นบนถนนก็ไม่มีใครหยิบฉวยไป กำลังทหารเข้มแข็ง ไม่มีใครกล้ามารุกราน บ้านเมืองสงบร่มเย็น จะเห็นว่า เมืองฉิน เจริญก้าวหน้าขึ้นมาได้ก็เพราะประชาชนมีระเบียบวินัย และประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ประชาชนประเทศใดไร้ระเบียบวินัย และไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย ประเทศนั้นย่อมจะหวังความเจริญก้าวหน้าได้ยาก ก็อย่างสยามประเทศของเราทุกวันนี้ใครใคร่ทำผิดกฎหมายก็ทำไปสบายมาก ยิ่งสามารถรวมคนได้มากๆ ก็ยิ่งแสดงว่าชอบธรรม... * * * * * แหล่งข้อมูล : ส.สุวรรณ ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว
Infernal Affair ไตรภาค นั้นสอนให้เราได้รู้ซึ้งของประเภทของคน และรู้จักหัดแยกแยะประเภทของคนให้ได้ บางที...คนดีแฝงอยู่ในมุมมืดและคนชั่วในคราบผู้ดี เปรียบดั่งตำราจีนโบราณสอนไว้...
เลี่ยจื่อ นักปราชญ์สำนักเต๋าสมัยจั้นกั๋ว ที่ไปหลงใหลศรัทธาความสามารถในการทำนายทายทักผู้คนของ จี้เสียน พ่อมดหมอผีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันว่า จี้เสียนสามารถทำนายความเป็นความตาย ความมีโชคอับโชคของผู้คนได้อย่างแม่นยำราวกับผีบอก เลี่ยจื่อ ถึงกับพูดกับอาจารย์ของตนอันมีนามว่า หูชิวจื่อหลินว่า แต่เดิมกระผมคิดว่า อาจารย์เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ความสามารถเก่งกาจที่สุดในโลก บัดนี้ มีคนที่เก่งกาจกว่าอาจารย์เสียอีก หูชิวจื่อหลิน ตอบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีลักษณะสองด้าน คือ ลักษณะภายนอก กับธาตุแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน คนธรรมดาทั่วไป ความคิดความรู้สึกภายในเป็นอย่างไรจะแสดงออกทางลักษณะภายนอกให้คนเขาเห็น หมอดูนายจี้เสียนจึงทำนายความจริงที่ซ่อนอยู่ในผู้คนทั่วไปได้แม่นยำ แกลองไปหานายจี้เสียนนั่น มาดูโหงวเฮ้งทำนายดวงชะตาของอาจารย์ทีสิ วันรุ่งขึ้น เลี่ยจื่อ พาจี้เสียนมาดูโหงวเฮ้งของหูชิวจื่อหลิน เมื่อดูเสร็จจี้เสียนกระซิบบอกเลี่ยจื่อด้วยอาการเศร้าสร้อยว่า อาจารย์ของคุณใกล้จะสิ้นบุญแล้ว จะมีชีวิตอยู่อีกไม่เกินสิบวัน เพราะดูสีหน้าของท่านเหมือนเถ้าเปียก เลี่ยจื่อเสียใจร้องห่มร้องไห้ นำคำทำนายของพ่อมดมาแจ้งให้อาจารย์ทราบ หูชิวจื่อหลินบอกว่า หากดูจากลัษณะภายนอกก็นับว่าเขาทำนายได้ถูกต้อง เพราะอาจารย์ได้แสดงจุดมรณะให้ปรากฏบนใบหน้าและร่างกายให้เขาเห็น เขาจึงทายว่าชีวิตของอาจารย์เหลือเพียงสิบวัน แกลองไปเชิญเขามาดูใหม่สิ วันที่สอง เลี่ยจื่อไปพาจี้เสียนมาดูโหงวเฮ้งของหูชิวจื่อหลินอีก เมื่อดูเสร็จ จี้เสียนบอกเลี่ยจื่ออย่างตื่นเต้นว่า อาจารย์ของคุณโชคดีที่เมื่อวานได้พบข้า ทำให้โรคาพยาธิท่านหายเป็นปลิดทิ้ง ดูร่างกายจิตใจมีชีวิตชีวา เลี่ยจื่อนำความไปบอกหูชิวจื่อหลิน หูชิวจื่อหลินกล่าวว่า นั่นเป็นเพราะอาจารย์ได้แสดงลักษณะที่อบอวลด้วยชีวิตชีวาให้ปรากฏบนใบหน้าและร่างกาย ดุจดังลักษณะอ่อนโยนดีงามของฟ้าดินที่เอื้ออำนวยให้สรรพชีวิตเจริญงอกงาม ฉะนั้นแกไปพาเขามาดูอาจารย์อีกสักครั้งเถอะ วันต่อมา เลี่ยจื่อพาจี้เสียนมาพบหูชิวจื่อหลินอีก หลังจากดูโหงวเฮ้งเสร็จ จี้เสียนพูดกับเลี่ยจื่อว่า โหงวเฮ้งอาจารย์คุณเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ข้าไม่สามารถทำนายดวงชะตาของท่านได้หรอก หูชิวจื่อหลินได้สั่งสอนเลี่ยจื่อว่า ที่อาจารย์แกล้งเปลี่ยนแปลงลักษณะโหงวเฮ้ง 2-3 ครั้งจนพ่อมดหมอผีไม่สามารถทำนายดวงชะตาของอาจารย์ได้แน่นอน ก็เพื่อที่จะให้แกได้เรียนรู้ว่า สรรพสิ่งและมนุษย์ในโลกล้วนมีลักษณะสองด้าน คือลักษณะภายนอก กับลักษณะธาตุแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน ผู้คนทั่วไปมักมองแต่ภายนอก ไม่ได้มองทะลุเข้าไปสู่เบื้องลึกภายใน จึงมักจะดูสิ่งต่างๆ และดูคนผิดไป บางคนภายนอกดูสุขุม แต่ภายในใจร้อนรุ่ม บางคนข้างนอกดูเข็มแข็ง แต่ภายในอ่อนแอ เพราะฉะนั้น การคบหาสมาคมกับผู้คน อย่าถูกลักษณะภายนอกหลอกให้หลงใหล พึงยึดกุมธาตุแท้ที่ซ่อนอยู่ภายในให้ได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การดูให้เห็นถึงธาตุแท้ของคน คงไม่ต้องถึงขนาดอาศัยญาณวิเศษอันใดดอก นักปราชญ์จีนสอนว่า การดูคนอย่าดูเพียงด้านเดียว ให้ดูหลายแง่หลายมุม จะได้ไม่โดนหลอก เมื่อดูคนผิดใช้คนผิดก็จะทำให้เกิดความเสียหายได้ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง หากไปเชื่อลักษณะภายนอก เห็นว่าเป็นคนมีคุณธรรมความสามารถแล้วไปเลือกให้เขามาปกครองบ้านเมือง แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคนที่มีคุณธรรมความสามารถอย่างที่เข้าใจ ก็รังแต่จะทำให้บ้านเมืองฉิบหายเท่านั้น ในประวัติศาสตร์จีน มีจักรพรรดิหลายต่อหลายองค์ที่ขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจได้เพราะเสแสร้งทำตัวเป็นผู้มีคุณธรรมความสามารถ จนกระทั่งชนกชนนี ขุนนาง และประชาชนหลงเชื่อ แต่แท้จริงเป็นพวกทรราช พวกปิศาจคาบคัมภีร์ อย่างเช่น อ๋วงหมั่ง (45-25 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ปลายยุคราชวงศ์ตังฮั่น เป็นพระประยูรวงศ์ ทำตัวสมถะ มีชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย ปากพร่ำเอ่ยแต่คุณธรรม กล่าวอ้างถึงคัมภีร์จริยธรรมและคัมภีร์กตัญญูกถาของลัทธิหยูอยู่เสมอ มันแสดงตนให้ผู้คนได้เห็นว่าเป็นคนไม่สนใจลาภยศสักการ แต่ก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองมียศถาบรรดาศักดิ์สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีตำแหน่งราชการเป็นถึงสมุหนายกและสมุหกลาโหม ในที่สุดได้ลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิ และช่วงชิงราชบัลลังก์จากราชวงศ์ฮั่นสำเร็จ สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซิน ขณะปราบดาภิเษกยังทำเป็นร้องห่มร้องไห้เสียใจที่ไม่สามารถรักษาพระชนม์ชีพของจักรพรรดิไว้ได้ หรืออย่าง เอี๋ยงก่วง (จักรพรรดิสุยเอี๋ยงตี้ คริสต์ศักราช 569-618) เป็นทรราชที่มีชื่อเสียงเหม็นฉาวโฉ่มากในประวัติศาสตร์จีน ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิด้วยการปลงพระชนม์พระบิดาและพระเชษฐา หลังจากขึ้นครองราชย์ เอี๋ยงก่วงใช้ชีวิตสนุกสนานอย่างเต็มที่ จะเรียกเป็นจักรพรรดิเพลย์บอยก็คงไม่ผิด แต่ความสุขสำราญนั้นแลกมาได้ด้วยเลือดและน้ำตาของอาณาประชาราษฎร์ เอี๋ยงก่วงเป็นจักรพรรดิจอมโหดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน ท่านเห็นชีวิตคนเป็นเหมือนผักปลา ท่านสั่งฆ่าคนตามอำเภอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ขัดขวางความสุขสำราญของท่านต้องตายลูกเดียว ในหนังสือประวัติศาสตร์จีนได้ประกาศโทษของเอี่ยงก่วงไว้ว่า แม้จะเอาลำไผ่จากเขาหนันซันทั้งเขามาบันทึกบาปกรรมที่ก่อไว้ ก็บันทึกไม่หมด แม้จะเอาคลื่นจากทะเลตงไห่ทั้งหมดมาชะล้างความชั่วร้ายที่ทำไว้ ก็ชะล้างไม่หมด จะเห็นว่าเอี๋ยงก่วงช่างชั่วช้าสามารเลวเหลือเกิน แต่ก็คนที่ชั่วช้าสารเลวคนเดียวกันนี้แหล่ะ ก่อนที่จะได้อำนาจก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิ มีแต่คนสรรเสริญชื่นชมว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม ท่านหลอกลวงต้มตุ๋นใครต่อใครจนเปื่อย กว่าจะรู้ว่าถูกหลอกถูกตุ๋นก็สายเสียแล้ว ก็อย่างที่คำพังเพยของจีนว่าไว้ไม่มีผิดที่ว่า รู้จักคน รู้จักหน้า ไม่รู้จักใจ หมายความว่า การจะรู้ลึกซึ้งถึงธาตุแท้ที่ซ่อนอยู่ภายในใจนั้นยาก ในหนังสือ จวงจื่อ มีอยู่ตอนหนึ่งได้อ้างถึงคำพูดของท่านขงจื้อว่า โดยทั่วไปจิตใจของคนอันตรายยิ่งกว่าเขาสูงลำธารเชี่ยว คาดคะเนได้ยากกว่าธรรมชาติ ธรรมชาติยังมีฤดูกาล มีเวลาเช้าค่ำที่แน่นอน คนบางคนหน้าตาดูซื่อๆ แต่จิตใจล้ำลึกสุดจะหยั่งถึง บางคนดูหน้าตาอ่อนโยน แต่ภายในใจดุร้าย บางคนลักษณะภายนอกดูเป็นผู้ใหญ่นับถือ แต่ความจริงไม่ใช่ บางคนท่าทางดูมีจรรยามารยาท แต่จิตใจหยาบโลน บางคนดูภายนอกเข้มแข็ง แต่ที่แท้ภายในอ่อนแอ บางคนดูภายนอสุขุมแต่ภายในร้อนรุ่ม พวกที่ใฝ่หาคุณธรรมอย่างรีบร้อน เหมือนกับคนที่กระหายน้ำต้องการน้ำดื่ม ก็จะละทิ้งคุณธรรมไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับคนที่วิ่งหนีไฟฉันนั้น แม้แต่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านขงจื้อยังบ่นถึงความยากลำบากในการดูคนมาตั้งแต่เมื่อ 2,500 ปีก่อนแล้ว เสียงบ่นของท่านยังก้องอยู่ในรูหูของผู้คนตราบเท่าทุกวันนี้ แล้วเราก็ยังคงดูคนผิดมาเรื่อยๆ มันน่าช้ำใจไหมล่ะ หลีคุน นักปราชญ์สมัยราชวงศ์หมิง ได้เขียนไว้ในหนังสือ เซินอิ๋นอี่ คร่ำครวญว่า คนถ่อยที่มีความรู้ความสามารถเป็นคนที่อันตรายมากที่สุด คนดีที่ไม่มีความรู้ความสามารถก็เป็นคนที่อันตรายที่สุดเช่นกัน มงคลชีวิต ฉบับรวมมิตร
|
Mistory
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] All Blog |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |